ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน
ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Deliciousระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน
อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง
โดย Chavaroj
การไปตลาดของเรา ไปโดยรถมอเตอร์ไซค์คันเก่า คันที่พวกเราเรียกมันว่าอีแก่ จริง ๆ มันก็ยังใช้การได้ดี เพียงแต่เก่าไปนิด มีร่องรอยของการถลอกอีกหน่อย แต่เครื่องยังแรง และข้อดีของมันก็คือแสนสะดวก
ฌองนั่งซ้อนท้าย ใช้แขนโอบเอวผมไว้เบา ๆ แน่นอนว่ามันทำให้ผมใจสั่นแปลก ๆ แต่ไอ้ที่บ้าบอไปกว่านั้นก็คือไอ้นิสัยช่างซักช่างถามของอีตานี่นั่นล่ะ ที่ชอบมากระซิบกระซาบที่ข้างหู ปลายจมูกโด่ง ๆ ของเขาเคลียคลออยู่ตรงซอกหู และบางจังหวะที่ผมต้องเบรกรถอย่างกะทันหัน ปลายจมูกของเขาก็ชนเข้าอย่างจังกับซอกคอ เล่นเอาผมขนลุกขนชันไปหมด
เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ก็เพิ่งจะโดนผู้ชายประชิดมากขนาดนี้ ไม่นับพี่ ๆ หลาน ๆ และอีกัสจังกับอีน้า ซึ่งสมัยเรียนนอนกลิ้งเกลือกไปมาเพราะสนิทกันมาก ๆ นี่มันผู้ชายพายเรือ แล้วเป็นผู้ชายฝรั่งเสียด้วย
แน่ละถึงแม้ว่าระยองจะเป็นหนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยว ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงมีมากมายจนพ่อค้าแม่ค้าในตลาดไม่ได้มีความแปลกอกแปลกใจอีกแล้ว แต่รอยยิ้มเหมือนจะล้อ และคำถามทั้งตรงและอ้อม เมื่อฌองมากับผม มันก็ทำเอาผมไปไม่เป็นเหมือนกัน ก็ผมน่ะลูกแม่เลยนะ ตลาดนี้ก็เป็นตลาดของแม่ เคยมาเดินเก็บค่าแผงตั้งแต่หัวยังไม่เลยแผง ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว แถมยังไม่เคยพาผู้ชายพายเรือที่ไหนมาเปิดตัว พอมาทีแรกก็เป็นหนุ่มฝรั่งแถมรูปหล่อซะด้วย
"ใครละนั่น เดินตามต้อย ๆ เลยฮิ" แม่ค้ารายหนึ่งถามซึ่งผมก็ได้แต่ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่าเพื่อนกัน นึกหมั่นไส้อีตาคนถูกพูดถึงซึ่งไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยสักนิดว่าตัวเองกำลังโดนนินทา
"อันนี้ผมเคยกิน" ฌองพูดอย่างตื่นเต้น แล้วเจ้าตัวก็ชี้มือชี้ไม้ไปที่รถเข็นซึ่งขายน้ำเต้าหู้
"อยากกินก็เอาสิ" ผมบอกเขาทำหน้าเซ็ง ๆ
"คุณจะกินด้วยไหม?" ฌองหันมาถามผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ก็นิสัยคนไทยเราน่ะ ขี้เกรงใจ ยังไงก็ปฏิเสธไว้ก่อนวันยังค่ำ
