เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก - ๖ ถูกใส่ร้าย โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทะลุมิติ

รายละเอียด

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เสิ่นเจียนอีไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้ทะลุมิติเหมือนอย่างในนิยายที่เคยอ่าน แล้วที่สำคัญร่างนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตัวร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าวางยาปลุกกำหนัดฉินอ๋อง จนเกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย

ผู้แต่ง

รอยยิ้มพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๑ บทนำ-เสิ่นเจียอี,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๒ คุณหนูเสิ่นแปลกไป,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๓ ระแคะระคาย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๔ ข่าวดีและข่าวร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๕ ทำเพื่อลูก,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๖ ถูกใส่ร้าย,เปลี่ยนชะตาร้ายให้กลายมาเป็นชะตารัก-๗ เอาใจเป็นพิเศษ

เนื้อหา

๖ ถูกใส่ร้าย


บทที่๖ ถูกใส่ร้าย




หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ พลางนึกสงสัยว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะบอกว่าเป็นห่วงเธอทำไมกัน หรือว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นโดยที่เธอไม่ทราบ คงต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามากแน่ๆ คนตรงหน้าถึงได้มีปฏิกิริยาท่าทางเช่นนี้


“ข้าเป็นห่วงท่านจริงๆ ไม่ได้พูดเล่นนะเจ้าคะ” เสี่ยวฮัวย้ำให้ฟังอีกครั้ง เมื่อเห็นแววตาแปลกใจระคนสงสัยของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พลางคิดว่าหากเป็นเมื่อก่อนนางคงไม่มัวมานั่งเสียเวลากล่าวเรื่องอะไรทำนองนี้หรอก ตั้งแต่สูญเสียครอบครัวไปนางก็ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ค่ำไหนนอนนั่น ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป เอาจริงๆ แรกเริ่มเพียงแค่สมเพชเวทนา แต่พอได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ก็เริ่มรู้สึกสงสารเห็นใจในชะตากรรมที่สตรีบอบบางผู้หนึ่งต้องเผชิญเพียงลำพัง และพอได้จับตามองอย่างใกล้ชิด ได้เห็นถึงความจริงใจ ความมีน้ำใจ และความมีเหตุผล มารู้ตัวอีกทีนางก็รู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจ เหมือนได้อยู่กับคนในครอบครัวเสียแล้ว มันทำให้นางเริ่มคิดอะไรหลายๆ อย่าง จนมีเรื่องของนักฆ่าที่มาตามสังหารคุณหนูเสิ่น ใจของนางก็เริ่มเอนเอียงมาทางฝั่งนี้อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ทราบดีว่า ถ้าทำอะไรเกินหน้าที่ หรือทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง โทษก็คือตายสถานเดียว นางจำเป็นที่จะต้องชั่งใจให้ดีๆ คิดให้รอบคอบ มิฉะนั้นตัวนางเองก็จะเอาชีวิตไม่รอดเช่นเดียวกัน


“เอ่อ..”


เสิ่นเจียอีรู้สึกไปไม่เป็นกับแววตาที่จริงใจและคำพูดพาซื่อของคนตรงหน้า เป็นใครจะไปคิดล่ะว่าเสี่ยวฮัวจะมีมุมอ่อนโยนแบบนี้กับเขาด้วย เห็นวันๆ เอาแต่ห้าวหาญเก่งเกินสตรี ไม่คิดว่าแท้จริงแล้วด้านในก็ยังคงมีอารมณ์อ่อนไหวซ่อนอยู่ และที่สำคัญตามความเห็นของเธอเอง เนื้อแท้ของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนเลวร้าย สังเกตได้จากที่นางดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี มันผิดวิสัยของคนที่ยืนกันคนละฝั่ง ที่จริงอีกฝ่ายไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเลยก็ได้ แต่เสี่ยวฮัวกลับทำ และทำได้ดีกว่าข้ารับใช้ในจวนสกุลเสิ่นเสียอีก หรือบางทีอาจจะดีมากกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งเธอขอนับถือน้ำใจของเสี่ยวฮัวในเรื่องนี้จากใจจริง เพราะถ้าไม่ได้อีกฝ่ายคอยช่วยเหลือตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ เธออาจจะตายซ้ำสองไปแล้วก็เป็นได้ ทว่ามีน้ำใจก็ส่วนมีน้ำใจ แต่เรื่องไว้ใจได้หรือไม่นั้นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


