เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก - ๔ ข่าวดีและข่าวร้าย โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทะลุมิติ

รายละเอียด

เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

ผู้แต่ง

รอยยิ้มพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๑ บทนำ-เสิ่นเจียอี,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๒ คุณหนูเสิ่นแปลกไป,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๓ ระแคะระคาย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๔ ข่าวดีและข่าวร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๕ ทำเพื่อลูก,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๖ ถูกใส่ร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๗ เอาใจเป็นพิเศษ

เนื้อหา

๔ ข่าวดีและข่าวร้าย


บทที่๔ ข่าวดีและข่าวร้าย




เสี่ยวฮัวไปไม่นานก็บังคับเกวียนกลับมาด้วยตัวเอง เสิ่นเจียอีเห็นแล้วก็ลอบกรอกตาไปมา เธอรู้สึกเหลือเชื่อกับผู้หญิงคนนี้ นางช่างเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ถ้าเทียบกับเธอแล้ว เธอยังแกร่งไม่เท่าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่า คนเรามีความถนัด มีความสามารถ มีความชอบที่ไม่เหมือนกัน จะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเครื่องยืนยันว่าใครเก่งกว่า ใครดีกว่าได้อย่างไรกันเล่า เธอคิดถูกต้องหรือไม่? แต่ก็ช่างเถอะ แค่เธอถนัดใช้สมองก็มีชัยไปกว่าผู้อื่นเกินครึ่งแล้ว เหตุใดยังต้องเป็นกังวลกับเรื่องที่ไม่ถนัดด้วยล่ะ


“คุณหนูจะยืนคิดนานหรือไม่ รีบมาขึ้นเกวียนเถอะ”


เสียงร้องเตือนของคนบนเกวียน ทำให้หญิงสาวได้สติ เธอขยับหมวกสานไม้ไผ่แก้เก้อ แล้วจึงเดินขึ้นไปนั่งเคียงข้างเสี่ยวฮัวอย่างทุลักทุเล


“ช้าๆ หน่อยเล่า ข้าอยากจะดูวิถีชีวิตชาวบ้านเสียหน่อย”


นางเนี่ยนะ? จะดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เสี่ยวฮัวหันขวับมามองคนข้างกายด้วยสายตาเป็นคำถามปนความประหลาดใจ


ไม่แน่ว่าดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นผิดทิศจริงๆ ก็เป็นได้


“ไม่เชื่อหรือ?” เสิ่นเจียอีย้อนถามเสียงเรียบ ไม่ยอมหลบสายตา พลางอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างใจเย็น “ข้าเป็นแค่สตรีในห้องหอ ถูกส่งมาที่นี่ก็เหมือนกับส่งให้มาตาย ลองคิดดูว่าถ้าหากไม่มีผู้ติดตามคอยรับใช้ สตรีที่ไม่เคยหยิบจับอะไรเลยจะมีชีวิตรอดไปได้สักกี่น้ำ เจ้าก็น่าจะเห็นแล้วตอนที่ข้าป่วยหนักไร้คนเหลียวแล ข้ามีชีวิตอยู่อย่างไร”


เสี่ยวฮัวคิดตามคำพูดของคุณหนูเสิ่นก็เห็นจะจริงตามนั้น เพราะนางได้ตามจับตาดูอยู่ห่างๆ ตั้งแต่อีกฝ่ายออกเดินทางออกจากเมืองหลวง จึงได้เห็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย จนกระทั่งอีกฝ่ายล้มป่วยใกล้ตาย จึงได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ทว่า เรื่องที่หยิบจับอะไรไม่เป็นนั้น มันช่างย้อนแย้งอย่างไรไม่รู้


เสิ่นเจียอีไม่ปล่อยให้เสี่ยวฮัวคิดอะไรนานนัก เธอชิงกล่าวต่อไปว่า “เพราะฉะนั้น หากข้าไม่อยากจะตายก่อนวัยอันควร ข้าควรจะสู้ชีวิต ควรเรียนรู้ และปรับตัวเข้าหามัน ข้าจึงจำเป็นต้องศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านในแถบนี้ เพื่อนำมาปรับใช้กับตนเองอย่างไรล่ะ ตรองดูเถิด เงินก็ไม่มี ถ้ามัวแต่งอมืองอเท้าแล้วต่อไปจะเอาอะไรกิน”


