มีอันเป็นไป มันแซ่บ มันเป็ มันตัวโฮ่ง ที่เขาว่ามีลูกมันกวนตัวมีผัวมันกวนใจ แต่ความสวยมันเป็นอุปสรรคน่ะคุณน้า แต่บางคนก็ชอบ Sugar Daddy อันนี้มันก็เป็นไปได้ แบบบูรณาการ เราก็ไม่ว่ากัน
ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ตลก,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
รถกระบะสีขาวค่อย ๆ แล่นมาตามถนนบางนาตราดกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ แม้ว่าถนนที่ทอดยาวไกลจะว่างเปล่า ด้วยเป็นเวลาเช้ามืด นี่เพิ่งจะตีสี่เท่านั้น เพราะคนขับออกเดินทางจากเมืองจันท์มาได้สักพัก ขับอย่างไม่รีบเพราะโดนกำชับกำชาถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ
คิตตี้ขับรถไปฮำเพลงไป หยิบน้ำชาเขียวปั่นที่เพิ่งซื้อจากปั๊มน้ำมันที่แวะกลางทาง ดูดเร็ว ๆ จนความเย็นจี๊ดขึ้นสมอง สะอกสะใจอีหอยหลอดนักจนต้องร้องกรี๊ดออกมา ตาสว่างโพลงหายง่วงเป็นปลิดทิ้งทีเดียวเชียวล่ะคุณ
เป็นเวลาหลายปีดีดักแล้วที่คิตตี้ขับรถรับทุเรียนจากสวนของลุงกับป้าเอามาแกะขายที่กรุงเทพฯ ปีนึงจะหยุดขายทุเรียนก็คือช่วงปลายฝนที่หมดหน้าทุเรียน แต่ถึงอย่างนั้นคิตตี้ก็ยังคงไปกลับกรุงเทพฯ เมืองจันท์เป็นประจำอยู่ดี
ด้วยว่าปรึกษากับทั้งพ่อแม่ และลุงป้า เนื่องจากลุงกุ้งและป้าปูนั้นไม่มีลูก มีแต่หลานสองตัวคือคิตตี้กับอีหวัง แม่ก็นึกเป็นห่วง เลยอยากให้คิตตี้ไปดูแลทั้งสองคนบ้าง คอยเป็นมือเป็นตีนช่วยทำโน่นทำนี่ ซึ่งก็ถูกอกถูกใจด้วยกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะคิตตี้เองที่ยินดีนัก ด้วยว่าลึก ๆ คิตตี้เป็นคนขี้เบื่อ การอยู่ทำอะไรนาน ๆ ก็เซ็ง หาเรื่องแรดดีกว่า
แต่เดิมไปไม่กี่วันรับทุเรียนมาขายเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้คิตตี้ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ กับเมืองจันท์อย่างละครึ่งทีเดียว ด้วยตระหนักว่าที่บ้านสวน ถ้าไม่มีคิตตี้สักคนจะลำบากมาก เพราะไม่มีใคร มีแต่คนแก่ ยิ่งลุงกุ้งยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะดูแข็งแรงดีกว่าคนรุ่น ๆ เดียวกัน แต่ก็ทำงานหนักหักโหมเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว คิตตี้เด็กยุคใหม่ เมื่อเข้าไปช่วยงาน จึงต้องนำเทคโนโลยีเข้าไปปรับใช้ ทำให้ทุ่นแรงไปเป็นอันมาก เช่นเรื่องรดน้ำต้นไม้ในสวน ซึ่งปั๊มน้ำมาสำรองไว้ด้วยโซล่าเซลล์