เมื่อคิดว่าเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว ร่างเล็กก็พยักหน้าหงึกๆ จากนั้นก็เริ่มหาวติดๆ กันหลายครั้ง เสี่ยวฮัวจึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เสิ่นเจียอีเห็นอย่างนั้นก็รีบพุ้ยข้าวเข้าปากฝืนกินให้หมดชามโดยเร็ว ก่อนจะตามด้วยน้ำเต้าหู้อีกแก้วใหญ่ แล้วขึ้นไปนั่งรอให้อาหารย่อยอยู่บนที่นอน สักพักก็เอนตัวลงนอนแล้วหลับสนิทไปในที่สุด


เสี่ยวฮัวหันมองแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเก็บจานชามไปล้างหลังบ้าน ไม่ทันจะได้ละลายขี้เถ้าในกาละมัง ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงทักทายที่ไม่เป็นมิตรนัก


“เจ้าดูนางประสาอันใด ไยถึงได้ปล่อยให้นางก่อเรื่องอยู่อีก”


“ใครก่อเรื่อง!?” ร่างระหงสวนกลับทันควัน ก่อนจะรีบวางจานชามในมือ แล้วหันกลับไปมองแขกไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาขุ่นเคือง


“ยังมีหน้ามาถามอีกหรือ หรือว่าเจ้าจะบอกว่าตนเองไม่รู้ เรื่องที่แม่นางเสิ่นเจียอีลอบจ้างวานคนให้ไปทำร้ายแม่นางเฉินในวัดไท่ซานเมื่อ6วันที่แล้ว เพราะเหตุนี้ข้าถึงต้องเร่งเดินทาง ไม่ได้หลับได้นอนติดๆ กันมาหลายคืนแล้ว”


วัดไท่ซานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สร้างบนภูเขาห่างจากกำแพงเมืองหลวงไปไม่กี่สิบลี้ ผู้คนทั้งในเมืองหลวงและนอกเมืองต่างนิยมเดินทางกันไปทำบุญไหว้พระขอพร บางคนอยู่พำนักถือศีลกินเจในสถานที่ที่ทางวัดจัดเตรียมเอาไว้ให้ คุณหนูเฉินอี๋นั่วก็เป็นหนึ่งในนั้น


“จ้างวานคน?” เสี่ยวฮัวทวนคำด้วยความเหลือเชื่อ ถ้าเป็น6วันที่แล้วเสิ่นเจียอียังนอนป่วยอยู่เลย เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด นางขอค้านหัวชนฝา หรือถ้าสมมติว่าคิดจะลงมือทำจริงๆ คุณหนูเสิ่นจะเอาเวลาไหนหรือเอากำลังใดไปทำเรื่องพวกนั้น อย่าลืมว่านอกจากนางแล้วอีกฝ่ายก็ไม่มีข้ารับใช้เลยสักคน ไม่มีทางที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะหานักฆ่ารับจ้างในเมืองนี้เจอโดยง่าย และถึงเจอก็ใช่ว่าทุกคนจะรับทำงานโดยไม่ตรวจสอบเป้าหมายให้ดี หากไปขุดเจอเอาตอไม้ใหญ่จะพานให้เดือดร้อนกันไปหมด


“ใช่ จ้างวานคน เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้รายงานให้ท่านอ๋องทรงทราบ เพราะต้องการมาพูดคุยกับเจ้าก่อน แต่อีกไม่นานพระองค์ก็ทรงรู้อยู่ดี หากเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ เจ้าคงต้องโทษสถานหนักที่จับตาดูนางไม่ดี ปล่อยให้นางก่อเรื่องขึ้นจนได้ ส่วนนาง ครานี้ไม่แน่ว่าอาจจะถูกฆ่าตายก็เป็นได้”


หานเทา องครักษ์มือซ้ายของโอหยางเสวี่ยหลงฉินอ๋อง กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันแฝงความไม่พอใจอยู่หลายส่วน เพราะเขาเป็นหนึ่งในจำนวนองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งให้ติดตามดูแลแม่นางเฉินอยู่ห่างๆ คืนเกิดเหตุก็เป็นเขากับสหายที่ออกไปช่วยองครักษ์ตระกูลเฉินจัดการกับมือสังหาร แล้วพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่เชื่อมโยงมาถึงแม่นางเสิ่นเจียอี จากนั้นเขาก็รีบมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อจะจัดการกับปัญหาให้คลี่คลายก่อนที่ท่านอ๋องจะเสด็จกลับมาจากทางใต้


