มีอันเป็นไป มันแซ่บ มันเป็ มันตัวโฮ่ง ที่เขาว่ามีลูกมันกวนตัวมีผัวมันกวนใจ แต่ความสวยมันเป็นอุปสรรคน่ะคุณน้า แต่บางคนก็ชอบ Sugar Daddy อันนี้มันก็เป็นไปได้ แบบบูรณาการ เราก็ไม่ว่ากัน
ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ตลก,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
หวังนอนลืมตาโพลงเพราะนอนไม่หลับ เรื่องมันมีให้คิดอะไรมากมายเหลือเกินนึกเบื่อตัวเองด้วยเลยค่อย ๆ ย่องออกมาจากในห้อง หันไปมองก็เห็นพ่อกับแม่และคิดนอนหลับสบายอยู่ เจ้าตัวก็เลยค่อย ๆ แง้มประตูปิดอย่างเบามือแล้วค่อย ๆ เดินให้เบาที่สุดออกมาจากเรือน
คืนนี้มันวันฟ้าเปิด ไม่มีเมฆสักก้อน แล้วพระจันทร์ก็ส่องแสงสว่างจ้าดีนัก เรียกว่าเห็นทางได้สะดวกสบายดีจัง ค่อย ๆ เดินมาตามทางที่เป็นดินทรายก้อนโต ๆ จนเริ่มได้ยินเสียงคลื่นทะเลซัดซู่ ๆ เพราะตัวบ้านก็อยู่ไม่ห่างจากฝั่งมากนัก ท้องฟ้าเวิ้งว้าง จนมองเห็นที่ไกล ๆ มีชาวประมงไปจับปลาหมึก กุ้ง และปู เพราะแสงไฟวับแวว
"เห้ออออออออ" หวังถอนหายใจ และทิ้งตัวลงนั่ง เหม่อมองไปยังทะเลกว้าง ตอนนี้หวังก็อายุปาเข้าไปสิบห้าแล้วและอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชีวิตใหม่ของหวังก็จะต้องเริ่มต้นอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงถูกส่งต่อให้มนุษยชาติไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และไม่มีจะหนีพ้นมันไปได้ จากเด็กน้อยในวันก่อนที่วิ่งเล่นสนุกสนาน และคิดแต่จะซน และเรื่องสนุก
มารอบนี้ เมื่อมาอยู่บ้านสวนเมืองจันท์ หวังกับคิดพี่ชายก็เปลี่ยนไปจนป้าปูไม่ต้องดุด่าไม่ต้องคอยเอ็ดเหมือนเมื่อก่อน ตรงกันข้ามทีเดียว เด็กหนุ่ม (แต่ใจสาว) สองตัวกลับโตกว่าที่คิด ช่วยลุงกับป้าทำงานหนักเท่าที่แรงตัวเองพอจะทำไหว อาศัยร่างกายที่เพรียวและประเปรียว ช่วยปีนเก็บมังคุดได้เป็นต้น ๆ จนป้ากับลุงเอ่ยปากชมว่าทุ่นเงินค่าจ้างคนงานเก็บมังคุดไปได้เยอะ
ลุงกุ้งแก่ลงเป็นกอง เห็นผมขาวและริ้วรอยมากขึ้น ป้าปูก็คล้ายจะมีฝ้าขึ้นมากกว่าปีก่อนและผิวคล้ำลง แต่ยังคงยิ้มกว้างเสียงดังและสนุกสดใสเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนจะด้วยมีผัวรักคอยช่วยงานไม่มีปากไม่มีเสียง หรือเพราะจะมีหลานรักสองตัวมาอยู่ด้วยก็ไม่รู้เหมือนกัน
จริง ๆ มันเปลี่ยนตั้งแต่ตอนสมคิดผู้พี่ชายย้ายไปเรียนโรงเรียนใหม่เพราะเลื่อนขึ้นมัธยมสี่นั่นแหละ คิดรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น และยิ่งสังคมใหม่ด้วยกระมังที่ทำให้คิดโตจนเอาแต่ช่วยงานพ่อกับแม่ หวังเองแรก ๆ ก็ออกจะเซ็ง ๆ ด้วยว่าตั้งแต่ตื่นนอนจนไปโรงเรียนก็ไปกับพี่ชาย แต่เมื่อคิดได้ว่าถึงยังไงตอนเรียนก็เรียนกันคนละห้องอยู่ดี แต่ไม่เป็นไรเลิกเรียนก็เดินกลับบ้านด้วยกัน
