ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน
ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Deliciousระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน
อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง
โดย Chavaroj
คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับแน่ ๆ ก็จู่ ๆ ฌองก็พูดสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันว่าในชีวิตนี้จะมีคนมาพูดอย่างนี้กับผมน่ะสิ
"ผมตกหลุมรักคุณ"
เสียงของอีตาฝรั่งฌอง มันดังก้องในหัวของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงจังหรือแค่อยากพูดเล่น ๆ แต่หน้าตาท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างนั้นฌองไม่ได้พูดเล่นหรอกน่า แล้วทั้งอีกัส ก็คอยพร่ำบ่นกับผมบ่อย ๆ ว่าคนเยอรมันนั้นจริงจังในทุก ๆ เรื่องแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วอย่างนี้ฌองคงไม่เหลวใส่ผมหรอกมั้ง
แต่จะอะไรก็เถอะปัญหาใหญ่สุดจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ใครมาสารภาพรักกับผมหรอก ปัญหาจริง ๆ มันคือตัวของผมเองมากกว่า ก็ผมตัวดำอย่างกับจรกา ไม่มีเค้าของความหน้าตาดีเลยสักนิดเดียว ผิวก็ดำ ดั้งก็แบน ปากก็หนา ดูไม่ด๊ายดูไม่ได้ ไม่น่ารักปุ๊กปิ๊กเหมือนอีกัส หรือดูอ่อนหวานบอบบางน่าถนอมอย่างอีน้า ผมน่ะมันถึกเหมือนควายทุย ไม่ได้ดูน่ารักเลยสักนิด มีตรงไหนให้ใครมาชอบกันเล่า ยิ่งความตลกคะนอง ปากเสีย และความบ้า ๆ บอ ๆ ของผมอีก เกิดมาในชีวิตเลยไม่มีใครทำท่าจะมาชอบผมเลยแม้แต่หมาสักตัว
ฌองบอกรักผม แต่ผมก็ไม่ได้ตอบรับหรือบอกปฏิเสธ มันคงใจร้ายเกินไปสำหรับการปฏิเสธใครสักคน ยิ่งฌองหล่ออย่างกับพระเอกหนังฝรั่ง เดินกับผมคนเขาคงว่าเหมือนดอกไม้ปักอยู่บนขี้ควาย แน่นอนว่าผมไม่ใช่ดอกไม้แน่ ๆ
"คุณจะรับรักผมได้ไหม?"
"เอาไว้ให้คุณมาบอกผมอีกครั้ง ขอเวลาให้ผมได้ตัดสินใจ ให้คุณและผมได้มีเวลาเรียนรู้กันมากกว่านี้อีกสักหน่อยได้ไหม?" ผมตอบฌองไปอย่างนั้นซึ่งเจ้าตัวแม้จะหน้าเจื่อนลงไปนิดหน่อย แต่ฌองก็อมยิ้มและกล่าวว่าเข้าใจดีทีเดียว และผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นนางเอกในยุคแปดศูนย์เก้าศูนย์
เวลาที่เราเจอกันเพียงไม่กี่สัปดาห์ เขายังไม่รู้จักตัวตนจริง ๆ ของผม และผมก็ไม่ได้รู้จักตัวตนจริง ๆ ของฌองเลย จะมาร้งมารักอะไรกัน แต่ก็ต้องสารภาพว่ามันรู้สึกดีเป็นบ้า ความรู้สึกแบบที่เขาว่า มีผีเสื้อมีแมลงปอ มีตัวอะไรก็ไม่รู้มาบินหึ่ง ๆ อยู่ในท้องจนตัวของผมเหมือนจะลอยได้
