อวิ้นซี ชายหนุ่มในยุคปัจจุบันได้เสียชีวิตลง และดันลืมตาขึ้นมาในร่างเกอผู้หนึ่ง ซ้ำยังได้แต่งงานกับชายโง่เขลาอีกด้วย แต่พอได้เห็นหน้าที่หล่อเหลาของเขาอวิ้นซีได้ตัดสินใจจะเลี้ยงดูเขาในอนาคต
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ชายรักชาย,ชาย-ชาย,ต่างโลก,#BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ บุตรชายของตระกูลโจสามคนที่พึ่งแยกบ้านออกมาได้ไม่ถึงสองเดือน ตอนนี้พวกเขาเปิดร้านเสียใหญ่โตเชียว” เหล่าสตรีและเกอในหมู่บ้าน ทุกวันคนพวกนี้นอกจากจะเลี้ยงลูก ปรนนิบัติสามีและแม่สามีแล้วก็ไม่มีอันใดทำมากนัก เวลาว่างได้แต่จับกลุ่มนินทาผู้คน ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางหมู่บ้านนั้นเป็นที่นัดพบของพวกเขา เรื่องใหญ่เล็กในหมู่บ้านสะใภ้หรือฮูหยินเหล่านี้ไม่เคยพลาดสักเรื่อง
“เช่นนั้นรึ ตอนแรกที่แยกบ้านเห็นว่าได้สมบัติ แต่แค่สร้างเรือนก็หมดแล้วหรือไม่ เหตุใดถึงได้เปิดร้านใหญ่โตได้” เรื่องของคนสกุลโจแยกบ้านนั้นไม่มีใครไม่รู้ ถึงแม้ว่าแม่โจจะลำเอียงอยู่บ้าง แต่หลายคนยังลอบอิจฉา สกุลใหญ่ในหมู่บ้านพอแยกบ้านแล้ว บุตรชายแต่ละคนกลับได้สมบัติกันไปไม่น้อยเลย พวกเขาเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย แค่ไม่คิดว่าพวกเขาแยกบ้านออกไปยังสร้างเรือนกันเสียใหญ่โต ไม่พอกลับยังสามารถเปิดร้านในเมืองได้อีก
“ใช่เมื่อวานพวกเขาขี่รถม้าถึงสองคันมีม้าถึงสามตัวผ่านกลางหมู่บ้านไปเชียวนะ พวกชาวบ้านไปมุงดูกันเยอะเชียว” สตรีนางหนึ่งพูดขึ้นอย่างอิจฉา นางเป็นสะใภ้ของสกุลหลิวกลับไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อชุดสวยๆงามๆใส่ แต่เหล่าบุตรชายและสะใภ้ที่แยกบ้านของสกุลโจ กลับมีม้าถึงสามตัว รถม้าสวยงามนั่นอีก เมื่อเช้านางยังเห็นพวกเขาพากันใส่ชุดใหม่สวยงามไม่น้อยอีก เช่นนี้หากนางกล่อมสามีให้แยกบ้าน ชีวิตนางกับลูกจะดีขึ้นเช่นพวกเขาหรือไม่
“เจ้าจะไปรู้อะไร เจ้าโง่อันเฉิงนั่น แม้จะเป็นคนโง่เขลาแต่วาสนาดีไม่น้อยได้เมียเป็นชาวนครหลวงเชียวนะ ข้าว่าเงินทองที่มีต้องเป็นของสะใภ้สามโจผู้นี้แน่ เหอะๆ สะใภ้สามโจนั่นก็โง่นักที่มาแต่งงานกับคนเช่นนี้” สะใภ้เกอสกุลจงกล่าวออกมา เดิมเขาชมชอบในหน้าตาของเจ้าโง่สกุลโจนั่นอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นลงทุนไปเกี้ยวพาบุรุษด้วยซ้ำ แค่อันเฉิงไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาเองก็แต่งงานแล้วยังไม่ลืมความแค้น ยิ่งเห็นเจ้าโง่นั่นได้แต่งเมียหน้าตางดงามกว่าเขาแล้วไม่พอซ้ำยังมีร่ำรวยแล้ว อดไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะรู้สึกชิงชังอยู่บ้าง