พอสมคิดย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอื่น หวังก็ต้องกลับบ้านคนเดียวซึ่งมันก็ไม่เลวร้ายนักเพราะมีเพื่อนเดินแรก ๆ อาจจะเหงานิดหน่อย แต่ความอัธยาศัยดี และเพื่อน ๆ ก็เป็นคนแถว ๆ นั้นเดินคุยเล่นกันไปมาก็มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ และเมื่อถึงบ้าน ในเวลาไล่เลี่ยกันสองพี่น้องก็เจอกันอยู่ดีแต่คิดก็จะไปช่วยแม่เก็บแผง ส่วนหวังไปช่วยมั่งไม่ช่วยมั่งเพราะไปก็ไม่รู้จะทำอะไรด้วยว่าตัวเองไม่ค่อยชินกับแผงผักของแม่เลย
พอชินที่จะไม่มีคิดไปเป็นเพื่อนตอนเดินไปเดินกลับ จริง ๆ สิ่งที่มันทำให้หวังใจโหวง ๆ ก็คือ ถ้าเข้ามัธยมสี่ ตัวเองจะสอบเข้าได้โรงเรียนเดียวกันกับพี่ชายหรือไม่หนอ ซึ่งสอบไม่ได้จริง ๆ เสียด้วย แต่ก็ยังไม่เลวร้ายเกินไป เพราะโรงเรียนที่หวังได้ ก็คือโรงเรียนที่อยู่ใกล้ ๆ กับโรงเรียนของคิดอยู่ดี ห่างกันแค่ถนนกั้น ซึ่งมันก็ยังพอจะปลอบใจหวังได้อยู่บ้าง
เสียงคลื่นซัดและไม่นาน ฟองน้ำทะเลก็ค่อย ๆ ไล่มาถึงตีนของหวัง เจ้าตัวไม่ชักตีนหลบ ปล่อยให้น้ำเย็น ๆ มันโดนตีนจนรู้สึกสะดุ้งเพราะน้ำเย็นจัด คิดอะไรเพลิน ๆ ก็สะดุ้งสุดตัว
"แฮร่"
"ฮี๋แหก" หวังกรีดร้องสุดตัว และหันไปมองค้อนคนที่มาแกล้ง
"อีดอก เดี๋ยวกูตกใจหัวใจวายตายห่า มึงนี่เล่นเหี้ยอะไรก็ไม่รู้" หวังด่าไปค้อนไป และคิดก็ทิ้งตัวลงมานั่งข้างน้องชาย
"เป็นเหี้ยอะไรหนีออกมาดึก ๆ ดื่น ๆ เดี๋ยวป้าเขาก็นึกว่ามึงโดนผีเข้าเลยหนีออกมาเที่ยวแล้วเลยลงทะเลกลายเป็นผีเฝ้าหาดไปอีกคน" คิดว่า
"แหมมึง ทำเป็นกูกับมึงไม่เคยหนีมาเที่ยวตอนดึก ๆ ออกมาจับปูจับปลากับป้ากับลุงก็บ่อย" หวังตอบและคิดถึงในช่วงเวลาหนึ่งของเดือนที่เวลาน้ำลงมันเป็นเวลากลางคืนน้ำลงจนเดินเข้าไปในทะเลได้ตั้งไกล ผืนทรายสีคล้ำมีสัตว์ทะเลมากมายให้ได้จับ แต่ที่ทำเอาหวังเข็ดที่สุดก็คือปลิงทะเลที่เคยเห็นตอนเขาเอามาทำโต๊ะจีน นึกซนไปลองจับ มันเข้ามันก็พ่นน้ำพร้อมเมือก ทำเอาหวังร้องกรี๊ด ๆ ป้าปูบ่นเกือบตาย
"มึงกลัวโรงเรียนใหม่เหรอ?" สมคิดถามและหวังก็ทำท่าจะตอบแต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
"อืมมมมมมม มั้ง" ในที่สุดหวังก็ตอบ
"มึงจะไปกลัวอาไร๊ โรงเรียนมึงเขาว่าน่าสนุกอยู่นะ มีกิจกรรมอะไรเยอะแยะด้วยนี่" สมคิดว่าซึ่งอันที่จริงแรกทีเดียวสมคิดจะเข้าโรงเรียนนี่แต่ไม่ได้ จึงไปเข้าโรงเรียนฝั่งตรงข้าม ช่างผิดฝาผิดตัวดีแท้ ๆ