“6วันที่แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ นางป่วยหนัก นอนซมติดเตียงข้าเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง แล้วก็นะ..” เสี่ยวฮัวสูดลมหายใจเข้าออกลึก พลางหันมองไปรอบๆ แล้วพูดต่อว่า “ดูสิ ที่นี่มีใครเสียที่ไหน ไม่แปลกใจหรือที่เห็นข้าปรากฏอยู่ในบ้านหลังนี้กับนาง”


หานเทาเริ่มได้สติ เขาหันมองไปรอบๆ แล้วมาหยุดสายตาที่ร่างระหง เมื่อมองเลยไปทางด้านหลังก็เห็นจานชามที่ยังล้างไม่เสร็จวางกองอยู่ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เชื่อมั่นว่าเสี่ยวฮัวไม่มีวันโกหก ก่อนที่ปากจะถามย้ำถึงสิ่งที่สงสัย


“เจ้าว่านางป่วย?”


“ใช่” หญิงสาวยืนยันเสียงหนักแน่น


“ตอนนี้ก็ยังป่วย?”


“ใช่ ไปตรวจสอบดูได้เลย ยาต้มของนางยังเหลืออยู่ก้นหม้อ กากยาก็ยังวางกองอยู่แถวนั้น”


หานเทาก็ไม่ได้อยากจะปรักปรำใครนัก จึงหมุนกายกลับเข้าในครัว เพื่อตรวจสอบในสิ่งที่เสี่ยวฮัวกล่าวมาข้างต้น ทันทีที่ได้กลิ่นของตัวยา คิ้วดกดำก็ขมวดชนกันอีกครั้ง เสี่ยวฮัวที่ไม่ไว้วางใจเดินตามมาคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง เมื่อเห็นสีหน้าและคิ้วที่ผูกกันเป็นปมก็ให้เกิดอาการสงสัยมิได้


“มีปัญหาหรือเจ้าคะ”


ชายหนุ่มไม่ตอบแต่กลับมองไปยังห้องนอนเพียงหนึ่งเดียวของบ้านหลังนี้ ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา


เสี่ยวฮัวมองตาสายตาของอีกฝ่ายก็ชักจะใจไม่ดี ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นเลย แต่เหมือนคำขอจะไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อจู่ๆ บุรุษตรงหน้าก็มุ่งตรงไปยังห้องนอนของคุณหนูเสิ่น แม้นางจะไม่รู้ว่ากากยามีปัญหาอย่างไร แต่ด้วยสัญชาตญาณที่มีอยู่ในตัวจึงออกโรงปกป้องสตรีที่อยู่ด้วยกันอย่างเต็มที่


“ห้ามยุ่งกับนาง นางไม่ได้ทำร้ายใครทั้งนั้น ไม่เชื่อเรียกอาซานมาสอบถามได้เลย”


อาซานคือองครักษ์ลับที่แฝงตัวจับตาดูอยู่ห่างๆ หากไม่มีคำสั่งหรือไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคนในหน่วย เขาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวและจะไม่ปรากฏตัวออกมาให้ใครเห็นเป็นอันขาด และเขาก็คือคนที่เสี่ยวฮัวส่งสัญญาณให้มาจัดการกับศพของนักฆ่าเมื่อคืนนี้


หานเทาเพียงปรายตามองคนพูดแต่ไม่ได้ผ่อนฝีเท้าลงแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่หญิงสาวพูดมาเขาย่อมกระทำอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เรื่องตรงหน้าสำคัญกว่า ซึ่งเขาจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อน


“ท่านหานเทา หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าได้คิดแตะต้องนาง” 


ชายหนุ่มไม่สนเสียงนกเสียงการีบผลักประตู แล้วพาตนเองเข้าไปในห้องนอนอย่างถือวิสาสะ


“หยุดนะ อย่าทำอะไรนาง” เสี่ยวฮัวร้องห้ามเสียงเบาลงกว่าเดิม เพราะกลัวจะไปรบกวนคนที่กำลังนอนหลับสบายบนฟูกอันหนานุ่ม


หานเทาหยุดเท้าเมื่อถึงที่หมาย แล้วพูดเสียงเรียบโดยไม่ได้หันกลับไปมองคู่สนทนาว่า “เผื่อเจ้าจะยังไม่ทราบ หรือว่าหลงลืมไปแล้วว่าข้าเกิดในตระกูลหมอ”


