ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย

           แสงแดดยามบ่ายแผดเผาร้อนระอุ อาชาพ่วงพีสองตัวควบตะบึงมุ่งตรงสู่ประตูเมืองหลวง ร่างบนหลังม้านั้นร่างหนึ่งสูงใหญ่สง่าผ่าเผยราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด อีกร่างพอมองออกว่าเป็นสตรีผอมบาง แต่ก็สง่างามไม่แพ้กัน ทว่าในเวลานั้นชาวเวียงชัยกฤษณะต่างรู้สึกวิตกกังวลกับภาพที่เห็น ด้วยเกรงว่าจะเป็นม้าเร็วจากชายแดนที่เร่งร้อนมาเพื่อแจ้งเหตุอันน่าหวาดหวั่นจากแนวหน้า

           ความวุ่นวายอุบัติขึ้นในเขตพระราชฐานของเวียงชัยกฤษณะ เสียงม้าวิ่งกุบกับ ตามมาด้วยเสียงทหารยามตะโกนแจ้งกันเป็นทอด ๆ ภายในตำหนักอมรพิมานเจ้าจักรทิพย์นฤบดินทร์ เจ้าเหนือหัวแห่งเวียงชัยกฤษณะประทับบนบัลลังก์ตั่งทองในอิริยาบถสบาย ๆ กำลังอ่านฎีกาหลายฉบับที่เหล่าขุนนางแต่งขึ้นถวาย ใจความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของแคว้น อ่านอยู่ได้เพียงครู่เดียวก็มีอันต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงคลานเข่าอย่างเร่งร้อนของนางรับใช้ประจำตำหนักที่เข้ามาถวายรายงานด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างปิดไว้ไม่มิด

          "ทูลฝ่าบาท เจ้าน้อยมิ่งเมือง... องค์ชายจักรินทร์นฤเบศร์ กลับมาแล้วเพคะ ทรงให้หม่อมฉันทูลฝ่าบาทว่า อีกครู่หนึ่งจะเสด็จมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยพระองค์เองเพคะ"

          เจ้าเหนือหัวพยักหน้ารับ แล้วตรัสถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

           "กลับมาเพียงลำพังหรือมีผู้อื่นกลับมาด้วย"

           นางรับใช้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงหน้าซีดขาวด้วยความหวาดวิตก

          "ทูลฝ่าบาท เสด็จมากับสตรีผู้หนึ่งเพคะ"

         เมื่อได้ฟังดังนั้นสตรีวัยกลางคนผู้ซึ่งประทับบนตั่งทองใกล้กันกับเจ้าเหนือหัวก็พลันผุดลุกขึ้น ดวงหน้างดงามที่ปรากฏริ้วรอยอยู่บ้างตามกาลเวลา บัดนี้บึ้งตึงด้วยความไม่พอพระทัย แม้จะยังพยายามรักษาสีหน้าไม่ให้เปลี่ยนแปลง แต่แววตาฉายชัดว่าถึงความโกรธ เจ้านางลักขณาวดี พระมเหสีคู่พระทัยของเจ้าจักรทิพย์นฤบดินทร์นั่นเอง

          "เสด็จพี่! เจ้าน้อยจะคว้าสตรีไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากลับมาตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ! แล้วเจ้านางบัวบุศย์จะทำอย่างไร เจ้าน้อยทรงกระทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้าฝ่าบาทเลยสักนิด"

          เจ้าจักรทิพย์ปรายตามองมเหสี ดวงตาคมปลาบบอกนัยบางอย่างทำให้นางตัวแข็งทื่อ

          "จักรินทร์เคยบอกเจ้าแล้ว ว่าไม่ปรารถนาจะให้เจ้านางบัวบุศย์เป็นชายา เจ้าก็ยังยืนกรานพานางเข้าวังตามอำเภอใจ แล้วเหตุใดเขาจะพาคนของตนเข้ามาตามอำเภอใจบ้างมิได้เล่า"

          "เสด็จพี่!" เจ้านางลักขณาวดีมองสวามีอย่างไม่อยากเชื่อหู มือกำแน่นจนข้อมือบางสั่นระริก ทรุดกายนั่งลงบนตั่งทองตามเดิม ริมฝีปากเม้มแน่นไม่เอ่ยคำใดอีก


