เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก - ๑ บทนำ-เสิ่นเจียอี โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทะลุมิติ

รายละเอียด

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

ผู้แต่ง

รอยยิ้มพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๑ บทนำ-เสิ่นเจียอี,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๒ คุณหนูเสิ่นแปลกไป,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๓ ระแคะระคาย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๔ ข่าวดีและข่าวร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๕ ทำเพื่อลูก,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๖ ถูกใส่ร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๗ เอาใจเป็นพิเศษ

เนื้อหา

๑ บทนำ-เสิ่นเจียอี




บทนำ


คำกล่าวที่ว่าเรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ เสิ่นเจียอีคุณหนูแห่งอินเตอร์กรุ๊ป ทายาทบริษัทนำเข้ารถยนต์รายใหญ่ กล้ายืนยันได้เลยว่ามันคือเรื่องจริงที่ทำให้เราทั้งเจ็บปวดแล้วก็มีความสุขในเวลาเดียวกัน


ถามว่าสิ่งที่เรียกว่าความสุขคืออะไร? ตอบได้เลยว่ามันคือการให้และการเสียสละ ได้มองเห็นคนที่เรารักมีความสุข ได้เห็นเขามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ส่วนสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ ก็คือการต้องเก็บซ่อนความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิทให้ลึกสุดใจ เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์อันยาวนานต้องสิ้นสุดลง แค่เพียงเพราะว่าเธอทรยศในคำมั่นสัญญาที่เคยสาบานเอาไว้ว่าจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป


หญิงสาวหลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำสีใสกลิ้งลงบนร่องแก้ม ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ ยกหลังมือปัดน้ำตาออกจากใบหน้านวลผ่อง ค่อยๆ ลืมตามองสถานที่จัดงานแต่งงานหรูหราบนเรือสำราญ ด้วยสายตาเศร้าหมอง แต่เพียงกระพริบตาเดียวนัยน์ตากลมโตก็กลับมาสดใสได้อีกครั้ง รอยยิ้มหวานแต่งแต้มบนใบหน้า แต่ถ้าหากใครจะสังเกตดูดีๆ ในแววตาคู่งามมีความเสียใจมากมายซ่อนอยู่


“อาอี มาหลบอยู่ท้ายเรือนี่เองหาตั้งนานแหนะ” ร่างสูงเดินมาหยุดยืนเบื้องหลังของเพื่อนสนิท พลางร้องทักด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก


ขนตางามงอนกระพริบตาขึ้นลงปริบๆ ก่อนที่ร่างสมส่วนจะหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าบ่าวของงานในวันนี้


“มีอะไรอีกล่ะ” ในน้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายรำคาญกลับแฝงด้วยความสั่นเครือเล็กน้อย


“ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ อยู่ดีๆ เธอก็เดินหายออกมาตั้งนาน เจ้าสาวของผมบอกว่าอาอีกำลังไม่สบอารมณ์กับอะไรบางอย่าง จึงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ถามจริงเธอไม่พอใจอะไรพวกเราหรือเปล่า รีบกลับไปอธิบายให้กระจ่างเลยนะครับ”


แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่หลินผิงก็ไม่เคยพูดจาหยาบคายขึ้นมึงขึ้นกูใส่เสิ่นเจียอีเลยสักครั้ง เพราะทางครอบครัวมักจะสั่งสอนอยู่เสมอว่าควรพูดจาให้เกียรติผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ส่วนเสิ่นเจียอีนั้นไม่ต้องพูดถึง เธอพูดจาไม่ดีใส่ใครไม่เป็นอยู่แล้ว เพราะมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีมาก ทัศนคติรวมถึงพื้นฐานทางด้านอารมณ์ จิตใจ จึงดีตามไปด้วย เพราะฉะนั้นคำพูดแทนตัวของทั้งสองจึงฟังดูสุภาพมีมารยาท ไม่เหมือนเพื่อนซี้คู่อื่นๆ เลยสักนิด


“จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ฉันแค่ออกมาสูดอากาศเองนะ” หญิงสาวแย้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จะให้บอกความจริงไปได้อย่างไรว่าตนแอบคิดไม่ซื่อ แล้วเจ้าสาวก็จับสังเกตได้ว่าอะไรเป็นอะไรมาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้จึงได้กล่าววาจาเยาะเย้ยถากถางหนักกว่าทุกครั้งที่เจอกัน จนเธอต้องหลบมายืนสงบสติอารมณ์คนเดียวเงียบๆ เหมือนอย่างที่เห็น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่พอใจกับการแต่งงานในครั้งนี้เสียเมื่อไหร่ ออกจะยินดีที่ทั้งคู่ลงเอยกันด้วยซ้ำ และยังคิดว่าหลังจบงานแต่งเธอก็จะบินไปดูงานที่ต่างประเทศ หรืออาจจะย้ายไปอยู่ที่นั่นอย่างถาวรเสียด้วยซ้ำไป เพื่อตัดจบปัญหาที่อาจจะตามมาในภายหลัง


“อย่ามาโกหก เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี มีหรือที่ผมจะดูไม่ออกว่าเธอไม่พอใจกับการแต่งงานของผม เพราะเธอไม่ชอบเสี่ยวเหมยใช่มั๊ย” เขาพ่นลมหายใจแรงๆ สองสามครั้ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ไม่ชอบแล้วอย่างไรล่ะ จะให้ผมประกาศยกเลิกงานแต่ง และยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดเพียงเพราะว่าเธอไม่ชอบเหรอ ฟังนะอาอี เธอไม่ใช่แม่ของผม เป็นแค่เพื่อนเอาสิทธิ์อะไรมาไม่พอใจกันล่ะ แค่เสี่ยวเหมยรักผมแล้วผมก็รักเสี่ยวเหมย เท่านี้มันก็มากพอแล้วนี่น่า”


“ทำไมพูดกับฉันแบบนี้” เธอถามเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของคนตรงหน้า เธอเสียใจมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาความดีของเธอไม่เคยมีค่าเลยหรืออย่างไร


“แล้วทำไมจะพูดไม่ได้กันล่ะครับ ก็เธอกำลังเป็นแบบนั้นอยู่จริงๆ เอาล่ะ ผมจะขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย เสี่ยวเหมยเป็นคนที่ผมรักมาก ส่วนเธอเองก็เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมไว้ใจ เพราะฉะนั้นอย่าได้ทำอะไรให้ผมลำบากใจจะดีกว่า เพราะถ้าต้องเลือกแตกหักกับใครสักคนจริงๆ ผมก็ไม่ลังเลที่จะเลือกหรอกนะ รีบไปกันเถอะ” หลินผิงกล่าวตัดบทอย่างรำคาญ เขาไม่รู้หรอกว่าระหว่างเจียอีกับเสี่ยวเหมยมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน แต่เขารู้สึกไม่ชอบใจเลยที่เห็นเสิ่นเจียอีทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าคนรักของเขา


หญิงสาวขืนตัวไม่ยอมเดินตาม พร้อมใช้สายตามองคนตรงหน้าด้วยความผิดหวัง ก่อนเธอจะเอ่ยปากขอเวลาสงบสติอารมณ์ชั่วครู่


“นายไปก่อนเถอะ ฉันขอเวลาสงบสติอารมณ์10นาที แล้วจะรีบตามไป”


“ไม่ได้” หลินผิงหันมาตะคอกใส่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน


“ทำไม” เธอสะดุ้งตกใจพลางย้อนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง


“อย่าทำตัวมีปัญหา”


จากอาการตกใจในคราแรกเปลี่ยนเป็นความโมโห เธอจึงพูดโพล่งออกไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงเป็นครั้งแรก


“ฉันหรือสมองของนายที่มีปัญหากันแน่ เสียแรงที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ คำว่าเพื่อนไม่เคยมีความหมายสำหรับนายเลยหลินผิง”


“อาอี ผม..”