รวมไปถึงการให้น้ำต้นไม้ในสวนเดี๋ยวนี้ใช้ระบบน้ำหยด โชคดีนักที่ท้ายสวนซึ่งติดกับภูเขา มีร่องน้ำซึ่งไม่เคยเหือดแห้งเลย คิตตี้เห็นมาแต่เล็ก มันมีตาน้ำผุดและไหลเอื่อย ๆ แม้หน้าร้อนที่แล้งนักหนา ตาน้ำนี้ก็ไม่เคยเหือดแห้ง คิตตี้ใช้โซล่าเซลล์เพื่อปั๊มให้ระบบน้ำเดินสายไปรดต้นทุเรียนในสวนซึ่งขาดน้ำไม่ได้เลยเชียวล่ะ ลุงกุ้งนั้นรักต้นไม้ชนิดที่ต้นไม้ต้นเก่าแก่ตายไปแกแทบจะร้องไห้เสียใจเอาทีเดียว
"ใจหาย ลุงปลูกตั้งแต่ต้นมันยังเล็กนิดเดียว ไม่มีต้นนี้ก็หมดกันไอ้พันธุ์นี่" แกบ่นแล้วบ่นอีก และพูดชมว่าไอ้ต้นทุเรียนพันธุ์กบชายน้ำต้นนั้นยืนต้นตายเพราะขาดน้ำ แรก ๆ คิตตี้ก็สงสัยว่าทุเรียนพันธุ์บ้าอะไรชื่อแปลกชะมัด ก็ตามประสาลูกแม่ค้าขายผัก ถ้าเป็นเรื่องผักล่ะก็ คิตตี้รู้หมด แต่เรื่องผลไม้นี่ ทุเรียนที่เคยกินก็แค่หมอนทอง ก้านยาว และชะนีล่ะเป็นพื้น
แต่พอมาอยู่ช่วยลุงกุ้ง ก็ออกจะแปลกใจที่ทุเรียนมันมีหลากหลายสายพันธุ์เหลือเกิน แถมลุงกุ้งยังรู้จักไปหมดซะด้วย ทุเรียนอีหนัก กบเล็บเหยี่ยว อีลีบ นกบินหรือหมอนเขียว กบตาไว เม็ดในยายปราง พานพระศรี นกกระจิบกบขาทราย กบตาไว กระดุมทอง กลีบสมุทร จอกลอย ชายมังคุด ทองกมล ทองย้อยฉัตร ทองหยด ทับทิมจันทร์ นวลทองจันทร์ พวงมณี ละอองฟ้า
ซึ่งไอ้พวกทุเรียนพวกนี้ลุงกุ้งแกปลูกไว้อย่างละต้นสองต้น ดังนั้นถ้ามีต้นไหนตายก็แทบจะหาไม่ได้อีกแล้ว
"ทุเรียนน่ะมันแบ่งเป็นหกกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มกบ กลุ่มลวง กลุ่มก้านยาว กลุ่มกำปั่น กลุ่มทองย้อย แล้วก็กลุ่มเบ็ดเตล็ด" ลุงกุ้งเริ่มสอนคิตตี้ทีละน้อย เป็นการสอนแบบธรรมชาติ ให้รู้เองเห็นเอง
แต่จะทำกันแค่สามสี่คน โดยมีสวนทุเรียนหลายสิบไร่ทำไม่ไหวหรอก จึงต้องจ้างคนงาน ซึ่งมักจะเป็นชาวต่างด้าว เช้าไปเย็นกลับ แต่ละคนทำงานกันมาได้หลายปีแล้ว ซื่อสัตย์ ขยัน อดทน เรียกว่าอยู่กันจนเหมือนเป็นคนในครอบครัวทีเดียว
คนงานนั้นก็มีหน้าที่ทำงานตามที่ลุงกุ้งสั่ง แต่จะต้องทำอะไรเช่นรดน้ำ หรือปล่อยทุเรียนให้อดน้ำ ตัดแต่งกิ่ง หรือท้ายที่สุดคือขั้นตอนการเก็บ จะมีลุงกุ้งกับน้าเที่ยงที่คอยมีหน้าที่เป็นคนสั่ง แยกงานกันทำ
