ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า


       ปีนั้นเป็นปีที่ข้าวและน้ำอุดมสมบูรณ์ ฝนตกต้องตามฤดูกาลทุกอย่างในเวียงชัยกฤษณะดูสงบสุขราวกับความฝัน หากแต่สถานการณ์ชายแดนระหว่างเวียงชัยกฤษณะและนครลอยฟ้าทิพย์เวหาสที่มีอาณาเขตห่างกันเพียงแค่ข้ามแม่น้ำกลับตึงเครียดถึงขีดสุด ด้วยต่างฝ่ายต่างตรึงกำลังไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งรุกรานแย่งชิงพื้นที่ได้โดยง่าย แม้แต่ผีเสื้อสักตัวหากบินข้ามฝั่งน้ำยังต้องแหลกเป็นผุยผง ในขณะที่ไฟสงครามคล้ายค่อย ๆ ปะทุขึ้นอย่างเชื่องช้าตามเขตชายแดน ปลายฤดูฝนอันหนาวเหน็บ องค์รัชทายาทแห่งเวียงชัยกฤษณะก็เสด็จสวรรคตกะทันหัน

       ท่ามกลางความเสียพระทัยอย่างยิ่งของกษัตริย์และเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าขุนนางต่างร้อนใจอยากแต่งตั้งรัชทายาใหม่โดยเร็ว เพราะหากบ้านเมืองขาดซึ่งเสถียรภาพ และขาดกำลังหลักในการนำทัพ เมืองตามเขตชายแดนย่อมฉวยโอกาสกรีธาทัพเข้ามาขย้ำกษัตริย์เฒ่าอย่างไม่ต้องสงสัย

       ราชครูเฒ่าพยักหน้าอย่างเชื่องช้าเมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากขององค์ชายจักรินทร์นฤเบศร์ ว่าที่องค์รัชทายาทแห่งเวียงชัยกฤษณะ ศิษย์รักที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี ผู้ซึ่งบัดนี้โตขึ้นเป็นบุรุษรูปงามสง่าผ่าเผยสมเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ ทว่าดวงตากลับมีแววโศกเศร้าอยู่ลึก ๆ 

       แม้สำนักแห่งนี้จะปลีกตัวหลบเร้นอยู่ในป่าลึกบนยอดเขา แต่เรื่องราวยุ่งเหยิงจากโลกภายนอกก็ยังมีผู้คอยส่งข่าวให้รู้อยู่ไม่ขาด ดังนั้นราชครูเฒ่าจึงไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจนัก มีเพียงความเอื้ออาทรและเห็นอกเห็นใจเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้าของชายชรา 

       “เช่นนั้น... ต้องรีบแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ ก่อนจะเกิดความวุ่นวายในราชสำนัก และก่อนที่สถานการณ์ชายแดนจะเลวร้ายมากไปกว่านี้”

       “ขอรับท่านอาจารย์ เดิมทีตามลำดับแล้วข้าย่อมต้องขึ้นเป็นองค์รัชทายาทต่อจากเสด็จพี่  ทว่าองค์ชายอัครเรศผู้เป็นอนุชาของข้าซึ่งเดิมทีศึกษาธรรมะอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์มาเนิ่นนานหลายสิบปี มิได้ฝักใฝ่อำนาจ ไม่สนใจการเมืองการปกครอง แทบจะกล่าวได้ว่ามิปรารถนาในราชบัลลังก์ และไม่เคยสนใจเรื่องทางโลกกลับลาสิกขาจากสมณเพศหลังจากที่เสด็จพี่สวรรคต ประจวบกับที่ตลอดเวลาหลายเดือนมานี้ข้าถูกลอบสังหารมาหลายต่อหลายครั้ง ชวนให้ข้านึกระแวงสงสัยขึ้นมาว่าการสวรรคตของเสด็จพี่ก็อาจเป็นการลอบสังหารด้วยเช่นกัน สถานการณ์ภายในเวียงชัยกฤษณะในเวลานี้จึงไม่ชวนให้ไว้วางใจเลยแม้แต่น้อยขอรับอาจารย์”