“ไม่ใช่ว่าถ้าท่านสำนึกผิด ท่านอ๋องจะอนุญาตให้กลับเมืองหลวงมิใช่หรือ”


มุมปากได้รูปถึงกับกระตุก เมื่อได้ฟังคำพูดและได้เห็นแววตาเทิดทูน ในยามที่กล่าวถึงคนผู้นั้น แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวอึดใจก็ตาม ทว่าทุกอย่างมันก็ได้ชัดเจนแล้วว่าเสี่ยวฮัวเป็นคนของใครกันแน่


ฉินอ๋องคงส่งคนมาจับตาดูความเคลื่อนไหว หากมีพิรุธหรือเล่นอะไรตุกติก คงมีคำสั่งให้ลงมือสังหารได้เลยกระมัง


เสิ่นเจียอีหลุบตามองฝ่ามือของตนเองที่กำลังบีบเข้าหากันแน่ ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่หนักไม่เบาจนเกินไป “ข้าสำนึกผิดแล้ว และไม่คิดจะกลับไปที่นั่น ถ้าเขาอนุญาต ข้าก็จะขอย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่หยางโจว


“ทำไมต้องไปหยางโจว” เสี่ยวฮัวยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองถูกผู้อื่นจับได้แล้ว นางเอ่ยถามแล้วหันไปบังคับเกวียนให้ออกเดินทางอย่างช้าๆ


“เพราะที่นั่นเป็นบ้านเกิดของท่านแม่ข้า”


“เช่นนั้นก็ไม่มีวันหรอก” เสี่ยวฮัวสวนกลับทันควัน ก่อนจะพูดต่อไปอย่างออกรสว่า “ผู้ที่ต้องการส่งท่านมาอยู่ที่นี่ ก็คือท่านราชครูกับฮูหยินของเขา ท่านอ๋องเคยถามว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ มันค่อนข้างจะห่างไกลผู้คน แต่พวกเขาให้เหตุผลว่าไม่อยากให้เรื่องนี้เสื่อมเสียไปถึงตระกูลเดิมของมารดาท่าน และชนบทที่เงียบสงบ เปลี่ยว วังเวง จะสามารถทำให้ท่านสำนึกผิดชอบชั่วดีได้เร็วขึ้น”


“…”


“แล้วพวกติดตามทั้ง10คนนั่น ล้วนมีสัญญาทาส หากหนีไปโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษก็คือตายเท่านั้น คิดดูถ้าหากไม่มีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง พวกมันจะหนีไปเฉยๆ ได้อย่างไรกัน”


พอพูดมาถึงตรงนี้ เสี่ยวฮัวก็รู้สึกของขึ้น อยากจะตามไปลากคอพวกมันมากระทืบให้หนักๆ นางเกลียดสุดก็คนที่ทรยศเจ้านายนี่แหละ แต่หารู้ไหมว่าในอนาคตตนเองก็ทรยศเจ้านายเก่าเช่นเดียวกัน


“ใจเย็นๆ นะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว” แทนที่เสิ่นเจียอีจะถูกอีกฝ่ายปลอบใจ กลายเป็นเจ้าตัวที่ต้องใช้มือลูบหน้าลูบหลังปลอบเสี่ยวฮัวไปตลอดทาง วิถงวิถีชีวิตอะไรนั่นไม่ได้ดูหรอก คิดแล้วก็น่าขำดีเหมือนกัน




ทั้งสองใช้เวลาเดินทางมากกว่าครึ่งชั่วยาม ก็มาถึงประตูเมือง เสี่ยวฮัวแสดงป้ายประจำตัว พร้อมกับจ่ายเงินค่าผ่านทาง ทหารยามจึงปล่อยให้ผ่านเข้าประตูเมืองมาได้


“คุณหนู ที่รับฝากประจำน่าจะเต็ม ข้าคงต้องอยู่เฝ้าเกวียนกลัวมันจะหาย ท่านไปคนเดียวได้หรือไม่” เสี่ยวฮัวหันมาบอกกล่าวคนข้างกายเสียงเครียด หากอีกฝ่ายเป็นอะไรขึ้นมา ตนคงไม่มีหน้ากลับไปเป็นองครักษ์หญิงของใครได้หรอก


