การผจญภัยที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจลึกลับของโลกแห่งศิลา และความปราถนาอันยากจะหยั่งถึงของจิตใจมนุษย์
แฟนตาซี,ลึกลับ,ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,ลึกลับ,ต่างโลก,เวทมนตร์,แอคชั่น,ผจญภัย,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Impelle` Anima ปรารถนาแห่งมนายตนะการผจญภัยที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจลึกลับของโลกแห่งศิลา และความปราถนาอันยากจะหยั่งถึงของจิตใจมนุษย์
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแฟนตาซี แนวดราม่าผจญภัย อาจจะมีเนื้อหาการบรรยายถึงการต่อสู้และฉากน่ากลัวในบางช่วงบางตอน และโปรดระวังเนื้อหาที่อาจมีความตึงเครียด
ปรารถนาที่จะหลับไหลไปตราบนานเท่านาน...
แม้แสงของวันใหม่จะมัวหมอง ก็ยังคงส่องสว่างออกมา รอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเธอ ผู้จ้องมองผ่านกาลเวลานั้น เป็นแค่เพียงเด็กหญิงไร้เดียงสา
สายฝนจะนำพาหยาดน้ำของตราบาปตกลงมาสู่พวกเขา และคำอธิษฐานต่อโชคชะตาก็จมดิ่งไปชั่วนิจนิรันดร์
......
ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นก็พลันมองเห็นตนเองในกระจกเงา...
เด็กหนุ่มยืนกระพริบตาจ้องไปยังบานกระจกกลมโตในกรอบที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ...ชายผู้นั้นคือใครกัน ผมยาวประบ่าแววตาละมุนละไม นัยน์ตาเปล่งประกายแพรวพราวเหมือนแสงจากดวงตะวันฉาย คนที่ยิ้มอ่อนๆให้เขาในเงาของกระจกที่กลับด้าน...
" ลาน่า... รีบแต่งตัวหน่อยลูก จะถึงเวลาพิธีแล้ว "
" ค่า... "
อลันหันขวับไปมองเด็กสาวก้าวเดินเข้าห้องมาผ่านตัวของเขาไป มายืนเบื้องหน้ากระจกเงาบานใหญ่
" เหนื่อยจังเลย เรียนมารยาทแล้วยังต้องมาแต่งตัวให้ใครก็ไม่รู้ดูอีก เฮ้อ... " องค์หญิงลาน่า ยามนี้เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวผู้งดงามราวกับดอกไม้แรกแย้ม
เธอกำลังแต่งหน้าทำผมของตนเองอย่างละเมียดละไมภายในห้องนอน ยามที่ความสว่างส่องแสงอันนุ่มนวลผ่านหน้าต่างเข้ามา
อลันยืนนิ่งมองดูเห็นเหตุการณ์นั้นอยู่เงียบๆ ในกาลเวลาที่หนุ่มสาวทั้งสองห่างกันเพียงเอื้อมมือ...
เด็กสาวมองสะท้อนเข้าไปในกระจกเงา และสายตาก็พลันประสานกันในห้วงเวลาหนึ่ง
เธอส่งยิ้มหวานมาให้ " ขอบคุณนะ ที่คอยเป็นกำลังใจให้ " เด็กสาวสัมผัสถึงความรู้สึกอบอุ่นใจและสีหน้าก็ดูสดชื่นขึ้นมาทันตา
เด็กหนุ่มผู้ยืนอยู่เบื้องหลังเธอนั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ' เธอโตขึ้นแล้วสินะ ' อลันยิ้มตอบ
......
ในท้องพระโรง บนบัลลังก์ของราชาและราชินี
องค์หญิงลาน่าในชุดเดรสยาวเรียบร้อยนั่งเคียงข้างบิดาและมารดา
" ผู้คนที่ดื่มน้ำจากจอกใบนี้ จะพูดความจริงออกมาเสมองั้นหรือ " ราชินีเอ่ยถามองครักษ์
" ขอรับองค์ราชินี องค์ราชาได้รับสั่งให้หม่อมฉันทดลองกับทหารและบริพารหลายคนแล้วขอรับ "
" เข้าใจแล้ว งั้นดีล่ะ... ให้พวกเขาเข้ามาได้ "
อาคันตุกะจากต่างแดนได้มาเยือนนครแห่งนี้ พวกเขาได้เข้าเฝ้ากษัตริย์และราชินี
องค์ชายจากต่างเมือง เป็นชายหนุ่มรูปงามพร้อมด้วยบริวารมากหน้า พวกเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายความเคารพ
" น่าสงสาร... ต้องถูกบังคับให้ดูตัวตั้งแต่ตอนนี้ องค์หญิงยังเด็กอยู่เลยนะ "
อลันได้ยินเสียงแว่วมาจากฝูงชนไม่ไกลจากตัวเขา เด็กหนุ่มดูเป็นกังวลและรู้สึกเป็นห่วงเธอจับใจ
ในยามนี้เด็กสาวผู้นั้นมีแววตาที่เศร้าหมอง ไม่สดใสเหมือนเช่นวันวาน
พิธีดูตัวดำเนินไปตามครรลองอย่างราบลื่น ทว่าความเรียบง่ายนั้นก็ถูกบิดพลิ้ว...
" เจ้าจงดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธิ์นี่ แล้วตอบเรามาสิว่า เมืองของเจ้าเป็นพันธมิตรที่ดีต่อพวกเราหรือไม่ " ราชินีเอ่ยถามองค์ชายจากต่างแดน และยามนั้นองครักษ์ได้หยิบยื่นจอกใส่น้ำบริสุทธิ์ให้แก่เขา
ชายหนุ่มรูปงามผู้นั้น หยิบมันมายกขึ้นดื่มอย่างมาดมั่น เสียงฮือฮาของผู้คนก็เงียบกริบลง ทุกสายตาล้วนจับจ้องมองดู และเมื่อเขาเริ่มปริปากพูด...
" เมืองของข้าไม่ได้อยากเป็นพันธมิตรกับพวกท่านหรอก หากว่าเมืองของท่านไม่ได้ร่ำรวยมั่งคั่ง และมีอำนาจเยี่ยงนี้
การแต่งงานก็เช่นกัน มิใช่ว่าพวกท่านมีแค่บุตรสาวเพียงคนเดียวหรอกหรือ ถึงได้พยายามจับนางคลุมถุงชนเพื่อหาผู้สืบทอดบัลลังก์ " เขาเอ่ยขึ้นอย่างห้าวหาญไร้ความยำเกรงใดๆต่อหน้าองค์ราชา และราชินี
" องค์ชาย! ทำไมถึงพูดแบบนี้ขอรับ! มันเป็นการเสียมารยาทมากนะขอรับ " องครักษ์ของเขาทักท้วงขึ้นในทันใด
" ขะ... ข้า... ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงพูดออกมาเองแบบนี้ " เขาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ากระวนกระวาย
สายตาอันคมกริบของราชินีจ้องมองไปยังชายจากต่างแดนผู้นั้นตาเขม็ง ความไว้เนื้อเชื่อใจมลายหายไปในพริบตา
' นี่น่ะเหรอ พลังของจอกแห่งความจริง ' อลันผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็พลันนึกขึ้นในใจ
......
นครทาลาส... เมืองแห่งความมั่งคั่งและพลังอำนาจ
ทั้งราชาและราชินี ต่างใช้พลังจากจอกแห่งความจริง สมบัติโบราณชิ้นนั้นในการควบคุมดูแลผู้คนทั้งชายและหญิง
" วันแห่งคำสัตย์ " ถูกบัญญัติขึ้นเป็นข้อบังคับของเมืองแห่งนี้ ในคืนที่จันทร์เต็มดวงก่อนเข้าฤดูเหมันต์ ประชาชนทุกคนจะต้องดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ เพื่อถวายความจงรักภักดีแด่องค์ราชา
และความจริงจะถูกเปิดเผยในค่ำคืนนั้น ผู้คนส่วนมากต่างจงรักภักดีต่อองค์ราชา ทว่า... หากมีผู้ใดคิดร้ายแม้เพียงเล็กน้อยก็จะถูกลงโทษเฆี่ยนตีอย่างทารุณ
ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่มาเยือนทูตจากต่างแดน ไปจนถึงพ่อค้าและเหล่ามิตรไมตรีทั้งหลาย ต่างจำเป็นต้องดื่มน้ำเพื่อเผยความจริงภายในใจของพวกเขา และหากมีผู้ใดที่ประทุษร้ายต่ออาณาจักรนี้จะถูกประหารให้สิ้นชีวี
พลังอำนาจของจอกโบราณ สร้างอิทธิพลให้แก่ อาณาจักรนี้อย่างเหลือล้น เป็นที่ยำเกรงของทุกผู้ที่ได้มาเยือน
......
ห้องบรรทม... หยาดฝนโปรยปรายลงมาในค่ำคืนหนึ่ง ยามนี้ราชินีพักผ่อนอยู่บนเตียงนอน รายล้อมไปด้วยเหล่าข้าทาสบริวาร ร่างกายของเธออ่อนแอและเป็นโรคร้าย ผิวหนังมีปานสีดำขึ้นตามร่างกาย ซูบผอมหมดเรี่ยวหมดแรง
" ท่านแม่ป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ " องค์หญิงลาน่าเอ่ยถามหมอหลวงที่กำลังตรวจดูอาการของเธอ
" ขออภัย หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบขอรับ "
" รักษานางได้ไหม " กษัตริย์เอ่ยถามขึ้น
" ไม่เคยเห็นโรคที่มีปานดำลุกลามขึ้นมาทั่วทั่งร่างกายแบบนี้เลยขอรับ คงต้องให้นักปราชญ์จากแดนเหนือมาดูอาการแทน " หมอหลวงเอ่ยในยามนั้น
ต่อมาไม่นาน...
" เป็นอย่างไรบ้าง ท่านนักปราชญ์ " กษัตริย์เอ่ยถาม
" คำสาปอนิม่า... ลุกลามใหญ่โตเหตุเพราะท่านใช้พลังของมันมากเกินไป " ชายชรานักปราชญ์แห่งแดนเหนือเอ่ยเรียบๆขณะตรวจดูอาการ
" จอกศักดิ์สิทธิ์น่ะเหรอท่าน ที่ทำให้เป็นแบบนี้ "
" ไม่ว่าจะเป็นวัตถุแบบใด หากว่าใช้พลังงานของมันมากเกินไปก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นเช่นนี้ได้ "
" แล้วจะรักษาท่านแม่ข้าได้ไหม " องค์หญิงลาน่าเองก็ดูวิตกกังวลมากในเวลานี้
" ข้าต้องขอโทษด้วย ในยามนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ มีแต่ต้องหยุดใช้พลังเพื่อยับยั้งไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ "
จอกศักดิ์สิทธิ์... สมบัติตั้งแต่ครั้งบรรพกาล มีพลังอำนาจมากมายเหลือคณานับ ทว่ามันก็นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดา
ทั้งราชาและราชินีใช้มันในการหาความสัตย์จริงจากผู้คน แลกมาด้วยผลตอบแทนที่แฝงไว้ด้วยตราบาปชั่วนิรันดร์
' คำสาปอนิม่า มันคืออะไรกันแน่นะ ' เด็กหนุ่มผู้นี้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยสายตาของตัวเอง อลันเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นกับเมืองต้องสาปแห่งนี้
......
พระราชพิธีพระบรมศพ... ขององค์ราชินี
" ฮือ... ฮืออ... ท่านแม่! " องค์หญิงลาน่าร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าพระบรมศพของพระองค์
" ลาน่า... ไม่เป็นไรนะลูก " ราชาสวมกอดบุตรสาวของตนยามที่สูญเสียคนสำคัญของพวกเขาไปตลอดกาล
" เพราะมัน! เพราะสมบัติโบราณชิ้นนั้น ท่านแม่ถึงได้ต้องตายไป " เธอตวาดเสียงขึ้น น้ำตาพลันไหลรินอาบใบหน้า ทั้งความรู้สึกเสียใจและสิ้นหวัง โกรธเกรี้ยวและอาฆาต ถาโถมเข้ากัดกร่อนจิตใจของเด็กสาวผู้นี้
" ข้าจะเอามันไปทิ้งให้ไกลไม่ให้ใครหาเจออีก! "
" ไม่ได้นะลาน่า! เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเราจะไม่มีอำนาจในการควบคุมผู้คนอีก
จอกใบนี้ทำให้เมืองของเรามีอำนาจมากกว่าเมืองอื่น พ่อจำเป็นต้องใช้มัน "
" ท่านหยุดใช้มันได้แล้วท่านพ่อ!! "
" ลาน่า... ฟังพ่อก่อน "
" ถ้าใช้มันมากเกินไป ท่านจะโดนคำสาปเหมือนกับท่านแม่ ข้าไม่อยากเสียท่านไปอีกคน "