       อาจารย์เฒ่าทอดถอนใจเงียบงัน

       อำนาจ... สิ่งหอมหวานที่สุดในโลก ใครเล่าจะไม่ต้องการ ใครเล่าจะไม่แย่งชิง แม้ว่าต้องเข่นฆ่าเพื่อน พี่น้อง มิตรสหาย หรือบุตรธิดา ...เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจแล้วสิ่งใดก็ล้วนสละได้ทั้งสิ้น

       “เสียดายข้าแก่เฒ่ามากแล้ว ยามคับขันเช่นนี้ไม่อาจเป็นขุนศึกคู่บัลลังก์ให้เจ้า” ราชครูเฒ่าเอ่ยขึ้นเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ  ริมฝีปากบางของคนเป็นศิษย์คลี่ยิ้ม ความเยือกเย็นในดวงตาคลี่คลายลง

        “ท่านอาจารย์ของข้าเก่งกล้าสามารถ หาได้แก่เฒ่าถึงเพียงนั้นไม่ ศิษย์ทั้งสำนักนี้รวมพลังกันก็เกรงว่าจะยังล้มท่านมิได้ด้วยซ้ำ” คนเป็นอาจารย์หัวเราะ ส่ายหัวเบา ๆ กับคำประจบประแจงของลูกศิษย์ เขายิ้มละไมก่อนจะเอ่ยต่อไป

       “กระนั้นข้าจะบังอาจขอร้องท่านให้เป็นขุนศึกของข้าได้อย่างไร ...เพียงแต่ข้านึกถึงคนอีกผู้หนึ่งที่เก่งกล้าสามารถไม่เป็นรองใครในสำนักแห่งนี้ คนผู้นั้นที่ข้าเชื่อว่าจะไม่มีวันทรยศข้า...”

      ดวงตาสีดำขลับของราชครูเฒ่าหรี่ลงเล็กน้อย จับจ้องเข้าไปในดวงตาของบุรุษหนุ่มตรงหน้าเพื่อค้นหาความหมายบางอย่างในแววตาสีอำพันอยู่เนิ่นนาน ทว่ากลับเห็นเพียงความมุ่งมั่นอยู่ในนั้น

       “เช่นนั้นเจ้าก็ไปถามคนผู้นั้นด้วยตนเองเถิด  ยังจำลานฝึกทางทิศตะวันออกที่พวกเจ้าเคยใช้ฝึกฝนเมื่อครั้งยังเยาว์ได้อยู่กระมัง เวลานี้คนผู้นั้นคงกำลังกวดขันศิษย์รุ่นเยาว์อยู่ที่นั่น...”


       
       สำนักของราชครูนิลนนท์อยู่บนภูเขาสูง มีศิษย์เล่าเรียนศึกษาอยู่ประจำเพียงไม่กี่คน ทว่าแต่ละคนใช้เวลาอยู่ที่นี่นานหลายปี จนรอบรู้ทุกศาสตร์ที่ราชครูถ่ายทอดให้แล้ว  จึงค่อยลงจากเขา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุตรของแม่ทัพไม่ก็เป็นราชโอรสในกษัตริย์แคว้นใดสักแคว้นหนึ่ง เขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น...

       องค์ชายจักรินทร์แย้มรอยยิ้ม  เรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มแรกรุ่นสิบสี่สิบห้าผุดพรายในความทรงจำ

       แสงแดดยามบ่ายไม่ร้อนมากนักด้วยลานฝึกแห่งนี้อยู่ใกล้ลำธารเล็ก ๆ และร่มรื่นด้วยแมกไม้หนาทึบตามธรรมดาของกลางป่าเขา ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาขัดถูอาวุธคู่กาย เขาหวนนึกถึงตนเองในอดีตที่ยามว่างจากการฝึกก็มักจะพักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมลำธาร ปากก็หาเรื่องท้าสู้กับคนผู้นั้นอยู่เป็นนิจ  นั่นเพราะในบรรดาศิษย์ทั้งหมดนั้น มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้นที่เขาไม่อาจเอาชนะได้แม้แต่ครั้งเดียว...