"กินด้วยกันเถอะผมรู้ว่าคุณชอบ ผมเห็นคุณต้องกินทุกเช้าเลยนี่" ฌองบอกและชี้มือชี้ไม้สั่ง เอ๊ะ มาสังเกตผมตอนไหนกันนะ
ได้น้ำเต้าหู้ใส่เครื่องหนึ่งถุง และน้ำเต้าหู้เปล่า ๆ แม้แต่น้ำตาลก็ไม่ใส่มาอีกหนึ่งถุง (อย่างนี้จะไปเอร็ดอร่อยกันยังไงหนอผมละอดสงสัยไม่ได้) ตามด้วยปาท่องโก๋ ซึ่งอีน้ามันเถียงว่าจริง ๆ ต้องเรียกว่า อิ่วจาก๊วย จะเรียกอะไรมันก็คือแป้งสองชิ้นเอามาประกบกันแล้วก็ทอดนั่นแหละ เอามาจิ้มกินกับน้ำเต้าหู้ ก็อร่อย หรือจะเด็ดไปกว่านั้นก็คือจิ้มกับนมข้นหวาน สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนเช้า ๆ นอกจากข้าวเหนียวหมูปิ้ง ก็ต้องมีน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋นี่แหละ ถึงจะเข้าข่ายอาหารเช้าที่สมบูรณ์แบบ สำหรับคนเร่งรีบอย่างเรา
ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดบ้าน ๆ ไม่ใช่ตลาดในเมือง จึงไม่ได้หรูหราอะไรมากนัก แต่แม่ของผมเป็นคนสะอาดและเคร่งครัดเป็นระเบียบ ตลาดแห่งนี้ก็เลยไม่อายที่จะพาฌองมาเดิน ฌองแสนตื่นเต้นกับอะไรพื้น ๆ แบบนี้ มีผักผลไม้ที่ชาวบ้านเอามาขายด้วย แต่พวกเขาจะไม่ได้เข้ามาขายในตลาดซึ่งเทปูน ทำหลังคาและทำคอกให้พ่อค้าแม่ค้าอย่างเป็นสัดเป็นส่วน
รอบ ๆ ตลาดจะมีชาวบ้านเอาของพื้น ๆ มาขายปูผ้าพลาสติกขายมันริมทางนี่ล่ะ หรือไม่ก็เป็นรถสามล้อพ่วงข้าง ซึ่งแม่ก็จะเก็บค่าเช่านิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อช่วยชาวบ้าน
ปกติแม่ครัวหรือคนงานจะมาซื้อของตอนเช้าตามรายการที่สั่ง แต่ถ้าต้องซื้อเยอะ ๆ ก็ขับรถกระบะมา แต่ถ้าซื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์สะดวกกว่าเพราะถึงจะเป็นตลาดเล็ก ๆ แต่ก็ค่อนข้างคับคั่ง ที่สำคัญทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ จะเป็นตลาดนัดตอนเช้า ซึ่งมีของขายมากกว่าปกตินิดหน่อย
ผมมีโพยจากแม่ครัวว่าจะต้องซื้ออะไรบ้าง ซึ่งระหว่างทางก็ซื้อมาจนได้เกือบครบแล้ว แต่ที่เสียเวลานี่ก็เพราะต้องเป็นไกด์ และเป็นล่าม คอยอธิบายและคอยตอบคำถามอีตาฝรั่งช่างซักนี่ล่ะเป็นสำคัญ
"อันนี้คือทุเรียนใช่ไหม?" ฌองถาม รู้อยู่แล้วยังจะถามอีกน๊อ
"ใช่ ชอบกินไหมล่ะ?" ผมถามแน่นอนว่าฌองยิ้มแหย แต่ในงานแต่งงานของอีกัสจัง เจ๊หวังเอาทุเรียนมาช่วยงานตั้งครึ่งคันรถ ผมเห็นฌองทำใจกล้า ลองกินทุเรียน แต่สุดท้ายอีตาฝรั่งหัวใจไทย ก็กินจนได้แล้วท่าทางพ่อจะชอบเสียด้วยสิ เห็นกินเอา ๆ จนกลัวจะเป็นร้อนใน