ยังมีเวลาเหลือที่จะอยู่ด้วยกันอีกราว ๆ หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ช่วงเวลานี้มันไม่สั้นแต่ก็ไม่ยาว แต่ที่สำคัญ ผมจะทำอะไรเอาแต่ใจไม่ได้ เพราะหูตาคนในรีสอร์ตนั้นมากมาย และถ้าผมทำอะไรไม่ดีขึ้นมา พ่อแม่และพี่ ๆ พร้อมจะถลกหนังหัวของผมทันที ผมดูเหมือนจะเป็นที่กดขี่ของใคร ๆ ที่บ้านแต่ลึก ๆ ผมรู้ว่าทุก ๆ คนทั้งพ่อแม่และพี่ ๆ รักผมมากที่สุด และผมจะไม่ยอมทำให้ทุกคนผิดหวังและเสียใจ อ้อ ...รวมถึงตัวของผมเองต้องเสียใจด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น ฌองก็ช่างแสนดี แม้จะสารภาพรักกับผมแล้วแต่ฌองก็ไม่ได้ทำอะไรให้มันประเจิดประเจ้อ คิดแล้วก็นึกถึงอีกัสกับเฮียเกี๊ยวผัวของมันไม่ได้ นั่นก็เยอะเกิน เดี๋ยว ๆ ก็จุ๊บกัน เดี๋ยว ๆ ก็หอมแก้มกัน นี่มันเมืองไทยย่ะ ไม่ได้อยู่ปารีส มึงหวานกันออกสื่อ คนโสดก็ตาร้อนเท่านั้น ไอ้บ้านผมมันก็คนไทยแบบหัวโบราณเสียด้วย ถึงพ่อจะจบนอกและสมัยเด็ก ๆ แม่จะเรียนจบคอนแวนต์ก็เถอะ
เช้าในทุก ๆ วันผมมักจะพาฌองซ้อนอีแก่เพื่อเที่ยวในตลาด หรือสถานที่อื่น ๆ ให้ฌองได้เปิดหูเปิดตาบ้าง แต่ที่สำคัญก็คือ เป็นการหลบหูตาของบรรดาข้าหลวงนางใน ที่ชอบเอาเรื่องของผมไปเพ็ดทูลกับพ่อแม่และพี่ ๆ น่ะสิ
ตอนเช้าหลังจากซื้อของในตลาด ตอนสาย ๆ หรือบ่าย ๆ ที่ไม่มีงานการอะไร ผมจึงมักจะพาฌองไปกินอาหารพื้น ๆ แบบที่เรา ๆ กินกัน ไม่ว่าจะข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะบะหมี่เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ และผัดไทย และอีกสองวันเท่านั้นฌองก็จะกลับแล้ว เวลาช่างผ่านไปว่องไวนัก
"อันนี้เรียกข้าวขาหมู กินกับผักดอง ไข่ต้ม ถ้าจะเพิ่มไส้ขึ้นมาก็ดี แต่ต้องดูเจ้าที่เขาทำเก่ง ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะเหม็น ส่วนอันนี้เรียกคากิคือขาหมูน่ะ ผมสั่งต่างหากอีกสองอันเอามาแทะเล่นกัน เวลากินก็กินกับพริกสดและกระเทียม ตัดเลี่ยนด้วยพริกน้ำส้มนี่" ผมค่อย ๆ อธิบายเพราะมันต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย แต่ฌองน่าจะเข้าใจแค่ครึ่งเดียว เขาคงอาศัยดูการสาธิตของผมที่ตักพริกน้ำส้มสีเหลืองราดไปบนขาหมูแสนฉ่ำ วางกระเทียมไทยเม็ดเล็ก ๆ กับพริกขี้หนูสด ๆ ตักโดยมีข้าวอยู่ด้วยเข้าปาก เคี้ยวง่ำ ๆ แล้วจึงตักผักดองตามเข้าไป
"อ๊าโหร่ยม๊ากกก" ฌองเอ่ยปากชื่นชมเหมือนเคย ดูเหมือนตั้งแต่มาเมืองไทยจะไม่มีอะไรที่ฌองว่าไม่อร่อยเลยสักอย่าง แต่เอาเถอะ คนกินง่ายอยู่ง่ายน่ะ ดีแล้ว ฉวยไอ้โน่นไม่กิน ไอ้นี่ไม่กิน ผมคงรำคาญตายไปเลย