          ครู่ต่อมาองค์ชายจักรินทร์นฤเบศร์ หรือที่ผู้คนต่างเรียกขานด้วยความเอ็นดูว่าเจ้าน้อยมิ่งเมือง ก็เสด็จมายังตำหนักอมรพิมาน พร้อมด้วยสตรีผู้หนึ่ง ร่างบางนั้นแต่งกายรัดกุมเยี่ยงบุรุษ แต่แลดูแข็งแกร่งอยู่ในที ดวงหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดนั้นงดงามราวรูปสลัก แม้นุ่งห่มด้วยผ้าสีพื้นหม่นหมอง แต่เมื่อยืนข้างกายองค์ชายสูงศักดิ์กลับดูสง่าผ่าเผยทัดเทียมกันอย่างไม่มีที่ติ

          "ถวายบังคมเสด็จพ่อ เสด็จแม่"

          "ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมพระมเหสี"

          องค์ชายถวายบังคม สตรีข้างกายก็ทำตามอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีท่าทีขัดเขินหรือประหม่าแม้แต่น้อย ราวกับว่าคุ้นเคยกับพิธีการเหล่านี้เป็นอย่างดี เจ้านางลักขณาวดีคอแข็งมองไปทางอื่นด้วยความไม่พอพระทัย ส่วนเจ้าผู้ครองนครนั้นคิดอ่านสิ่งใดสุดจะหยั่งรู้ ทรงพยักหน้ารับด้วยพระพักตร์นิ่งเฉย

         "นี่คนรักของลูก ชื่อฟ้ามุ่ย พ่ะย่ะค่ะ"

          พระพักตร์ของเจ้าจักรทิพย์ยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ มีเพียงคิ้วเข้มดกหนาที่เลิกขึ้นเล็กน้อยยามเอ่ยถามบุตรชาย

           "เจ้าบอกพ่อว่าจะไปเยี่ยมท่านราชครูนิลนนท์ แล้วเหตุใดจึงพาคนมาด้วย"

            "ฟ้ามุ่ยเป็นบุตรบุญธรรมของท่านอาจารย์ ลูกรักใคร่ชอบพอกับนางมาตั้งแต่เด็ก..."

          ฟ้ามุ่ยกำมือแน่นจนขึ้นข้อขาว ใจหนึ่งกระดากอายเสียจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ส่วนอีกใจหนึ่งนั้นก็อยากจะหัวเราะออกมา

           ...รักใคร่ชอบพออันใดกันเล่า ตีกันทุกวันล่ะไม่ว่า นี่มันหลอกลวงเบื้องสูงชัด ๆ

          "ที่ลูกเคยทูลเสด็จพ่อว่า เมื่อถึงเวลามีคู่ลูกจะขอเลือกคู่ด้วยตัวเองนั้น ก็เพราะลูกมีใจปฏิพัทธ์ต่อนาง ลูกรักนางมาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ลูกไปครั้งนี้จึงได้ขอนางจากท่านอาจารย์ ท่านมิได้ขัดข้อง --"

           "แต่แม่ได้คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมเอาไว้แล้ว คนของเจ้าน้อยให้เป็นชายารองนั้นย่อมได้ แต่ตำแหน่งชายาเอกย่อมต้องเป็นเจ้านางบัวบุศย์เท่านั้น" เจ้านางลักขณาวดีเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

           ฟ้ามุ่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยลอบพินิจดูพระพักตร์งดงามนั้นอย่างใจเย็น สงวนท่าทีไว้มิได้ตอบโต้อันใด เป็นเจ้าจักรทิพย์ที่ยกมือขึ้นปราม พระมเหสีจึงยอมสงบคำลงอีกคราหนึ่ง

           "เรื่องนี้คงต้องพิจารณากันอย่างละเอียดรอบคอบเสียใหม่ ให้คนของเจ้าพักผ่อนเสียก่อนเถิดเดินทางมาไกลคงเหนื่อยล้าเต็มที ตำหนักริมน้ำว่างอยู่เสียนานแล้วก็ให้นางพักอยู่ที่นั่น จัดคนไว้ให้ใช้สอยอย่าให้ขาดตกบกพร่อง"

          ตำหนักริมน้ำ...

          องค์ชายจักรินทร์หายใจสะดุด คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความตะลึงพรึงเพริด

          "ทรงให้นางอยู่ตำหนักของเสด็จพี่สรวงสุรางค์หรือเพคะ..." สุรเสียงสั่นเครือกลับเป็นของเจ้านางลักขณาวดี

          "ให้อยู่มิได้รึ" กษัตริย์เฒ่าเลิกคิ้ว ปรายตามองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอำนาจ อีกฝ่ายกำมือแน่นเสียจนสั่น นัยน์เนตรแดงก่ำ ในขณะที่พระพักตร์ขาวซีด

          "ย่อมได้เพคะ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์..."