“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไปเถอะ ไปหาเจ้าสาวผู้เสแสร้งเก่งของนาย”


ชายหนุ่มแสดงท่าทางฮึดฮัด ก่อนจะพยักหน้าแล้วยอมถอยจากไปตามความต้องการของอีกฝ่าย


หญิงสาวยืนมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนสุดสายตา แล้วค่อยหันกลับไปมองผืนน้ำกว้างด้วยใจที่กำลังแหลกสลาย ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ร่างของเธอก็ถูกอุ้มลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะถูกโยนลงไปในแม่น้ำลึกโดยไม่ทันตั้งตัว


เธอกรีดร้องออกมาสุดเสียง สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เธอพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาเหนือน้ำ พร้อมกับส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือคนบนเรือที่กำลังยืนมองลงมาได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ


“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”


ราวกับว่าทุกอย่างได้ถูกวางแผนและรอจังหวะลงมือมาเป็นอย่างดี ที่สำคัญคนร้ายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นน้องชายบุญธรรมของเธอเอง และเขาก็รู้ดีไม่ต่างจากหลินผิงว่าเธอว่ายน้ำไม่เป็น


ทำไม? คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเธอซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่ร่างของเธอจะค่อยๆ จมหายลงไปใต้น้ำ แล้วจากนั้นภาพความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวอย่างไม่ขาดสาย ก่อนถูกความมืดมิดกลืนกินไปจนหมดสิ้น


สำนึกสุดท้าย นึกถึงบุญคุณของบิดามารดา และกล่าวคำร่ำลาถึงใครบางคน


“ลาก่อน สหายรัก”



***



บทที่๑ เสิ่นเจียอี




เฮือกกกกก..




ร่างบอบบางสะดุ้งจนสุดตัว ก่อนจะมีอาการหอบหายใจแรง และรู้สึกจุกแน่นบริเวณหน้าอก เธอพยายามประคองสติและเพ่งมองไปรอบๆ ห้องที่ไม่คุ้นเคย


ที่นี่ที่ไหน


แล้วจู่ๆ ภาพเหตุการณ์ตอนจมน้ำก็พลันผุดเข้ามาในหัว พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดและความรู้สึกทุกข์ทรมานกดทับไปทั่วร่างกาย เธอดิ้นทุรนทุรายจนตกลงมาจากแคร่ไม้ไผ่ กระเสือกกระสนไปกับพื้นจนเกิดรอยช้ำอยู่หลายแห่ง ไม่นานความอึดอัดเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไป ปลายนิ้วหงิกงอและลำตัวที่คุดคู้เข้าหากันค่อยๆ เหยียดตรง ความเบาสบายทำให้อาการของเธอคล้ายจะเคลิ้มหลับ แล้วต่อจากนั้นเธอก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเรือสำราญอย่างน่าอัศจรรย์ใจ


หลังเกิดเหตุน้องชายบุญธรรมของเธอได้ลงเรืออีกลำกลับเข้าฝั่ง ส่วนหลินผิงเพื่อนคนสนิทเองก็กลับไปร่วมฉลองกับแขกในงานอย่างเป็นปกติ ยามเผลอก็มักจะหลุดพูดออกมาเบาๆ ว่าขอโทษ พร้อมกับกล่าวว่า อุตส่าห์แอบช่วยแล้วแท้ๆ ทำไมถึงได้ดื้อดึงไม่ยอมเดินตามมากันนะ


เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวประกาศออกมาว่าทายาทอินเตอร์กรุ๊ปหายตัวไป ทุกคนระดมกำลังออกตามหาอย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งพบศพขึ้นอืด ผลชันสูตรไม่พบบาดแผลถูกทำร้ายและร่องรอยการต่อสู้ หลักฐานภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดบนเรือครั้งล่าสุดก่อนที่มันจะใช้การไม่ได้ เห็นเธอยืนอยู่ท้ายเรือคนเดียว เหมือนมีเรื่องให้คิดไม่ตก จึงสันนิษฐานได้ว่าน่าจะกระโดดลงไปเองเพื่อเป็นการฆ่าตัวตาย ทางญาติๆ ไม่ปักใจเชื่อ คดีนี้จึงต้องสืบหาพยานหลักฐานกันต่อไป


แต่ผู้ที่รับผลประโยชน์มากที่สุดในครั้งนี้ก็เห็นจะเป็นน้องชายบุญธรรม เพราะตอนนี้เขาได้ขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดกิจการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว โดยมีเพื่อนสนิทของเธอเข้ามาเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญอีกด้วย