"คุณรู้จักขาหมูเยอรมันไหม ขาหมูทอดทอดกินกับเซาเออร์เคราท์?" ฌองถามและอธิบายไอ้เจ้าเซาเออร์เคราท์ว่ามันก็คล้าย ๆ กับกะหล่ำปลีดองนี่แหละ ดูเอาเถอะ เหมือนกับข้าวขาหมูที่เรากินอยู่นี่ไง กินมัน ๆ เลี่ยน ๆ ก็ต้องมีอาหารเปรี้ยว ๆ อย่างผักดองกับพริกน้ำส้มคอยตัดรสสินะ
"ผมเคยกินแต่หมูกรอบ หมูกรอบในข้าวหมูแดงนั่นไง แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ทำหมูกรอบแยกขายต่างหากเยอะนะ เอามาจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด คนไทยน่ะยังไงก็ชอบกินแซ่บ ๆ" ผมตอบและฌองก็อมยิ้ม อย่าได้ไหมไอ้การมองหน้าผมแบบนั้น น้องหมึกเขินจะแย่ค่ะ
"พวกคุณทำอาหารอร่อย ๆ ให้ผมกินหลายมื้อแล้ว ผมขอลองทำอาหารให้พวกคุณกินบ้างได้ไหม ผมอยากลองให้ทุกคนได้ลองกินอาหารฝีมือของผมบ้าง" ฌองกระซิบกระซาบและผมก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ตอนนี้เราต้องจัดการข้าวขาหมูพิเศษนี้ให้หมด ไหนจะคากินแสนอร่อยอีกเล่า กินไปก็ต้องคอยบ้วนกระดูกตีนของมันไปแต่ให้ตายมันอร่อยชะมัด
ดังนั้นเราจึงแวะตลาดกันอีกรอบ กว่าจะได้ขาหมูมาก็ต้องหาซื้อถึงสองร้าน ฌองเลือกขาหมูส่วนขาหน้า และเขาก็ซื้อผักกะหล่ำกับพวกเครื่องเทศอีกนิดหน่อย ผมให้นึกดีใจเพราะระยองก็มีที่เที่ยวคือทะเล จะไปที่แปลก ๆ บ้างก็มีแค่วัด ผมจนแต้มไม่รู้จะพาฌองไปเที่ยวไหนแล้ว
จะอยู่แต่ที่รีสอร์ตก็กลัวเขาจะเบื่อ ให้หมอได้ทำโน่นทำนี่แก้เบื่อเห็นทีจะเข้าที และฌองก็ซื้อขาหมูตั้งแปดอัน นี่คงเลี้ยงได้ทั้งหมู่บ้าน แต่เอาเถอะ ในเมื่อเขาอยากทำผมก็ไม่ขัดอะไรทั้งนั้น แต่เมื่อกลับถึงรีสอร์ต ผมก็คุยกับแม่ครัวแจ้งความประสงค์ว่าฌองจะทำอาหารเลี้ยงพวกเราบ้าง ซึ่งแม่ครัวก็ดีอกดีใจอยากกินของแปลก ๆ ใหม่ ๆ บ้าง
"ก็ขาหมูทอดนั่นแหละ ยังไงเดี๋ยวทำน้ำจิ้มซีฟู้ดเผื่อไว้ก็แล้วกัน แก้เลี่ยนน่ะ" ผมกระซิบกระซาบบอกแม่ครัวซึ่งแกก็ยิ้มอย่างยินดี
"ช่วยเป็นผู้ช่วยผมได้ไหมครับคุณจะเป็นผู้ช่วยที่เยี่ยมยอดที่สุด?" ฌองหันมาถามผม และแน่นอนผมก็เต็มใจอยู่แล้ว ลองปากหวานแบบนี้น้องหมึกจะใจดำได้อย่างไร
อันดับแรกก็ต้องต้มขาหมูให้สุกเสียก่อน หม้อแขกใบใหญ่ถูกตั้งไฟ ฌองประเดใส่ไอ้ของที่เขาซื้อมาซึ่งผมก็พอจะเคยเห็นมาบ้าง หอมใหญ่ ใบกระวาน กานพลู พริกไทยดำ เกลือ เห็นฌองบ่นเสียดายว่าไม่มีเมล็ดคาราเวย์ และจูนิเปอร์เบอรี่ อย่ากระนั้นเลย แม่ครัวใจดี เลยโยนรากผักชีกับกระเทียมใส่ลงในหม้อด้วย ดังนั้นขาหมูเยอรมันของฌองก็อาจจะไม่เยอรมันแท้ ๆ เสียแล้ว