         ตำหนักริมน้ำอยู่ไม่ไกลจากตำหนักอมรพิมานมากนัก แต่แยกตัวออกมาจากเหล่าตำหนักทั้งหลายแลดูเป็นส่วนตัว ดอกบัวสีขาวและชมพูชูช่อเต็มสระ สองข้างทางเดินที่ทอดไปสู่ตัวตำหนักมีไม้ดอกไม้ประดับปลูกไว้ตลอดทาง งดงามร่มรื่นเสียจนเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าของตำหนักคนก่อนคงเคยเป็นที่โปรดปรานเพียงใด เมื่อมาถึงตำหนักก็พบว่ามีบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งมารอรับใช้อยู่แล้ว

          ด้านในตำหนักไม่ใหญ่โตมากนัก แต่หรูหราทุกกระเบียดนิ้ว พระแท่นบรรทมปูลาดด้วยฟูกอย่างดี คลุมด้วยผ้าไหมอ่อนนุ่มละเอียดเสียจนไม่กล้านั่ง

          เมื่อนางรับใช้จากตำหนักอมรพิมานส่งฟ้ามุ่ยถึงที่หมายแล้วก็รีบจากไป ทิ้งให้นางยืนประดักประเดิดท่ามกลางบ่าวไพร่ชายหญิงที่คุกเข่ารอรับคำสั่งอยู่

          หลังจากนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งฟ้ามุ่ยก็สั่งให้พวกเขาลุกขึ้น นางรับใช้คนหนึ่งอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี ท่าทางคล่องแคล่วกระวีกระวาดลุกขึ้นก่อนผู้อื่นแล้วค้อมตัวคำนับอีกหน

          "หม่อมฉันชื่อลำเจียกเพคะ ต่อไปจะเป็นนางรับใช้พระจำพระองค์ของเจ้านาง ขอบังอาจขานนาม เจ้านาง..."

          "ข้าชื่อฟ้ามุ่ย" เจ้าของชื่อเอ่ยเสียงราบเรียบ

          "เจ้านางฟ้ามุ่ย... งดงามยิ่งนักเพคะ สีม่วงแกมน้ำเงิน ชูช่อสูงเสียดฟ้า แม้สุดเสน่หา มิอาจคว้ามาเชยชม.." ดวงหน้าฉะแล่มแช่มช้อยปากน้อยช่างฉอเลาะ ทำเอาคนฟังอดหัวเราะไม่ได้

          "มีผู้ใดเคยตำหนิความปากเปราะของเจ้าหรือไม่..." ฟ้ามุ่ยเปรยขำ ๆ

          นางรับใช้ตะครุบปากปิดอย่างว่องไว รีบก้าวถอยหลังไปยืนห่าง ๆ

          "เอาเถอะ ข้าก็ไม่ได้ตำหนิเจ้าหรอก"

          ท่าทางที่เกือบจะหงอยของนางกลับกระตือรือร้นขึ้นทันที ฟ้ามุ่ยปรายตานับจำนวนบ่าวไพร่ชายหญิง นับได้เกือบยี่สิบก็พยักน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ จำนวนเท่านี้นับว่ากำลังเหมาะ ไม่มากไม่น้อย คิดแล้วก็หันไปเปิดหีบไม้เล็ก ๆ ที่นำติดตัวมาด้วยจากบนเขา

          "ลำเจียก เจ้ามาช่วยข้าเอาของในหีบนี่แจกจ่ายให้พวกเขาที เจ้าก็เอาไว้หนึ่งชิ้นด้วยเล่า"

          เมื่อของที่ว่าถูกส่งถึงมือ พวกเขาก็ต่างตกตะลึงโสมน้อย เหี่ยวแห้ง ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยเตะจมูกบ่งบอกให้รู้ว่าถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี

          "เจ้านาง นี่โสมมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าหายากยิ่งกว่าเพชรนิลจินดาเสียอีก... พวกเราจะรับไว้ได้อย่างไร"

          "พวกเจ้ารับไว้เถอะ ข้าในเวลานี้ยังไม่มีบารมีคุ้มหัวพวกเจ้า ซ้ำเงินทองจะแจกจ่ายให้พวกเจ้าก็ยังไม่มี มีเพียงสิ่งนี้ที่พกติดตัวมา หวังว่าพวกเจ้าจะไม่รังเกียจ โสมเป็นยาอายุวัฒนะ พวกเจ้าจะเอาไว้กินเองหรือเอากลับไปให้คนที่บ้านก็ตามแต่ใจพวกเจ้าเถอะ"

          คนเหล่านั้นจ้องของที่อยู่ในมือด้วยความยินดี หลายคนน้ำตาคลอเมื่อนึกถึง คนที่บ้าน ที่อยากจะมอบสิ่งนี้ให้ สิ่งล้ำค่าที่พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะฝันถึง คิดได้ดังนั้นก็ต่างหมอบกราบถวายความเคารพกันพัลวัน