จากนั้นก็ต่อด้วยภาพความทรงจำของร่างนี้ นางมีชื่อว่าเสิ่นเจียอี ซึ่งเป็นชื่อแซ่เดียวกันกับเธอจนน่าตกใจ เจ้าของร่างเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนราชครูเสิ่น มีนิสัยเอาแต่ใจ หุนหันพลันแล่น เป็นที่เอือมระอาของใครหลายคน แต่โดยเนื้อแท้แล้วนั้นไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรเลย ออกจะน่าสงสารเสียด้วยซ้ำ เพราะเกิดมาก็กำพร้ามารดาเลยถูกผู้อื่นเลี้ยงดูมาแบบผิดๆ ยามเติบโตเป็นผู้ใหญ่จึงกลายเป็นคนที่มีปัญหา จนกระทั่งได้เจอกับฉินอ๋องผู้เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของบิดาตนเอง นางปักใจต่อเขาในทันที พยายามตามเกี้ยวพาราสี แต่เขาไม่เล่นด้วย เพราะว่าเขามีนางในดวงใจอยู่แล้ว จึงเลือกใช้วิธีผิดๆ ตามคำยุยงส่งเสริมของผู้ไม่หวังดี จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด


นางเสียตัวให้ฉินอ๋อง หลังจากนั้นก็เกือบจะถูกฆ่าตาย โชคดีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในจวนตระกูลเสิ่น ท่านราชครูจึงมาช่วยชีวิตไว้ได้ทัน ฉินอ๋องจึงไม่เอาความแต่นางจะต้องถูกโบยเป็นการลงโทษจำนวน30ไม้ หลังจากรักษาตัวจนหายดีแล้วก็ให้ส่งนางไปอยู่ที่อื่น ห้ามกลับมาเมืองหลวงจนกว่าจะได้รับอนุญาต


วันเดินทางมายังชนบท เสิ่นเจียอีมีผู้ติดตามมาเพียงแค่10คน เป็นชาย5คน หญิงอีก5คน แต่หลังจากที่มาใช้ชีวิตอยู่ชนบทได้ไม่กี่วัน พวกเขาก็ทนต่อความเจ้าอารมณ์ไม่ไหวจึงเลือกที่จะจากไป ทิ้งให้เสิ่นเจียอีโมโหจนล้มป่วยจนตาย จนกระทั่งวิญญาณของเธอเข้ามาแทนที่


หลังจากภาพเรื่องราวต่างๆ มลายหายไป หยาดน้ำตาก็ไหลอาบแก้มนวล ร่างเล็กสะอื้นไห้ทั้งที่ยังหลับตา ก่อนสติจะดำดิ่งไปในความมืดอีกครั้ง รู้สึกตัวอีกทีก็ล่วงเข้าสู่เช้าของวันใหม่…




ความเย็นที่กำลังสัมผัสบนผิวหน้า ทำให้ร่างเล็กค่อยๆ รู้สึกตัว ทันทีที่ลืมตาภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของสตรีที่ไม่คุ้นเคย อีกฝ่ายกำลังใช้ผ้าเปียกหมาดๆ ซับไปตามใบหน้าของเธอ สีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกแต่ก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายนั้นเต็มใจที่จะทำให้


“เธอ.. จะ เจ้า”


ฝ่ามือหยาบกร้านหยุดชะงัก ก่อนจะส่งเสียงร้องด้วยความตระหนก “ท่าน ฟื้นแล้ว”


“แค่ก แค่ก นะ…น้ำ” เสิ่นเจียอีพยักหน้าพร้อมกับส่งเสียงไอ จากนั้นก็พยายามเปล่งคำพูดบอกความต้องการแก่อีกฝ่าย


หญิงสาวรีบลุกขึ้นไปรินน้ำอุ่น ก่อนจะเคลื่อนตัวกลับมาประคองศีรษะผู้ป่วยแล้วบรรจงป้อนให้ดื่มด้วยความระมัดระวัง


“ขะ ขอบ ใจ”


เสี่ยวฮัวทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าตนจะได้ยินคำขอบคุณจากปากของคุณหนูผู้เอาแต่ใจอย่างเสิ่นเจียอี ไม่แน่ว่าวันนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นผิดทิศกระมัง หรือไม่ก็มีสาเหตุมาจากการพลัดตกจากแคร่เมื่อคืน สมองจึงได้กระทบกระเทือนแลดูไม่คล้ายคุณหนูคนเดิมที่นางเคยรู้จัก