"ชอบสิ ผมชอบมาก ๆ เป็นผลไม้ที่อร่อยที่สุดในโลก แต่เสียดายกลิ่นมันค่อนข้าง...แรง" ฌองพูดแล้วก็ยักไหล่ แต่ถึงพ่อจะบ่นก็ซื้อมาแพคหนึ่ง เลือกเอาแพคโต ๆ ซึ่งมีอยู่สามพูลั่ง ๆ ราคาหลายร้อยบาทเหมือนกัน
"กินทุเรียนนี่จะให้อร่อยมันต้องเอาไปแช่เย็นให้เย็นเจี๊ยบ พอเอามากินมันจะอร่อยเหมือนกินไอศกรีม อ้อ รู้ไหม คนไทยน่ะ เวลากินทุเรียนแล้ว หลังจากนั้นต้องกินมังคุดตาม เพื่อจะได้ให้มันไปแก้กันไม่อย่างนั้นจะได้ไม่ป่วย" ผมอธิบาย และไม่รู้จะใช้ภาษาอังกฤษคำว่าอะไรดีอธิบายอาการร้อนใน เอาเป็นว่าใช้คำว่าไม่สบายไปก็แล้วกัน
"มังคุดผมก็ชอบ" เอาสิ พ่อชอบทุกอย่างนั่นแหละ
ซื้อของกินอีกหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ที่ทำเอาผมขมวดคิ้วก็คืออีตาฝรั่งซื้อดอกกล้วยไม้กำ ๆ ที่เขากำเอาไว้ถวายพระติดมือมาด้วย
"ซื้อเอาไปทำอะไร?" ผมถามเมื่อเจ้าตัวซื้อกล้วยไม้กำโต แถมยิ้มแย้มทำหน้าดีใจ
"ผมจะเอาไปใส่แจกันประดับในห้อง คุณรู้ไหมผมชอบดอกกล้วยไม้มากนะ มันเป็นเสน่ห์ของตะวันออกเลย ที่เยอรมัน ไม่มีกล้วยไม้แบบนี้" ฌองพูดแล้วก็ถือช่อกล้วยไม้อย่างแสนทะนุถนอม จริงสินะ ไอ้กล้วยไม้สีขาว ๆ ม่วง ๆ แบบนี้ บ้านเรามันเห็นจนดาษดื่น เห็นจนรู้สึกว่ามันไม่ได้มีค่ามีราคาอะไรมากมาย เรากลับเห่อ ดอกทิวลิปดอกลิลลี่ เพราะมันราคาแพง ก็บ้านเรามันปลูกไม่ได้นี่นา กลับกันฌองก็คงคิดแบบนั้นกับดอกกล้วยไม้
ขี่รถกลับรีสอร์ตอย่างแสนทุลักทุเล ถ้ารู้ว่าอีตาฝรั่งจะเป็นพวกบ้าชอปปิ้งอย่างนี้ ผมขับรถกระบะมาดีกว่า ก็พ่อเล่นซื้ออะไรที่เห็นว่าน่าสนใจไปหมดแถมซื้อทีละเยอะ ๆ เสียด้วย ผมมองถุงพลาสติกหลายสิบถุงทั้งที่แขวนตรงแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีฝักบัวกำโต ๆ ห้าหกกำ ไหนจะของซึ่งแม่ครัวสั่งให้ซื้อ มากสุดคือพวกของกินซึ่งฌองซื้อมาเยอะแยะนี่ไม่ใช่จะกินคนเดียว พ่อจะซื้อไปแจกคนงานที่รีสอร์ต แต่ในอ้อมอกของพ่อ ก็มีกล้วยไม้ช่อโต ๆ น่าจะห้าหกกำ ซึ่งพ่อก็ประคองมาอย่างถนอม เล่นเอาผมไม่กล้าขี่เร็ว ๆ เพราะกลัวกระแทกแล้วเดี๋ยวดอกกล้วยไม้จะช้ำ แล้วพ่อพวงมาลัยจะเสียอกเสียใจ
ขับอีแก่มาจอดตรงข้างโรงครัวนี่ล่ะ ช่วยกันเอาของลองแล้วฌองก็วิ่งจู้ดเอาดอกกล้วยไม้กลับไปที่ห้องของตนเอง แล้วก็วิ่งกลับมาขอขวดน้ำพลาสติกที่ดื่มหมดแล้ว เอามีดเฉือนจนได้แจกันประดิษฐ์เอง เห็นแล้วก็น่าเอ็นดู นี่ห้องพักของพ่อคงสวยงามเหมือนสวนสวรรค์