"ก็กังวลไปอย่างนั้นแหละ ดึกแล้วกลับบ้านกันเถอะ" หวังชวนพี่ชายเดินกลับบ้าน ล้างมือล้างตีนแล้วก็เข้านอน วันนี้พ่อกับแม่มาสองพี่น้องอยากจะโชว์พาว ช่วยลุงกุ้งกับน้าเที่ยงทำสวน เหงื่อออกแทบหมดแรงแต่สนุกชะมัดและตกค่ำหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย และถ้าเปิดเทอมไปเพื่อน ๆ ก็คงทักว่าหวังผิวคล้ำลงไปเป็นกอง แต่อนิจจาเปิดเทอมใหม่หวังลืมไปว่าไม่มีเพื่อนกลุ่มเดิมอีกแล้วหวังต้องไปหาเพื่อนใหม่ในวันข้างหน้า ขอให้ได้เพื่อนดี ๆ นิสัยดี ๆ ที่จะรักและสนิทกันไปตลอดด้วยเถอะนะ
เช้าวันรุ่งขึ้น ป้าปูตื่นเต้นกุลีกุจอกว่าทุกวัน ผลหมากรากไม้ หลายเข่งถูกขนขึ้นท้ายรถกระบะของพ่อ และเมื่อถึงเวลาร่ำลา ป้าปูที่ตะก่อนบ่นหลานเก่ง กลายสภาพเป็นป้าปูที่แสนใจดี อาจเพราะไม่ต้องปากเปียกปากแฉะ หรือเพราะหลานโตขึ้นจนพูดรู้เรื่องก็ไม่รู้ ยิ่งปากดีขี้ประจบกันทั้งสองตัว ใครจะไม่รักได้ยังไง เมื่อถึงตอนท้ายของการจากลา ป้าปูก็ดึงหลานสองคนมากอดแล้วก็หอมแก้มเสียคนละฟอด เล่นเอาหลาน ๆ เขินไปตาม ๆ กันเพราะไม่เคยโดนป้าปูหอมแก้มแบบนี้ มีแต่ตอนเด็ก ๆ ที่ตัวเองหอมแก้มป้าเขา
เมื่อขึ้นรถและรถวิ่งห่างจากบ้านสวนเรื่อย ๆ หัวใจของหวังก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่อย่างน้อย มีพ่อแม่อยู่ใกล้ ๆ มีสมคิดพี่ชายอยู่ใกล้ ๆ หวังก็ยังอดจะรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจยังไงก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
และเช้าแห่งความจริง วันเปิดเทอมวันแรกได้เริ่มต้นขึ้น หวังมองสมคิดที่ใส่กางเกงสีน้ำตาล ๆ กากี แต่หวังใส่กางเกงนักเรียนสีดำ ยิ่งมองแล้วก็ยิ่งสะเทือนใจ กินโจ๊กร้านอาอึ้มเอาฤกษ์เอาชัย แล้วทั้งสองคนก็เดินไปโรงเรียนด้วยกัน
"ไม่ไกลหรอกมึง ตอนเช้า ๆ แดดไม่แรงเดินแปปเดียวก็ถึง" คิดปลอบน้อง และเอาเข้าจริง ๆ หวังกลับอยากให้เส้นทางมันยาวกว่านี้เพราะอยากอยู่กับพี่ชายนาน ๆ ให้อุ่นใจแต่อะไร ๆ มันก็ไม่ได้อย่างใจ ทั้งสองคนพี่น้องหยุดยืนที่หน้าโรงเรียนของหวังจนได้
"ตอนเย็นเจอกัน เจอกันที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงหนังนะ" สมคิดบอกและโบกมือบ๋ายบาย หวังสูดลมหายใจลึก ๆ และถอนหายใจแรง ๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
"อีหวังสู้ ๆ" หวังบอกกับตัวเอง เรามันเลือดนักสู้ เรามันลูกพระเจ้าตาก คิดได้ดังนี้ หวังก็เยื้องตีนข้างซ้ายกับรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ที่หวังภาวนาว่ามันจะอยู่คู่กับตีนของตัวเองไปได้อีกสามปีโดยไม่ต้องซื้อใหม่ เพราะเสียดายเงิน
