มีอันเป็นไป มันแซ่บ มันเป็ มันตัวโฮ่ง ที่เขาว่ามีลูกมันกวนตัวมีผัวมันกวนใจ แต่ความสวยมันเป็นอุปสรรคน่ะคุณน้า แต่บางคนก็ชอบ Sugar Daddy อันนี้มันก็เป็นไปได้ แบบบูรณาการ เราก็ไม่ว่ากัน
ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ตลก,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
อยากจะอยู่กับผู้คนบนดิน อยากจะยลยิน คนเต้นรำอย่างไรหนอ เดินเคลียคลอบนสอง...เรียกอะไรนะ...(ตีนไงล่ะ)
สะบัดครีบคงไม่ไกลเกินวา ควรจะมีขาไว้โดดอย่างคนเขาเดินตัวเบาบนพื้น...คำว่าอะไรนะ...(ถนนนนนนนนน)
(พร้อม) ที่คนเดินเหินวิ่งเพลินกันไปสุขใจในแสงตะวันจากเบื้องบน เที่ยวเพลินเดินเล่น ขอเป็นคนอยู่บนโลกงามมมมม
แต่โลกกำลังจะไม่งามแล้วเพราะนางยักษ์กำลังเดินมาตามอีสองพี่น้องตัวแสบที่หนีมาเที่ยวเล่นน้ำทะเลอีกแล้ว
"มึงสองตัวขึ้นมาเดี๋ยวนี้เล้ยยยย" เสียงยายป้าบ่นซึ่งไม่ใช่ยายป้าแค่คำเรียกแต่เป็นป้าแท้ ๆ ของอีสองตัวชื่อป้าปู ป้าปูคนนี้เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของแม่แต่ว่าคนละพ่อกัน เพราะยายไม่ได้มีผัวคนเดียว และป้าปูเองก็ไม่ได้มีผัวคนเดียวเหมือนกัน ผัวคนสุดท้องอ่อนกว่าแกครึ่งต่อครึ่งคือป้าปูแกสี่สิบกว่าและผัวเด็กที่ว่าก็เพิ่งจะยี่สิบนิด ๆ เพิ่งจะเกณฑ์ทหารเลยเชียวแหละ
มันก็ไม่เชิงว่าจะเลิกกันหรอก เหตุเพราะผัวของแกติดทหาร แม่ซึ่งกลัวว่าพี่สาวจะเปลี่ยวเหงา จึงส่งหลานสองตัวมาให้ปวดประสาทเล่นซึ่งไอ้เด็กเปรตสองตัวนี่ก็ทำให้ป้าปูหายคิดถึงผัวไปได้มากจริง ๆ แต่แลกมาด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า เพราะความซนวายร้ายของอีหลานสองตัว
บ้านของป้าปูซึ่งจริง ๆ ก็ตกทอดมาจากยาย มีพี่ชายคนโตชื่อลุงกุ้ง เรียกว่า มากันกุ้งหอยปูปลา ขาดแต่หอยสินะ โชคดีแล้วล่ะจบแค่ตรงกุ้งปูปลาเถอะ แต่ว่าเสียให้ไม่ครบองค์ ลุงกุ้งก็ยังคงทำสวนอยู่ที่ติด ๆ กันนี่ล่ะ แกเป็นพ่อหม้ายเมียตายลูกเต้าก็ไม่มีเหลือแกทำสวนเงาะ สวนมังคุดอยู่ลำพังคนเดียว และแกก็ไม่ได้คิดมีวี่แววว่าจะอยากได้เมียใหม่ซะด้วยแกว่าแกชอบอยู่คนเดียวมากกว่า ลุงกุ้งแกออกจะมะ ๆ โม ๆ สักหน่อย อยากจะไปบวชแต่ก็ยังไม่พร้อม ถือศีลห้าถือศีลแปดในวันพระไปก่อนก็แล้วกัน แกว่าของแกอย่างนั้น
ผิดกับป้าปูที่พอผัวคนที่สามจากไปอยู่ค่ายทหาร แกก็ร่ำ ๆ ว่าอยากจะได้ผัวใหม่อีกแล้ว