เมื่อกลับมาโรงครัวอีกที ผมก็ชวนฌองให้กินอาหารที่ซื้อมาจากตลาดตั้งมากมาย แต่อันดับแรก ต้องกินข้าวต้มปลาหมึกซึ่งแม่ครัวทำเตรียมไว้แต่เช้าเสียก่อน
กินจนหมดก็ซัดพวกขนมไทยต่าง ๆ ซึ่งอีตาฌองก็เล็มกินอย่างละนิดอย่างละหน่อย แล้วก็เรียกคนโน้นคนนี้มาช่วยกิน พ่อคงอยากกินหลาย ๆ แบบ อันไหนอร่อยหน่อยก็กินหลายคำ อันไหนแปลก ๆ ฌองก็ลองกินแค่คำเดียว แต่ที่ดูจะชอบใจเห็นจะเป็นฝอยทองแพ ๆ ซึ่งหวานฉ่ำถึงกับมีผึ้งบินมาตอมทีเดียว
แต่ตามที่ผมคิดไว้ ฌองไปยืนดูแม่ค้าทำข้าวเกรียบปากหม้ออยู่เป็นนานสองนาน ลองกินแล้วพ่อก็ชอบอกชอบใจ แถมชมเปาะ จบท้ายด้วยราชาแห่งผลไม้ ทุเรียนที่ฌองซื้อมานั่นเอง แต่อันนี้ ผมไม่ให้ฌองแบ่งให้ใคร ของตั้งแพงให้ฌองกินคนเดียวนั่นแหละดีแล้ว
"เสียดายไม่มีมังคุด" ฌองบ่น และยื่นนิ้วที่มีทุเรียนติดเข้าไปดูด ดูพ่อจะเสียดมเสียดายจนอยากกินให้หมดจนหยดสุดท้าย
"ที่รีสอร์ตของเราไม่มีทุเรียนแต่มีญาติของมันนะ" ผมบอกฌอง ซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้างง ๆ
"รู้จัก ขนุน และสาเกไหม?" ผมถามไอ้ขนุนหรือแจ็คฟรุตนี่ฌองบอกว่ารู้จัก แต่สาเกนี่ผมก็จนปัญญาที่จะเรียกมันเป็นภาษาอังกฤษ เลยเรียกทับศัพท์ไปเลย
"ขนุนมันอร่อยดีหวานมาก ๆ กลิ่นหอมมาก ๆ แต่สาเกนี่เป็นยังไง?" ฌองซักอีกแล้ว และแน่นอนผมก็ต้องให้อากู๋ช่วย พิมพ์แล้วก็รออยู่อึดใจ รูปของสาเกก็ปรากฏขึ้นมา
"กินได้อย่างไร?" ฌองถามด้วยภาษาไทยตะกุกตะกักมาอยู่ไม่กี่เดือน ไอ้ภาษาไทยง่าย ๆ นี่ก็พ่อก็ชอบเอามาใช้เสียด้วย
"เอามาทำขนมหวานอยากกินไหมล่ะ?" ผมถามฌองกลับแน่นอนว่าเจ้าตัวก็พยักหน้าหงึกหงัก จริง ๆ สาเกที่รีสอร์ตของผมไม่มีปลูกหรอก มีแต่ขนุน ผมเดินไปเห็นมีลูกอ่อน ๆ อยู่ แต่ผมรู้ว่าสาเกน่ะจะไปหาได้มาจากที่ไหน
"อ้อขนุนน่ะ เอามาทำกับข้าว ใช้กินกับข้าวก็ได้นะ อยากกินไหมล่ะ?" ถามอย่างนี้ฌองผู้อยากรู้มีหรือจะปฏิเสธ แต่ต้องรอเย็น ๆ เสียก่อนนะ ให้ลูกค้าเข้าพักให้เรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งฌองก็พยักหน้าอย่างยินดี ระหว่างนี้พ่อก็คงจะจัดการกับฝักบัวเพราะเห็นแทะกินอย่างเอร็ดอร่อยแถมชวนคนโน้นคนนี้กินเสียด้วย แต่คนอื่นก็แค่แกะเอาไปกินแค่สองสามเมล็ด ฌองก็เลยต้องรับผิดชอบทั้งหมดคนเดียวไปก็แล้วกัน