เข้าไปหาว่าตัวเองต้องอยู่ห้องไหน "มัธยมสี่ทับสี่" หวังพูดกับตัวเองและเดินไปบริเวณเสาธง โชคดีที่หน้าแถว มีคนมือดีมาพ่นตัวเลขบอกชั้น และหวังก็เดินไปจนถึงหน้าแถว ไอ้ความตัวเล็ก จะอย่างไรก็ต้องอยู่แถวหน้า ๆ อย่างแน่นอน มองหน้ามองตาก็ยังไม่อยากจะเดาว่าใครจะอยู่ชั้นเดียวกันกับหวังบ้าง แต่ก็พูดคุยทักทายนิด ๆ หน่อย ๆ จนเสียงออดบอกเวลาให้เข้าแถว
ครูประจำชั้นซึ่งเป็นคุณป้าท่าทางดุดันเดินมาที่แถว แกจ้ำจี้จ้ำไชให้เข้าแถวด้วยการแยกแถวชายหญิงสองฝั่ง และเรียงลำดับความสูงจากเตี้ยอยู่หน้าสุดและสูงอยู่หลังสุด นั่นไงหวังอยู่แถวหน้าสุดอีกแล้ว ไม่ผิดที่กูคิดไว้ และเมื่อครูใหญ่พาสวดมนต์ ร้องเพลงชาติ และบ่นอะไรยืดยาว หวังก็คิดภาวนาว่าอยากให้ครูใหญ่ลงมายืนตากแดดแบบเด็กนักเรียนบ้าง ตัวเองยืนเห่า เอ๊ยยืนพูดอยู่ตรงร่มมันก็อยู่ได้นานน่ะสิ
ถึงการยืนตากแดดจะทำให้ได้วิตามินดีทำให้กระดูกแข็งแรงอย่างที่เรียนมา แต่การตากแดดแรง ๆ แบบเมืองไทย นาน ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เหมือนกันนะคะ และที่สำคัญ พวกหนูเป็นเด็กนักเรียนไม่ใช่ต้นกระบองเพชรค่ะ จะได้สังเคราะห์แสงเป็นอาหาร
หวังได้แต่คิดบ่นในใจ และท้ายสุดก็พากันเดินแถวโดยมีครูประจำชั้นเดินนำหน้า หวังนึกยกย่องครูคนนี้นิดหน่อยด้วยว่าแกสู้ยืนตากแดดพร้อมนักเรียน ไม่เหมือนครูคนอื่น ๆ ที่หนีไปหลบตรงที่ร่ม ๆ นับว่าแกก็ใจสู้เหมือนกัน
ได้รับการแนะนำว่าครูชื่อครูเฉลิมศรี และหวังก็ต้องมีแนวคิดใหม่กับคุณป้าเฉลิมศรีเพราะเอาเข้าจริง ๆ แกออกจะทันสมัย เก๋ และเท่มาก ๆ
ครูเฉลิมศรี หรือป้าศรีบ้าง ป้าเหลิมบ้าง สุดแต่อารมณ์ไหน แต่ที่นิยมเรียกลับหลังก็คือเรียกแกว่า เหลิมศรี หรือหม่อมแม่เนื่องจากแกให้ความสนิทสนมกับนักเรียนดี๊ดี เรียกว่าคุยกันได้เกือบทุกเรื่อง แกเป็นคนพูดตรง ๆ และค่อนข้างกล้าบ้าบิ่นมากทีเดียว เพราะใครจะไปคิดว่า เหลิมศรีซึ่งกะคำนวณแล้วก็น่าจะอยู่ในวัยเดียวกับป้าปู ถึงกับเตือนให้นักเรียนพกถุงยางอนามัย
"กันเอาไว้ดีกว่านะยะ ไอ้ของอย่างนี้ ความอยากมันไม่เข้าใครออกใคร ไม่ใช่แค่ท้องไม่ท้อง เพราะพวกหล่อนยังเลี้ยงตัวเองไม่รอด ที่สำคัญคือโรคทางเพศสัมพันธ์ย่ะ อย่างพอทำเนาก็หนองใน หรือซิฟิลิส แต่ถ้าติดเอชไอวีอีทีนี้ล่ะเรื่องใหญ่" แกเริ่มพูดซะนังชะนีหน้าแดง แล้วแกก็ให้ความรู้เรื่องเอชไอวี กับเอดส์ จนเราได้ความรู้ใหม่ว่า เอดส์คือภาวะของโรค และเอชไอวีมันก็ไวรัส คนติดเอชไอวีไม่ได้เป็นเอดส์ เพราะเดี๋ยวนี้มียากินเพื่อควบคุมเชื้อโรคทำให้ไม่มีอาการเอดส์ ซึ่งผอมแห้งเป็นตุ่มเป็นหนองตามเนื้อตัวแบบหลายสิบปีก่อนที่เขาเอารูปคนเป็นเอดส์มาเผยแพร่อีกแล้ว อันนั้นมันความรู้เก่าสมัยพระเจ้าเหา
"ถ้ามีปัญหาอะไร ปรึกษาครูได้ไม่ต้องเกรงใจ คิดซะว่าไม่รู้จะคุยกับใคร เฉลิมศรีมีคำตอบ โอเคนะยะ" ครูเหลิมศรีว่าแล้วก็ยกเคสกรณีรุ่นพี่ที่ทำอะไรผิดพลาดมาอย่างที่ว่า แกว่าวัยรุ่นน่ะ ยิ่งห้ามมันก็ยิ่งยุ สู้บอกไปเลยตรง ๆ ว่าถ้าจะทำก็ต้องรู้จักป้องกันดีกว่า ทำให้หวังมองครูเฉลิมศรีว่าแกน่าเคารพนับถือมากไม่แก่กะโหลกกะลา แก่ฟักแก่แฟง แก่แตงแก่น้ำเต้า โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
เรื่องอีกเรื่องที่น่ารักที่สุดของป้าเหลิมก็คือ แกรักลูกศิษย์เก้งกวางที่สุด ถ้าเอ็นดูหน่อยก็จะเรียกลูกทุกคำ แต่ถ้าหมั่นไส้หรืออยู่ในโมเม้นต์คุยสนุกก็จะเรียกอี เช่นอีหวัง อีเมือง เพราะเป็นถึงครูประจำชั้น และอีสองตัวนี่ก็ค่อนข้างคุยถูกเส้นกับครูประจำชั้นคนนี้นัก ต่อหน้านี่จะเรียกแม่เหลิมทีเดียวแต่ก็อกตัญญูลับหลังก็แอบเรียกแกว่า เหลิมศรีเฉย ๆ
และอีเมือง หรืออีฉัตรเมือง ชื่อแม้นแมน แต่ตัวจริงก็อ้อนแอ้นแอ่นระแน้ไม่ต่างกับหวัง เรียกว่าตามองตาในครั้งแรก กฎแรงดึงดูดก็ดึงให้เด็กสองคนมานั่งด้วยกันในทันที เพราะสัมผัสได้ว่าเป็นคนที่มีดีเอ็นเอคล้ายกัน
"หวัดดีกูชื่อหวังบ้านอยู่อ่อนนุช"
"หวัดดีกูชื่อเมือง อยู่อโศก"
ทั้งสองเริ่มต้นแนะนำตัวกันง่าย ๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ อีเมืองมันเป็นคนตลก ๆ พอ ๆ กับหวังนี่ล่ะ คุยอะไรก็ขำ และปากจัดคล้าย ๆ กัน เรียกว่าสวรรค์ส่งหรือนรกสาป ให้ห้องมัธยมสี่ทับสี่มีตุ๊ดมาจุติสองตัว ห้องอื่นมีบ้างประปรายห้องละคนหรือบางห้องก็ไม่มีเลย ซึ่งห้องไหนมีเก้งเท่ากับเป็นห้องที่มีความเจริญ ตุ๊ดจึงเป็นดัชนีชี้วัดความเจริญของสังคม
แต่ที่สิงสถิตยามก่อนมาโรงเรียน และยามพักกลางวัน และพักย่อยก็คือ ร้านน้ำข้างสนามเปตอง ซึ่งจะมีเก้าอี้และโต๊ะยาวตั้งอยู่เป็นแถวยาว ๆ มีร่มไม้ครึ้มช่วยกันร้อนและโต๊ะตัวแรกสุดติดกับร้านน้ำ ก็คือฐานบัญชาการของกองกำลังตุ๊ดเด็กหัวโปกกะโหลกไขว้
ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้อีกที ที่นี่มันก็เป็นศูนย์รวมของบรรดาเก้งกวางเสียแล้ว แน่นอนว่าต้องถือตามอาวุโส พี่มัธยมหกที่คอยดูแลพวกน้อง ๆ ก็คือเจ๊โบ๋กับเจ๊สมศรี นี่พูดถึงตัวหลัก ๆ เพราะผึ้งย่อมมีราชินีผึ้งเป็นหัวใจฉันใด โต๊ะกะเทยก็ต้องมีราชินีผึ้งเป็นผู้นำฉันนั้น เพียงแต่ว่าแต่ละปี จะเป็นผึ้งหรือปลวกก็อยู่ที่หน้าตา โชคร้ายที่ปีนั้น จากผึ้งกลายเป็นปลวกไปเสียนี่เพราะเจ๊โบ๋กับเจ๊สมศรีน่ะ ค่อนข้างห่างจากคำว่าสวยไปไกลโขอยู่
เจ๊โบ๋น่ะ ตัวเตี้ยขาตันผิวคล้ำแบบสาวใต้ ตาเล็กตี่หนังตาหนาลงมาปิดโปนนิด ๆ จมูกกลมและปากหนา แต่ถึงอย่างนั้น หล่อนก็กันคิ้วได้บางสวย ผมหน้าชี้แต่ก็ติดกิ๊บตัวเล็ก ๆ เสมอซึ่งจะเข้าคู่กับเจ๊สมศรีเพราะเป็นเพื่อนรักกันซื้ออะไรก็ซื้อเหมือนกัน แต่เจ๊สมศรีน่ะ ตัวเล็ก ๆ หน้าคล้าย ๆ กระรอก ฟันเหยินตาโปน แต่ทั้งสองคนก็นิสัยน่ารัก ปากจัด ด่าเป็นไฟ และคอยแนะนำความรู้ให้ตุ๊ดกระดูกอ่อนอย่างพวกเรา เริ่มตั้งแต่เรื่องยาคุมกันทีเดียว เจ๊โบ๋ชอบอวดว่าตัวเองเทคยาคุมจนนมตุ่ย ซึ่งหวังคิดว่าไอ้ที่มันตุ่ยน่ะน่าจะเพราะเจ๊อ้วน ซึ่งพูดไม่ได้เดี๋ยวโดนด่า หนักหน่อยอาจโดนตบได้ ส่วนเจ๊สมศรีก็ชอบใส่กางเกงตัวโคร่ง และรัดเข็มขัดจนเอวเล็กนิดเดียว ดูไกล ๆ คล้ายมดตะนอย แถมเวลาเดินชอบเดินสะบัดตีนคล้ายกับตัวเองเป็นนางแบบ
แป้งพัฟจะถูกหยิบมาผัดหน้าให้นวลเป็นยองใย พร้อมกับกระจกที่คอยส่องมองผิวละมุนละไมนั้นอีกเล่า คิ้วที่โก่งบางโค้งราวคันศรของกามเทพนั่นอีก และลิปสติกเปลี่ยนสีจากแป้งสปริงซอง คือไอเท่มลับที่จะทำให้ริมฝีปากดูวาวและแดงฉ่ำ นี่คือความเฟียสสุดในยุคนั้นแล้ว และเป็นลุคที่ตุ๊ดเด็กในโรงเรียนทุกตัวควรจะเอาเยี่ยงอย่าง และถือปฏิบัติ รวมถึงชะนีแรง ๆ บางตัวเหมือนกัน
อีหวังกับอีเมืองถึงขนาดลงทุนไปซื้อมีดโกนมาหนึ่งบาทให้เจ๊สมศรีช่วยกันคิ้วให้ทีเดียว ซึ่งมันก็ไม่เลวร้ายเท่าไรเพราะพื้นหน้าหวังเป็นคนคิ้วเยอะอยู่แล้ว พอกันไรคิ้วรก ๆ กลับดี ผิดกับอีเมืองที่ตอนนี้น้ำตาจะไหลเพราะมันก็คิ้วบาง กันคิ้วไปมองไกล ๆ นึกว่าละครคาบูกิ ยิ่งอีเมืองมันลูกจีนเข้มข้นกว่าหวัง หน้าขาว ๆ ตาตี่ ๆ ผิวขาวซีด ๆ ถ้ามองใกล้ ๆ เหมือนละครคาบูกิ ดูไกล ๆ เหมือนผีญี่ปุ่นที่สุด
"อีดอก เอาดินสอค่อย ๆ วาดที่คิ้วก็ได้มาเดี๋ยวกูทำให้" หวังพูดอย่างหวังดี และใช้ดินสอไม้สองบีค่อย ๆ วาดคิ้วให้เพื่อนรักซึ่งมันดีกว่าที่คิดเสียอีก สวยเชียวล่ะ จะเอาคิ้วทรงไหน หวังจัดให้ได้หมด และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หวังรู้สึกตะหงิด ๆ ว่าตัวเองชอบอะไร
เริ่มจากการเขียนคิ้ว และทุกเช้าตรู่ นาง ๆ ทั้งหลายทั้งตุ๊ดแต๋วและชะนีแรด ๆ บางตัวก็มายืนต่อคิวให้หวังเขียนคิ้วให้ทีเดียว ถึงขนาดหวังเก็บเงินคนละบาทคนซื้อดินสอเขียนคิ้วได้แล้วก็เอามาวาดคิ้วให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ
จะเอาทรงแบบหญิงจีนชี้ ๆ แบบเฟียส ๆ สะบัดปลายน้อย ๆ หรือจะเอาสไตล์อ่อนบางดูน่าทะนุถนอมเหมือนเจ้าหญิง หรือจะเอาแบบทรงที่บางเบาเรียงเส้นดูเป็นธรรมชาติ หวังก็จัดให้ได้หมดค่ะ ยิ่งมีเรฟเฟอเร้นซ์ก็ยิ่งดี แต่บางทีก็เครียดเหมือนกัน เล่นเอาคิ้วแม่ชมมาเป็นแบบแต่หน้าคนมาให้วาดหน้าเหมือนชมพู่ม่าเหมี่ยวตอนใกล้เน่า