“อ่า ถ้าเช่นนั้นที่เกอเฒ่าโจสร้างเรือนหลังใหญ่โตนี่ได้ ไม่ใช่เพราะสะใภ้สามของเขาหรอกนะ” คล้ายพวกเขาจะลืมไปจริงๆ ว่าสกุลโจยังมีสะใภ้สามที่มาจากนครหลวงผู้นั้นอยู่ เช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เรือนหลังใหญ่ของสกุลโจที่เป็นบ้านใหญ่นี้จะเป็นสะใภ้สามเป็นผู้ออกเงิน ไม่เช่นนั้นคนอย่างแม่โจจะกล้าใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่เช่นนั้นได้รึ ถึงแม้จะมีเงินอยู่บ้างใช่ว่าจะตัดสินใจใช้เงินมากเช่นนั้นได้หากเป็นเงินของตนเอง
“ต้องใช่แน่ๆ อยู่แล้ว สามีข้าทำงานกับเถ้าแก่จ้าวด้วยเช่นกัน เห็นว่าเกอเฒ่าโจได้จ่ายเป็นตั๋วเงินถึงสองร้อยตำลึงทอง ตั๋วเงินเชียวนะ มันจะมาจากที่ใดเล่าถ้าไม่ใช่ของสะใภ้เกอที่มาจากนครหลวง” สะใภ้ใหญ่สกุลหลินเบิกตาขึ้น นางจำได้สามีเคยพูดคุยเรื่องนี้ให้ฟังอยู่บ้าง พอเป็นเช่นนี้ความคิดของทุกคนก็ไปในทางเดียวกัน มิน่าเล่าที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
“พวกเจ้าพูดซี้ซั้วอันใด บ้านหลังนี้เป็นเงินของสามีข้า ไม่ใช่เงินมาจากผู้ใดทั้งสิ้น” สะใภ้ใหญ่ตวาดขึ้น เมื่อครู่นางแค่เพียงผ่านทางมาไม่คิดว่า เหล่าสตรีปากเหม็นพวกนี้จะนินทาครอบครัวของนางอยู่
“เหอะ สามีเจ้ารึ เขาทำอันใดถึงได้มีเงินมากมายเช่นนั้น วันๆ ข้าไม่เคยเห็นเขาก้าวออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว ตอนนั้นเรือนนี้สร้างเสร็จก่อนที่พวกเจ้าจะแยกบ้านอีกไม่ใช่รึ” สะใภ้เกอสกุลจง พูดเหน็บแนมเสียงดัง เป็นเงินของสามีนางรึ ผู้ใดในหมู่บ้านไม่รู้บ้างว่าโจต้าบุตรชายคนโตของสกุลโจนั้นไม่เอาไหนยิ่งกว่าโจอันเฉิงเสียอีก จะมีปัญญาสร้างเรือนหลังใหญ่โตได้อย่างไร เป็นเพราะแม่โจลำเอียงมอบให้โจต้าต่างหากเล่า
“พวกเจ้าข้าฝากไว้ก่อน หากได้ยินพวกเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าจะฉีกปากพวกเจ้า” สะใภ้ใหญ่ไม่มีอันใดจะโต้แย้งพวกเขาได้ นางจะบอกได้รึว่าแม่โจขโมยสินเดิมของสะใภ้สามมาแล้วโจต้าใช้คืนด้วยสมบัติของเขาแล้ว ช่างอัดอั้นใจนักนางได้แต่ขู่ไปเท่านั้นก่อนสะบัดตูดจากไปอย่างไม่พอใจ