       “เด็กน้อย... อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ” เขาเอ่ยถามศิษย์น้องผู้หนึ่งซึ่งดูแล้วคงอายุคงไม่เกินแปดเก้าขวบปี มือเล็ก ๆ หยุดเคลื่อนไหว จ้องมองเขาด้วยความสงสัย แต่ในแววตาไม่มีความหวาดกลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย

       “ท่านอาจารย์พักผ่อนอยู่ริมลำธารขอรับ”

       ที่เดิม... เขาคลี่รอยยิ้มบางก่อนจะก้าวลัดเลาะออกจากลานฝึก มุ่งหน้าไปยังต้นไม้ใหญ่ริมลำธารอย่างไม่เร่งรีบ

       ใต้ร่มไม้ว่างเปล่า เงียบสงบ มีเพียงเสียงน้ำไหลจากในลำธารเล็ก ๆ เท่านั้นที่ดังอยู่รอบกาย เขาถอนหายใจขณะที่หันมองรอบทิศ เพ่งมองไปตามสุมทุมพุ่มไม้แต่ไม่พบแม้เงาของผู้ที่ตามหา วิชาพรางกายแนบเนียนเสียจนกระทั่งผู้เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันยังหาร่องรอยไม่พบ  พลันกลิ่นหอมกรุ่นกำจายพัดมากับสายลมวูบหนึ่ง ปลายดาบแหลมคมบางเฉียบจ่อลำคอจากด้านหลัง ตามมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง

       “เจ้าเป็นใคร”

      “เจ้าลองทายดูก่อน ดีหรือไม่...”

       น้ำเสียงคุ้นเคยฟังดูยั่วเย้ากวนโทสะอยู่ไม่น้อย แต่คนฟังกลับลดปลายดาบที่จ่อลำคออยู่ลงในทันใด ชายหนุ่มพลิกกายหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของดาบ ดวงหน้าละมุนละไมนั้นขาวผ่องผุดผาดเปลี่ยนแปลงไปจากภาพในความทรงจำของเขาเล็กน้อย ทว่าดวงตากลมโตสีดำสนิทคู่นั้นเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี  ริมฝีปากงามขยับเล็กน้อยขณะเอ่ยนามของเขาแผ่วเบา

       “อ้ายมิ่ง... องค์ชายจักรินทร์... ”



        “ข้าได้ยินมาว่าเหตุการณ์ในเวียงชัยกฤษณะไม่ค่อยดีนัก” สตรีร่างบางปรารภระหว่างรินชาหอมกรุ่นลงในถ้วย  ข้อมือบางเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว  ช่อฟ้ามุ่ยสีน้ำเงินแกมม่วงที่เสียบแซมบนมวยผมบานสะพรั่งชวนมอง  เช่นเดียวกันกับผู้ที่ใช้นามของมันมาตั้งเป็นชื่อเรียกขานที่บัดนี้เป็นสาวสะพรั่งจนหักห้ามใจไม่ให้มองได้ยากยิ่ง หลายปีที่ไม่ได้พานพบ คนตรงหน้าหาใช่ 'ฟ้ามุ่ย' ที่เป็นเด็กสาวร่างเล็กคนเดิมไม่

       “ไม่นึกว่าเจ้าจะรู้ข่าวจากโลกภายนอกด้วยเช่นกัน” เขาตอบยังคงจ้องมองคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์  

       “พอรู้บ้าง” นางเก็บงำคำตอบไม่ยอมแพร่งพรายถึงที่มาของข่าวสารสำคัญ

       “เช่นนั้นเจ้าคงรู้แล้วว่าข้าต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทให้เร็วที่สุด ข้าจะไม่อ้อมค้อมให้มากความ เวลานี้ข้าต้องการคนที่ไว้ใจได้มาอยู่ข้างกายข้า”