หัวข้อที่ค่อนข้างสำคัญ ของวงตุ๊ดเด็กก็คือเรื่องผู้ชาย เจ๊โบ๋กับเจ๊สมศรีค่อนข้างภูมิอกภูมิใจในเรื่องนี้ แน่สิยะก็หล่อนโตกว่า ก็ต้องกล้าไปหากินผู้ชายสิ หวังยังรู้สึกตัวเองเด็กอยู่แท้ ๆ แม้ว่านมมันจะแตกพานแล้วก็เถอะ และยังแอบฝันแบบเด็ก ๆ ว่าจะมอบพรหมจรรย์ให้รักแรก ซึ่งตัวก็จะรักกับเขาคนนั้นจนเป็นรักสุดท้าย หวานเสียไม่มี
"โอ๊ยพวกมึง เจ๊มีอะไรจะเล่าให้ฟังคร๊า" เริ่มขึ้นอย่างนี้ถ้าจับอะไรอยู่ก็ต้องรีบวางมือ ถ้าแดกอะไรอยู่ก็ต้องหยุดแดก เพราะแสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญ หรือมีเรื่องสัปดี้สัปดนที่เกิดขึ้นแน่ ๆ
"เมื่อวานเจ๊กับอีสมศรีไปเดินเล่นในสหกรณ์ กูก็กำลังนั่งขี้อยู่ ก็บอกอีสมศรีให้รอกูหน่อย แล้วรู้มั๊ยเกิดอะไรขึ้น อีสมศรี อีดอกทองนี่มันร้าย มันไปยืนอ่อยอีท่าไหนก็ไม่รู้ ผู้ชายลากมันไปโขกที่ห้องน้ำแล้วมันขิงกูค่ะ ลากผู้ชายมาโขกที่ห้องข้าง ๆ กูนี่ เสียงครางนี่ อ๋อย ๆ อัก ๆ กูนึกว่ามันจะตาย อีช้างลาก" เจ๊โบ๋เล่าแล้วเจ๊สมศรีก็นั่งอมยิ้มแม้จะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นจำเลยอยู่ก็เถอะ
"ว้ายจริงหรอคะจ๊ะ ผู้แซ่บไหม?" หวังรีบสอด
"แซ่บสิมึง เป็นผู้ใหญ่ ๆ หน่อย หุ่นลีน ๆ แต่ที่สำคัญคืองูค่ะ อีดอก งูเท่านี่" พูดแล้วเจ๊สมศรีก็ยกท่อนแขนขึ้นมา จนพวกเราร้องครางฮือ ออกมาพร้อม ๆ กัน
"แล้วยังต่อเจ๊ คือไปยังไงมายังไงถึงตกล่องปล่องชิ้นกันได้เนี่ย" อีเมืองถามบ้างท่าทางอยากรู้เต็มที่ อีนี่ชักจะแรดออกนอกหน้าน่าตบจริง ๆ
"ก็ตอนอีโบ๋มันไปขี้กูก็ยืนส่องกระจกอยู่ อีตาคนนั้นมันเข้ามาพอดี มองกูงิเหลียวหลังเลย กูก็เชิดใส่คร้า ยืนเติมแป้งของกูไป แต่กูก็แอบมองมันในกระจกนะ มันมองมาทางกูค่ะ แล้วก็งัดงูออกมาแกว่งโชว์เลย"
"ว้ายยยยยยยยยยยยยย" เหล่าตุ๊ดลูกอ๊อดพร้อมใจกันร้องกรี๊ดเสียงดังแล้วก็หัวเราะ ก็เจ๊สมศรีเล่า ก็ไม่เล่าเปล่าออกท่าออกทางไปด้วยจนเห็นภาพท่าทางของอีตาคนนั้นที่ยืนสะบัดอวัยวะเลยทีเดียว
"แล้วยังไงต่อมังคะ?" ลูกอ๊อดตัวหนึ่งถามเสียงแหลม บีบเสียงให้เหมือนชะนีแต่ไม่ค่อยเหมือน เหมือนเป็ดที่โดนเหยียบคอมากกว่า
"มันก็พยักหน้าให้เจ๊ค่ะ อีดอกกูนี่กลั๊วกลัวนะ แต่มันเหมือนมีมนต์สะกดจากปลายXวยอีนั่นอ่า กูเอาแต่มองXวยมันแล้วก็เดินตามมันไป พอมันล๊อกกลอนปุ๊บ มันก็ดึงหัวกูให้อมของมันเลยค่าาาาเจ๊ก็โขกสุดริ๊ส"
"แอร๊ยยยยยยยยยยยยย" เหล่าเก้งกว้างร้องกรี๊ดอีกแล้ว คนที่เดินไปเดินมาบ้างก็เล่นเปตองหันมามองแล้วก็อมยิ้ม
"เสร็จมั๊ยคะ?"