“คิดว่าข้ากลัวรึ พูดคำจริงทำเป็นรับไม่ได้เสียแล้ว เหอะ พวกเราอย่าพูดเรื่องนางดีกว่า มาพูดเรื่องสะใภ้รอสกุลหยานเถิด นางแต่งงานมาสามปีแล้วยังไม่มีบุตร……" ทั้งหมดต่างเลิกสนใจสะใภ้ใหญ่ พลันเปลี่ยนไปนินทาสะใภ้บ้านอื่นต่อ
“ที่นี่สวยมากเลยขอรับ” ตอนนี้ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว เรือนทั้งสามหลังก็เสร็จทั้งหมดแล้ว รั้วก็ล้อมจนหมดสิ้น วันนี้พวกเขาต่างย้ายเขามาอยู่ในเรือนเรียบร้อยแล้ว
“อืม” อันเฉิงมองดูอย่างสนใจ เรือนหลังนี้ภรรยาเป็นคนเขียนแบบมันออกมาย่อมสวยงามมากอยู่แล้ว
“ฮ่าๆ กระท่อมหลังนี้ก็เอาไว้ให้ท่านใช้มันทำงานของท่านเถิดขอรับ” อวิ้นซีนั่งลงตรงโซฟาไม้ขนาดใหญ่ที่เขาขอให้สามีทำให้ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่หรือไม่ว่าเขาต้องลำบากเพียงใด สามีของเขาคนนี้มักจะเก็บค่าขอให้ทำอยู่เป็นประจำ น่าหมั่นไส้จริงๆ
“ได้ ข้าชอบมัน” เขาชอบกระท่อมหลังนั้นจริงๆ ภรรยาของเขามักรู้ใจเขาจริงๆ แม้จะจะไม่ได้พูดออกไปก็ตาม จะไม่ให้เขาชอบภรรยาได้รึ
"มีใครอยู่เรือนหรือไม่"
“พี่รองรึ” ได้ยินเสียงคนเรียกอยู่หน้าเรือน อวิ้นซีจึงเดินออกมาดูพร้อมกับอันเฉิงเดินมาตามหลัง พอรู้ว่าเป็นโจฉี อวิ้นซีจึงเปิดประตูให้เขาเข้ามาในเรือน
"น้องสาม น้องสะใภ้สาม ยินดีด้วยเรือนของพวกเจ้าสร้างเสร็จแล้ว" โจฉีกล่าวแสดงความยินดีกับพวกเขา เมื่อหลายวันก่อนอวิ้นซีกับอันเฉิงก็ได้ไปแสดงความยินดีกับพวกเขาเช่นกัน เนื่องจากเรือนของเขาและโจรุ่ยหลังเล็กกว่าของน้องสามอย่างมากจึงเสร็จเร็วกว่าและได้ย้ายไปอยู่ในเรือนก่อนหน้านี้
“ขอบคุณขอรับพี่รอง ว่าแต่คนอื่นๆ เล่าขอรับ” อวิ้นซีกล่าวขอบคุณเขา แทนสามีเพราะอย่างไรอันเฉิงมักไม่พูดอันใดอยู่แล้ว มองดูแล้วเห็นเพียงพี่รอง คนอื่นๆกลับไม่เห็นอวิ้นซีจึงถามอย่างแปลกใจ
“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ช่วงนี้ที่ร้านขายดีไม่น้อยเลย วันนี้ข้าอยู่ทำแก้วไม้ไผ่ให้พวกเขา” โจฉีวันนี้เขาได้ถูกขอให้ทำแก้วไม้ไผ่เพิ่ม ส่วนคนอื่นต่างออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว คาดว่าพวกเขาจะมาแสดงความยินดีกับบ้านสามในตอนเย็น
“เช่นนั้นรึขอรับ ดีไม่น้อยเลย” เขาเองก็ไม่ได้ไปช่วยที่ร้านบ่อยนัก เพียงรู้ว่าตอนนี้ที่ร้านขายดีไม่น้อยเลยที่เดียว
“ฮ่าๆ ขายดีจริงๆข้าไปช่วยพวกนางเมื่อไหร่ก็เห็นยุ่งทุกวัน เห็นน้องสะใภ้สี่ว่าเดือนหน้าอาจจะคืนเงินที่เจ้าให้ยืมได้แล้ว” โจฉียิ้มออกมา ทุกวันนี้พวกเขาวิ่งวุ่นไม่น้อยเลย แต่มันกลับทำให้เขาพอใจมาก มีงานย่อมมีรายได้จะไม่ยินดีได้อย่างไร ซ้ำยังสามารถที่จะคืนเงินน้องสะใภ้สามได้เร็วเช่นนี้อีก ต่อไปพวกเขาก็สามารถตั้งตัวได้แล้ว ตอนนี้ภรรยาเขาได้จ้างพี่เลี้ยงมาช่วยคอยดูแลบุตรชายที่ยังเล็ก จิวเอ๋อถึงแม้เป็นสตรี แต่ก็ได้เข้าเรียนในเมือง ทุกอย่างดีขึ้นจริงๆ
“โอ้ พวกท่านไม่ต้องรีบร้อนนักขอรับ ข้าไม่เป็นไร ขอแค่ให้ร้านมีสภาพคล่องที่ดีก่อนขอรับ” อวิ้นซีเองไม่ได้รีบร้อนอันใดนัก เงินส่วนนั้นค่อยคืนทีหลังก็ได้ขอเพียงที่ร้านไม่ติดขัดอะไรก็ดีแล้ว
“ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ” โจฉี อย่างไรก็ต้องขอบคุณน้องสะใภ้สาม เขาย่อมไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้ หากอวิ้นซีไม่ช่วยเหลือพวกเขาจะตั้งตัวได้รวดเร็วเช่นนี้รึ
“อาฉี อันเฉิง สะใภ้สาม พวกเจ้าอยู่ก็ดีข้านึกว่าจะไม่มีผู้ใดอยู่เสียแล้ว” อยู่ๆ ก็มีเสียงคนเรียกดังขึ้น เมื่อตอนที่อวิ้นซีกับอันเฉิงกำลังออกมาส่งพี่รองกลับเรือนหลังพูดคุยกันอยู่นานพอดี
“พี่หมิง เป็นอันใดรึท่านถึงได้รีบร้อนวิ่งมาเช่นนี้” โจฉีถามขึ้นอย่างเป็นห่วง พี่ชายที่อยู่ข้างบ้านเมื่อก่อนนี้พวกเขาสนิทกันไม่น้อย เหตุใดจึงวิ่งออกจากหมู่บ้านมาหาพวกเขาเช่นนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
“อยู่ๆ มีพวกนักเลงกลุ่มใหญ่มาถามหาสะใภ้ใหญ่สกุลโจน่ะสิ ข้าเห็นท่าไม่ดีกลัวเกิดเรื่องกับสกุลโจจึงรีบมาแจ้งให้พวกเจ้าทราบ” หมิงเทียนหอบเหนื่อย ก่อนจะพูดออกมา เมื่อครู่เขาเดินผ่านกลางหมู่บ้านเห็นพวกนักเลงเกือบสิบคนเข้ามาในหมู่บ้าน เที่ยวถามหาบ้านสะใภ้ใหญ่สกุลโจอยู่ที่ใดกับชาวบ้านคนอื่นๆ เขามองดูแล้วคล้ายจะไม่ได้มาดีนัก เขาจึงวิ่งออกมานอกหมู่บ้านเพื่อแจ้งข่าวให้พวกโจฉีทราบ อย่างไรพวกโจฉีก็เป็นคนสกุลโจเช่นกัน หากสกุลโจมีเรื่องอาจพอช่วยได้บ้าง
“คงไม่ใช่พวกที่โรงพนันมาตามทวงหนี้นางหรอกนะ เห็นทีจะเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน น้องสาม น้องสะใภ้สาม พวกเจ้าจะไปดูด้วยกันกับข้าหรือไม่” โจฉีขมวดคิ้ว คิดไว้อยู่แล้วสกุลโจสักวันต้องเกิดเรื่อง แต่เขาไม่คิดว่าจะเร็วเช่นนี้ อย่างไรเขาก็ต้องไปดูสักหน่อย เขาจึงหันไปถามอันเฉิงกับอวิ้นซีว่าจะไปกับเขาด้วยหรือไม่
“อืม พวกข้าจะไปด้วยขอรับ” อวิ้นซีตอบตกลง อย่างไรโจฉีไปคนเดียวคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก พวกเขาไปด้วยหากมีเรื่องอะไรจะได้ช่วยกัน ไม่ใช่ว่าเขาอยากยุ่งเรื่องของสกุลโจ แต่อย่างไรสามีของเขาก็เป็นบุตรชายที่แม่โจอุ้มท้องมาอย่างยากลำบาก เชื่อว่าอันเฉิงคงเป็นห่วงมารดาไม่ต่างจากพี่น้องคนอื่น แม่ไม่มีผู้ใดมองใบหน้านิ่งของเขาออก แต่อวิ้นซีสังเกตเห็นคิ้วเขาขมวดเล็กน้อยก่อนจะหายไปเมื่อครู่ อวิ้นซีจึงตัดสินใจเช่นนี้
“ท่านแม่เหตุใดวันนี้ไม่มีขนมของข้าเล่าขอรับ” อาหยวนร้องเสียงดัง เขาไม่ได้กินขนมอร่อยๆ มาสามวันแล้ว ตอนนี้เขาหิวเหลือเกิน
“อาหยวนวันๆ เจ้ากินแต่ขนมหวานดูสิฟันของเจ้าผุหมดแล้ว ขนมก็ราคาแพง แม่ไม่ซื้อให้เจ้าแล้ว” สะใภ้ใหญ่ดุลูกชาย เจ้าลูกชายที่ดีแต่กินจนอ้วนฉุคนนี้ วันๆ เรียกหาแต่ขนมหวานไม่รู้รึไรว่ามันแพงมากขนาดไหน นางไม่มีเงินซื้อให้เขาแล้ว
“สะใภ้ใหญ่ เจ้านี่กระไร อาหยวนก็กินมันอยู่ทุกวันราคามันจะเท่าใดกันเชียว” แม่โจเป็นท่านย่าที่ตามใจหลานชายยิ่ง ขนมราคาแค่ไม่กี่เหรียญทองแดง เหตุใดถึงซื้อให้เขากินไม่ได้ เงินทองใช่ว่าจะไม่มีพอซื้อให้เขาได้เสียหน่อย สะใภ้ใหญ่นี่นับวันยิ่งไม่ถูกตาแม่โจนัก
“ก็ท่านแม่”
ปัง
“ขนมลูกไม่เท่าไหร่ เหตุใดเราถึงได้กินข้าวต้มเปล่าเช่นนี้ เครื่องเคียงก็ไม่มีอีก ข้าเห็นเจ้าไม่ได้เข้าไปในเมืองของวันแล้ว พรุ่งนี้เจ้าเข้าไปในเมืองเสียหน่อยเถิด ข้าทนกินของพวกนี้ไม่ได้จริงๆ” โจต้าถึงขั้นตบโต๊ะ หลายวันก่อนเขาได้กินอาหารดีๆ จากในเมืองมาตลอดทำให้เขาพอใจยิ่ง แต่สามวันมานี้เขาได้กินแต่ข้าวต้มใส่ผักป่า เนื้อไม่มี แม้แต่ไข่ยังหาไม่เจอเช่นนี้เขาจะทนได้รึ
“ท่านพี่เจ้าคะ เเขนของข้าหายแล้ว ข้าทำกับข้าวได้แล้วนะเจ้าค่ะ อีกอย่างเราก็ใช้เงินไปไม่น้อย ข้าเกรงว่ามันจะหมดเอานะเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่กล่าวออกมาอย่างตัดพ้อ หากนางยังมีเงินเหลือคงทำเช่นนั้นต่อไป แต่นี่นางเสียให้กับโรงพนันหมดแล้ว นางจึงจำเป็นต้องมาลำบากทำอาหารเองนี่ไงเล่า นางชั่งโชคไม่ดีนักตอนนี้นางหมดตัวแล้ว