อีกคนที่เก่งกาจในการปลูกต้นทุเรียนก็คือน้าเที่ยงผัวของป้าปูนี่แหละ เรียกว่าถ้าต้นทุเรียนต้นไหน เป็นฝีมือของน้าเที่ยงจัดการปลูกด้วยมือของตัวเองล่ะก็ รับรองว่าไม่ตายแน่ ๆ การปลูกทุเรียนนี้เป็นเรื่องของฝีมือและความชำนาญจริง ๆ เพราะทุเรียนมันจะว่าปลูกง่ายก็ง่าย ปลูกยากก็ยาก แต่ร้อยทั้งร้อย ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้เกิดและเติบโตมากับต้นทุเรียนล่ะก็ ปลูกให้ตายยังไงก็ไม่รอด
ตอนเด็ก ๆ สวนนี้ปลูกต้นไม้หลากหลาย ทั้งทุเรียน เงาะ และมังคุด ว่ากันว่าถ้าปีไหนทุเรียนออกผลน้อย มังคุดก็จะมีมาก สลับกันไป นัยว่าให้ชาวสวนได้มีรายได้ทดแทนกัน มังคุดนี้มันปลูกง่ายดูแลง่ายกว่ากันเยอะ แต่ที่ยากเย็นก็คือการเก็บ ด้วยว่ามันไม่ได้ออกลูกเป็นพวง ๆ จะได้เก็บได้ทีละมาก ๆ แต่มันออกลูกแต่ละลูกก็จะห่าง ๆ กัน และส่วนใหญ่จะชอบออกลูกที่ปลายกิ่ง และเกือบทั้งหมดต้องใช้มือเก็บ แถมมังคุดถึงเปลือกมันจะหนาแต่ก็บอบบางจะเก็บแล้วโยนลงมาล่ะก็เป็นอันว่าเสีย ไม่ได้กินกันล่ะ ส่วนเงาะเหลือแค่ไม่กี่ต้นแล้ว ปลูกกินเล่น ๆ ปลูกแจกเป็นพื้น บางทีก็เก็บได้เข่งโต ๆ เอาไปถวายวัดในงานบุญ
จะปีนไปเก็บมังคุด ก็ต้องปีนขึ้นไปโดยสะพายย่ามใบใหญ่ ๆ ต่อเมื่อเต็มแล้วก็ค่อยหย่อนเชือกลงไป คิตตี้แก้ไขด้วยการไปจ้างเด็กนักเรียนที่ไม่เด็กมากไม่โตมากให้มาเก็บมังคุด แต่เด็กน่ะมันเหมือนลิง ต้องคอยคุมไม่อย่างนั้นมันก็เล่นกัน ให้ค่าแรงกันเป็นปริมาณตามน้ำหนักที่เก็บได้ เก็บมากก็ได้มาก และต้องเก็บแบบดี ๆ เก็บชุ่ย ๆ ไม่ได้นะเออ ข้าวเที่ยงน่ะป้าปูทำใส่ปิ่นโตมาส่งถึงในสวนแถมด้วยขนม มังคุดลูกเล็ก ๆ ที่สุกคาต้น ก็อนุญาตให้เด็ก ๆ ทโมนพวกนี้เก็บกินกันได้เลย มังคุดลูกโต ๆ เกรดเอ จะมีล้งมารับซื้อถึงที่ มังคุดส่งนอกได้ราคา และคนไทยไม่ได้กินหรอก ได้กินพวกเกรดรอง ๆ ลงมา อันนี้ต้องทำใจ เพราะชาวสวนทำงานเพื่อเลี้ยงชีพไม่ได้ทำการกุศลเด้อ ที่ไหนได้เงินง่ายได้เงินเยอะกว่าก็ต้องจัดไป
รถซึ่งกระบะท้ายเพียบแปล้ไปด้วยทุเรียนที่คัดมาอย่างดีบรรจุเต็มแทบไม่เหลือที่ คลุมด้วยผ้าใบเป็นอย่างดี ข้อดีของทุเรียนคือเปลือกที่หนาทำให้การขนส่งทุเรียนแทบจะไม่เสียหาย แต่การเรียงทุเรียนลงท้ายรถก็ต้องอาศัยความชำนาญเหมือนกัน เรียงแบบไม่ให้เหลือที่ว่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไปอยู่สวนเสียสี่วัน คิดถึงพ่อกับแม่นัก แต่โชคดีที่อีหวังน้องชายของคิตตี้มันก็อยู่บ้านตลอด แม้จะไม่ได้ไปช่วยพ่อกับแม่ขายผัก เพราะหวังมันกลายเป็นอินฟลูชื่อดัง เป็นช่างเสริมสวยที่มีฝีมือระดับแต่งหน้าให้ดารา แล้วมันยังกำลังเริ่มเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์อีกด้วย
ความที่ตั้งแต่เด็ก หวังมันรักสวยรักงาม พอเริ่มมีเงินก็ซื้อเครื่องสำอางมาแต่งหน้าเล่น ๆ แต่งหน้าทั้งทีก็ไลฟ์สดมันซะเลย สวยมั่ง พังมั่ง แต่คนก็ชอบดูหวังมันแต่งหน้าเพราะดูเพลินดูสนุก สนุกก็เพราะมีคิตตี้นี่แหละ ที่แม้จะอยู่หลังกล้อง และส่งเสียงเพียงอย่างเดียว แต่การที่พี่น้องทะเลาะกัน แซวกันให้คนอื่นฟัง เหมือนคนดูลำตัดที่ว่าเพลงตอบโต้กันไปมา ไม่มีใครยอมแพ้ฝีปากกันเลยทีเดียว
"อีดอก ปากหรือเม็ดบ๊วยทำไมมันแห้งอย่างนี้" (อันนี้หวังมันไม่ได้แต่งหน้าตัวเอง มันให้คิตตี้มาเป็นแบบ เพราะลิปสติกที่รีวิวมีสี่สี ก็เลยทากันคนละสองสี แต่คนเรามันมีแค่ปากเดียวไหมล่ะ ก็เลยต้องยืมปากคิตตี้สักหน่อย)
ไอ้แต่งหน้าตัวเองน่ะก็ว่าสนุกเพราะมีคิตตี้คอยแซว แต่ตอนหวังมันให้คิตตี้มาเป็นแบบแต่งหน้า อีผีเจาะปากนี่มันก็ด่าว่าคิตตี้ไม่พัก จนบางทีนึกฉิว คิตตี้ก็แทบจะล้างหน้าแล้วหนีไปนอน สารพัดที่อีน้องปากร้ายนี่จะสรรหามาติมาว่า แต่มันก็ขำไปด่าไปเพราะด่ากันมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ตามประสาลูกแม่ค้า ฝีปากไม่เป็นที่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
"อินสไปล์ของมึงคือใคร?" หวังถามก่อนที่จะเริ่มแต่งหน้าให้
"นาโอมิ แคมเบลล์" คิตตี้ตอบ เพราะชอบนางแบบผิวสีที่แม้จะเข้าสู่วัยคุณป้าแต่ก็ยังสวย ที่ชอบนางแบบคนนี้เพราะเธอเป็นนางแบบผิวดำ คิตตี้น่ะไม่เหมือนหวัง อีเวรนั่นมันขาวได้พ่อ แต่คิตตี้ผิวสองสีอย่างแม่ จนแม่เคยเรียกลูกสองตัวว่า ลิงขาวกับลิงดำ ด้วยว่าตอนเด็ก ๆ ซนอย่างก๊ะลิง
"นาโอมิ แคมดำมึงอ่ะ" อีหวังเริ่มยกหนึ่ง
"ช่างแต่งหน้าเสร็จนี่ล้างแปรงด้วยหรือเปล่า?"
"ทิ้งค่ะ" ..."อีสัส"
"นี่คือช่างแต่งอันดับห้าของเมืองไทย" คิตตี้แซวฝีมือของน้อง
"ไม่ใช่อันดับห้าของโลกค่ะ"
"อันดับห้าของโลกเลยหรอ?"
"โลกหลังความตาย ถึงแต่งหน้าให้มึงไงอีดอก"
"วันนี้อยากจะแต่งหน้าลุคไหน?" คิตตี้ถาม เหลือบตามองบรรดาเครื่องสำอางที่หวังมันค่อย ๆ หยิบออกมาวางบนโต๊ะ
"ลุคแอน แฮตธเวย์" คิตตี้พาดพิงถึงดาราสาวตาโตคนโปรด ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากหนังเรื่องแรก พริ๊นซ์เซสไดอารี่ นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกน่ารัก อย่างหนึ่งที่คิตตี้รู้สึกอินหน่อยก็เพราะ ตาของคิตตี้ และรอยยิ้มของคิตตี้นี่มันเหมือนดาราสาวชะมัด อันนี้คิตตี้คิดเองเพราะจริง ๆ คิตตี้ตาตี่ไม่ได้ตาโตเท่าไข่ห่านเหมือนดาราสาวสักนิด แต่ถ้าเราคิดเราก็เป็นได้ดั่งใจ
"กูว่าอย่างมึงน่ะ แอนนาเบลล์ค่ะ" หวังมันพูดถึงหนังอีกเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องของตุ๊กตาผี อีดอกทอง
"ปกติใช้ครีมทาหน้าบ้างไหมคะ?" นังเมคอัพถาม
"ใช้แต่ครีมกันแดด" คิตตี้ตอบจริง ๆ ที่ใช้นี่ก็ขโมยของอีหวังมันใช้นั่นแหละ คิตตี้ถึงจะหน้าหวานแต่ไม่ได้เป็นคนรักสวยรักงามเหมือนน้องชาย ที่ใช้กันแดดทุกวันนี้ก็เพราะกลัวว่าแก่ไปหน้าจะเป็นฝ้าก็แค่นั้น และหวังมันก็ด่าเช้าด่าเย็น ถึงขนาดเอาครีมกันแดด (ยี่ห้อที่มันทำขายเอง) วางไว้ตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในรถ และที่ซึ่งคิตตี้ชอบไปทิ้งตัว
"อย่างมึงต้องใช้คีมตัดลวดค่ะ" อีหวังกัดกูอีกแล้วอีปอบ
"อันนี้ครีมอะไร มอยเจอร์ไรท์เซอร์หรอ?"
"ใช่ค่ะ แต่ไม่บอกยี่ห้อนะ เพราะเป็นความลับบริษัท"
"เอ๊า"
"กูรีวิวลิปสติกค่ะอีดอก ไว้ถามถึงลิปสติกเนาะอย่าสะเออะ"
"อีดอกทำไมทาเยอะจัง หยาหมดแล้ว" คิตตี้รำคาญอีหวังมันประเดครีมบำรุงหน้าเหมือนโบกปูน
"ก็หน้ามึงแห้งน่ะอีสัส แห้งกว่าหนังส้นตีนกูอีก" หวังมันด่ากลับ ยกมือมาจับหน้าของคิตตี้ให้อยู่นิ่ง ๆ บีบครีมบำรุงผิวหน้าโปะแล้วโปะอีก นวด ๆๆ จนครีมค่อย ๆ ซึมลงผิวตีน...เอ่อผิวหน้าค่ะ
"ตรงไหนคือจุดด้อยที่หน้ากูอ่ะ" คิตตี้ถาม เพราะคำตอบคือไม่มี หน้าของคิตตี้แม้ผิวมันจะคล้ำกว่าหวังสองเบอร์แต่ก็ละเอียดเนียน ตาของเรียวเล็กแต่คิตตี้ก็อยากจะมีโตอย่างกะไข่ห่าน อย่างที่เขาเรียกว่าโตเหมือนดวงตาลูกเนื้อทราย คิ้วก็โก่งได้รูปราวกับหงส์ ไม่ต้องกัน ไม่ต้องถอน จมูกของคิตตี้นั้นก็โด่งกำลังดีปลายจมูกแม้จะรั้งนิด ๆ ดั่งจมูกสิงโตแต่ก็มีเนื้อ เป็นโหงวเฮ้งของคนที่จะเป็นเศรษฐีและเก็บเงินเก่ง ส่วนปากนั้นก็เป็นกระจับได้รูป ยามแย้มยิ้มนิด ๆ ก็จะเห็นไรฟันขาวและซี่ฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบเหมือนเมล็ดข้าวโพด ถ้าเผยอปากพูดก็จะเห็นเหงือกสีชมพูสดใสอย่างคนที่มีสุขภาพดี และถ้าพูดจาออกมา หมาจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ในปากก็จะพากันเห่ากันให้ขรมเลยเชียวล่ะ
"จุดด้อยหรอ เอาปากกามาวงทั้งหน้ามึงแหละค่ะอีดอก"
"แต่งแบบกลบจุดด้อยเน้นจุดเด่น ใช่ป่ะโดยเฉพาะบริเวณดวงตา" คิตตี้พูดแล้วก็เหลือบตาไปมองขนตาปลอมที่ติดแล้วมันทำให้ตาของคิตตี้น่ะหวานเหมือน เพชรา เชาวราช นางเอกตาน้ำผึ้ง ซึ่งอยู่ในยุคตายายเลยเชียว
"ไม่ค่ะ ตรงไหนคือจุดเด่นดีกว่า แต่งแบบกลบจุดเด่นเน้นจุดด้อยค่ะ" หวังตอบแล้วค่อย ๆ ลงรองพื้นให้จนคิ้วของคิตตี้หายไปเลยทีเดียวเรียกว่าหน้าวอกเหมือนกระดาษ
"อีดอกยี่สิบนาทีแล้วลงรองพื้นยังไม่เสร็จอีกหรอ?"
"ก็หน้ามึงยากอ่ะ" หวังโวยวาย
แต่งหน้ากันไปด่ากันไป ทะเลาะกันไป หัวเราะกันไป คนที่ขำที่สุดน่าจะเป็นพ่อกับแม่ที่ส่งเสียงหัวเราะมาเป็นลูกคู่ แต่งหน้าแต่ละทีอีหวังมันแต่งน้านนาน นานราว ๆ สามพุทธธันดร เพราะนานเหลือเกิน ก็เล่นแต่งทีก็เหลือบไปมองทีว่าใครคอมเม้นต์อะไร มันก็ตอบ กลับมาแต่งอีกทีเอ๊าครีมแห้งไปแล้วก็ต้องลงกันใหม่ แต่ว่าไม่ได้ มันขายของก็อีตรงนี้ คิตตี้ซึ่งถ้าไม่ได้แต่งตา ก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาคอยอ่านคำถามของคนดูหรือเอฟซีของอีหวัง ถามแล้วก็ตอบจริงมั่งกวนตีนมั่ง ก็ว่ากันไป
สินค้าที่อีหวังมันรีวิวแล้วติดตะกร้าขาย มีระบบอัตโนมัติเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าเป็นการตลาดยุคใหม่ไม่ต้องสต๊อกสินค้า ไม่ต้องมีหน้าร้าน ซึ่งทำให้ทุนจมเหมือนการค้าสมัยก่อนอีกแล้ว