"อีดอก ระดับกูแล้ว...แตกค่า แตกคาปากเลย" เจ๊สมศรีพูดอย่างภูมิอกภูมิใจ พวกเราฮือฮาแล้วก็ถามรายละเอียดของกิจการเอ้าท์ดอร์มินิ ในครั้งนี้
"อีดอก กูเล่าแล้วอย่าเอ็ดไป เหยียบไว้กงนี้เลยนะ" เจ๊โบ๋กระซิบกระซาบกับหวังและเมืองด้วยว่าสนิทกว่าน้อง ๆ คนอื่น ๆ ในตอนที่ผู้คนยังมาไม่มาก ท่าทางเจ๊โบ๋คันปากและอยากเล่าเรื่องจริงที่ฮือฮาเมื่อวันก่อน
"เรื่องอะไรเพคะไทเฮา" อีเมืองกระซิบกระซาบและย่อตัวคุกเข่าหนึ่งข้างด้วยจริตนางพระกำนัลพระราชวังต้องห้าม
"เรื่องอีสมศรี อีดอก มันเล่าเกินเรื่องไปมาก หน๊อย... กูอยู่ขี้ติดอยู่กับห้องที่มันไปบัวผู้ชาย มึงรู้ป่ะ มันไม่ได้โขกอะไรขนาดนั้นหรอก กูไม่เห็นหรอกนะ ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันหน้าตายังไง แต่เห็นจากสภาพรองเท้ากูว่าไม่น่าจะแซ่บตามที่อีสมศรีมันว่าหรอก กะเทยน่ะมึงพูดแล้วต้องเอาร้อยหาร แล้วเอาตะแกรงร่อน กูได้ยินอีสมศรีมันร้องอี๋ ๆ แล้วมันบ่นว่าขี้เปียกอะไรด้วยนี่แหละ" เจ๊โบ๋นินทาเพื่อน ส่วนหวังกับเมืองก็หัวเราะกิ๊กกั๊ก
"อีหวังอีดอก กูว่าเรื่องนี้เราควรไปพิสูจน์" เมืองกระซิบกระซาบและเมื่อหวังรู้อย่างนั้น ไฟเสือกก็ถูกจุดประกาย ทั้งอยากรู้สถานที่ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งอยากรู้ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันจะเวียนวนมาให้ตุ๊ดเด็กกินอีกไหม เพราะยิ่งเจ๊สมศรีเล่า ก็ลือกันไปว่าตุ๊ดรุ่นพี่ก็โขกอีตานี่มาแล้วเหมือนกัน
"กูว่ามันต้องมาหาเหยื่อบ่อย ๆ แน่ ๆ" หวังสวมวิญญาณสิงห์สาวนักสืบ และวันนั้นหวังก็บอกให้คิดกลับไปก่อนได้เลยตัวเองจะไปทำธุระกับเพื่อนก่อน แล้วจะรีบกลับโดยไว นางนาตาชาหวังคาดเดาราวกับสวมวิญญาณโคนัน
ถึงสหกรณ์ที่ว่า ซึ่งมันก็ค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม สองเด็กซึ่งยืนผัดหน้าเอี่ยมอ่อง ผลัดกันเข้าออกห้องน้ำอยู่ครู่ใหญ่ ๆ จนในที่สุดชายอันมีรูปพรรณดังที่เจ๊สมศรีเล่าก็มาจริง ๆ มันมองหวังหัวจรดตีนและเดินไปด้านซอกในสุดตรงโถปัสสาวะ หวังมองมันจากในกระจก และมันก็ควักอวัยวะบางส่วนออกมาเพื่อจะฉี่ แต่มันไม่ฉี่น่ะสิ มันเอามาสะบัดโบก แล้วก็หันมามองหวังยิ้ม ๆ หวังยืนตัวเกร็งและเพราะตกใจแต่ตาของหวังก็มอง Xวยของมันราวกับต้องมนต์
อีเจ๊สมศรีมันโดนมนต์ดำแบบนี้แน่ ๆ หวังคิด และสิ่งที่หวังทำก็คือยื่นตีนตัวเองก้าวอย่างว่องไว แต่ไม่ใช่เดินไปหามันหรอกนะ หวังเดินออกจากห้องน้ำให้ไวที่สุด ซึ่งอีเมืองมันยืนรออยู่ข้างหน้าห้องน้ำพอดี
"อีดอก กูเจอไอ้เหี้ยนั่นแล้ว เชี่ยเอ๊ยมันทำกับกูเหมือนอีเจ๊สมศรีจริง ๆ ด้วย" หวังพูดแล้วก็บรรยายเหตุการณ์ เมืองมันแรดอยากจะปรี่เข้าไปในห้องน้ำไปดูหน้าไอ้หนุ่มกลัดมันคนนั้นเสียเหลือเกิน
"อีดอกจะไปไหน" หวังคว้าข้อมือเพื่อนรักอย่างว่องไว
"กูจะไปดูXวยค่ะ"
"อีเหี้ยอย่าไป มึงรู้ป่ะหน้าแม่งโคตร..ยังไงดี หน้าเหี้ยมากค่ะ"
"ยังไง?" เมืองถามและชะงักเท้า
"หน้าแม่งอย่างกะกอลัม กอลัมในลอร์ดออฟเดอะริงส์น่ะ อีช้างเยสสสสสสสสสสส" หวังสาธยายและลากแขนอีเมืองให้ออกไปจากห้องน้ำแห่งมอร์ดอร์ให้ไวที่สุด อีเหี้ยเอ๊ยไม่เอาแล้วหวังเข็ดแล้วค่ะ อีดอกเมืองนี่ก็แรดเหลือเกินเสือกอยากรู้อยากเห็น อยากจะถวายบัวให้เขาบ้าง เกือบได้กอลัมเป็นผัวแล้วไหมล่ะ อีดอก แล้วมึงไม่ใช่บิลโลแบกกิ้นส์นะคะ ที่ได้ครองแหวน แต่ที่มึงจะได้คือความสยองขวัญ อีช้างล้วง หวังบ่นไป เมืองมันก็ทำหน้าเซ็งไป