“จริงหรือ..” หญิงสาวแสร้งลากเสียงยาวเล็กน้อย พร้อมกับทำสีหน้าสลดลง ทั้งที่ในใจลิงโลดจนอยากจะวิ่งไปโรงหมอเสียเดี๋ยวนี้เลย


“ขอโทษเจ้าค่ะ หรือว่าเราค่อยซื้อกันวันหลังดี”


“อย่าดีกว่า เดินทางเข้าเมืองไม่สนุกนัก เจ้าแค่บอกว่าโรงหมอกับร้านขายยาอยู่ส่วนไหนก็พอ”


“ท่านเดินตรงไป เลี้ยวซ้ายก็จะเห็นร้านขายยา ถัดไปก็จะเป็นโรงหมอ เจ้าของคือคนเดียวกันเจ้าค่ะ”


“ขอบใจเจ้ามาก”




เสิ่นเจียอีเดินมาตามคำบอกกล่าวของเสี่ยวฮัว ไม่นานก็เจอกับร้านขายยา ถัดไปก็เป็นโรงหมอ เธอจึงเดินเลยไปที่นั่น โชคดีที่วันนี้คนบางตา เมื่อเดินเข้าไปลงชื่อ นั่งรอด้านในไม่ถึงอึดใจ ก็มีคนมาพาเข้าไปในห้องตรวจ พบหมอชราท่าทางใจดีนั่งอยู่หลังโต๊ะ เธอรู้สึกโล่งใจก่อนจะทำความเคารพตามมารยาท


“คารวะท่านหมอ”


“นั่งลงสิ แล้วก็ยื่นข้อมือมา”


“เจ้าค่ะ” หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่หมอยุคนี้เขาไม่สอบถามอาการเบื้องต้นก่อนตรวจอาการหรอกหรือ ช่างเถอะ!! จากนั้นเธอจึงยื่นมือซ้ายไปวางบนโต๊ะ เพราะท่านหมอไม่ได้บอกว่าเป็นข้อมือข้างไหน


จากนั้นหมอสูงวัยนำผ้าขาวมาวางทับข้อมือขาวสะอาด ก่อนใช้ปลายนิ้วแตะสัมผัสที่จุด ชุ่น,กวน,ฉื่อ สักพักก็เบิกตากว้าง “นำมือขวามาวางตรงนี้”


เสิ่นเจียอีรีบยื่นข้อมือขวาให้อีกฝ่ายตรวจชีพจรด้วยใจไม่ดีนัก แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนท่านหมอตะคอกเสียงใส่ ราวกับโกรธแค้นกันมาเป็นสิบชาติ


“เจ้าจะฆ่าเด็กในท้องในตายหรือยังไงฮะ”


“….”


“ร่างกายอ่อนแอ ขาดสารอาหาร ชีพจรมงคลมีถึงสองสาย แต่อีกสายหนึ่งแทบจะคลำไม่เจอแล้ว นั่นหมายความว่าเด็กจะตาย อีกคนก็อาจจะไม่รอดชีวิต”


หญิงสาวยกมือปิดปาก น้ำตาไหลพราก แม้ไม่เคยเห็นหน้า แต่พอรู้ว่ามีพวกเขาอยู่ในท้อง สายสัมพันธ์แม่ลูกก็ก่อตัวขึ้นมาเอง


จู่ๆ คำพูดที่ว่า “เราได้เจอกันแล้ว พวกหนูรักแม่นะ” ก็ลอยเข้ามาในหัว มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดเสียใจยิ่งกว่าถูกใครฆ่าตายเสียอีก


ฮึก…สวรรค์ ทำไมท่านถึงได้ใจร้ายกับฉันเหลือเกิน


เห็นสตรีตรงหน้าร้องไห้ปานใจจะขาด ทำให้หมอชราทราบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายลูกในครรภ์ อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจจะมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง หรืออาจจะไม่รู้อะไรเลย โทสะในใจของเขาก็สลายหายไปจนสิ้น ทั้งสีหน้าแววตาอ่อนลงในทันที แม้แต่คำพูดก็ยังเจือไปความสงสาร