ผิดกับคิตตี้ที่ทุเรียนอันเป็นสินค้าหลักมันเป็นผลไม้ที่แม้จะแข็งแรงแต่ก็บอบบางเหลือเกิน อายุในการตัดก็มี ฉวยทิ้งไว้นาน เกิดสุกจนเป็นปลาร้า เป็นอันว่าเสียของ ทุนหายกำไรหด แต่เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแค่ในช่วงแรก ๆ คิตตี้ที่ขายทุเรียนมาหลายปีดีดัก กำไรจากการขายก็ถึงขนาดเอาไปส่งอีหวังมันเรียนเสริมสวยจนจบ แล้วก็ดาวน์รถกระบะคันนี้เป็นของตัวเองไม่ต้องใช้รถของพ่ออีกแล้ว เพราะจริง ๆ แต่ก่อนก็ใช้รถของลุงกุ้งแต่ถ้าเอามาใช้ที่กรุงเทพฯ ที่สวนก็ไม่มีรถใช้ ลำบากในการเข้าออก พอเก็บเงินได้สักก้อน คิตตี้ก็ตัดสินใจซื้อรถคันนี้นี่เลย
คิตตี้น่ะ ชื่อจริง ๆ ก็คือสมคิด เหมือนอีหวังที่ชื่อจริงคือ สมหวัง ไอ้ที่ต้องสม ๆ นี่ก็สาเหตุมาจากพ่อ ที่ชื่อเล่นว่าตาแมวแต่ชื่อจริงของพ่อน่ะชื่อ สมศักดิ์ เรียกว่าสมทั้งตระกูล ปู่ของคิตตี้ชื่อสมบูรณ์ เอาสิ
จะด้วยความบังเอิญหรือเพราะคิตตี้ซึ่งมีแววหวานอยู่แล้ว ก็สุดจะเดา คิตตี้น่ะเป็นสาวกของซานริโอ้ โดยเฉพาะเจ้าแมวเหมียวคิตตี้ แมวขาวผู้ไม่มีปาก น่ารักตะมุตะมิ และสีสัญลักษณ์ของนางแมวคิตตี้น่ะก็คือสีขาวกับสีชมพู ดังนั้นเกือบทุกสิ่งที่คิตตี้ใช้ก็จะเป็นสีชมพูขาวและถ้ามีลวดลายได้ก็จะต้องมีลายของคิตตี้ เริ่มตั้งแต่เคสโทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้า ของใช้ ถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเดียวที่คิตตี้ยอมจ่ายเพราะปกติคิตตี้น่ะขี้งกสุด ๆ เรียกว่าบาทสลึงไม่มีให้กระเด็น ตามประสาลูกแม่ค้า
แต่คิตตี้ก็งกกับตัวเองเท่านั้นล่ะ กับพ่อแม่ ลุงป้าและน้อง คิตตี้ก็คือแม่บุญทุ่ม เงินทุกบาททุกสตางค์คิตตี้จะทำบัญชีไว้หมดอย่างละเอียดชนิดผู้สอบบัญชีเห็นจะต้องอมยิ้มเลยเชียวล่ะ เรื่องเงินก็แบ่งเป็นกอง ใช้เอง ให้พ่อกับแม่ ใช้คืนลุงกับป้า ส่วนที่เหลือก็ค่ากินค่าใช้
วันนี้อีหวังมันอยู่บ้าน เสาร์อาทิตย์โน่นล่ะ ผัวเด็กของมัน อีซาลาเปาจะมารับให้ไปนอนค้างที่บ้านด้วยกัน คิตตี้ล่ะหมั่นไส้ ไม่ใช่เห็นน้องมีแฟนแล้วอิจฉาหรอกนะ คิตตี้ก็เคยมีแฟนน่ะ แต่คบแล้วไม่ถูกใจคิตตี้ก็เลิก เปลี่ยนแฟนมาแล้วจนนับนิ้วมือนิ้วตีนไม่ถ้วน เมื่อตกตะกอนได้ คิตตี้ก็เลยไม่คิดจะมีมันแล้วล่ะแฟนหรือผัวนี่ หาเอาแบบรักสนุกไม่ผูกพันดีกว่า ยุคสมัยนี้มันออนไลน์ หาคนมานอนด้วยง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ยิ่งคิตตี้เป็นคนหน้าตาดีน่ารัก (ขอแค่อย่าหลุดพูดแสดงตัวตนของตัวเองออกมาน่ะนะ) อ่อยเหยื่อให้ใครเป็นได้หมด แต่ข้อเสียคือขี้รำคาญหนักมาก และถ้ารำคาญคิตตี้จะไม่ทน
