เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก - ๒ คุณหนูเสิ่นแปลกไป โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทะลุมิติ

รายละเอียด

เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

ผู้แต่ง

รอยยิ้มพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๑ บทนำ-เสิ่นเจียอี,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๒ คุณหนูเสิ่นแปลกไป,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๓ ระแคะระคาย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๔ ข่าวดีและข่าวร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๕ ทำเพื่อลูก,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๖ ถูกใส่ร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๗ เอาใจเป็นพิเศษ

เนื้อหา

๒ คุณหนูเสิ่นแปลกไป



บทที่๒ คุณหนูเสิ่นแปลกไป




วันรุ่งขึ้น อาการเจ็บป่วยของเสิ่นเจียอีก็ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถขยับลุกนั่งได้ตามใจชอบ จึงเป็นหน้าที่ของเสี่ยวฮัวที่จะต้องคอยปรนนิบัติดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งสามวันผ่านไปอาการเจ็บป่วยจึงดีขึ้นตามลำดับ แต่อาจจะยังมีอาการมึนหัวหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะคิดว่าคนป่วยเพิ่งฟื้นไข้อาการก็คงจะประมาณนี้


ครบเจ็ดวัน อาการปวดระบมตามร่างกายทุเลาลงมาก ส่วนรอยช้ำตามจุดต่างๆ ได้ยาดีมาทาทำให้ร่องรอยบนร่างกายเจือจางไปเกือบจะหมดแล้ว คราวนี้ก็เหลือแค่เพียงอาการมึนหัวกับอาการง่วงนอนบ่อยๆ ที่ยังไม่ดีขึ้น แม้ว่าเสิ่นเจียอีจะรู้สึกแปลกใจสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกตั้งมาก เธอจึงพับเก็บความสงสัยและความรู้สึกเศร้าเสียใจเอาไว้ชั่วคราว


สิ่งแรกที่เธอต้องมีและต้องทำหลังจากหายป่วยดีแล้ว นั่นก็คือการมีสติ บิดามารดามักสอนเสมอว่าเมื่อมีสติ ทำจิตใจให้สงบ ปัญญาก็จะตามมา สามารถแยกแยะและแก้ไขกับปัญหาได้ดีเสมอ ส่วนสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันก็คือตรวจทรัพย์สินมีค่า ที่เจ้าของร่างนำติดตัวมาว่าจะยังมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่หรือไม่ ถ้ามีก็ดี ไม่มีก็ต้องคิดหาเอาใหม่ เพราะถ้าหากต้องติดอยู่ในโลกแห่งนี้ตลอดไป สิ่งเหล่านั้นย่อมจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในภายภาคหน้า นอกจากเรื่องเงินๆ ทองๆ เสบียงอาหารก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เธอจะต้องเริ่มสำรวจทุกอย่างภายในบ้าน และออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบ เพื่อประเมินสถานการณ์ของตนว่าอยู่ในขั้นย่ำแย่ขนาดไหน จะได้วางแผนแก้ปัญหาได้ตรงจุด


เสี่ยวฮัวไม่ใช่คนพูดอะไรมาก ให้ทำอะไรก็ทำ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสมบัติพวกนั้นถูกผู้ติดตามของคุณหนูเสิ่นหยิบติดมือไปหมดแล้ว ยังดีที่พวกมันเหลือข้าวสารอาหารแห้งกับพวกเครื่องปรุงเอาไว้ให้ทำกิน จึงยังพอดำรงชีพได้อีกเกือบเดือน แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ถ้าวันนั้นตนทำเมินเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายตายไป ถึงจะมีวัตถุดิบชั้นเลิศอยู่เต็มครัว คุณหนูเสิ่นเจียอีก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่ดีนั่นแหละถูกหรือไม่ เฮ้อ ในเมื่อช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด จะให้ตัดใจทิ้งก็กระไรอยู่ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายยังกล้าสร้างปัญหานางก็กล้าที่จะทำลายทิ้งด้วยเช่นเดียวกัน


“เสี่ยวฮัว เจอสิ่งใดหรือเปล่า” เสิ่นเจียอีเดินออกมาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าใช้เวลาไปกับการค้นหาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว


“หายเกลี้ยงเลยเจ้าค่ะ” กล่าวจบก็ยืนรอลุ้นว่าจะถูกอีกฝ่ายเกรี้ยวกราดใส่หรือไม่ แต่ผลปรากฏออกมาว่าไม่ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งนั้น นอกเสียจากท่าทางที่ดูสุขุม สง่างาม ราวกับเป็นเชื้อพระวงศ์หญิงคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เห็นแล้วก็ให้หวั่นเกรงอย่างไรไม่รู้


เสิ่นเจียอียืนนิ่งคิดว่าจะบอกเรื่องตั๋วเงินที่เจ้าของร่างซ่อนไว้ในช่องลับกับอีกฝ่ายดีหรือไม่ เพราะเธอรู้ซึ้งแล้วว่าต่อให้สนิทกันมากขนาดไหน สุดท้ายก็ไว้ใจไม่ได้อยู่ดี แล้วอีกอย่างที่ไปที่มาของอีกฝ่ายก็ไม่ชัดเจน การบอกความจริงออกไปทั้งหมดย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง แต่การที่ไม่ยอมเปิดเผยสิ่งใดเลยก็ทำไม่ถูกเช่นกัน อย่างน้อยอีกฝ่ายก็คอยช่วยดูแลในยามที่เธอเจ็บป่วย นั่นแสดงว่าจิตใจของเสี่ยวฮัวไม่ได้เลวร้าย เมื่อคิดตกแล้วจึงได้คลายความจริงออกไปเพียงบางส่วน


“ฉัน… ข้า พบตั๋วเงิน100ตำลึงใต้หีบตำราในห้อง”


เสี่ยวฮัวเอียงคอมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามซักไซ้ไล่เลียงให้มากความ


“หลังจากสำรวจเสบียงอาหารและของใช้ในบ้านเสร็จแล้ว พวกเราค่อยนำเงินออกไปซื้อของเข้าบ้านกันนะ”


“เจ้าค่ะ แต่ข้าสามารถไปคนเดียวได้ ท่านแค่บอกสิ่งที่อยากได้มาก็พอ” ร่างสมส่วนกล่าวอย่างระมัดระวัง เพราะรู้สึกไม่คุ้นชินกับการพูดจาและการวางตัวดีๆ ของอีกฝ่าย เห็นทีคงต้องจับตาดูทุกฝีก้าว ได้เรื่องอย่างไรค่อยกลับไปรายงานผู้บังคับบัญชา


เสิ่นเจียอีส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าไม่รู้สึกอยากได้ หรืออยากกินสิ่งใด นอกจากน้ำข้าวต้มที่เจ้าทำให้กินอยู่ทุกวันนั่นแหละ”


“….”


เสี่ยวฮัวอ้าปากค้าง ไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังถูกหญิงสาวตรงหน้าประชดอยู่หรือไม่ แต่มองจากสีหน้าและแววตาดูไม่คล้ายคนพูดเล่น เมื่อย้อนคิดไปถึงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนตรงหน้าก็ดูจะชื่นชอบข้าวต้มที่นางทำจริงๆ ไม่เพียงไม่ปริปากบ่นยังขอเติมอีกชามด้วยซ้ำไป


หรือว่ามันจะอร่อยกันนะ?




เสบียงอาหารที่ตรวจสอบแล้วมีข้าวสารไม่ถึง10ชั่ง นอกนั้นก็เป็นพวกปลาแดดเดียว แล้วยังมีถั่วเหลือง มันเทศ แป้งข้าวโพด อย่างละกระสอบ พวกเครื่องปรุงก็มีแค่เกลือกับน้ำตาลเท่านั้น


เสี่ยวฮัวรับอาสาจัดการเรื่องพวกนี้ให้เอง แค่ให้บอกรายการและจำนวนที่อยากจะได้ เสิ่นเจียอีก็ไม่ขัดข้องเพราะถ้าต้องเดินทางไกลอย่างที่เสี่ยวฮัวบอก เธอรู้ตัวเองดีว่าคงจะฝืนเดินเท้าไม่ไหวเป็นแน่


เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าจะซื้ออะไรกลับมาบ้าง เสี่ยวฮัวก็ไปเตรียมตัวแล้วออกเดินทางในทันที ส่วนเสิ่นเจียอีก็เดินสำรวจรอบๆ บ้าน จดจำรายละเอียดต่างๆ ให้ได้มากที่สุด พอรู้สึกเหนื่อยและเริ่มมีอาการหน้ามืด จึงตัดสินใจกลับเข้าบ้าน คิดจะเอนหลังพักสายตาเล่นๆ แต่กลับหลับไปจริงๆ ตื่นมาอีกทีก็เป็นตอนที่เสี่ยวฮัวกลับมาแล้ว


คนงานช่วยกันขนข้าวของลงจากเกวียนอย่างขะมักเขม้น เสี่ยวฮัวมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง แล้วก็คอยบอกให้พวกเขานำของไปวางไว้ยังจุดที่ต้องการ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็จ่ายเงินในส่วนที่เหลือ ก่อนที่นางจะเดินหายเข้าไปในครัวเพื่อจุดเตาอุ่นข้าวต้มให้กับคุณหนูเสิ่น และระหว่างที่รอข้าวต้มในหม้อร้อนได้ที่ จึงลงมือจัดการแกะเครื่องปรุงที่ซื้อมา เติมใส่ลงในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดไปทีละอย่าง จากนั้นก็จัดการเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย คราวนี้ก็เหลือของสดที่ยังวางอยู่ในตะกร้า เสี่ยวฮัวลังเลใจว่าจะเอาอย่างไรต่อดี เพราะคนที่สั่งให้หาซื้อกลับมายังคงนอนหลับไม่รู้ว่าจะตื่นตอนไหน แล้วนางเองไม่สันทัดด้านการทำอาหาร ไม่เช่นนั้นหลายวันที่ผ่านมานี้คงไม่ต้องทนกินเพียงข้าวต้มจืดๆ กันหรอก


ในระหว่างที่เสี่ยวฮัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เสียงหวานก็ดังขึ้นตรงหน้าประตูพอดี ความวิตกกังวลก่อนหน้าจึงค่อยผ่อนคลายลง


“กลับมาถึงนานหรือยัง เหตุใดถึงไม่เรียกข้าเล่า”


“สักพักแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่กล้ารบกวนท่าน”


“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่” เห็นท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ จึงอดที่จะสอบถามออกไปมิได้


หญิงสาวยกมือเกาแก้มแก้เขิน พยักพเยิดหน้าไปยังวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหาร เสิ่นเจียอีเห็นแล้วก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย เข้าใจได้ในทันทีว่าคนตรงหน้าคงจะไม่ถนัดทำงานครัวเหมือนกับสตรีอื่น จึงอาสาจัดการเรื่องนี้เอง


“งั้นข้าทำเอง ส่วนเจ้าคอยเป็นลูกมือก็แล้วกัน”


เสี่ยวฮัวพยักหน้าอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะมั่นใจว่าสตรีในห้องหอย่อมต้องได้รับการสั่งสอนด้านงานบ้านงานเรือนมาตั้งแต่อายุยังน้อย แค่เรื่องทำกับข้าวจะทำไม่เป็นได้อย่างไร สิ่งที่เสี่ยวฮัวคิดนั้นถูกต้องแล้ว ทว่าสำหรับเสิ่นเจียอีคนเก่านั้น วิชาที่นางได้คะแนนย่ำแย่มากที่สุด เห็นจะเป็นวิชาการทำอาหารนี่แหละ ถ้าหากคนใกล้ชิดหรือคนในจวนเสิ่นมาได้ยินเข้าว่าคุณหนูใหญ่จะลงครัวทำกับข้าว ป่านนี้พวกเขาคงจะพากันแตกตื่น และทำสีหน้าคล้ายคนกลืนยาขมกันหมดแล้วล่ะ แตกต่างจากเสิ่นเจียอีทายาทพันล้านที่มาจากชาติภพปัจจุบัน แม้จะเป็นลูกคุณหนู แต่เธอไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาให้หยิบจับทำอะไรไม่เป็น นอกจากจะเก่งงานนอกบ้านแล้ว งานในบ้านก็เก่งไม่แพ้ผู้ใดอีกด้วย