จนถึงช่วงเย็น งานการจัดการหมดสิ้นแล้ว ลูกค้าก็เข้าพักเรียบร้อยแล้ว ผมสั่งให้คนงานไปตัดขนุนอ่อน ๆ มาสองลูก พร้อมกับสั่งแม่ครัวไว้ว่าอยากจะกินแกงขนุน ส่วนสาเกนั้น ผมกำลังจะไปเก็บ แน่ละ ต้องพาฌองไปด้วย ขี่อีแก่ไปเหมือนเดิม ใช้เวลาไม่นานจากรีสอร์ตของผมหรอก จนถึงวัดแห่งหนึ่ง ผมเดินเข้าไปไหว้หลวงพ่อที่รู้จักกันดี เพราะคุ้นเคยกัน เอ่ยปากขอสาเกท่านสักลูกหนึ่ง
"เอาไปทำอะไรล่ะเจ้าหมึก?" หลวงพ่อถามและยิ้มอย่างเอ็นดู
"เอาไปทำขนมให้แขกกินจ๊ะ?" ผมตอบ และท่านก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้ไปสอยเอาตามชอบใจ จริง ๆ ที่ดินวัดตรงนี้ก็เป็นของปู่ของย่าผมบริจาค ต้นสาเกต้นโตต้นนี้จริง ๆ มันก็อยู่ติดที่มาตั้งแต่เนิ่นนาน ผมเกิดมาก็เห็นมันสูงออกใบใหญ่ ๆ ครึ้มมานานนมแล้ว
"ระวังมันมียางนะ" ผมบอกฌองและยื่นไม้ไปให้ ฌองสอยมันจนได้มาสองลูก จริง ๆ อยากได้แค่ลูกเดียวล่ะแต่อีกลูกติดมือมา จากนั้นก็ไปกราบขอบคุณหลวงพ่อ แต่ไม่ลืมที่จะบริจาคเงินให้วัด ไม่ใช่ว่าซื้อขายกันนะ แต่พ่อแม่ผมสอนไว้ เอาของวัดนี่อย่าไปเอาฟรี ๆ มันจะติดบาปติดกรรม ตายไปต้องเป็นเปรตเฝ้าวัดเขาเรียกใช้หนี้สงฆ์อะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง ไอ้ผมก็ไม่ใช่คนมะ ๆ โม ๆ เหมือนอีน้าเสียด้วย แต่เท่าที่นึกได้แถว ๆ นี้ที่มีต้นสาเก ก็เห็นจะมีหลังวัดนี่ล่ะ
ฌองมองถุงพลาสติกใบใหญ่ที่มีสาเกนอนเค้เก้อยู่ในนั้น ยางสีขาวเหนียวหนึบไหลจนเป็นเทือกอยู่ในถุง จนเมื่อถึงข้างโรงครัว อันเป็นที่จอดรถประจำของอีแก่ ฌองก็ถือถุงใส่สาเกอย่างระมัดระวังเดินไปหาแม่ครัว
"ทำสาเกกินกันดีกว่า" ผมเอ่ยปากและแม่ครัวก็อมยิ้ม แกใจดีและชอบทำอาหารอยู่แล้ว แต่ผมชำฌองที่นั่งพิจารณา ขนุนกับสาเก ซึ่งวางเคียงกัน โดยมันนอนเค้เก้อยู่บนกระดาษหนังสือพิมพ์ ขนุนน่ะยางไหลจนแห้งไปแล้วส่วนสาเกยางยังไหลอยู่เรื่อย ๆ แต่น้อยลงจากตอนสอยมาแรก ๆ
"เหมือนเป็นพี่น้องกันเลย" ฌองพูดเหมือนจะพูดกับตัวเอง แล้วเจ้าตัวก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปอย่างเช่นเคย
แน่นอนว่าฌองขอเป็นลูกมือแม้ว่ามันจะทุลักทุเลสักหน่อย เพราะทั้งขนุนและสาเก ยางเยอะชะมัด ผมอธิบายว่า ขนุนนี่แม่ครัวจะเอามาทำแกงขนุน กระบวนการที่ยากที่สุดก็คือการหั่นขนุนอย่างที่ว่า ส่วนของที่ทำในครัวก็มีประจำอยู่แล้ว เช่นซี่โครงหมู มะเขือเทศ แต่ขาดใบชะพลูกับชะอมซึ่งแน่ละ คนสวนของผมปลูกไว้อยู่พอกิน ผมก็เลยรับอาสาไปเก็บใบชะพลูกับชะอมให้แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเอาไว้ใส่ตอนท้ายสุด