“เอ่อ ท่านหิวแล้วสินะ งั้นข้าจะไปนำข้าวต้มมาให้ก็แล้วกัน”


“อืม ไปเถอะ”


เสิ่นเจียอีมองแผ่นหลังบอบบางไปจนลับสายตา ก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ภายในสมองของเธอยามนี้มีทั้งเรื่องราวของเธอเอง และเรื่องราวของเจ้าของร่างผสมปนเปกันไปหมด แยกไม่ถูกเลยว่าจะร้องไห้เสียใจกับเรื่องไหนก่อนดี เพราะว่าทั้งสองเรื่องนั้นก็ล้วนแต่เลวร้ายด้วยกันทั้งสิ้น แต่เธออาจจะโชคดีกว่าหน่อยตรงเรื่องของครอบครัว ซึ่งเธอมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้ความรักและอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ผิดกับเจ้าของร่างนี้ที่ถูกเลี้ยงดู ถูกปลูกฝังนิสัยและความคิดมาแบบผิดๆ เลยทำให้ทัศนคติ อารมณ์ จิตใจ มีปัญหา ส่งผลให้พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกมาดูย่ำแย่ และวันหนึ่งเมื่อถูกสังคมประนาม ด่าทอเสียดสี ครอบครัวก็คอยแต่จะซ้ำเติมในสิ่งที่ทำผิดพลาด คิดดูเอาเถอะว่าเด็กสาวคนหนึ่งจะต้องรู้สึกอย่างไร ถึงขนาดทำให้มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงกลับมาในแต่ละครั้ง แล้วความรู้สึกเหล่านั้นมันก็ไม่ได้จางหายไปไหน แต่มันจะถูกทับถมเอาไว้ในใจจนกระทั่งเติบโตมาถึงทุกวันนี้


“คุณหนู ข้าวต้มมาแล้วเจ้าค่ะ”


เสียงที่ดังขึ้นทางหน้าประตู ทำให้เสิ่นเจียอีได้สติ เธอรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะหันไปยังทิศทางดังกล่าว เห็นอีกฝ่ายเดินประคองถาดไม้ที่มีชามกระเบื้อง2ใบเข้ามาอย่างระมัดระวัง ก็อดที่จะสงสัยมิได้ แต่พอได้กลิ่นสมุนไพรคล้ายกับเทียบยาลดไข้ ที่อาม่ามักจะชอบต้มดื่มแทนยาแผนปัจจุบันก็คลายสงสัยไปในที่สุด


“ท่านพอจะลุกไหวหรือไม่”


เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ ในเมื่อตนเองไม่ไหวก็ไม่คิดที่จะทำอวดเก่งให้ผู้อื่นรู้สึกสมเพชไปมากกว่าที่เป็นอยู่ แค่อีกฝ่ายยังคอยอยู่ดูแลในสถานการณ์เช่นนี้ก็ถือว่าดีตั้งเท่าไหร่แล้ว


“งั้นข้าจะป้อนท่านเอง”


ชามข้าวต้มที่มีแต่น้ำสีใสเป็นหลักถูกวางลงบนโต๊ะข้างแคร่ไม้ไผ่ จากนั้นเสี่ยวฮัวก็ค่อยๆ ประคับประคองร่างของคนป่วยขึ้นมานั่งพิงฝาผนัง ก่อนจะนำข้าวต้มที่มีเพียงวิญญาณของเมล็ดข้าว ตักขึ้นมาเป่าให้คลายร้อนแล้วป้อนให้กินทีละคำอย่างใจเย็น ไม่นานก็หมดเกลี้ยง หญิงสาวรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ครั้งนี้เห็นคนเอาแต่ใจยอมกินแต่โดยดี แต่พอคิดได้ว่าอาจเป็นเพราะผลจากการล้มป่วยอย่างหนัก เลยทำให้คุณหนูเสิ่นรู้สำนึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาบ้างแล้ว นางจึงปัดเรื่องนี้ทิ้งในทันที เพราะตนเองไม่ใช่คนที่ชอบคิดอะไรให้ยุ่งยากวุ่นวาย จากนั้นจึงหันไปยกชามอีกใบมาป้อนให้อีกฝ่าย


“ดื่มยาเจ้าค่ะ”