"อยู่คนเดียวมันเก๊าะเปล่าเปลี่ยวฮั๊วะใจ คนเคยกินเคยได้ฮิ" แกว่าไปหัวเราะไป พูดสองแง่สองง่ามแต่อีหลานตัวแสบสองตัวหัวเราะร่วนเป็นไข่เค็ม แก่แดดแก่ลมน่าตีนัก
ป้าปูก็อยู่ช่วยพี่ชายทำสวนเงาะสวนมังคุดอยู่ที่จันทบุรีนี่แหละ และที่ดีงามที่สุดก็คือ ที่ของป้าติดกับทะเลเสียด้วย แม้ว่าหาดจะไม่ได้มีทรายขาวละเอียดราวกับแป้ง เป็นทรายหยาบ ๆ เม็ดโต ๆ สีตุ่น ๆ แต่ถึงกระนั้นทะเลก็น้ำใสนัก ซึ่งเด็กเมืองกรุงอย่าง คิดกับหวัง ย่อมตื่นเต้นยินดีที่จะได้มาเจอผืนน้ำทะเลกว้าง ๆ สวนร่มรื่นมีต้นไม้ให้ป่ายปีน ไหนจะผลหมากรากไม้อีกมากมายให้กินเล่นถ้ามันสุก และจะว่าไปลุงกุ้งกับป้าปูก็ค่อนข้างตามอกตามใจหลานทั้งสองตัวด้วยว่าทายาทของทั้งคู่ก็คืออีทโมนที่กำลังทำตาแป๋วอยู่ตรงชายหาดนี้
"แหมป้าจ๋า กำลังสนุกเลย พวกหนูจะเป็นแอเรียล" หวังมันพูดด้วยสีหน้าเซ็งนิดหน่อย และป้าปูก็จูงมือหลานสองคนให้กลับเข้าบ้านไปอาบน้ำล้างตัว
"เล่นก็ไม่ว่าแต่ต้องบอกป้าหรือลุงก่อนโว้ย แล้วเล่นอะไรมันตอนนี้ เล่นตอนแดดร่มลมตกโน่น เดี๋ยวก็เป็นหวัดแดดพอดี" แกบ่นไปก็เดินไป
"เดี๋ยวอาบน้ำกินข้าวแล้วก็นอนพักซักตื่น" ป้าปูว่าสองพี่น้องก็ทำหน้าเซ็ง ในความคิดของเด็กต่างก็เห็นว่าตัวเองน่ะโตแล้ว จะให้มานอนกลางวันอะไรกันอีกเล่า
"ไม่นอนไม่ได้หรอป้า พวกหนูเล่นกันอยู่ในสวนตรงที่ร่ม ๆ ก็ได้" คิดต่อรอง
"ก็แล้วแต่พวกมึง แต่ถ้านอนกลางวัน คืนนี้ลุงกับป้าจะได้พาพวกมึงไปตกหมึกตกปลาในทะเลฮิ" ป้าปูพูดแค่นี้ ก็เป็นอันว่าสองคนพี่น้องก็สมัครใจอาบน้ำ กินข้าวแล้วก็นอนกลางวันกัน โดยมีป้าปูคอยนอนกั้นกลางเหมือนกุมภกรรณทดน้ำ เพราะถ้าสองพี่น้องมันอยู่ใกล้ ๆ กัน ก็มักจะเหลว พากันคุยกัน พาทะเลาะพากันเล่นจนไม่ได้นอนแน่ ๆ
"อยากเป็นเงือกเรอะ" ป้าปูถามและนึกขำ กับกิริยาของอีหลานสองตัวที่ไปงอก่องอขิงร้องเพลงและออกลีลาที่ชายหาด คุยโทรศัพท์กับน้องสาวเรื่องความซนของหลานแล้ว พอมาเจอเองก็เลยทำให้ไม่แปลกใจเท่าไรด้วยว่าทำใจมาแล้วประมาณหนึ่ง และไอ้หลานสองคนมันก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่ต้องเช็ดชี้เช็ดเยี่ยวให้ เรียกว่าโตพอใช้งานเบา ๆ ต่างมือต่างตีนให้หยิบโน่นหยิบนี่ได้เสียด้วย
"รู้หรือเปล่าว่าเรื่องนางเงือกน้อยจริง ๆ น่ะมันเป็นยังไง?" ป้าปูถามอย่างนี้แสดงว่ากำลังจะเล่านิทานให้ฟังแน่ ๆ