เริ่มทำกันละ แม่ครัวนั้นเป็นคนเตรียมเครื่องส่วนมือที่ทำก็ให้ฌองนั้นเป็นคนทำ กระเทียมพริกแห้ง เกลือ กะปิ และหอมแดงถูกฌองตำจนละเอียด แม่ครัวแกชอบใจนัก แกว่าฌองนักหนักมือดี ตำพริกแกงได้ละเอียด
"ถ้าเป็นผู้หญิงรับรองว่ามีคนมาสู่ขอแน่ ๆ ตำพริกแกงเสียงดังและถี่อย่างนี้ล่ะก็นะ" แกนินทาจนผมอมยิ้ม ส่วนฌองตั้งหน้าตั้งตาตำอย่างตั้งใจ
ตำจนได้ที่จากนี้ก็ตั้งไฟ เทน้ำเปล่าลงหม้อ แล้วต้มจนเดือด ใส่กระดูกหมูอ่อน ต้มจนเปื่อย ใส่ขนุน มะเขือเทศลูกโต ๆ แบ่งผ่าสี่ เราเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนเมื่อมันสุกดีและซี่โครงเปื่อยนุ่ม ก็ค่อยโรยชะอมกับใบชะพลู ก็เป็นอันเสร็จสรรพกันล่ะ ฌองดูท่าจะภูมิอกภูมิใจ กับเมนูอาหารแปลก ๆ ที่เจ้าตัวบอกว่าเพิ่งจะเคยกินครั้งแรก จริง ๆ ผมก็แทบจะไม่ได้กินถ้าไม่ได้อยู่บ้าน ตอนสมัยเรียนหรือตอนไปทำงานที่กรุงเทพฯ น่ะถ้าเจอเป็นต้องกระโจนใส่เพราะผมก็ชอบกินเหมือนกัน
ทีนี้ก็ถึงอีตอนทำสาเกแกงบวดกันละ แต่สาเกเชื่อมนี้แม่ครัวแกว่าแกจะทำเอง เพราะกลัวฌองจะทำเสียพิธี แกเอาดินสอพองละลายน้ำ แล้วก็เอาสาเกลงไปแช่เพื่อปอกเปลือก แกว่าจะทำให้สาเกที่ปอกเปลือกแล้วไม่ดำ จากนั้นก็เอาไปแช่น้ำปูนใส
ฌองรับหน้าที่ตั้งหม้อเทกะทิใส่เข้าไป แต่รอบนี้มันฉุกละหุก ขอใช้กะทิกล่องไปก่อนก็แล้วกัน ตั้งไฟพอร้อน เอาสาเกที่แช่น้ำปูนใสไปล้างน้ำอีกที เพื่อให้หมดกลิ่น แม่ครัวแกว่าที่ต้องแช่น้ำปูนใสก็เพื่อจะให้มันรัดเนื้อสาเก ต้มนาน ๆ เนื้อจะได้ไม่เละ
เอาน้ำตาลปี๊บคนให้ละลาย ซึ่งฌองก็ใช้ทัพพีคนอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ค่อย ๆ เทสาเกใส่ลงไป พร้อมกับกดให้เนื้อสาเกจมลง โรยเกลืออีกนิดหน่อย ต้มไปเรื่อย ๆ ใช้ไฟอ่อน ๆ แต่ว่าต้องคอยคนเพราะไม่อย่างนั้นกะทิจะจับตัวเป็นลูก ๆ ต้มจนสาเกสุกโดยการลองใช้ช้อนส้อมจิ้มดูถ้านิ่มจนทะลุได้ก็เป็นอันเสร็จสรรพ
อาหารมื้อเย็นอันมี ปลาย่างกินกับน้ำพริกปลาร้า ผักต้มผักสดมากมาย แน่ล่ะผักในสวนของเราเยอะแยะ คู่กับแกงขนุนแสนอร่อย ฌองกินไปชมไป ตักข้าวตั้งสองจาน
"อย่ากินให้อิ่มสิ เดี๋ยวกินแกงบวดสาเกไม่ได้นะ" ผมท้วงแต่ฌองก็ยืนยันว่ายังเหลือพื้นที่ในกระเพาะอีกมากมาย
จบของคาวตามด้วยของหวาน พวกเราตักแกงบวดสาเกคนละถ้วยเล็ก ๆ แต่ฌองใช้ชามแกงตักเอามากินคนเดียวเลยเชียวล่ะ กินไปก็ชมไปอีกเหมือนกัน ผมเองก็นาน ๆ จะได้กินแกงบวดสาเก เห็นในตลาดที่เขาขายก็มักจะเป็นสาเกเชื่อมซึ่งผมว่ามันหวานแสบไส้เกินไป กินสาเกบวดอย่างนี้อร่อยกว่าเป็นไหน ๆ