พอขาหมูสุกดีก็ยกมาผึ่งลมทิ้งไว้จากนั้นฌองกับผมก็ช่วยกันโรยเกลือ แล้วใช้มีดบั้งขาหมูเป็นหลาย ๆ รอย แล้วจึงทาเกลืออีกหนึ่งรอบฌองบอกว่ามันจะช่วยเพิ่มความกรอบให้กับหนังของขาหมู
ตามสูตรฌองว่าต้องเอาไปอบกับเบียร์ แต่ทางเราแจ้งว่าเอาไปทอดแล้วกินแกล้มเบียดีกว่า จะได้ไม่เสียของ ฌองก็เลยต้องยักไหล่ใส่หนึ่งที พร้อมกับทำปากสระอิ ไอ้ท่าทางแบบนี้สงสัยติดจากผมแน่ ๆ
การทอดนั้น ฌองไม่ได้เอาขาหมูจุ่มลงไปทอดทั้งอัน แต่เขาใช้ทัพพีตักมันไว้แล้วจึงใช้ทัพพีอีกอันค่อย ๆ ตักน้ำมันร้อน ๆ แล้วราดรดลงมาบนเจ้าขาหมูแสนฉ่ำ จนหนังของมันกรอบพองสีสวยน่ากิน ผมดูฌองทำอยู่อันหนึ่งสุดท้ายผมกับแม่ครัวก็เลยมาช่วยกันเพราะจะได้ประหยัดเวลา ส่วนฌองนั้นไปทำไอ้เซาเออร์เคราท์เพราะพวกเราน่าจะไม่มีใครทำเป็น
ฌองใช้มีดซอยกะหล่ำปลีเป็นเส้น ๆ เตรียมชามใบโตใส่เจ้ากะหล่ำปลีที่ซอยเอาไว้แล้ว จากนั้นก็ใส่เกลือ กับน้ำตาลลงไป แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน นวดจนมีน้ำจากกะหล่ำปลีซึมออกมาตามสูตรฌองว่าต้องดองไว้สักสองสามวัน แต่ในเมื่อเราจะกินวันนี้ มันจะไปยากอะไร ก็ผสมน้ำส้มสายชูเกลือกับน้ำตาลเพิ่มเข้าไปเคล้าให้เข้ากัน แล้วเอาไปแช่เย็นสักหน่อย รอจนทอดขาหมูเสร็จก็ค่อยเอาไอ้กะหล่ำปลีดองออกมากินเรื่องง่าย ๆ
แต่เรื่องง่ายสำหรับการกินของเรานั้นไม่มีจริง มีของมัน ๆ เลี่ยน ๆ แม่ครัวคนดีของผมก็เลยจัดการปรุงต้มโคล้งปลาแห้งให้อีกหนึ่งหม้อ เมื่อถึงเวลากิน พวกเราทั้งรีสอร์ตก็มากินอาหารด้วยกันล้อมวงกันกิน เคยเห็นในยูทูบ ก็ต้องกินกับเบียร์ ซึ่งแน่ละ อีตาฌองแอบยัดเงินให้ลูกน้องคนหนึ่งของผมไปซื้อเบียร์มาเสียหนึ่งลัง
"อาหารเยอรมันขาดเบียร์ไม่ได้หรอก" ฌองบอกหลังจากซัดเบียร์ไปแล้วสองแก้ว ส่วนผมหนึ่งแก้วยังเหลืออยู่อีครึ่ง แต่คนอื่น ๆ น่ะรึ น่าจะเติมไปพอ ๆ กับฌองแล้วแม้แต่แม่ครัวคนเก่ง
"ผมว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดคือของมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งของวงการอาหาร ต่อให้อาหารจืดชืดแค่ไหน ขอให้ได้มีน้ำจิ้มจากพระเจ้าอันนี้ อาหารธรรมดา ๆ ก็จะกลายเป็นอาหารสวรรค์" ฌองคงชักจะดี ๆ ขึ้นมาแล้วเพราะปกติที่ชอบซักชอบถามตอนนี้พูดเจื้อยแจ้ว แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือพ่อลุกมารำป้อร้องเพลงกับพวกคนงาน
"วานเพนเดืองสิซ๊อง น้าก้อนอเททาหลิ่น...."