กล่าวจบเขาก็ฉวยโอกาสนั้นยื่นปลายนิ้วของตนเองไปวางบนชีพจรบริเวณข้อมือด้านซ้ายของคุณหนูเสิ่นเจียอี เพียงแตะสัมผัสบนผิวขาวสะอาด หัวใจของชายหนุ่มก็เต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะสิ่งที่ติดใจสงสัยนั้นเป็นความจริง แต่เมื่อลองจับสัมผัสดีๆ หัวคิ้วดกดำก็ต้องขมวดเข้าหากัน ก่อนที่เหงื่อเย็นจะเริ่มซึมออกมาตามกรอบใบหน้าและแผ่นหลัง จากนั้นเขาจึงลองย้ายปลายนิ้วไปตรวจจับชีพจรทางด้านขวา ดวงตาคมกริบค่อยๆ เบิกกว้าง ก่อนจะรีบถอยห่างไปอย่างตื่นตระหนก


เสี่ยวฮัวก็ตกใจไม่แพ้กัน นางรีบเข้ามาสอบถามด้วยอาการแตกตื่น


“นะ นาง เป็นอะไร ทำไมท่านต้องตกใจ ขนาดนี้ด้วย”


หานเทาหันมาจ้องหน้าเสี่ยวฮัวเขม็ง นึกอยากจะบีบคออีกฝ่ายให้ตายเหลือเกิน มาถึงตอนนี้ก็ยังดูไม่ออกอีกหรือ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันกลับไปมองร่างบอบบางบนฟูกหนาอีกครั้ง จับจ้องไปยังหน้าท้องที่เริ่มมีรอยนูนขึ้นมาของอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิมหลายพันเท่า


“ตกลงว่ามีอะไร”


“ออกไปกับข้า” เขาคว้าแขนของเสี่ยวฮัวออกไปคุยกันนอกห้อง โดยไม่ลืมหันมาปิดประตูให้อย่างเบามือ


ห่างออกไปจากตัวบ้านเป็นสระบัวขนาดใหญ่ หานเทาเลยใช้สถานที่ตรงนั้นในการพูดคุยเรื่องสำคัญกับหญิงสาว


เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงที่หมาย ฝ่ายชายจึงได้ทำการส่งสัญญาณให้องครักษ์ซานออกมาหาพวกตน สักพักก็สัมผัสได้ถึงลมสายหนึ่ง ก่อนที่ร่างชายในชุดสีดำสนิทจะปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า


“คารวะท่านหาน”


หานเทาเป็นทั้งมือซ้ายของฉินอ๋องและยังเป็นถึงรองหัวหน้าองครักษ์ จึงไม่แปลกที่องครักษ์ทุกหน่วยจะต้องทำความเคารพเมื่อพบเจอเขา เว้นก็แต่เสี่ยวฮัวที่ไม่ค่อยให้ความเคารพเขาสักเท่าไหร่ เพราะสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง


“พวกเจ้าช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังที”


เสี่ยวฮัวกับองครักษ์ซานหันมองหน้ากัน ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะพยักหน้าแล้วเป็นฝ่ายเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีองครักษ์ซานคอยยืนยันในคำพูดของนางอีกที…


“เจ้าพูดจริงหรือ เรื่องของนักฆ่ามาที่นี่เมื่อคืน แล้วยังเกี่ยวพันกับแม่นางเฉินอี๋นั่ว” ทันทีที่ได้ฟังมาจนถึงเรื่องสุดท้าย องครักษ์หานก็ยั้งปากเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เขาร้องถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจเป็นอย่างมาก


เสี่ยวฮัวพยักหน้ายืนยันแล้วพูดว่า “หลักฐานคือแหวนหยกสีดำที่นิ้วของนักฆ่าทุกคน ข้าเคยเห็นมันบนนิ้วของนาง ตอนมีโอกาสเจอกันที่จวนอ๋อง และรวมถึงสัญลักษณ์รูปดอกเหมยสีดำบนตัวของนักฆ่า บริเวณหน้าท้อง ซึ่งเป็นรูปดอกเหมยเดียวกันกับลายปักบนชุดของแม่นางเฉินอี๋นั่ว รวมถึงกำไลข้อมือและเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ มีไม่กี่คนที่ทราบเรื่องนี้