"เคยกินข้าวเหนียวทุเรียนไหมล่ะ?" ผมถามฌอง และอธิบายรูปร่างหน้าตาของมัน ซึ่งฌองก็คงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เลยเปิดรูปให้ดูเสียเลย
"โอ้ผมเคยกินหนึ่งที่โรงแรมของณรงค์" ฌองคุยอวด
"แต่ผมชอบกินทุเรียนนะ ผมอยากจะให้มันเต็มไปด้วยทุเรียนและมีข้าวเหนียวเยอะพอ ๆ กัน" พูดแล้วฌองก็ทำหน้าฝัน ๆ ส่วนผมคิดว่ากินเป็นพู ๆ ไปเลยก็แล้วกันนะพ่อ อย่าลำบากทำเลย
คืนนั้นผมวิดีโอคอลคุยกับเพื่อนรักทั้งสองตัว คืออีน้าและอีกัส ซึ่งแน่ละทั้งสองคนต่างถามถึงแต่ฌอง นี่พวกมึงไม่รู้เรอะว่าฌองน่ะ เป็นดวงวิญญาณที่เกิดผิดที่ นับประสาอะไรกับน้ำพริกปลาร้าเมื่อเย็นซึ่งฌองกินเอา ๆ อย่างน่าเอ็นดู แถมยังหัดทำแกงขนุน กับแกงบวดสาเกซะด้วย
"ฌองมันเป็นคนช่างกิน" อีกัสพูดเหมือนปลง ๆ
"ไม่ใช่กินของอร่อย ๆ จนไม่อยากกลับเยอรมันหรอกนะ" อีหน้ามันพูดกลับมาบ้าง
"ไม่กลับไม่ได้หรอกค่ะ พาสสปอร์ตจะหมดอายุแล้ว อาทิตย์หน้าก็กลับแล้วล่ะ ดีเสียอีก กูจะได้สบายหู ไม่อย่างนั้น มันถามกูท๊างวัน" ผมพูดพร้อมกับยักไหล่ พูดแล้วก็ค้อนให้ฌองจากที่ไกล ๆ เสียหนึ่งที
"ไม่ใช่พอเขาไปแล้วจะคิดถึงเขานา อย่ามาบ่นนะว่าพอฌองไปแล้ว เงี๊ยบเงียบ" อีน้าแซว เสือกยิ้มกริ่มมีเลศนัยและไอ้ยิ้มมุมปากของมันนี่น่าตบให้คว่ำสักที
"โอ๊ย ดีสิ กูจะได้สบายหู เออ เดือนหน้ากูว่าจะเข้าไปกรุงเทพฯ สักอาทิตย์ เดี๋ยวกูไปเยี่ยมพวกมึงดีกว่า" ผมทำท่าคิดและดูปฏิทิน
"เลื่อนไปอีกหน่อยไม่ได้หรอ พอดีเอ่อ...ช่วงนั้นเราไม่อยู่น่ะ" อีน้าพูดเสียงอ่อย ยิ้มแห้ง ๆ
"ไปไหนของมึง ร้อยวันพันปีกูไม่เคยเห็นมึงไปไหนมาไหนเห็นขลุกอยู่แต่ในวัง" ผมรุกมันได้ทีก็ต้องขี่แพะไล่
"เอ่อ จะไปเที่ยวน่ะ" อีน้าตอบเสียงแหบ ๆ
"ไปก๊ะคราย?" ผมซักมันต่อ
"ไปกับเฮียกูเอง จะไปอินโดน่ะ" อีกัสแทรก หมดกันเลยหมดสนุกไปเป็นกอง ตกลงอีน้ากับเฮียกุ๊กคบกันเปิดตัวเป็นที่เรียบร้อย อีกัสคุยได้อีกแป๊บเดียวก็ขอตัวไปทำงาน ทิ้งให้ผมกับอีน้าคุยกันต่อสองคน
"วันนี้ฌองคงสนุกมากเลยสิท่า" อีน้าถาม
"ก็คงสนุกของพ่อนั่นล่ะ ได้กินทุเรียน ได้กินขนุน ได้กินสาเก" ผมอธิบาย
"ฌองเขาเก่งนะ เขาเหมือนเฮียกุ๊กน่ะ เขียนบทความ แต่เฮียกุ๊กชอบเขียนบทความวิจารณ์หนังละคร แล้วก็ดนตรี ส่วนฌองน่ะเขาวิจารณ์พวกอาหาร หมึกลองเข้าไปดูเพจของเขาสิ ใส่รูปสวย ๆ ของอาหารไทยเต็มไปหมดเลย" อีน้ามันว่า และเมื่อวางสายจากกัน ผมก็เข้าไปส่องเพจของฌอง