"เรื่องน่ะมันเกิดจากพี่น้องเหล่านางเงือกซึ่งเป็นธิดาของเจ้าสมุทร และเมื่อไรที่อายุครบสิบห้าปีก็จะสามารถขึ้นมาบนผิวน้ำได้ซึ่งนางเอกก็คอยฟังเรื่องราวบนผิวน้ำจากพี่ ๆ มาตลอดและเฝ้ารอว่าเมื่อไรจะถึงคิวของตัวเอง"
"อายุสิบห้าก็มาเป็นสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับ ๆ แวม ๆ น่ะหรอป้า" หวังมันร้องเพลงถามและต้องรีบหุบปากเพราะป้าปูทำท่าจะไม่เล่าต่อ เกือบเสียเรื่องแล้วไหมล่ะ
นางเงือกน้อยก็ชอบที่จะใช้เวลาใต้ผิวน้ำไปกับเรือที่จมพร้อมทั้งเก็บสะสมของต่าง ๆ ไปด้วยโดยพร้อมกันนั้นเธอก็จะร้องเพลงโดยมีฝูงปลานับร้อยคอยห้อมล้อมเป็นเพื่อน เพราะเงือกน้อยนั้นได้ชื่อว่ามีเสียงที่ไพเราะที่สุดในท้องทะเลแห่งนี้
จนเมื่อวันที่รอคอยมาถึง เมื่อเงือกน้อยอายุครบสิบห้าปีเธอก็รีบว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ เห็นเรือลำใหญ่ซึ่งมีเพลงบรรเลงแสนไพเราะ กะลาสีกำลังเต้นรำอย่างสนุกสนาน และเธอเห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งซึ่งทุกคนในเรือต่างก็ให้ความยำเกรง
"เจ้าชายใช่ไหมจ๊ะ?"
"ชัวร์อยู่แล้ว" ป้าปูตอบอย่างพออกพอใจแล้วก็เล่าต่อ
แน่นอนว่าพอเห็นเจ้าชายเงือกน้อยก็ตกหลุมรักทันที
"อีนี่มันใจง่ายเนอะ"
"ใช่ ๆ แร้ดแรด"
"ถ้าเจอแม่จะตบล้างน้ำ" สองพี่น้องจอมแก่แดดออกความเห็นยังผลให้คนเล่านิทานขำจนแทบกลิ้ง อีเด็กนี่มันแก่แดดอย่างร้ายกาจพอ ๆ กับแม่ของมันไม่มีผิด
เพลิดเพลินอยู่ได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็เกิดพายุโหมกระหน่ำ แม้เรือจะแข็งแรงและใหญ่โต แต่พายุก็ใหญ่จนเกินต้าน ในที่สุด เรือลำนั้นก็จมลง เงือกน้อยตกใจมากจึงรีบไปช่วยชีวิตเจ้าชายไว้และพาไปส่งที่ชายหาดโดยไวที่สุด แต่เมื่อตอนเช้า เจ้าชายยังไม่ฟื้นสติ และเงือกน้อยได้ยินว่ากำลังมีคนมาทางนี้ เธอจึงรีบหนีกลับลงไปในทะเลและมองดูผู้คนที่มาช่วยเขา
"โง่เนอะ/ใช่โง่มากอีควาย" สองพี่น้องออกความเห็นอีก
เมื่อกลับไปยังท้องทะเล เงือกน้อยก็เอาแต่เศร้าหมองเพราะตกหลุมรักเจ้าชาย เธอนึกถึงแม่มดแห่งท้องทะเลและเรื่องราวขอนางที่สามารถดลบันดาลอะไรก็ได้ ดังนั้นเธอจึงรีบไปหาแม่มดในทันที
"โง่ซ้ำโง่ซ้อน/อีนี่แรดแล้วโง่ด้วย"
เมื่อพบกับแม่มดและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง พร้อมกับแจ้งความประสงค์ว่าอยากจะมีขาเป็นมนุษย์ที่อยู่บนพื้นดิน