“หากปล่อยเอาไว้เจ้าเองก็อาจจะไม่รอดชีวิตเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องเอาเด็กออกเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อรักษาชีวิตของเจ้าไว้”


ราวกับฟ้าได้ผ่าลงมากลางใจของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะมีคำถามผุดขึ้นมากลางใจของเธอว่า ทำไมเธอจะต้องเป็นฝ่ายทำร้ายลูก เพื่อรักษาชีวิตของตนเองกันล่ะ? ถ้าทำแบบนั้นไปแล้วเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร แล้วเธอจะอยู่ไปเพื่ออะไร ในเมื่อเธอไม่เหลือสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยว ให้เธอฆ่าลูกสู้ให้เธอตายไปพร้อมกับลูกยังจะดีกว่า


“ข้าให้เวลาเจ้ากลับไปคิดทบทวนอีก3วัน แล้ว…”


ท่านหมอพูดยังไม่ทันจบ เสิ่นเจียอีก็ผุดลุกขึ้นยืนทั้งที่น้ำหูน้ำตายังไหลพราก ก่อนที่เธอจะใช้หลังมือเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ แล้วพูดกับคนเป็นหมอด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเจือสะอื้นว่า


“ให้กลับไปคิดว่าท่านไร้ความสามารถน่ะหรือ? ข้าไม่ขอเก็บไปคิดให้เสียเวลาหรอก ในเมื่อท่านบอกว่า เด็กจะตายกับเด็กอีกคนอาจไม่รอด นั่นหมายความว่ายังไม่สายเกินแก้ ยังพอมีหนทางช่วยได้ แต่ท่านก็เลือกที่จะไม่ช่วย


ท่านบอกให้ข้าเอาเด็กออกเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง แม้แต่สุนัขมันก็ยังรักลูกของมัน แล้วข้าที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา มีเลือดเนื้อหัวใจ จะกล้าฆ่าลูกของตัวเองได้ลงคอหรือ แล้ว.. แล้วถ้าทำเช่นนั้นจริง ท่านคิดว่าข้ายังจะสามารถทนมีชีวิตต่อไปได้อีกหรือเปล่า นั่นก็หมายความว่า ท่านไม่ได้สนับสนุนให้ทำร้ายแค่เด็ก แต่ท่านยังสนับสนุนให้ไปตายทั้งแม่ทั้งลูก แล้วไม่ใช่แค่2นะ แต่ยังเป็นถึง3คนต่างหาก”


หญิงสาวหันหลัง พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปด้วยความผิดหวังว่า “สิ่งนี้มันเป็นความท้าทายในความสามารถของคนเป็นหมอ ว่าจะก้าวพ้นขีดจำกัดของตัวเองหรือไม่ และถึงแม้ว่าที่สุดแล้วจะช่วยเอาไว้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าไม่รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะว่าท่านได้ยื้อจนถึงที่สุดแล้ว


แต่ข้าเชื่อมั่นว่า ความรักของคนเป็นแม่ ยิ่งใหญ่และทรงพลังเสมอ ลาก่อน”


เหอหลวนเฉิน นั่งตกตะลึงตาค้างไปกับคำพูดอันแสนยาวเหยียดของสตรีที่เพิ่งจะเดินจากไป แต่เมื่อคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย ก็ให้รู้สึกสะท้อนใจเพราะมันเป็นจริงตามนั้นทุกคำ เป็นเขาเองที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวในจิตใจ เพราะในอดีตเขาเคยช่วยชีวิตลูกแฝดในท้องของบุตรสาวไม่สำเร็จ เด็กๆ จึงต้องตาย ไม่นานบุตรสาวของเขาก็ตรอมใจตายตามไปด้วย เขาช่วยใครเอาไว้ไม่ได้เลย


ไม่! ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน เด็กแฝดในท้องของแม่นางคนนั้นยังไม่ตาย ยังพอมีหนทางช่วยได้ เขาจะต้องช่วยพวกนางแม่ลูก อย่างน้อยเขาจะได้ไม่รู้สึกผิดไปจนตาย


มือเหี่ยวย่นยกขึ้นมาลูบไปหน้า ก่อนจะตัดสินใจลุกออกไปด้านนอก ตะโกนสั่งให้ผู้ช่วยของตนรีบไปตามแม่นางคนนั้นกลับมาที่นี่..




“แม่นาง แม่นางเสิ่นช้าก่อน”


เสียงที่ตะโกนดังมาจากด้านหลัง ทำให้ร่างบางที่กำลังจมอยู่ในความเศร้าถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันกลับไปมองด้วยท่าทางเหมือนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต แต่พอเห็นชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบของผู้ช่วยหมอ นัยน์ตาที่กำลังเศร้ามีความยินดีพาดผ่าน แล้วจางหายไปราวกับไม่เคยมีสิ่งใดปรากฏออกมาให้เห็น


“ขออภัยด้วยแม่นางที่รั้งเจ้าเอาไว้ ท่านหมอให้ข้ามาตามเจ้ากลับไปอีกครั้งน่ะขอรับ”


เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ไม่เสียแรงที่พ่นประโยคยาวๆ ออกไป เหนื่อยแต่ก็คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้ คราวนี้ก็เหลือเพียงแค่ว่าท่านหมอจะสามารถช่วยลูกๆ ของเธอได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร เธอก็พร้อมจะยอมรับผลการกระทำนั้น..


เสิ่นเจียอีเดินถือห่อยาบำรุงครรภ์กับสมุนไพรบางชนิดกลับมาที่เกวียนด้วยใบหน้าซีดเซียว ดวงตาทั้งสองข้างบวมช้ำและยังคงมีน้ำตาคลอหน่วย ใครเห็นก็รู้ว่าหญิงสาวได้ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะพวกเขาไม่ชอบความวุ่นวายที่อาจจะตามมาในภายหลัง


เสี่ยวฮัวที่กำลังชะเง้อมองไปรอบทิศทาง ทันทีที่เห็นร่างคุ้นตาก็ได้รีบวิ่งเข้าไปหา พลางยื่นมือไปจับไหล่กลมมน หมุนซ้ายหมุนขวาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ก่อนจะร้องถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “คุณหนูท่านเป็นอะไร มีใครรังแกท่าน”


ร่างเล็กพลันได้สติ ขืนตัวออกจากสัมผัสของเสี่ยวฮัว เพราะรู้สึกวิงเวียนกับการกระทำดังกล่าวเหลือเกิน “แค่รู้สึกไม่สบาย เจ้าอย่าห่วงเลย”


จะไม่ให้รู้สึกไม่สบายได้อย่างไร ก็ท่านหมอเหอเล่นฝังเข็มเธอ จนตัวแทบจะพรุนไปหมดแล้ว นี่อีก3วันยังนัดให้เธอกลับมาฝังเข็มและตรวจอาการอีก แต่ก็ยังดีไม่เสียค่ารักษา เสียแค่ค่ายาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นค่ายาที่แพงลิบลิ่ว หากไม่ทำงานหาเงินมาเพิ่ม มีหวังได้สิ้นเนื้อประดาตัวเร็วๆ นี้เป็นแน่


“โธ่ งั้นขึ้นไปนั่งพักบนเกวียนสักครู่ ค่อยออกเดินทางก็แล้วกัน”


นางแย่งของในมือคุณหนูเสิ่นมาถือเอาไว้เอง ก่อนจะช่วยพยุงร่างบอบบางไปขึ้นเกวียน หลังจากนั้นก็ได้เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความห่วงใยโดยไม่รู้ตัว


“ท่านหิวหรือไม่ หรืออยากจะดื่มน้ำหวานเย็นๆ หรือเปล่า ใกล้ๆ นี่มีขาย ข้าจะรีบวิ่งไปซื้อมาให้”


คนฟังกำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พอคิดถึงลูกในท้อง และคำสั่งของท่านหมอ จึงต้องฝืนพยักหน้ากลับไป ไม่ลืมยื่นถุงเงินแล้วบอกให้อีกฝ่ายซื้อมาเยอะๆ อีกต่างหาก


เสี่ยวฮัวส่ายหน้า พร้อมกล่าวว่า “ท่านเก็บไว้เถอะ ข้ามีเงิน รอข้าอยู่ตรงนี้นะ”


“อืม”