ผมไล่ดูตั้งแต่บทความแรก ๆ ที่ฌองมาไทย มีคลิปสั้น ๆ ที่โรงแรมของอีน้า นั่นแน่ มีคลิปไปช่วยป้าอุ่นทำกับข้าวในครัวเสียด้วย ผมไล่ดูไปเรื่อย ๆ ดูไปอมยิ้มไป ฌองเป็นคนพูดเก่ง อธิบายเก่ง ถึงผมจะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็เถอะ
ถัดจากนั้นก็จะเป็นคลิปอาหารเหนือ ใช่สินะ เห็นอีน้ามันว่าฌองไปเที่ยวเชียงใหม่อาทิตย์กว่า ๆ แล้วก็ตรงมางานแต่งงานของอีกัสมัน จนผมเห็นคลิปล่าสุดที่ฌองลงไปเมื่อวันก่อน เป็นบทความและคลิปการทำอาหารในครัวของผมนี่นา และเมื่อสองนาทีก่อน ฌองโพสต์รูป ของทุเรียน ขนุน และสาเก พร้อมกับคำถามว่า คุณคิดว่าพวกมันจะทำเป็นอาหารไทยอะไรได้บ้าง ผมเห็นแล้วก็อมยิ้ม เออแน่ะ นี่ฌองยังไปเมืองไทยไม่ครบทุกภาคเลย
เห็นทีก่อนที่ฌองจะกลับเยอรมัน ผมว่าน่าจะให้ฌองได้กิน อาหารใต้กับอาหารอีสานอีกสักหน่อย แต่จะให้กินอะไรค่อยนึกกันอีกทีก็แล้วกันนะ
ผมชะโงกหน้าออกจากหน้าต่างออฟฟิศ มองไปที่เรือนของฌองซึ่งเจ้าตัวขนโน๊ตบุ๊คออกมาทำงานที่หน้าเรือนพักอีกแล้ว เพิ่มเติมคือ มีขวดน้ำอัดลมซึ่งถูกตัดปากออก อัดดอกกล้วยไม้สีม่วงจนเต็มแน่น ฌองมองพวกมันแล้วก็อมยิ้ม และเหมือนเขาจะรู้ว่าผมกำลังแอบดู ฌองหันมาทางออฟฟิศเห็นหน้าของผมพอดีเป๊ะ ผมก็เลยต้องทำเป็นก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
"แอบนินทาอะไรผม ผมรู้นะ" ฌองพูดเมื่อเดินมาหาผมที่ออฟฟิศ
"นินทาอะไรไม่มี๊?" ผมเฉไฉ
"ผมเห็นคุณวิดีโอคอล ท่าทางจะคุยกับ ณรงค์และกัสใช่ไหม คุยไปก็หันมามองผมไป แล้วก็หัวเราะ อย่างนี้นินทาผมแน่ ๆ" ฌองคาดคั้น กอดอก แต่อมยิ้ม ผมคงมีพิรุธเต็มที่เพราะปฏิเสธเสียงสูง ฌองก็เลยหัวเราะ และเดินมานั่งตรงข้ามผม
"ถ้าผมกลับบ้านไป ผมต้องคิดถึงหมึกมาก ๆ แน่ ๆ" ฌองพูดและจ้องหน้าผมส่วนผมก็เม้มปากจนเรียบเป็นเส้นตรง ไอ้สถานการณ์แบบนี้มันอึดอัดจังแฮะ
"คิดถึงทุเรียน คิดถึงขนุน แล้วก็คิดถึงสาเกดีกว่าน่า" ผมเฉไฉ
"ไม่นะ ผมต้องคิดถึงคุณที่สุด คิดถึงคุณมาก ๆ เลยทีเดียว ไม่แน่นะ ผมว่าผมต้องกลับมาเมืองไทยอีก กลับมาให้ได้ไวที่สุด เพราะผมต้องคิดถึงคุณจนผมอาจเป็นบ้าก็ได้" ฌองพูด และทำหน้าจริงจัง ส่วนผม ก็มือเย็นตีนเย็นจนทำอะไรไม่ถูก ฌองขยับตัวลุกขึ้นยืน และยื่นมือของเขามาจับมือของผม ....ทำอะไรเนี่ยอีตาบ้า ผมได้แต่ตะโกนต่อว่าเขาอยู่ในใจ คนโบราณเขาว่า จับข้อมือเสียไก่ จับไหล่เสียหมู อ้าวแล้วที่เมื่อตอนเช้ากอดเอวกูจนแน่น อย่างนี้เสียอะไรดีล่ะ