" เดี๋ยวก่อนลาน่า...! "
ความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจสุดจะทน เธอวิ่งร้องไห้ออกไปจากความเจ็บปวดและความสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับ
องค์หญิงหนีไปยังสวนพฤกษศาสตร์ ห้องเรือนกระจกขนาดกว้างใหญ่ที่เธอและแม่ช่วยกันสร้างขึ้น พืชพรรณนานาชนิดและบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ ความงดงามจากธรรมชาติของโลกใบนี้ และเธอกับแม่ก็รักษามันเอาไว้ เป็นความทรงจำอันสวยงามที่เธอบรรจงบ่มเพาะมันขึ้นมา
ยามนี้เธอเฝ้าคิดคำนึงและร้องไห้คร่ำครวญอยู่เพียงลำพัง ลาน่าเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่พึ่งจะเติบโตขึ้นมา โลกของเธอ... ที่คิดว่ามันงดงามและเพียบพร้อมไปด้วยความรัก แต่ทำไมสิ่งที่เลวร้ายถึงเกิดขึ้นกับเธอได้ ทำไมถึงได้สูญเสียคนที่เธอรักไปกับสิ่งที่ไม่อาจจะเข้าใจ ความลุ่มหลงมัวเมาในพลังอำนาจนำพามาซึ่งความพินาศสู่ชีวิต
" ฮึก... ฮึก... " เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น ความผิดหวังเจ็บปวดรวดร้าวกัดกินหัวใจอันเปราะบางของเด็กสาว
' ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ ' อลันมองเธอด้วยความอาลัย
" คุณอยู่ที่ไหนกันนะ... ฮึก... " ปลายนิ้วอันเรียวยาวของเด็กสาว ปาดน้ำตาบนแก้มของเธอ
' ผมอยู่ตรงนี้... ข้างๆเธอไง ' เด็กหนุ่มอ้าปากขึ้น แต่มันไร้ซึ่งถ้อยคำที่ออกมา เขาเอื้อมมือไปเพื่อจะคว้าตัวเธอ
" เปรี๊ยะ... เพล้ง...! " รอยร้าวปริแตกขึ้นในช่องว่างของอากาศ กระจายออกแตกเป็นเสี่ยงๆ ภาพความทรงจำทั้งหลายกลายเป็นเศษแก้ว แตกออกเป็นละอองเม็ดทราย
...ตระหนักถึงความเจ็บปวดและความขมขื่นที่ถูกยัดเยียดให้ ความเป็นจริงอันโหดร้ายแตกสลายราวกับถูกหยอกล้อโดยโชคชะตา
......
" ติ๋ง... ติ๋ง... " หยดน้ำ... ร่วงหล่นดังก้องกังวานไปทั่วพื้นที่ว่างเปล่าของซากอาคาร แสงสว่างพร่ามัวของดวงจันทร์ ส่องแสงเล็ดลอดมาจากรอยแตกร้าว
" ติ๋ง... " หนึ่งหยดตกลงบนใบหน้า
เขาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ท่ามกลางห้องกว้างที่เต็มไปด้วยหญ้ามอส เถาวัลย์เลื้อยพันเศษซากปรักหักพังและต้นพืชเล็กๆที่เติบโตจากรอยแยกบนผืนดิน
ความฝัน...
" อา... เกิดอะไรขึ้น... " เขาเปิดตาอย่างช้าๆรู้สึกเวียนหัวสะลึมสะลือ เสื้อผ้าเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนและคราบเลือด
" อือ... ปวดหัว... "
เขากวาดสายตาอันพร่าเลือนของตนมองไปรอบกาย โถงอันกว้างใหญ่ในซากอาคารเก่าผุพัง
' รู้สึกเหมือนฝันไป... '
" อูย... " เด็กหนุ่มพลันเอามือกุมศีรษะของตน ของเหลวสีแดงสดเปรอะเปื้อนติดมือมา
' เหมือนเราจะโดนกระแทกเข้าที่หัว ' อลันพลันเอามือลูบคลำไปที่ศีรษะของตน
' เลือดยังไหลไม่หยุดเลย ' เขามองหาเศษผ้าเก่าๆ จากม่านของหน้าต่างมาพันไว้ที่ศีรษะของตน
' ที่นี่ที่ไหนกันนะ จำอะไรไม่ค่อยได้เลย...