"ไม่มีปัญหาหรอกที่รัก แต่ทุกสิ่งย่อมมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอฉันขอขาคู่นี้แลกกับเสียงอันไพเราะของเธอ" ป้าปูดัดเสียงให้ดูเป็นตัวร้ายและสองเด็กก็หัวเราะกิ๊กและร้องกรี๊ด ๆ เพราะป้าคว้าขาของหลานคนละข้าง
"เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันนี่สาวน้อย เธอสวยสะคราญ และเมื่อเจ้าชายพบเธอ เขาก็จะตกหลุมรัก นั่นมันไม่ยากอยู่แล้ว" แม่มดว่าและเงือกน้อยก็คิดว่านั่นก็จริง
"อีดอกหลงตัวเอง/สวยมั่นหน้ามั่นโหนก อีหน้าเงือก"
"อ้อแต่มีข้อแม้นะ ถ้าเจ้าชายแต่งงานไปกับคนอื่นล่ะก็ วันรุ่งขึ้นเธอจะตายและกลายเป็นฟองคลื่นในทะเล" แม่มดกล่าวซึ่งแน่นอน เป็นคนสติดี ๆ ก็ย่อมไม่เอา เพราะเงือกหนุ่ม ๆ ในทะเลมีอีกพะเรอเกวียนแต่อีสาวนี่ไม่ชอบ มันชอบของแปลก
เรื่องในการ์ตูนมันจบด้วยความสุข แต่เรื่องเงือกน้อยของป้ากลับกลายเป็นว่าตอนท้ายเจ้าชายแต่งงานกับหญิงอื่น และเจ้าสมุทรก็มาพบลูกสาวเพื่อหยิบยื่นข้อแม้นสุดท้ายคือ กริชที่มอบใส่มือเงือกน้อย ถ้าเธอฆ่าเจ้าชาย คำสาปก็จะถูกทำลายล้างเธอจะได้กลับไปใช้ชีวิตสุขสันต์ที่ใต้มหาสมุทรเหมือนเดิม
"แล้วอีเงือกมันฆ่าเจ้าชายไหมป้าปู?"
"ไม่สิ มันรักของมัน สุดท้ายเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเงือกน้อยก็ขว้างกริชวิเศษลงทะเลแล้วเธอก็กระโดดลงทะเลอีกครั้ง ร่างของเธอค่อย ๆ สลายกลายเป็นฟองคลื่น จบแล้ว" ป้าปูว่าและขยับตัวอีทีนี้สองพี่น้องก็ฟังจนอ่อนใจและกำลังจะเคลิ้มหลับ ความรักแสนหวานโรแมนติกมันเกิดขึ้นเพราะโศกนาฏกรรม
และป้าปูก็ดูเหมือนจะเคยผ่านความรักอันเจ็บปวดเช่นนั้น แต่ป้าปูฉลาด เลือกที่จะมูฟออน และหันกลับมารักตัวเอง ผัวคนที่สองคือคำตอบและเมื่อยังไม่ดีอีก คำตอบที่สามก็เข้ามาให้ป้าปูได้เลือก แกคิดว่าคนเรามีลมหายใจก็ยังมีโอกาสอยู่เรื่อยไปนั่นแหละ
เย็นย่ำผ่านจนค่ำคืน จนฟ้ามืดมิด เรือลำน้อยที่มีสี่ชีวิตค่อย ๆ แล่นไปจนถึงกลางทะเล โป๊ะไฟถูกจุดสว่าง พร้อมกับสวิงใหญ่ เด็กแสบสองตัวต้องพยายามอย่างสุดแรงที่จะไม่ร้องกรี๊ดอย่างดีใจตื่นเต้นเมื่อเหยื่อตกมาอยู่ในสวิง มีปลาหมึกกล้วยเป็นพื้น และปลาเล็กปลาน้อยอีกมากมาย โชคดีนักหนาที่ยอมนอนกลางวันเพราะกว่าจะเอาเรือกลับเข้าฝั่งก็ดึกโข
ทันทีที่ตีนแตะพื้นแผ่นดิน สองเด็กก็ช่วยหิ้วถังซึ่งบรรจุสัตว์เคราะห์ร้ายจนเต็ม แล้วรีบเดินเข้าไปในบ้าน ตาจะปิดแล้ว และไม่ลืมที่จะล้างมือล้างตีนก่อนจะขึ้นไปนอน ทิ้งตัวลงนอนปั๊บก็หลับสนิทกันทันที
เช้าขึ้นมาไม่ต้องมีใครปลุก เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วและกลิ่นอาหารเช้าซึ่งเดาได้ว่ามันทำจากสัตว์ทะเลที่ถูกจับได้เมื่อวาน แม่กำชับนักหนาว่ามาอยู่กับป้าปูต้องขยัน มีอะไรช่วยแบ่งเบาก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเอาได้ว่ามือห่างตีนห่าง และพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอน
เมื่อใครตื่นอีกคนก็ต้องตื่นตาม และอาหารมื้อเช้าก็คือหมึกต้มน้ำตาลแสนอร่อย จะว่าคล้าย ๆ พะโล้ก็ไม่ใช่ ซึ่งจริง ๆ ป้าปูทำไว้กินตอนเที่ยงจะเคี่ยวไปเรื่อย ๆ และมื้อเช้าจริง ๆ ก็คือข้าวต้มสารพัดสัตว์ที่จับได้มะคืนต่างหาก ข้าวต้มร้อน ๆ เนื้อสัตว์ทะเลสดใหม่ ใส่ข่าหอมชื่นใจ กินกันคนละสองสามชามจนท้องกาง ป้าปูแกว่ากินเยอะ ๆ จะได้มีแรงช่วยกันทำงาน
จากนั้นจะไปเที่ยวเล่นในสวน หรืออะไรก็สุดแต่ใจ แต่ข้อแม้เดียวที่มีก็คือต้องอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ อยู่กับลุงกุ้งบ้าง อยู่กับป้าปูบ้าง วันคืนจึงผ่านไปอย่างแสนรวดเร็ว จนวันหนึ่งพ่อกับแม่ขับรถมารับลูกและตั้งใจจะค้างสักหนึ่งคืน
แม่ที่ห่างบ้านไปนาน ออกจะทำตัวฝืน ๆ อยู่ในช่วงแรก แต่สายใยความเป็นพี่น้อง ไม่นานก็ต่อกันติด และเย็นวันก่อนกลับ แม่ก็ถูกลูก ๆ ทั้งสองชวนไปเล่นน้ำทะเลด้วยกันเพื่อทิ้งทวน โดยพ่อก็ขอตามไปเล่นน้ำกับเขาด้วย มีห่วงยางเก่า ๆ หนึ่งอันทำให้เล่นกันได้ลึกกว่าเคย ไม่เคยสนุกอะไรอย่างนี้ ไม่เคยมีความสุขอะไรเท่านี้ หวังคิด และรู้สึกว่าถ้าโลกมันหยุดหมุนและพวกเราสี่คน ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวเหงา สงสารป้ากับลุง พวกเราหกคนอยู่กันตรงนี้ ไม่ต้องไปไหน คงจะดีไม่น้อย เพราะทุกคนมีแต่ความสุข แม่ไม่ด่าพ่อเลยและพ่อก็ดูจะยิ้มมากกว่าทุกที แถมยังแซวแม่โดยที่แม่ไม่ด่าซะด้วย
จนถึงมื้อเย็น มันเป็นเวลาแห่งความสมบูรณ์แบบเพราะครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าและลุงกุ้งก็มีทีเด็ดตอนท้ายคือทุเรียนที่แกปลูกและเก็บลูกมาบ่มไว้ มันสุกได้เวลาพอดิบพอดี
ป้าปูแสดงฝีมือชาวจันทบุรีแท้ ๆ ด้วยการแกะทุเรียนด้วยปลายช้อนสั้นเพียงคันเดียว ไม่ต้องใช้มีดปอกอะไรให้มันวุ่นวาย กลิ่นทุเรียนหอมฟุ้งและรสหวานละมุนลิ้น ทุเรียนพวงมณีลูกเล็ก ๆ เนื้อละเอียด ทุเรียนกระดุมลูกเล็ก ๆ กลม ๆ กลิ่นไม่แรงมาก และตบท้ายด้วยไอ้ก้านยาวที่เนื้อหนา หวานมัน เมล็ดลีบ กินกันจนแน่นท้อง และป้าปูก็รินน้ำใส่ฝาทุเรียนแล้วก็ยื่นให้เด็ก ๆ และตัวแกเองกิน เพราะจะได้ไม่อึดอัด นี่ขนาดไม่อึดอัดแล้วแต่คืนนั้นก็แสนน่ารำคาญใจเพราะพ่อแม่ลูกที่ต้องนอนในห้องเดียวกันซึ่งเป็นห้องเก่าของยาย ผลัดกันตดส่งกลิ่นขรม และว่ากันไม่ได้เสียด้วยเพราะตดกันทุกคน แต่ของแม่กลิ่นจะร้ายแรงสักหน่อยถึงกับขมคอทีเดียว
เช้าขึ้นมา เมื่อเด็ก ๆ ตื่นพ่อกับแม่ก็ไม่อยู่บนเตียงแล้วเพราะความเคยชินที่จะต้องตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้ามืด สองพี่น้องลุกออกไป ก็เห็นไปช่วยทำอะไรขมีขมันอยู่ในครัว ซึ่งเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันเด็ก ๆ อย่างหวังและคิดได้แต่ฟังและไม่รู้จะออกความคิดเห็นอะไร
"ว่าจะตัดเงาะทิ้งปลูกทุเรียนเพิ่ม" ลุงกุ้งออกความเห็นและสามพี่น้องก็เถียงกันว่าควรหรือไม่ควร แต่ในความคิดของเด็กทั้งสองคนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุเรียนในสวนมันอร่อยเสียเหลือเกินเกิดมาไม่เคยกินทุเรียนอะไรอร่อยอย่างนี้มาก่อน การเก็บแม้จะยากแสนยาก เพราะตอนลุงกุ้งไปเก็บทุเรียนก็ได้สองพี่น้องนี่แหละ ช่วยหิ้วเข่งลากมันออกมาจากในสวน
จนบ่ายคล้อย ผลไม้หน้าร้อนสารพัดถูกบรรจุใส่เข่งเป็นของฝาก เงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งแม่รับอย่างแสนเกรงใจ
"เอาไปเถอะให้เด็ก ๆ มันกิน แล้วปิดเทอมปีหน้ามาเที่ยวบ้านป้ากับลุงใหม่นะ" ป้าปูว่าและอีหลานจอมตอแหลก็รู้ซีนต้องรีบเข้าไปกอดและยอมให้ป้าหอมคนละฟอดอย่างอาลัย ส่วนลุงกุ้งแค่กอดพอ ลุงกุ้งไม่ยอมให้หอมแก้มเพราะแกว่าเขิน
รถของพ่อแล่นออกมาจากสวนแล้ว เด็กชายทั้งสองเอาแต่มองจนเห็นร่างของป้าและลุงเล็กลงจนลับตา นั่งรถนาน ๆ เข้าก็หลับพับกันไป ตื่นมาอีกทีก็ถึงเส้นบางนาตราดแล้ว และตอนเย็น ๆ ก็ถึงบ้านเราสักที ไม่เคยคิดถึงบ้านเท่านี้มาก่อน และห่างไปตั้งสองเดือนกว่า กลับมาอีกทีรู้สึกบ้านสะอาดขึ้นแน่ล่ะ ก็ไม่มีคนคอยทำรก แต่บ้านมันดูเหงา ๆ และทรุดโทรมลงนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นบ้านของเราก็แสนดี และหวังกับคิดก็คิดถึงบ้านหลังนี้ชะมัด ถึงบ้านสวนจะสนุกแต่ก็ไม่อุ่นใจเท่าบ้านเรา
เอาของสัมภาระค่อย ๆ ขนลง และการกลับมาใช้ชีวิตก็ดำเนินไปเหมือนเคย เช้าตื่นขึ้นมาไปโรงเรียน เลิกเรียนก็กลับบ้าน ผ่านไปเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนจนถึงปีใหม่และเข้าสู่ฤดูปิดเทอมอีกหน
จะได้ไปบ้านสวนเมืองจันท์อีกแล้ว พ่อกับแม่ขับรถไปส่ง และเมื่อเจอหน้าป้าปูกับลุงกุ้ง เจ้าเด็กทั้งสองก็วิ่งไปกอดอย่างรักใคร่ ป้าปูดูจะผิวคล้ำลงนิดหน่อย ผอมลงแต่ก็ยังสดใส ยิ้มกว้าง ฝ้าจาง ๆ ไม่ได้ทำให้ป้าดูแก่ชราแต่มันกลับมีเสน่ห์น่ามอง หญิงชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยิ้มดัง ๆ หัวเราะดัง ๆ ด่าดัง ๆ พูดดัง ๆ แต่ช่างแสนมีเสน่ห์ เสื้อผ้าชุดประจำของป้าก็คือ เสื้อยืดสีคล้ำกับผ้าถุงผืนเก่าที่ใส่จนนิ่ม กลิ่นเหงื่อที่ซึมออกมาจะว่าเหม็นก็ไม่จะว่าหอมก็ไม่เชิงแต่มันได้กลิ่นแล้วมันอุ่นใจ แต่ถ้าป้าจะลงสวนก็จะเปลี่ยนเป็นสวมกางเกงยีนทะมัดทะแมง สวมเสื้อเชิ้ตตา ๆ อีกตัวแล้วก็หมวกฟางใบใหญ่ มีผ้าขาวม้าพันหน้ากันแดดผิดแต่ปีนี้ป้าดูยิ้มมากและอารมณ์ดี
สาเหตุแห่งความอารมณ์ดีของป้าเฉลยในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ผัวของแกปลดทหารแล้ว ชื่อเที่ยง ซึ่งป้าปูแกให้ทั้งสองคนเรียกว่าน้าเที่ยง
"จริง ๆ เรียกพี่ก็ได้นายังหนุ่มยังแน่น" หวังนินทากับพี่ชายและเข้าอกเข้าใจทันทีว่าทำไมป้าปูถึงยังคงรักมันอยู่กับผัวเด็กคนนี้
นาเที่ยงนั้นเขาไม่ใช่คนมีการศึกษาอะไรสูงส่ง เป็นชาวสวนชาวบ้านธรรมดา ๆ นี่แหละ ไม่ได้หล่อเหลาแต่ก็ไม่ขี้เหร่ หุ่นล่ำเตี้ยผิวคล้ำมะขามข้อเดียว พูดเสียงเหน่อกว่าป้าปูกับลุงกุ้งหลายเท่า บางทีพูดกับเด็กชายทั้งสองก็ต้องว่าให้พูดซ้ำสองสามรอบกว่าจะเป็นอันเข้าใจกัน ซึ่งไม่ต้องพูดซ้ำมากนักหรอกเพราะแกเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ยิ้มกว้าง พร้อมกับอวดฟันขาวนั่นสิที่ส่งประกายออกมาเสมอ ๆ
สองผัวเมียชอบลงไปทำสวน หรือไปจับสัตว์น้ำด้วยกันเป็นประจำ คุยกันหนุงหนิงซึ่งไม่ใช่น้าเที่ยงคุยแน่นอน มีป้าปูคุยและเสียงน้าเที่ยงคอยหัวเราะ และหลานสองตัวที่คอยหัวเราะเป็นลูกคู่
นี่มันมัธยมสองแล้วและคิดก็ขึ้นมัธยมสามทั้งคู่เริ่มโตจนพอจะรู้ความ เมื่อไปตลาด เห็นคนซุบซิบนินทาป้าปูเรื่องผัวเด็กบ้างล่ะ เรื่องหนูตกถังข้าวสารบ้างล่ะ หรือเรื่องแมงดาบ้างละ เจ้าเด็กทั้งสองคนได้ยิน ทำไมป้าปูจะไม่ได้ยินกันเล่า แต่ป้าปูก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธหรืออะไร เมื่อโดนแซวแรง ๆ บางทีแกก็แซวกลับจนคนพูดหน้าม้าน และถ้ามองจากไกล ๆ ก็จะเห็นน้าเที่ยงที่เดินตามป้าปูต้อย ๆ อยู่ไม่คลาย