เริ่มแรกเสิ่นเจียอีให้เสี่ยวฮัวนำยอดผักคะน้า หัวไชเท้า หมูเนื้อแดงชิ้นเล็ก และกระดูกหมูไปล้างทำความสะอาด ระหว่างนั้นเธอก็หันไปดูหม้อข้าวต้ม เห็นว่าเดือดได้ที่แล้วก็ยกออกจากเตา จากนั้นก็ใช้หม้ออีกใบต้มน้ำ ทุบกระเทียม4-5กลีบใส่ตามลงไป หากมีรากผักชีกับพริกไทยดำก็ให้ใส่ลงไปด้วย จะช่วยเพิ่มรสชาติและยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เธอไม่ได้ให้เสี่ยวฮัวซื้อมา จึงได้ใส่แค่กระเทียมอย่างเดียว


“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวฮัวนำของทุกอย่างมาวางไว้กลางโต๊ะ รอฟังคำสั่งอย่างใจจดจ่อ


“รบกวนช่วยจุดไฟอีกเตา หุงข้าวให้มากหน่อย เราจะกินข้าวด้วยกัน แล้วพรุ่งนี้ก็จะได้ไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า” เสิ่นเจียอีกล่าวเสียงนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเดินไปหยิบหัวไชเท้าขึ้นมาปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นอย่างคล่องแคล่ว


“เอ่อ..” ร่างระหงยืนมองสตรีตรงหน้าอย่างคนโง่งม รู้สึกไม่แน่ใจว่าตนหูฝาดและสายตาฝ้าฟางอยู่หรือเปล่า แต่พอเห็นอีกฝ่ายหันมาเลิกคิ้ว ใช้สายตาตั้งคำถามว่าเป็นอะไร นางจึงได้สติรีบรุดไปจุดไฟ แต่สายตาก็ยังคอยชำเลืองมองไปทางด้านหลังอยู่เป็นระยะๆ


เสิ่นเจียอีส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากก่อนจะนำกระดูกหมูไปใส่ในน้ำเดือดแล้วปิดฝาทิ้งไว้ จากนั้นก็กลับมาหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นพอดีคำ ส่วนยอดผักคะน้าไม่ต้องทำอะไรกับมัน เพราะเดี๋ยวเธอจะผัดไปทั้งอย่างนั้นเลย


กลิ่นน้ำต้มกระดูกหมูหรือที่คนโบราณมักเรียกว่าน้ำแกงส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ทำให้คนที่มีความอดทนสูงอย่างเสี่ยวฮัวถึงกับน้ำลายสอ เสิ่นเจียอีเห็นอย่างนั้นจึงอดที่จะหันไปสัพยอกมิได้


“รีบตักฟองด้านบนทิ้งเร็วเข้าเถอะ น้ำลายจะหกลงไปแล้วนั่นน่ะ”


คนฟังทำหน้ายู่ รีบเช็ดน้ำลายที่ไม่มีอยู่จริง ก่อนจะตั้งใจตักฟองที่ลอยอยู่ในหม้อน้ำแกงทิ้ง หลังจากนั้นเสิ่นเจียอีก็นำหัวไชเท้าใส่ลงไป แล้วปรุงรสตามใจชอบ


ไม่นานข้าวที่หุงอยู่อีกเตาก็สุก เสี่ยวฮัวจึงยกออกจากเตา แล้วนำกระทะมาวางแทนที่ ก่อนจะตักมันหมูใส่ลงไปเล็กน้อยหลังจากนั้นก็ตามคำแนะนำของเสิ่นเจียอี จนได้ผัดหมูกับยอดคะน้าหน้าตาน่ากินเป็นอย่างมาก เมื่อได้กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ และซดน้ำแกงกระดูกหมู บอกเลยว่าอร่อยจนหยุดไม่อยู่


เผลอหน่อยเดียวกับข้าวบนโต๊ะก็ลงไปอยู่ในท้องของเสี่ยวฮัวจนหมด แต่ที่น่าแปลกใจไปมากกว่านั้น เหตุใดคุณหนูเสิ่นเจียอีถึงไม่ได้แตะต้องสิ่งใดเลย นอกจากข้าวต้มจืดๆ ชามนั้น มันน่าสงสัยจริงๆ น่ะนี่