คนป่วยพยักหน้า ทนดื่มยาขมปี๋ไปจนหมด แล้วจึงร้องขอน้ำอุ่นๆ มาดื่มตามลงไปในทันที


“ข้าจะเช็ดตัวแล้วทายาให้ท่าน”


เป็นอีกครั้งที่เสิ่นเจียอีพยักหน้าอย่างว่าง่าย เพราะตอนนี้เธอรู้สึกวิงเวียน ร่างกายรู้สึกเหนียวเหนอะหนะและปวดระบมไปทั้งตัว ได้ล้างหน้าป้วนปาก เช็ดเนื้อเช็ดตัวและทายา นอนหลับอีกสักตื่นอาการที่เป็นอยู่คงจะทุเลาลง




เสี่ยวฮัวยกอ่างใส่น้ำอุ่นเข้ามาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็จัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้คนป่วยอย่างเบามือที่สุด เมื่อเหลือเพียงตู้โตวสีเหลืองอ่อน เสี่ยวฮัวจึงเอาน้ำมาให้คุณหนูเสิ่นป้วนปาก จากนั้นก็หันไปบิดผ้าในอ่างน้ำพอหมาดๆ แล้วเช็ดใบหน้ากับลำคอเป็นอันดับแรก ก่อนจะไล่เช็ดไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยความระมัดระวัง


“หากเจ็บก็รีบบอกนะเจ้าคะ”


เธอพยักหน้า อยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่า เจ็บกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้วบาดแผลตามร่างกายพวกนี้นับเป็นอันใดได้


1เค่อผ่านไปทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เสิ่นเจียอีนอนลงที่เดิม สีหน้าสดชื่น สมองปลอดโปร่งขึ้นกว่าเก่า ทำให้เธอมีเวลาได้สังเกตหญิงสาวอีกคนได้อย่างเต็มตา จึงพบว่าสตรีนางนี้คงไม่ได้เป็นเพียงแค่สาวใช้ธรรมดาทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอไม่คิดที่จะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย รู้เท่าที่อยากจะให้รู้ก็แล้วกัน ซึ่งความคิดของเสิ่นเจียอีต่างจากที่เสี่ยวฮัวคิดนัก สาเหตุที่หญิงสาวยังคงป้วนเปี้ยนไม่ยอมไปไหน เพราะกำลังรอให้อีกคนสอบถามว่าตนเป็นใครมาจากไหน และอยากให้ถามถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะว่าตนเองนั้นได้ตระเตรียมคำตอบมาเป็นอย่างดี ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นจะถามเสียที นางจึงต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นเองอย่างน่าละอายใจที่สุด


“ข้าชื่อเสี่ยวฮัวเจ้าค่ะ”


ร่างเล็กอ้าปากหาวหวอดสองสามครั้ง ก่อนจะกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงงัวเงีย จนตนเองยังนึกสงสัยว่าทำไมยาลดไข้ถึงได้ออกฤทธิ์เร็วนัก “อืม ยินดีที่ได้รู้จัก เสี่ยวฮัว”


เสี่ยวฮัวอ้าปากค้างไปหลายอึดใจ ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย


“ท่านไม่ถามต่อหรือ?”


เสิ่นเจียอีเงียบไปสักพัก เพราะเริ่มง่วงนอนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ไขความกระจ่างให้อีกฝ่ายฟังจนได้


“ถามแล้วจะตอบตามความจริงหรือเปล่า ถ้าเปล่า ก็อย่าพูดอะไรเลยดีกว่า หรือไม่ก็ปล่อยให้รู้เท่าที่อยากให้รู้ อย่างไรฉัน เอ่อ..ข้าเชื่อว่าทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเองทั้งนั้น ช่างเถอะข้าง่วงแล้ว ไว้อาการข้าหายดีค่อยว่ากันอีกที”


“เจ้าค่ะ”


เสี่ยวฮัวมองร่างบางที่กำลังหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย อีกฝ่ายช่างดูแตกต่างไปจากทุกครั้ง อย่างไรก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าคุณหนูเสิ่นจะเปลี่ยนนิสัยได้จริงหรือไม่ ถ้าไม่และยังคิดวางแผนจะทำร้ายสตรีของท่านอ๋อง นางก็คงต้องลงมือกำจัดคุณหนูเสิ่นเจียอีตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย