เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก - ๕ ทำเพื่อลูก โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทะลุมิติ

รายละเอียด

เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

ผู้แต่ง

รอยยิ้มพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๑ บทนำ-เสิ่นเจียอี,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๒ คุณหนูเสิ่นแปลกไป,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๓ ระแคะระคาย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๔ ข่าวดีและข่าวร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๕ ทำเพื่อลูก,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๖ ถูกใส่ร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๗ เอาใจเป็นพิเศษ

เนื้อหา

๕ ทำเพื่อลูก


บทที่๕ ทำเพื่อลูก




เสี่ยวฮัวเดินถือกระทงใบตองมาหนึ่งกระทงใหญ่ และกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำหวานมา2กระบอก เสิ่นเจียอีรับมาเพียงหนึ่งกระบอก พอลองชิมก็พบว่ามันคือหมี่หวานเต้าทึงทรงเครื่อง มีส่วนประกอบสำคัญคือน้ำเปล่า บะหมี่เหลือง พุทราจีน เมล็ดแปะก๊วย ลูกเกด เนื้อมะพร้าวอ่อน ถั่วแดง ถั่วเหลือง เมล็ดบัว เพิ่มความหวานด้วยน้ำตาลทรายแดง เพิ่มความเย็นชื่นใจด้วยน้ำแข็ง ซึ่งถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง แล้วรสชาติก็ไม่หวานมาก อย่างนี้เธอพอจะกินได้


หลังจากดื่มไปหลายอึก กระทงใบตองก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ภายในมีกระดาษไขรองไว้อีกชั้น ตามด้วยขนมหลายชนิดวางทับเอาไว้อีกที เมื่อนับรวมดูแล้วมีจำนวนไม่ต่ำกว่า10ชิ้น


ชิ้นแรกที่หยิบขึ้นมาลองชิมเป็นขนมโก๋อ่อนสีขาวนวล เมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่งก็พบว่าเนื้อแป้งเหนียวนุ่มมาก ตัวไส้ทำมาจากเผือกบด มีส่วนผสมของน้ำกะทิ ทำให้มีรสชาติหอมหวานมันอร่อย ไม่แปลกใจเลยที่มันจะขายดีเอามากๆ


ชิ้นที่สองเป็นขนมเปี๊ยะกุหลาบ เนื้อแป้งบางนุ่มละลายในปาก ส่วนไส้ถั่วกับมะพร้าวอ่อนก็หวานละมุน จนเผลอชิมไปหมดทั้งลูก


ชิ้นที่สามเป็นขนมเทียนเอ๋อต้าน ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นกลมทอด เคลือบน้ำตาล โรยด้วยงาขาว ถือว่าอร่อยลงตัวดี


ชิ้นที่สี่เป็นขนมเซาปิ่ง ขนมแป้งทอดที่ยัดไส้ด้วยเผือก ตัวแป้งกรอบนอกนุ่มใน แต่ตัวไส้หวานเกินไปนิด รวมๆ แล้วอร่อยใช้ได้


ชิ้นต่อมาคือถังหูลู่ เป็นผลซานจาเชื่อมน้ำตาล ปกติเขาจะนำมาเสียบไม้แล้วก็ขายกันไม้ละ1อีแปะ แต่เสี่ยวฮัวบอกให้เขาดึงไม้ออกให้ แล้วใส่รวมกันมากับขนมชนิดอื่น หลังกัดชิมไปคำแรก รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ ตัดด้วยรสหวานของน้ำตาลที่เคลือบอยู่ภายนอก ให้ความอร่อยไปอีกแบบ


ชิ้นสุดท้ายคือขนมดอกกุ้ย ทำมาจากแป้งข้าวเหนียว มีความนุ่มหนึบ ที่ซื้อมามีสองไส้ คือไส้ถั่วเหลืองและไส้ถั่วเขียว โดยรวมถือว่าดี แต่สำหรับเธอเธอคิดว่า ถ้าหากช่วยปรับเรื่องรสชาติให้หวานน้อยลงมาอีกหน่อย มันจะดีมากเลยล่ะ


หลังจากที่ชิมไปชนิดละคำสองคำจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวฮัวจึงส่งกระบอกน้ำเปล่าเย็นๆ ให้ดื่มล้างปาก ขนมที่เหลือเสี่ยวฮัวก็นำไปห่อเก็บเอาไว้เสิ่นเจียอีกินต่อที่บ้าน ก่อนจะขึ้นมานั่งประจำตำแหน่งแล้วบังคับเกวียนออกจากประตูเมืองอย่างไม่รีบร้อนนัก




เมื่อกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวฮัวก็นำเกวียนไปคืนเจ้าของ ซึ่งเสิ่นเจียอีก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายไปหายืมมาจากหลังไหน เพราะหลังที่อยู่ใกล้ที่สุดระยะห่างของตัวบ้านเกือบ2ลี้เห็นจะได้ คั่นกลางด้วยสระบัวขนาดใหญ่ พื้นที่รอบๆ เป็นที่นารกร้าง วังเวงใช่ย่อยเสียที่ไหน ห่างไปอีก3ลี้มีบ้านอีกหนึ่งหลัง ทั้งปลูกข้าวแล้วก็ทำไร่ข้าวโพด หลังอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน


ช่างเถอะ!! คิดไปทำไมให้ปวดหัว


จากนั้นหญิงสาวก็ไปเอนหลังนอนลงบนฟูก เพื่อให้ร่างกายหายเหนื่อยล้า ก่อนจะฝืนลุกขึ้นมาจุดเตาเพื่อต้มยาบำรุงครรภ์ไว้ดื่ม ระหว่างนั้นเสี่ยวฮัวก็กลับมาถึงพอดี เสิ่นเจียอีก็ได้ให้อีกฝ่ายจุดไฟเพิ่มอีกเตาสำหรับตั้งหม้อหุงข้าว ราว1เค่อ ข้าวก็สุก แต่หม้อยายังต้มไม่ได้ที่ จึงต้มต่อไปด้วยไฟกลางๆ


เตาที่ว่าง เสิ่นเจียอีนำกระทะมาวาง ใส่มันหมูลงไปพอประมาณ พอน้ำมันเดือดก็นำปลาแดดเดียวลงมาทอด กลิ่นหอมๆ ช่วยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะ จนได้ยินเสียงร้องโครกครากจากท้องตนเองดังขึ้นเป็นระยะ นัยน์ตาเศร้าระยิบระยับขึ้น มุมปากขดยิ้มน้อยๆ เมื่อคิดไปว่าเป็นเจ้าตัวเล็กกำลังช่วยกันส่งเสียงร้องประท้วงเพราะความหิวโหย


เสี่ยวฮัวมองภาพตรงหน้าด้วยความแปลกใจ แต่ภายในอกกลับรู้สึกดีอย่างประหลาด นานแค่ไหนแล้วนะที่นางไม่มีคนคอยทำกับข้าวให้กิน นานแค่ไหนแล้วที่กลับมาไม่มีคนรอคอยอยู่ที่บ้าน มันจะดีแค่ไหนกันนะ ถ้าหากนางจะขอให้เป็นเช่นนี้ต่อไปตลอดชีวิต..


กับข้าวบนโต๊ะมีเพียงปลาทอด ไข่ต้มคนละฟอง แล้วก็ข้าวสวยร้อนๆ คนละถ้วย น้ำเต้าหู้ยังมีเหลืออยู่ไม่มากจึงแบ่งกันคนละนิด เสี่ยวฮัวกินง่ายอยู่ง่าย เรื่องกินไม่เป็นปัญหากับตัวนาง แต่คนที่มีปัญหากับการกินเห็นจะเป็นคุณหนูเสิ่นเจียอีต่างหาก รายนั้นแทบจะกลืนข้าวไม่ลง ยามกินเข้าไปน้ำตาก็รื้นออกมาอย่างน่าสงสาร แต่ก็ยังไม่ยอมคายมันออกมา เห็นแล้วให้เสี่ยวฮัวปวดใจยิ่งนัก


“คุณหนู หากท่านกินไม่ไหว ข้าจะไปหาซื้ออาหารดีๆ มาให้ หรือว่าท่านจะกินข้าวต้ม ข้าจะรีบไปต้มมาให้เดี๋ยวนี้” 


“ไม่ต้อง ข้าจะกินมันให้หมด” เสิ่นเจียอีรีบปฏิเสธ พร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ พลางคิดในใจว่าตนจะต้องทำเพื่อลูกให้จงได้ แม้ว่าจะรู้สึกฝืดคอกลืนไม่ลง อยากจะอาเจียนออกมามากแต่ไหนก็ตาม


คนเป็นแม่ต้องลำบากแบบนี้นี่เอง แล้วในแต่ละคนก็มีอาการแพ้ท้องที่ไม่เหมือนกันอีก อย่างเธอจะมีแค่อาการวิงเวียนแต่ไม่มาก ง่วงนอนบ่อย เหนื่อยง่าย ชอบกลิ่นของอาหารในยามที่ลงมือทำกับข้าว แต่ไม่ชอบกิน พอคิดจะกินมันจะมีอาการพะอืดพะอมขึ้นมาในทันที มีเพียงน้ำข้าวต้มเท่านั้นที่มันกินแล้วคล่องคอ


เสิ่นเจียอีคนเก่าก็คงจะเป็นเช่นนี้ กินอะไรไม่ได้ รู้สึกหงุดหงิดไปหมด จึงระบายโทสะกับผู้ติดตาม บางทีพวกเขาอาจจะรอเวลาอยู่แล้ว ถึงได้ถือโอกาสหนีไปในวันนั้น


หรือว่าคนเหล่านั้นจะรู้ว่าร่างนี้กำลังตั้งครรภ์ จึงปล่อยให้ตายทั้งกลม เดี๋ยวนะ!!


เสิ่นเจียอีฉุกคิดไปถึงวันเกิดเหตุ ฉินอ๋องที่ไม่ยินยอมจะรับผิดชอบถึงขนาดจะฆ่าร่างนี้ให้ตาย เขาจะใจดีปล่อยให้ตั้งครรภ์ทายาทที่ไม่ต้องการจริงหรือ? คำตอบก็คือไม่มีทาง


แล้วร่างนี้เกิดตั้งท้องขึ้นมาได้อย่างไร? เขาทำผิดพลาดได้อย่างไรกัน?


เมื่อเกิดการตั้งคำถามขึ้นมาเช่นนี้ เธอจึงพยายามคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ในช่วงที่เจ้าของร่างยังคงรักษาตัวอยู่ในจวนตระกูลเสิ่น ตอนนั้นจำได้ว่าจะมีคนนำยามาให้ดื่มวันละ2ถ้วย และทายาให้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนึ่งในนั้นจะมียาห้ามตั้งครรภ์อยู่หรือเปล่า หรือว่าความผิดพลาดมันจะมาจากจุดนั้น ไม่ใช่ว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นยาบำรุงครรภ์หรอกนะ


ให้ตายเถอะ ขอสาปแช่งให้พระเจ้าลงโทษพวกมันอย่างหนัก




เหมือนฟ้าจะรับฟังคำขอของเสิ่นเจียอี เฟิ่งซือ ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน ไอสำลักออกมาเป็นเลือด อาการน่าเป็นห่วง


คุณหนูรองเสิ่นลู่เหมย บุตรสาวสุดที่รักของราชครูเสิ่นกับเฟิ่งซือ นางได้ขับถ่ายออกมาเป็นเลือด


ส่วนราชครูเสิ่นฉางอี้และข้ารับใช้อีกจำนวนหนึ่ง มีอาการท้องเสียโดยไม่ทราบสาเหตุ ทางจวนเสิ่นรีบส่งคนไปตามหมอหญิงประจำตระกูลกันให้วุ่นวาย


เมื่อท่านหมอมาถึงก็ทำการตรวจอาการให้แก่เสิ่นฮูหยิน เบื้องต้น ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ เพราะร่างกายเป็นปกติดีทุกอย่าง แต่ยังคงต้องติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนอาการของท่านราชครูและข้ารับใช้อีกส่วนหนึ่ง สันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ ต้มยาให้ดื่มสักเทียบอาการก็จะดีขึ้นเอง


ส่วนอาการของเสิ่นลู่เหมยที่ขับถ่ายเป็นเลือด เบื้องต้นวินิจฉัยว่าเป็นโรคท้องผูก ซึ่งโรคนี้ความถี่ในการขับถ่ายจะลดลงกว่าปกติ มีอุจจาระที่แข็งและยากต่อการขับถ่าย ทว่าเมื่อได้ซักอาการของคนไข้อย่างละเอียด พบว่าคนไข้มีก้อนเนื้อที่ทวารหนัก จะรู้สึกปวดตลอดเวลาแต่จะเป็นหนักในช่วงเวลาที่ขับถ่าย ท่านหมอหญิงจึงขอตรวจร่างกาย ก่อนจะสามารถระบุได้อย่างชัดเจนและแม่นยำถึงโรคที่คุณหนูรองเสิ่นลู่เหมยเป็นอยู่ นั่นก็คือโรคริดสีดวงทวารนั่นเอง ก่อนกลับท่านหมอยังบอกอีกว่า วิธีการดูแลรักษานั้นไม่ยาก เพียงนั่งแช่ในน้ำอุ่น ราว1เค่อ โดยควรทำทั้งก่อนและหลังถ่ายอุจจาระ กินยาลดปวด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการเพิ่มอาหารที่มีกากใยให้มากขึ้น และดื่มน้ำตามมากๆ


ผู้เป็นนายแห่งจวนเสิ่นรับฟังคำแนะนำด้วยความอับอาย หลังส่งท่านหมอกลับไปก็ได้กำชับให้ทุกคนปิดปากให้สนิท แต่ไม่รู้ไปกำชับกันท่าไหน วันรุ่งขึ้นข่าวการเป็นโรคริดสีดวงทวารของเสิ่นลู่เหมย ก็โด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ตระกูลคู่หมั้นของเสิ่นลู่เหมยอับอายผู้คนจนต้องออกมาประกาศตัดความสัมพันธ์ ตระกูลเสิ่นทั้งเสียหน้า ทั้งยังอับอายผู้คน จนต้องปิดประตูจวนไป3วัน7วัน พานกล่าวโทษไปถึงคุณหนูใหญ่เสิ่นเจียอี ว่านางเป็นตัวอัปมงคลที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่ไม่เคยย้อนคิดเลยว่าที่นางต้องเป็นเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะพวกเขาทั้งสิ้น แล้วการที่เด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาผู้หนึ่ง เติบโตขึ้นมาเป็นสตรีไม่ได้ความ ผู้ปกครองจะต้องมีเวลาเสี้ยมสอนและปลูกฝังสิ่งไม่ดีใส่หัวมากถึงขนาดไหนกันนะ ลองคิดดู!




ทางด้านเสิ่นเจียอีไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ตื่นเช้ามาเธอก็จัดการทำธุระส่วนตัว หลังจากนั้นก็ต้มยาบำรุงดื่ม ระหว่างนั้นก็ลงมือทำกับข้าว จุดเตาตั้งกระทะทอดหมูแดดเดียว เสร็จแล้วก็นำกระหล่ำปลีมาเลือกใบที่ซ้ำออก ล้างน้ำสะอาด หั่นแบ่งครึ่ง นำแต่ละครึ่งมาหั่นซอยให้เป็นไปตามแนวยาว ทอดหมูเสร็จก็เปลี่ยนกระทะใบใหม่ ใส่มันหมูเล็กน้อย ตามด้วยกระเทียมสับหยาบๆ จากนั้นเติมผักใส่ไข่ ผัดให้เข้ากันแล้วก็ปรุงรส สักพักก็ยกออกจากเตา


ส่วนเสี่ยวฮัวรับหน้าที่หุงข้าวต่อเมื่อเตาว่าง เสร็จแล้วก็ไปนำถั่วเหลืองที่แช่ทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนมาลอกเปลือกออก ก่อนจะนำไปบดในเครื่องโม่หิน เพื่อจะนำไปทำน้ำเต้าหู้เป็นขั้นตอนถัดไป


“คุณหนูข้าว่าจะถามแต่ก็ดันลืม ไม่ทราบว่ายาที่ท่านนำมาต้มดื่มมันคือยาอะไรกันแน่ กลิ่นคลับคล้ายคลับคลานัก แต่นึกไม่ออก” ระหว่างนั่งกินข้าวด้วยกัน เสี่ยวฮัวก็เป็นฝ่ายเปิดสนทนาขึ้นมาก่อน


เสิ่นเจียอีชะงักเล็กน้อย สีหน้ายังคงเป็นปกติ ก่อนจะคีบผักกระหล่ำปลีเข้าปากไปคำหนึ่ง ฝืนเคี้ยวกลืนลงคอแล้วจึงตอบเสียงเรียบอย่างไร้พิรุธว่า “ยาบำรุงร่างกาย ช่วยให้เจริญอาหาร และรักษาพยาธิตัวอ้วนในท้อง”


ยาบำรุงครรภ์ก็คือยาบำรุงร่างกาย มีส่วนช่วยให้เจริญอาหารจริง อันนี้เธอไม่ต้องโกหก ส่วนรักษาพยาธิตัวอ้วนในท้อง อันนี้เธอหมายถึงเจ้าเด็กแฝดต่างหาก เธอไม่ได้โป้ปดอะไรทั้งนั้น


คิ้วของคนฟังขมวดเข้าหากัน พลางนึกถึงความเป็นไปในคำพูดดังกล่าว ก็เห็นจะจริงตามนั้น คุณหนูเสิ่นผอมบางร่างน้อย เพราะกินอะไรไม่ค่อยจะได้ ก็ไม่แปลกหรอกที่ในร่างกายจะมีตัวพยาธิอาศัยอยู่ หากรักษาให้หายได้ก็คงดีไม่น้อย เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามต่อไปว่า


“แล้วท่านจะต้องไปหาหมอวันไหนอีกหรือเจ้าคะ”


เข้าทาง! เสิ่นเจียอีแทบจะตะโกนร้องออกมาดังๆ บทจะหลอกง่ายก็ง่ายดายอย่างนี้เลยหรือ


“คงเป็นวันมะรืนนี้กระมัง” เธอบอกผ่านๆ ราวกับไม่ได้สนใจอะไร


“อืม ข้าจะพาท่านไปเอง”


“รบกวนหรือไม่ ข้าสามารถเดินเข้าเมืองเองได้” ได้ที่ไหนกันล่ะ เดินได้ไม่ถึง1ลี้คงได้เป็นลมกันพอดี


“ไม่เจ้าค่ะ แล้วท่านก็อย่าได้แอบไปไหนโดยที่ไม่มีข้าโดยเด็ดขาด” เสี่ยวฮัวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะเมื่อคืนมีนักฆ่าถูกส่งมาที่นี่ โชคดีที่พวกมันฝีมือยังอ่อนด้อยกว่านางนักจึงถูกนางสังหารตายภายในดาบเดียว จากนั้นนางจึงส่งสัญญาณหาองครักษ์อีกนายมาช่วยเก็บกวาดให้สะอาดหมดจด เรื่องนี้นางยังไม่ได้รายงานให้เบื้องบนทราบ เพราะมันเกี่ยวพันกับตระกูลเฉินของแม่นางอี๋นั่ว ซึ่งแม่นางอี๋นั่วหรือก็คือคุณหนูเฉินอี๋นั่วเป็นสตรีคนสำคัญของท่านอ๋องนั่นเอง


“ทำไมล่ะ?”


“เพราะข้าเป็นห่วงท่าน”


“….”