จำได้แค่ว่ากำลังเข้าป่ามาตามหามีน่า หลังจากที่เราพยายามใช้อุปกรณ์นักสำรวจ ก็เห็นบางสิ่งรูปร่างเหมือนมนุษย์ '
" จริงสิ! อุปกรณ์นักสำรวจ " เขาพยายามมองหาอุปกรณ์สำรวจของตน
" ...เหมือนว่าจะทำแว่นตาตกไปแล้ว เหลือแต่เข็มทิศ " เข็มทิศที่เขาหยิบมันขึ้นมา มันหมุนวนอย่างรวดเร็วและไร้ทิศทางเหมือนถูกรบกวนอย่างรุนแรง
' ทำไมเข็มทิศถึงได้หมุนมั่วไปหมด ท่าทางเราต้องพึ่งตัวเองแล้วตอนนี้ ' เด็กหนุ่มนึกขึ้นอย่างสงสัย
เขาพยายามที่จะทำการสำรวจสถานที่แห่งนี้ เพื่อหาว่าตนเองนั้นอยู่ที่ไหน มองหาทางออกในซากเมืองอันมืดมิดยามค่ำคืน
' ที่นี่คือ... นครลืมเลือนหรือเปล่านะ '
เขาลุกขึ้นเดินสำรวจเส้นทางภายในอาคารที่กว้างใหญ่ มันเต็มไปด้วยหญ้ามอส แอ่งน้ำขังจากร่องรอยของการทรุดตัวและแตกหัก อลันเดินสำรวจไปรอบๆจนมาถึงห้องโถงใหญ่ มีเสียงของบางสิ่งอยู่ภายในบริเวณนั้น
อลันหันขวับไปมองด้วยสายตาอันพร่ามัว ลมหายใจรุนแรงจนได้ยินเสียงของมันชัดเจน เบื้องหน้าของเขา คือลิงยักษ์ขนาดตัวใหญ่ผิดปกติหลับไหลอยู่กลางโถงกว้าง
ด้วยความกลัวและความอ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถจะขยับตัวก้าวขาออกไป เขายืนนิ่งตัวสั่นระริกอยู่ไม่ไกลจากมัน
' โชคยังดีที่มันหลับอยู่ ' เขานึกขึ้นด้วยความโล่งใจและพยายามก้าวขาเดินผ่านมันไป เด็กหนุ่มเดินจากห้องโถงใหญ่จนมาถึงทางเดินทอดยาว ต้นไม้หนาทึบขึ้นในบริเวณนั้นจนปกคลุมทั้งหลังคาและหน้าต่าง
' เราต้องตามหามีน่า... ' แม้จะอ่อนแรงและเหนื่อยล้า แต่อลันยังคงไม่ลืมสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
เขาพลันสังเกตเห็นสถานที่หนึ่งจากหน้าต่าง เบื้องหน้าตรงปีกด้านหนึ่งของอาคาร ปรากฏเป็นห้องเรือนกระจกที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันไปทั่วบริเวณ
' ห้องเรือนกระจก...? ' เด็กหนุ่มจดจำมันได้จากความทรงจำอันเลือนราง พลังอำนาจลึกลับที่ดึงดูดความสนใจ เขาจึงตัดสินใจจะเข้าไปสำรวจดูที่นั่น
ในระหว่างทางเดิน...
" ...ข้า ...ขอโทษ ไม่... " เสียงก็แว่วผ่านมาทางสายลมเย็นยะเยือกมา
ความรู้สึกหนาวสั่นจากไอเย็น เกิดเป็นหมอกลอยหนาขึ้นมาทั้งบริเวณ ไอหมอกบดบังการมองเห็นของเขาและสายตาที่พร่ามัวจากการเสียเลือดไปมาก ทำให้ภาพเหล่านั้นเลื่อนลอย
เขาเดินอย่างอ่อนแรงไปตามทางเดิน ความรู้สึกเย็นวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว
" หนีไป... องค์หญิง... "
" หนีไป... " เสียงแว่วดังสะท้อนก้องกังวาน ยามที่หมอกสีขาวโพลนปกคลุมทุกอย่างไว้
เงาจางๆอันเลือนลางและเสียงแว่วแผ่วเบา ภาพของใครบางคนกำลังวิ่งผ่านไป หายลับไปในไอหมอก
' นี่เรา... หูแว่วไปเอง หรือว่าเห็นภาพหลอนเพราะการเสียเลือดมากไปนะ '
" หวิว... " หมอกหนายังคงปกคลุมไปทั่ว
" ฉึก... "
" อ๊าาากกก " เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นในความเลือนรางของหมอกควัน
" กรี๊ดดด...!! "
" ปึง! " เงาของใครบางคนปิดประตูลงต่อหน้า
" แฮ่ก... " เขาหายใจเหนื่อยหอบเหมือนขาดอากาศ เดินสลึมสลือไปตามทาง จนกระทั่งถึงห้องเรือนกระจกแห่งนั้น เด็กหนุ่มใช้มือที่สั่นของเขาคว้าประตูและเปิดมันออกอย่างช้าๆ
ภายในห้องเต็มไปด้วยเศษซากของถ้วยชามที่แตกร้าวและกองกระดูกเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ เถาวัลย์เลื้อยพัวพันไปรอบๆและรอยคราบฝังลึกที่ติดอยู่ตามกำแพง
ในวินาทีที่เขาเหยียบเท้าเข้าสู่พื้นห้อง...
ของเหลวสีแดงสดผุดขึ้นมาจากผืนดิน ตามรอยแตกร้าวและกิ่งก้านของเถาวัลย์ ท่ามกลางเศษซากนั้นมันเอ่อล้นกลายเป็นโลหิตแดงฉานเจิ่งนองไปทั่ว
' เลือด!! ' กลิ่นคาวคละคลุ้งขึ้นเตะจมูก อลันตกใจสะดุ้งเฮือกใหญ่ และในชั่วอึดใจเดียวตัวของเขาก็พลันโน้มลงเข้าหาผืนน้ำ
เพียงแค่พริบตาห้องเรือนกระจกก็ล้นปรี่ไปด้วยของเหลวจนกลายเป็นทะเลเลือด ร่างกายของอลันจมดิ่งลงไปในห้วงลึกของมหาสมุทร วังวนแห่งความทุกข์ทรมานนำมาซึ่งภาพเหตุการณ์ของอดีตซ้ำรอยเดิม แล่นเข้ามาในทุกประสาทสัมผัสของเขา
......
" พาลาน่าหนีไป! ทหารพวกนั้นบุกเข้ามาถึงห้องโถงแล้ว " ราชาแห่งนครทาลาสกำดาบเอาไว้แน่น พร้อมด้วยองครักษ์ที่ล้อมรอบ
" ไม่นะท่านพ่อ! ข้าไม่ไป "
" ฉัวะ! " ในช่วงเวลาอันชุลมุน ทั้งเหล่าองครักษ์และราชาถูกสังหารลงสิ้นใจ ต่อหน้าของเด็กสาวผู้เดียงสา
" กรี๊ดดด!! " ลาน่ากรีดร้องขึ้นอย่างสิ้นหวัง
" ไม่ได้นะองค์หญิง ต้องหนีแล้วขอรับ " องครักษ์พลันคว้าตัวเธอเอาไว้ หลบหนีออกจากลานประหารที่นองไปด้วยความตาย
ยามนี้นครทาลาสลุกเป็นไฟ เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและสังหารผู้คนไม่มีเว้น เสียงกรีดร้องทนทุกข์ทรมานดังกึกก้องไปทั่ว ทุกสิ่งล้วนพังทลายลงในค่ำคืนสุดท้ายนั้น...
" องค์หญิง! หนีไป... "
" ฉึกกก... " ดาบยาวแทงทะลุกลางอกขององครักษ์ผู้นั้นต่อหน้าต่อตาเธอ
" กรี๊ดดด!! ไม่ๆๆๆ ไม่นะ ไม่ใช่แบบนี้ " เวลานี้เด็กสาวหมดสิ้นหนทาง แววตาไร้สิ้นความหวังและหัวใจอันแตกสลายกับร่างกายที่สั่นเทิ้มด้วยความกลัว
ลาน่าวิ่งหนีเข้าไปในสวนพฤกษศาสตร์ที่แห่งเดียวที่เธอนึกถึงในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ห้องเรือนกระจกกล่องเก็บความทรงจำอันงดงามของเธอ
" ฮึก... ฮึก... ฮือ.... "
" ท่านพ่อ... ท่านแม่... ทำไมถึงเป็นแบบนี้ " เธอคร่ำครวญร้องไห้สะอึกสะอื้น เสื้อผ้าละเลงไปด้วยเลือดเปรอะเปื้อนตามตัว ในมือคือสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อของเธอฝากเอาไว้ จอกแห่งความจริง...