ผมเห็นแล้วแสนปวดหัว แต่บรรดาคนงานหัวเราะหัวใคร่และพาฌองรำเฉิบ ๆ
"มาเต้นรำกับผมสิ มานะ" ฌองเมาแล้วเริ่มเรื้อน ดึงมือของผมออกมาจากที่นั่ง แล้วพวกเราก็รำแบบควักกะปิกัน
ในเมื่อเมากันแล้ว จากเพลงรำวงที่ร้องโดยขี้เมา ใครสักคนหัวไวต่อโทรศัพท์กับลำโพงบลูทูธ เปิดเพลงลูกทุ่งและเพลงหมอลำ คราวนี้ก็เซิ้งกันลืมตัวลืมตาย แน่นอนรวมถึงอีตาฝรั่งหัวใจไทยที่ทำท่ากระเด้งเอวเป็นจังหวะ ผมละอยากจะเป็นลม อยากจะถ่ายคลิปเอาไปอวดอีกัสกับอีน้านัก แต่อีตาฌองก็ไม่ค่อยจะยอมปล่อยผมเลย ลากผมออกไปเต้นบ้า ๆ บอ ๆ อยู่เป็นนานสองนาน
"ฌอง พอก่อน ผมเหนื่อย ขอพักเดี๋ยว" ผมต่อรองและเดินออกมารับลมด้านนอก ฌองเดินตามออกมาด้วย และจับมือของผม พาผมเดินออกมาเงียบ ๆ ผมก็แสนว่าง่าย เดินตามเขาไปอย่างไร้จุดหมาย รู้สึกตัวอีกที ขาของผมก็เปียกเสียแล้ว ฌองพาผมเดินมาจนถึงชายหาด คลื่นซัดน้อย ๆ เพราะลมพัดเพียงเบา ๆ ดูท่าเมื่อกี้ฌองจะเมาดิบ คือเมาแค่สองแต่ออกอาการเสียแปด
"คืนนี้ผมมีความสุขมาก ๆ แล้วคุณล่ะมีความสุขไหม?" ฌองถามแต่สายตาของเขาไม่ได้หันมามองหน้าผม แต่กลับมองออกไปยังผืนทะเลกว้าง
"ก็ดี" ผมตอบและความเงียบงันเข้ามาครอบครองสองเรา ผมเดินตามฌองไปเรื่อย ๆ คืนนี้สินะ จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ด้วยกันแล้ว พรุ่งนี้ผมเตรียมรถให้ฌองเดินทางกลับกรุงเทพฯ และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
"ผมตกหลุมรักคุณ" ฌองพูดพร้อมกับเหม่อลอย แต่ผมรู้ว่าคำพูดสารภาพรักนี้เขาพูดกับผม ก็เราอยู่กันแค่สองคนนี่นะ
"ผมน่าสนใจตรงไหน ผมไม่เห็นมีอะไรดีเลย ขี้เหร่ แล้วก็........" ผมไม่ทันได้ต่อว่าตัวเองอะไรอีก เพราะฌองกลับหันมามองหน้าผม แม้แสงจากพระจันทร์จะไม่สว่างมากเพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนดับ แต่แสงดาวริบหรี่ กลับทำให้ผมเห็นดวงตาของเขาแสนชัดเจน ดวงตาที่เขาเอาแต่จ้องใบหน้าของผม