แต่คิตตี้ก็อาจจะเป็นคนไม่ค่อยเหงาด้วยล่ะมั้ง ด้วยความเป็นคนงกและบ้างาน คิตตี้ทำงานหนักอย่างที่พ่อแม่ไม่รู้ เพราะเจ้าตัวไม่เคยบ่น ตอนนี้ไปขายทุเรียนคิตตี้ก็ขายคนเดียว ลูกค้าก็รอหน่อยก็แล้วกัน แม่ค้ามีแค่สองมือสองตีนเท่านั้น แต่ด้วยความชำนาญ ไม่มีใครบ่นทุกคนยอมรอ และคิตตี้ว่าลูกค้าน่ะออกจะชอบใจ ยามดูแม่ค้าหน้าหวานปอกทุเรียนลูกที่ตัวเองเลือก เหมือนนางรจนาเลือกคู่นั่นแหละ
ปอกอย่างชำนิชำนาญ และเมื่อแหวกเปลือกทุเรียนจนเผยให้เห็นพูทุเรียนอวบฉ่ำ กลิ่นหอมของทุเรียนฟุ้งกำจายจนคนรอน้ำลายหก คงคิดสินะว่าเดี๋ยวจะเอาไปแช่ตู้เย็นให้เย็นฉ่ำทีเดียว เอามากินตอนเย็น ๆ เนื้อทุเรียนที่มีเนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มในก็แทบจะละลายในปากเหมือนกินไอศกรีมชั้นยอด คิตตี้เห็นแววตาอย่างนี้มานักต่อนัก
ต่อเมื่อดึกดื่น เหลือทุเรียนที่ไม่ค่อยจะสวย เนื้อเละไปบ้าง หรือมีส่วนที่เสีย คิตตี้ก็จะแกะเนื้อที่พูมันยังดีพอใช้ เอามาใส่กล่อง ขายแบบถูก ๆ คนอยากกินของอร่อยแต่เบี้ยน้อยหอยเล็ก ก็จะได้มีบุญกินทุเรียนกับเขาบ้าง เรียกว่าขายถูกเหมือนแจก ขายทุเรียนเสร็จจนดึกดื่น เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะกลับเมืองจันท์อีกแล้ว แต่คิตตี้ว่าพรุ่งนี้จะไปตอนสาย ๆ อยากจะนอนให้เต็มที่ไม่ต้องรีบร้อน และบอกตรง ๆ คืนนี่คิตตี้อยากจะเสียเนื้อเสียตัว อยากเสว อยากกินผู้ชาย
ขับรถไปเก็บที่บ้าน อาบน้ำจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้านหอมกรุ่น แล้วนังตัวดีก็ค่อย ๆ ย่องออกจากห้อง
"อีดอกจะไปไหน ดึก ๆ ดื่น ๆ" หวังที่กำลังทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าอดจะถามไม่ได้
"เสือก" คำตอบสั้น ๆ แต่ได้ใจความ คิตตี้ตอบแล้วก็รีบเดินจากมา การแต่งตัวของคิตตี้ไม่ได้พิถีพิถันอะไรขนาดนั้น เสื้อยืดสีชมพูตัวโปรดมีลายปักคิตตี้ที่หน้าอกตัวเล็ก ๆ กางเกงขาสั้นจุ๊ดสีขาว กับรองเท้าแตะสีขาวเช่นกัน เนื้อตัวของคิตตี้หอมกรุ่นเพราะขโมยน้ำหอมของอีหวังมาใช้ เดินลัดเลาะไปจนถึงพระโขนง แต่เอ๊ะคิตตี้จะไปไหน ไปทำอะไร คิตตี้ไม่บอกใคร เพราะนี่มันคือความลับของบริษัทค่ะคุณขา