“หมดอันใดเล่าเงินท่านแม่ให้มาตั้งหลายตำลึงทอง ใช้หนึ่งปีก็ไม่หมด” โจต้ายังใช้เสียงดังอย่างกรุ่นโกรธ เงินตั้งยี่สิบตำลึงทองจะหมดง่ายๆได้รึ เขายังสามารถกินอาหารดีๆ ได้อีกหลายมื้อ
“เจ้าใหญ่ เงินข้าให้พวกเจ้าใช่ว่าจะไม่มีวันหมด เจ้าก็หัดออกไปทำงานบ้างจะเป็นไร เห็นน้องๆเจ้าพวกนั้นทำงานเปิดร้านเสียใหญ่โตเชียว” มองลูกสะใภ้ว่าไม่เข้าตาแล้ว แม่โจก็เริ่มมองบุตรชายของตนไม่เข้าตาเช่นกัน เมื่อก่อนมีพี่น้องคอยทำงานหาเงินไม่เป็นไร แต่บัดนี้แยกบ้านกันแล้ว โจต้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะไม่ทำงานได้รึ เงินใช่ว่าจะงอกเงยออกมาจากใบไม้เสียเมื่อไหร่
“อะไรเล่าท่านแม่ ข้ารึจะทำงานพวกนั้น ท่านก็เห็นข้าไม่เคยทำอันใดมาก่อน อีกอย่างที่พวกน้องคนอื่นๆ ทำได้ เพราะอะไรรึ ก็เพราะเงินของสะใภ้สามไงเล่าขอรับ” โจต้าเถียงขึ้นจะให้เขาทำงานรึฝันไปเถอะ ที่พวกนั้นมันอยู่ดีกินดีได้เป็นเพราะสะใภ้สามไงเล่า รู้เช่นนี้เขาน่าจะเอาใจสะใภ้สามเสียหน่อย น้องสามของเขาก็โง่เสียขนาดนั้น ไม่แน่เขาอาจจะหลอกเอาเงินมันมาได้อีกไม่น้อย
“ฮืม เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไรเล่า จะขายสมบัติกินรึ” แม่โจเริ่มกรุ่นโกรธ ตอนแรกโจต้าก็สัญญาเสียดิบดี ขอให้แม่อย่างเขาแยกบ้าน บอกว่าจะดูแลแม่โจเอง ด้วยความรักลูกชายคนโตแม่โจจึงหลงเชื่อ มาตอนนี้ดูท่าจะไม่ใช่เสียแล้ว ไม่พ้นสองปีคงอดตายกันเป็นแน่
“ท่านแม่ขอรับ ท่านใจเย็นๆ สิขอรับ มันไม่ได้ยากเช่นนั้นเสียหน่อย ที่นาที่ท่านมอบให้ข้า ตอนนี้แม้เราไม่ทำนาปล่อยให้เช่าก็ได้เงินปีละไม่น้อยเลยนะขอรับ ใช่หรือไม่ภรรยาข้า” เมื่อเห็นแม่ของตัวเองโกรธ โจต้าพยายามพูดดีๆ กับแม่โจ อย่างไรพวกเขาก็ยังมีที่อยู่หมู่บ้านข้างๆอยู่ ปล่อยเช่าอย่างไรก็ได้เงินก้อนทุกปีอยู่แล้ว
“ใช่เจ้าค่ะ ได้ไม่น้อยเลย” สะใภ้ใหญ่พูดขึ้น ในใจพลันตื่นตระหนก ที่สิบไร่นั่นก็ไม่เหลือแล้ว อย่างไรก็ให้พวกเขารู้ไม่ได้ นางต้องหาทางนำมันกลับคืนมาให้ได้ก่อน
"สกุลโจมีใครอยู่หรือไม่ ออกมาพบพวกข้าหน่อย" อยู่ก็มีเรียกคนเรียกเสียงดังอยู่นอกเรือน
“หือใครมาหาที่เรือนตอนนี้กัน สะใภ้ใหญ่เจ้าออกไปดูหน่อย” แม่โจขมวดคิ้ว ผู้ใดมาถึงร้องเสียงดังเสียขนาดนี้ เขาจึงให้สะใภ้ใหญ่ออกไปดูเสียหน่อย
“เจ้าค่ะท่านแม่”