ส่วนอาวุธลับที่ใช้ไร้ตราประทับ แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ จะมีรูปกลีบดอกเหมยแฝงอยู่ในนั้นด้วย เบื้องต้นทราบว่าเกี่ยวข้องกับแม่นางเฉินอี๋นั่ว แต่ก็ต้องรอคำยืนยันจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานอีกทีว่าใช่อย่างที่คิดหรือไม่ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นนาง”


“ฟังที่เจ้าเล่ามา ก็มีเรื่องให้น่าสงสัยหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องนักฆ่าที่วัดไท่ซานเมื่อ6วันก่อน มีคนเจาะจงใส่ความว่าเป็นแม่นางเสิ่น คงต้องตามสืบเรื่องนี้กันอย่างละเอียดอีกที”


“นี่ท่านเชื่อข้าแล้วหรือว่านางไม่ได้เป็นคนทำ” เสี่ยวฮัวทำตาโตในเวลาที่เอ่ยคำถามนี้กับชายตัวโตกว่าตนเองหลายเท่า


“ข้าเชื่อ” เขาตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาหยุดคิด ก่อนจะย้อนถามกลับไปเสียงเครียด “แล้วเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าร่างกายของแม่นางเสิ่นมีความผิดปกติ”


“เชื่อสิ นางบอกว่ายานั่นเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยให้เจริญอาหาร และรักษาพยาธิตัวอ้วนในท้อง เพราะในท้องของนางมีพยาธิอยู่ ร่างกายของนางจึงผิดปกติยังไงล่ะ”


“อาซานเจ้ากลับไปก่อน” หานเทาหันไปกล่าวกับองครักษ์อีกคน เมื่อเห็นอีกฝ่ายจากไปจนลับสายตา เขาจึงหันมาดีดหน้าผากของหญิงสาว จนเกิดรอยแดงอย่างเห็นได้ชัด


“โอ๊ยยยยย”


“พยาธิบ้านเจ้าสิ นางกำลังตั้งครรภ์ต่างหาก แล้วตอนนี้ก็อยู่ในช่วงที่อันตรายนัก เด็กอาจจะตาย แม่เด็กก็อาจจะไม่รอด ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยังเล่า”


นางตาโตอ้างปาก รู้สึกว่าตัวเองจะหูดับไปชั่วขณะหนึ่ง จนถูกหานเทาเรียกดึงสติ เท่านั้นแหละสติจึงได้กลับเข้าร่าง


“ท่าน วะ..ว่า อย่างไรนะ ใครตั้งครรภ์”


ชายหนุ่มเดาะลิ้น กลอกตาไปมา ก่อนตอบด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “คุณหนูใหญ่เสิ่นเจียอีของเจ้า ตั้งครรภ์แฝด”


เสี่ยวฮัวกระพริบตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ อยากจะแย้งเหลือเกินว่าเป็นไปได้อย่างไร ตั้งแต่ที่จวนเสิ่น ท่านราชครูก็ได้สั่งให้คนต้มยาห้ามครรภ์ส่งไปให้คุณหนูดื่ม ดูเหมือนว่าเสิ่นฮูหยินหรือเฟิ่งซือกลัวไม่ได้ผล จึงสั่งให้คนต้มยาให้ดื่มในทุกๆ วัน จนกว่าคุณหนูจะหายบาดเจ็บจากการถูกโบย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนางก็เห็นมาโดยตลอด ยังกลับไปรายงานท่านอ๋องเลยว่า ทางจวนเสิ่นได้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์แล้ว แล้วอีกฝ่ายจะตั้งท้องขึ้นมาได้อย่างไร จะต้องมีการเข้าใจผิดเป็นแน่ แต่คนที่เข้าใจผิดน่าจะเป็นตัวของนางเองเสียมากกว่า เพราะเหตุนี้ทำให้นางไม่เคยติดใจสงสัย หรือฉุกคิดอะไรได้เลยสักครั้ง


เวรกรรม


เสี่ยวฮัวยกฝ่ามือขึ้นลูบใบหน้า นางรู้สึกทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางคิดได้ และจะต้องชิงเอ่ยออกมาโดยเร็วที่สุด ก่อนที่มันจะสายไป


“จะให้ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ข้าไม่อยากเห็นนางตาย องครักษ์หานเทาช่วยข้าด้วยเถิด”


ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา ทำให้ใจของคนมองอ่อนยวบ ก่อนจะเกิดความรู้สึกลังเลและคิดไม่ตกเป็นครั้งแรก