       คนฟังสำลักชาที่กำลังจิบอยู่ หันขวับมองบุรุษตรงหน้า คิ้วขมวดมุ่น

       “เจ้าต้องการทำอะไรนะ”

       “สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงสองอย่าง อย่างแรก... สถานการณ์ตามแถบชายแดนเหมือนถ่านไฟที่คุกรุ่นมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว บัดนี้เมื่อไม่มีพี่ชายข้าแล้ว  รัชทายาทองค์ใหม่ก็ยังมิได้แต่งตั้ง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป อีกไม่นานจะมีผู้ฉวยโอกาสยกทัพเข้ามาแน่ ข้าคงหลีกเลี่ยงสงครามได้ยาก หากข้าต้องการผู้ที่เชี่ยวชาญกลศึก  เจ้ามิใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ข้ามีหรอกหรือ?”

       ฟ้ามุ่ยนิ่งฟังไม่กล่าวคำใดออกมา ยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้งแล้วถอนหายใจหนักหน่วง

       “อย่างที่สองล่ะ?”

       เขาเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แววตามุ่งมั่นคล้ายตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว

       “อย่างที่สอง ข้าต้องการให้เจ้ารับตำแหน่งชายาของข้าด้วย”

       เคร้ง!

       เสียงถ้วยชากระแทกกับโต๊ะเสียงดังสนั่น  ตามมาด้วยเสียงสำลักกระอักกระไอ

        “เจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้วแน่ ๆ” หญิงสาวจ้องเขาเขม็ง มองสำรวจใบหน้าและดวงตาของคนที่คุ้นเคยดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติจากที่เคยเป็นหรือไม่

       “ข้าต้องการให้เจ้ารับตำแหน่งนี้จริง ๆ” เขาอธิบายอย่างใจเย็น แววตากระเพื่อมไหวเมื่อเอ่ยประโยคต่อไป “เจ้าย่อมรู้ดีกว่าข้าว่าเมื่อผู้คนกระหายอำนาจแล้วจะเป็นเช่นไร  ล้วนแย่งชิง ล้วนเข่นฆ่าได้ก็เพื่ออำนาจ ไม่เว้นแม้กระทั่งสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นข้าต้องการคนคอยระวังหลังให้ข้า...”

       ใช่... นางรู้และเห็นมาแล้วด้วยตาตัวเอง

       จะพี่น้องหรือสายเลือดเดียวกัน ก็ล้วนเข่นฆ่าได้ทั้งนั้น... เพื่ออำนาจ

       “แล้วข้าแตกต่างจากผู้อื่นอย่างไรเล่า  ข้าไม่ใช่สายเลือดเดียวกับเจ้าด้วยซ้ำ ข้าหักหลังเจ้าได้แน่ แทงข้างหลังเจ้าก็ได้ ตัดคอเจ้าจากข้างหลังข้าก็ทำได้” นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย คนฟังหัวเราะเบาๆ

       “เจ้าไม่ทำหรอก” เขาเอ่ยถ้อยคำหนักแน่น “เจ้าให้สัตย์สาบานกับข้าเอาไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีวันทรยศข้า”

      “สัตย์สาบาน...” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง คว้าถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาหมุนเล่นพลางพินิจพิจารณาลวดลายบนถ้วย นัยน์ตาไหวกระเพื่อมเพราะความรู้สึกรุนแรงที่ปรากฏขึ้นในใจ “ตายมานักต่อนักแล้ว... เพราะเชื่อคำสาบานลม ๆ แล้ง ๆ”

      ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอารมณ์หวั่นไหวในน้ำเสียงของคนตรงหน้า จึงถือโอกาสพูดต่อในทันที

      “ฟ้ามุ่ย... ข้ากลัว...” เขากล่าวอย่างไม่ปิดบัง ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง หรือในฐานะกษัตริย์พระองค์หนึ่งแล้ว การแสดงออกถึงความขลาดกลัวอย่างตรงไปตรงมานั้นช่างยากลำบากยิ่ง

       “เจ้าเป็นสหายเพียงคนเดียวที่ข้าไว้ใจที่สุด ข้าจึงกล้าพูดกับเจ้าว่าข้ากำลังรู้สึกเช่นไร... เพราะไม่รู้ถึงได้กลัวนัก  ผู้ที่กำลังยิ้มให้ข้า ผู้ที่กำลังทำความเคารพข้า แท้จริงแล้วคนเหล่านั้น ใครกันสังหารพี่ชายข้า ใครก่อชนวนสงคราม ใครบ้างที่อยากเห็นข้าตาย ข้าไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย ข้ากลัวว่าสุดท้ายแล้วแม้แต่เสด็จพ่อของข้าเอง... ข้าก็ไม่อาจไว้ใจได้  หากสิ่งที่ข้ารู้สึกอยู่ตอนนี้เรียกว่าความกลัว  ข้าก็ยอมรับว่าข้ากลัวเหลือเกิน...” น้ำเสียงขาดห้วงหายไป

       ทั้งคู่สบตากัน ความมืดไร้ก้นบึ้งที่ปรากฏในดวงตาสีอำพันทำให้ร่างบางสั่นสะท้าน ขนลุกเฮือก นางรู้จักความรู้สึกนี้ดี เป็นความกลัวที่ยากจะลืมเลือน  ความทรงจำเก่า ๆ ให้ผุดพรายขึ้นในหัวอย่างแจ่มชัด

       ...ผาจันทร์เสี้ยวสูงเทียมเมฆ  ต่ำลงไปเบื้องล่างมองเห็นท้องน้ำอยู่ลิบ ๆ คะเนความสูงด้วยสายตาแล้วถึงกับขาอ่อนยวบ เด็กสาวขบริมฝีปากแน่น หมุนตัวหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้ที่ไล่ตามมา  ชั่วขณะที่ดาบใหญ่ฟาดฟันลงมาอย่างหมายจะเอาชีวิต  ชั่วขณะนั้นเองเด็กสาวก็ได้รู้จักความกลัวที่แท้จริง...

       ...หากไม่ใช่เพราะตรงหน้า นางคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้



       "เจ้าพักที่นี่ก่อนเถอะ" ถ้วยชาถูกวางลงในที่สุด มือเรียวเล็กขาวนวลรินชาลงไปใหม่ก่อนจะยกขึ้นจิบช้า ๆ "ข้าขอเวลาไตร่ตรองเรื่องนี้อีกสักหน่อย ใจจริงข้าอยากจะปฏิเสธเจ้าเสียตรง ๆ  เพราะการเป็นชายาเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่อยากเลิกเมื่อใดก็เลิกได้ ข้าต้องผูกติดกับตำแหน่ง และหน้าที่นี้ไปอีกนานเพียงใด แม้แต่เจ้าเองก็คงไม่อาจให้คำตอบที่แน่ชัดได้ แต่ในเมื่อข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้าแล้ว  ข้าก็จะลองคิดดูอีกที  ให้เวลาข้าสักสองสามวันเถอะ"

       คนฟังคลี่ยิ้มบาง นางเป็นเช่นนี้เสมอสุขุมลุ่มลึก  ตัดสินใจรอบคอบ  การที่นางมิได้บอกปัดในทันที แต่กลับขอเวลาคิดอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้ นับเป็นสัญญาณที่ดีมากเท่าที่จะดีได้แล้ว 

        "ข้าได้บอกเจ้าแล้วหรือยัง ว่าชายแดนฝั่งใดที่กำลังจะเกิดศึก"

       "มิได้บอก... "

       "เป็นชายแดนฝั่งตะวันตกที่มีแม่น้ำสายใหญ่เป็นเส้นกั้นพรมแดน..." 

       เสียงถ้วยชากระทบโต๊ะอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แหลกละเอียดคามือของอีกฝ่าย  เรียกเลือดสด ๆ ให้ค่อย ๆ ไหลปรี่ ทว่าดวงหน้าหวานละมุนนั้นกลับประดับด้วยรอยยิ้ม

       "นครลอยฟ้า เวียงทิพย์เวหาส..."