"หมึก คุณรู้ไหมคุณเป็นคนสวย สวยมาก ๆ ผมประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้พบเจอคุณ ผิวของคุณสวยเนียนเหมือนน้ำผึ้ง ดวงตาของคุณหวาน และดูซุกซน ริมฝีปากของคุณมีรอยยิ้มที่หวานที่สุดในโลก แต่ที่เหนืออื่นใด หัวใจของคุณ มันดีงาม คุณเป็นคนจิตใจดี ใจดี อ่อนหวาน และน่ารักมากที่สุดในโลก ผมไม่เคยเจอคนอย่างคุณมาก่อนเลยในชีวิต" ฌองพร่ำพูด ผมพยายามจับความแปลได้ประมาณนี้ แต่แม่เอ๊ยมันหวานจนผมสงสัยว่าที่พ่อรูปหล่อพูดถึงนี่มันกูหรือเปล่า หรือพูดถึงนางเอกสักคนในนิยาย
"คุณไม่เชื่อผมหรือ คุณเป็นคนสวยและน่ารัก จริง ๆ นะผมพูดจริง ๆ" ฌองยืนยันจนผมชักเขินเสียแล้ว ตั้งแต่เด็กถูกเรียกแต่อีดำตับเป็ดบ้างล่ะ อีหมึกปากหมาบ้างล่ะ เอาตรงไหนมาสวยมาอ่อนหวาน ฌองเอ๊ย
"สวยก็สวย" ผมพูดเหมือนจะพยายามให้เรื่องที่ฌองพูดเป็นเรื่องตลก ผมทำแก้เขินแต่ฌองกลับมองหน้าของผมอย่างจริงจัง และยื่นมือของผมมาจับ มือของฌองเย็นเฉียบแถมมีเหงื่อซึมเสียด้วย นี่พ่อคงตื่นเต้น แน่ล่ะผมก็มีอาการเดียวกันเพราะตื่นเต้นที่โดนคนรูปหล่อสารภาพรักจะหนีไปไหนเสียก็ไม่ได้
"ผมขอจูบคุณได้ไหม ถ้าคุณจะอนุญาต" ฌองถามและอมยิ้มในดวงตาของเขาทอแววเศร้า ผมหลับตาพริ้มพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงรสจูบแสนวาบหวามจูบแรกในชีวิตของผม จูบที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้รับจากใคร ฌองจูบผมอย่างบรรจง ลิ้นของเขากวาดไปทั่วตั้งแต่ริมฝีปากของผมจนถึงไรฟันและโพรงปาก
มันแสนดีแต่..... มันมีกลิ่นอวลอลของขาหมูทอด กลิ่นน้ำจิ้มซีฟู้ด กลิ่นเบียร์ กลิ่นต้มโคล้ง ก็เราเพิ่งจัดอาหารแสนอร่อยพวกนั้นมา แต่ถ้านับโดยรวมมันเป็นจูบที่แสนจะหอมหวานเสียเหลือเกิน และผมจะไม่มีทางลืมรอยจูบแรกในชีวิตอย่างนี้ได้แน่ ๆ
ไม่รู้ว่าเราจูบกันนานเท่าไร แต่มันนานจนผมรู้สึกว่าริมฝีปากของผมกำลังจะเปื่อย และร่างของผมถูกฌองทั้งกอดทั้งรัด เนื้อไหน่ของเราแนบชิดกันจนจิตใจของผมเตลิดไปถึงไหนต่อไหน แต่อะไรที่อยู่ก้นบึงในใจมันตะโกนด่าผมบอกให้ผมหยุด
"ฌอง...พอก่อน พอได้แล้ว คุณต้องรีบกลับเข้าไปนอนพัก เพราะพรุ่งนี้เช้าคุณต้องกลับเข้ากรุงเทพฯ คุณคงจะไม่ลืมว่าพรุ่งนี้คุณต้องบินกลับเยอรมันแล้วนะ" ผมเตือนสติเขา ฌองเอาแต่จ้องหน้าผม นัยน์ตาของเขามันตัดพ้อ แต่ปากของเขาไม่ได้กล่าวทัดทานสิ่งใด