"คนมันรักกันมันไม่มีข้อแม้อะไรทั้งนั้นแหละเนอะ" คิดออกความเห็น
"ถ้ามีผัว มึงจะให้ผัวตามต้อย ๆ อย่างนี้หรือเปล่า?" หวังถามพี่ชายบ้าง
"ไม่รู้สิ ไม่ค่อยอยากรักใครว่ะ มึงอยากให้ผัวตามต้อย ๆ หรือไง กูว่าน่ารำคาญตายชัก" คิดตอบ
"เอ๊าอย่ามัวแต่อู้ ช่วยกันแบกเข่งมาโว้ย" เสียงป้าปูตะโกนเรียกทำให้ต้องหยุดสนทนาเท่านี้ก่อน งานสนุก ๆ ยังมีรออยู่ ต้นมังคุดเตี้ย ๆ จะถูกสองพี่น้องจับจองป้าปูสอนให้เก็บมังคุดลูกที่มันสุกเป็นสีชมพูระเรื่อ ๆ แต่ถ้าเจอลูกสุกจัดเป็นสีม่วงคล้ำ ก็ให้จัดการกินมันซะบนต้นได้เลย เก็บมังคุดที่ยังไม่แก่ดี เพื่อให้มันไปสุกที่ปลายทาง ปีนั้นมังคุดยังออกไม่ค่อยมาก ปีหน้ามังคุดที่ลงไว้จนโตน่าจะได้ผลผลิตเต็มที่ คงจะได้จ้างคนมาเก็บกันล่ะ ปีนี้เก็บเองกันไปก่อน เก็บเองขายเองไม่ผ่านล้งให้เขากดราคา
จนถึงตอนเย็นสองพี่น้องไปนอนเล่นอยู่ที่ชายหาด เด็กมัธยมสองโตพอที่ป้าจะไม่ต้องตามมาอยู่เฝ้า นอนแช่น้ำกันอยู่ครึ่งตัวให้คลื่นซัดเบา ๆ เหมือนเห่กล่อม
"นึกถึงเรื่องเงือกน้อยเนอะ ถ้าเป็นมึง มึงจะยอมเสียสละทุกสิ่งไปตามหาเจ้าชายป่าว?" คิดถามน้อง
"ไม่อ่ะ ผู้ชายมีเยอะแยะเหมือนฝูงหมา ใครจะไปรู้เกิดได้ผัวใหม่แซ่บกว่าเดิม เหมือนป้าปูที่ติดใจน้าเที่ยงไง กับผัวเก่ากูว่าก็ไม่แซ่บเท่านี้" หวังนินทาแล้วก็หัวเราะกิ๊ก
"มึงนี่ไอ้ชิบหาย กูสงสารป้าเลย" คิดว่า
"สงสารกับผีอะไร ถ้าไม่ดีอีตรงนั้นป้าแกไม่รอจนป่านนี้หรอกโว้ย" หวังพูดบ้าง เหตุน่ะมันเกิดเมื่อหลายวันก่อนที่บังเอิ๊ญบังเอิญให้สองพี่น้องไปเดินเล่นในสวน แล้วน้าเที่ยงแกไปหว่านแหจับปลา แกคงนึกว่าไม่มีใคร ก็เลยแก้ผ้าเสียเลย อีเด็กเปรตสองตัวเลยแอบเห็นโดยบังเอิญดูเสียเต็มอิ่มและออกจะตื่นตะลึงกับอาวุธที่น้าเที่ยงพกติดตัวไว้
"เชี่ยกูนึกว่าสากกะเบือ" หวังกระซิบพร้อมกับกลืนน้ำลาย
"อีเหี้ย อี๋พังแน่" คิดกระซิบและกลืนน้ำลายเหมือนกัน
"กูให้ป้าปูเป็นไอดอล ถ้าจะต้องมีผัวXวยยักษ์แบบนี้แล้วยังเดินเหินได้ปกติ" หวังกระซิบอีกและกึ่งลากกึ่งจูงพี่ชายให้ไปจากตรงนี้เดี๋ยวแกรู้ว่าเราแอบดูจะซวยเอา
ทั้งคู่ไม่รู้หรอกว่าไอ้ที่คิดกลัวเกรงในตอนเด็ก ตอนโตก็จะเจอกับตัวเองอย่างไรก็อย่างนั้นทีเดียว อีหอยหลอดเอ๊ย