" เพราะสิ่งนี้ใช่ไหม จอกต้องคำสาปบ้าบอนี่ ทำไมทุกคนถึงอยากได้มันนัก " เธอพร่ำเพ้อทั้งน้ำตานั่งลงเบื้องหน้าสมบัติที่ทุกคนหมายปอง
" ฉันอยากให้มันหายไปจากโลกนี้ ไม่อยากให้ใครหามันเจออีก ฮึก... ไม่อยากให้มีเรื่องเลวร้ายแบบนี้อีกแล้ว ฮือ... "
สัตว์ตัวน้อยที่เธอคอยเลี้ยงดู ลิงจมูกยาวตัวหนึ่งเข้ามาใกล้เจ้านายของมัน พวกมันสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของเด็กสาว มือที่โชกไปด้วยเลือดของเธอคู่นี้ สัมผัสจอกโบราณอย่างแผ่วเบา
" ฮึก... เอามันไป... อย่าให้ใครหามันเจออีก ฮึก... " น้ำเสียงสั่นเครือและมืออันบอบบางนั้น หยิบยื่นให้กับเพื่อนตัวเล็กของเธอ
ลิงตัวน้อยมองเธออย่างอาลัย พวกมันฉลาดพอที่จะเข้าใจสิ่งที่เด็กสาวกำลังสื่อออกมา
" ฉันเป็น... คนสุดท้าย... ฮึก... ที่รู้จักพลังของมัน
พวกเขาจะ... ต้องให้ฉัน... ใช้มันทำเรื่องไม่ดี ฮึก... ฮึก... "
ในความสิ้นหวังเธอฝากฝังสิ่งสุดท้ายให้กับธรรมชาติเป็นผู้ดูแล และการตัดสินใจอันเด็ดขาดของเธอ...
องค์หญิงลาน่าคว้าเอาเศษกระจกคมกริบข้างตัว กำมันไว้แน่นจนมือชุ่มไปด้วยเลือด
ในวินาทีนั้น...
" อย่านะ!! " อลันตะโกนลั่น
" ฉึบ... " คมมีดกรีดลำคอ เธอปาดคอตนเองสิ้นใจไปในวาระสุดท้าย
แสงสว่างสุดท้ายอันบริสุทธิ์ดับมอดลงไปพร้อมกับเมืองที่ล่มสลาย ความปรารถนาอันแรงกล้าของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสา ได้ให้กำเนิดคำสาปอันทรงพลังขึ้นมา
" วิ้งงง...... " เสียงแหลมดังเข้ามาในโสตประสาท
" อ๊าาา......!!! " เด็กหนุ่มแหกปากร้องลั่นอยู่ในวังวนของความบิดเบี้ยว ความเจ็บปวดทนทุกข์แสนสาหัสแล่นเข้าสู่จิตสำนึก ลิ้มรสของความทรมานและความลุ่มหลงในอำนาจ ความทรงจำบีบคั้นและหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
" หยุดเถอะ! พอที!! "
และในห้องแห่งนั้น... จอกแห่งความจริงก็ปรากฎออกมา โลหิตเอ่อล้นทะลักไหลมารวมกันปรับเปลี่ยนรูปร่างจากของเหลวสีแดงฉานกลายเป็นรูปลักษณ์ของเด็กสาว
องค์หญิงลาน่าลืมตาตื่นขึ้น ปรากฎตัวในร่างของสตรีโลหิตสีแดงชาด
" กรี๊ดดด!! " เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วท้องฟ้าอันมืดมนยามที่จันทราเต็มดวง
เธอปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มที่นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าสมบัติต้องสาป
ในทันใดนั้นเอง...
" จงเปิด...! "
" ดวงตาแห่งเทวา "
ชายชราผู้ที่มีปานสีดำเอ่ย ผู้เฒ่ามูซายื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในเวลานี้ เขาพลันใช้มือประกบกันเกิดเป็นพลังงานสว่างขึ้นเหนือศีรษะตน
ดวงตาแห่งเทพถูกเปิดผนึกออก...
' ออกมาจนได้นะ คำสาปของจอกโบราณ ' ผู้เฒ่ามูซา ปรมาจารย์แห่งผู้เฝ้ามอง จ้องเขม็งไปยังคำสาปแห่งนครลืมเลือน
จบตอน.