"งั้นเรากลับห้องพักของคุณกันเถอะ เดี๋ยวผมจะช่วยคุณจัดกระเป๋าดีไหม?" ผมถามและฌองก็เอาแต่นิ่งเงียบ จนผมจับมือของเขาจูงจนเขาเดินตามผมมาต้อย ๆ สภาพผิดกับตอนขามา พวกคนงานและแม่บ้านยังร้องรำทำเพลงกันอยู่ ไม่มีใครสนใจผมกับฌองเลยเพราะได้เลยเถิดกันไปเสียแล้ว
เมื่อถึงห้องพักของฌอง ผมยังเห็นข้าวของ ของเขาที่ยังจัดไม่เสร็จดี
"มาเอากระเป๋าของคุณมา ส่วนคุณไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย" ผมไล่ฌองพร้อมกับโยนผ้าขนหนูให้เขา ฌองเข้าไปอาบน้ำ ส่วนผมก็ค่อย ๆ พับเสื้อผ้าของเขาที่มีอยู่ไม่กี่ตัว เขาใส่วน ๆ ซ้ำ ๆ มันเป็นพวกเสื้อผ้าราคาถูก ๆ ที่มาซื้อที่เมืองไทย กางเกงช้างตั้งสี่ตัว ซึ่งมันดีตรงที่ผ้าบางแห้งไว และเมื่อพับก็เหลือเพียงตัวนิดเดียว ข้าวของของฌองพวกเสื้อผ้ามีจำนวนหนึ่งที่เหลือเป็นพวกกล้อง และโน๊ตบุ๊ค รวมถึงสมุดและเอกสารต่าง ๆ
จนเมื่อฌองอาบน้ำเสร็จ และเขาสวมเสื้อผ้า เสื้อกล้ามลายเรดบูลกับกางเกงมวยไทยสีน้ำเงิน ฌองนั่งมองผมจัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้เขา และเมื่อผมปิดฝากระเป๋าเดินทาง และตั้งท่าจะลุกจากไป ฌองก็รีบลุกมาฉุดมือของผมไว้
"ผมรู้ว่าเรารู้จักกันน้อยเกินไป แต่ผมสัญญาว่าผมจะคิดถึงแต่คุณในทุก ๆ วัน จะเป็นไปได้ไหมถ้าเราจะคุยกันให้บ่อยที่สุด" ฌองถามและผมก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
ผมไม่พูดพล่ามอะไรกับเขามาก อยากให้เขาได้พัก เสียงคนงานดังจนผมชักเป็นห่วง
"คุณนอนพักนะครับ คนดี" ผมบอกเขา ยื่นหน้าไปหอมแก้มฌองเบา ๆ สองที จนเขายิ้มบาง ๆ ให้ผม และเมื่อปิดประตูห้องของฌองลง ผมก็รีบเดินไปที่วงเหล้า ยืนเท้าเอวทำหน้าดุ
"พอ ๆ ไปพักกันได้แล้ว พรุ่งนี้ทำงานนะ" ผมดุและพวกคนงานก็ค่อย ๆ สลายตัวกัน คนเดินไหวก็พยุงคนเดินไม่ไหว ข้าวของก็กองมันตรงนี้ไปก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาเก็บกวาด พวกกับข้าวกับแกล้มน่ะหมดไปนานแล้ว เหลือเพียงขวดเบียร์กลิ้งโค่โล่ กับแก้วว่างเปล่า ผมรีบกลับห้องพักของตัวเอง อาบน้ำอาบท่าใส่ชุดนอน จากตรงห้องพักของผม ซึ่งปลีกตัวเป็นเอกเทศ และคืนนี้คงมีเรื่องให้ผมคิดอีกมากทีเดียว
ก่อนจะล้มตัวนอน ผมจัดการตั้งนาฬิกาปลุก และเช็กว่าพรุ่งนี้รถที่จองไว้ ได้รับการคอนเฟิร์มดีแล้ว
ผมคิดว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ แต่มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็คือตอนที่เสียงนาฬิกาปลุกมันดัง ผมโทรศัพท์ไปสอบถามรถซึ่งจะมารับฌองกลับกรุงเทพฯ และคนขับก็แจ้งว่ากำลังเดินทางมา จนผมเมื่อผมเดินไปหาฌองถึงห้องพักแต่ปรากฏว่าฌองไม่อยู่ที่ห้อง เอ๊า เขาเตรียมตัวอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมเรียบร้อยแล้ว
"พี่ฌองกำลังเช็กเอ้าท์แล้วค่ะ" พนักงานต้อนรับรายงานและฌองก็ยืนมองผมพร้อมกับอมยิ้ม
"แหมแต่งตัวเสียหล่อ" ผมทัก และฌองก็หมุนตัวไปรอบ ๆ เพื่ออวดชุดตัวเก่ง กางเกงช้างกับเสื้อผ้าฝ้ายที่ฌองซื้อมาจากเชียงใหม่ หมวกขอทานที่ปักรูปช้างทำหน้าทะเล้น กระเป๋าเป้ใบโตกับกระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งใบ
"ไม่มีลืมอะไรใช่ไหม?" ผมถามเขา และไล่ให้ลูกน้องไปสำรวจห้องพักของฌองว่าไม่มีสิ่งใดตกค้าง
"ผมไม่ได้ลืมอะไรไปแน่ ๆ แต่ผมขอฝากหัวใจของผมไว้ที่คุณ และเมื่อผมจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมจะมารับมันคืน และหวังว่าหัวใจของเราจะอยู่เคียงข้างกัน" ฌองพูดกระซิบ แต่ให้ตาย ผมเขินจนหูแดงไปหมดแล้ว
เสียงแตรรถบีบดังสองทีอันนี้เป็นเสียงของรถที่จะต้องมารับฌองแน่ ๆ ผมช่วยฌองถือกระเป๋าเดินทางเพื่อมาส่งเขาที่รถ แม่ครัวและบรรดาคนงานทุกคนวิ่งกันหน้าตั้ง เพื่อมาส่งฌอง เขาเป็นที่รักของทุก ๆ คน ฌองใจดีมีน้ำใจและชอบขอให้เขาช่วยอะไรสักอย่าง เรียกว่าเป็นคนน่าเอ็นดู แม้ว่าแรก ๆ จะซักถามมากไปนิดจนคนถูกถามรำคาญก็เถอะ
ทุกคนไล่กอดฌองพร้อมกับอวยพรให้เขาทีละคน ๆ จนถึงคนสุดท้าย คือผม ฌองกอดผมจนแน่น จมูกและเคราบาง ๆ ของเขาจิ้มที่ซอกคอของผมจนผมขนลุกไปหมด ผมรู้สึกได้ว่าเขาสูดหายใจแรง ๆ ราวกับจะพยายามดอมดมกลิ่นตัวของผม
"ผมจะคิดถึงคุณฌอง" ผมกระซิบบอกเขา
"ขอบคุณครับ ผมก็จะคิดถึงคุณทุกลมหายใจเหมือนกัน" ฌองกระซิบบอกและเมื่อเขาขึ้นไปบนรถ ผมก็ได้แต่มองเขาที่หันมาโบกมืออำลาจนรถขับหายลับไป