          ฟ้ามุ่ยยิ้มบาง กำชับพวกเขาอีกเล็กน้อย

          "อย่าได้แพร่งพรายออกไปเสียเล่า สิ่งใดมี สิ่งใดได้ มิจำเป็นต้องบอกให้ผู้อื่นทราบ"

          พวกเขารับคำหนักแน่นก่อนจะรีบแยกกันไปทำงานของตนเอง ในห้องบรรทมจึงเหลือเพียงนางลำเจียกที่อยู่คอยปรนนิบัติ

          "เจ้านางหิวหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะให้คนยกสำรับเข้ามา"

          จริงสิ... องค์ชายจักรินทร์  ต้องอยู่ร่วมโต๊ะเสวยกับพระราชบิดาพระราชมารดา คงไม่ได้กลับมาเสวยกับนางแล้วเป็นแน่ เห็นได้ชัดว่าเจ้าจักรทิพย์กับมเหสีคงต้องการหารือกับโอรสเป็นการส่วนพระองค์จึงได้กันนางออกมาเช่นนี้

          "ข้ายังไม่หิว ว่าแต่สำรับที่ว่านี้ถูกส่งมาจากครัวหลวง หรือตระเตรียมกันในตำหนักนี้"

          นางลำเจียกเลิกคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ตอบคำถามอย่างไม่อิดออด

          "ถูกส่งมาจากครัวหลวงเพคะ แต่ในตำหนักนี้ก็มีห้องครัว หากทรงอยากทำอาหารเองในตำหนักก็ย่อมทำได้เพคะ"

          "เช่นนั้นหากมีเวลาว่าง พวกเจ้าพากันไปทำความสะอาดครัวไว้ ภายหน้าอาจต้องใช้"

          "ทราบแล้วเพคะ" นางลำเจียกรับคำอย่างว่าง่าย

          ฟ้ามุ่ยมองไปรอบห้องบรรทมอีกหนก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องประทินโฉม คันฉ่องบานใหญ่สะท้อนภาพของนางเองที่ใบหน้ายุ่งเหยิงจากการใช้ความคิด

          "เดิมทีตำหนักนี้เป็นของใครหรือ"

          "ตำหนักริมน้ำเป็นของอดีตราชินีเพคะ เจ้านางสรวงสุรางค์...."

          ฟ้ามุ่ยเลิกคิ้ว

          "อดีตราชินี... แล้วราชินีองค์ปัจจุบันเล่า"

          "หลังจากอดีตราชินีสวรรคต ตำแหน่งก็ว่างลง เจ้าจักรทิพย์ไม่ทรงแต่งตั้งใหม่ ทรงปล่อยให้ว่างเช่นนั้น จะมีก็แต่เจ้านางลักขณวดีเป็นอัครมเหสีฝ่ายซ้ายเพคะ"

          "เช่นนั้นเจ้าน้อยมิ่งเมือง... องค์ชายจักรินทร์นฤเบศร์ เป็นโอรสในเจ้านางลักขณาวดีหรือไม่"

          ลำเจียกกะพริบตาปริบ ๆ

          "หามิได้เพคะ ทรงเป็นโอรสในเจ้าจักรทิพย์กับองค์ราชินี"

          ฟ้ามุ่ยพยักหน้าช้า ๆ นางลำเจียกผู้นี้มีประโยชน์ไม่น้อย รู้เรื่องในวังเป็นอย่างดี ต้องค่อย ๆ ถามจากนางทีละน้อยไม่ให้ผิดสังเกต

          "ข้าอยากอาบน้ำเสียหน่อย"

          "หม่อมฉันจะพาไปที่ห้องสรงน้ำเพคะ ทรงอยากขัดตัวด้วยหรือไม่เพคะ ขัดด้วยสมุนไพรแช่น้ำดอกไม้ อีกเดี๋ยวเจ้าน้อยเสด็จมาจักต้องชมว่าพระวรกายหอมกรุ่นเป็นแน่"

          ฟ้ามุ่ยยิ้มน้อย ๆ รู้สึกขบขันกับจินตนาการของนางรับใช้ผู้นี้

          "เช่นนั้นระหว่างขัดตัว เจ้าเล่าเรื่องในวังให้ข้าฟังไปด้วยได้หรือไม่"

          "ได้เพคะ" นางลำเจียกรับคำอย่างรื่นเริง



          "บนโต๊ะเสวยบรรยากาศเคร่งขรึมไม่ชวนให้กลืนข้าวลงคอเลยแม้แต่น้อย พระพักตร์ของเจ้าจักรทิพย์ฉายแววครุ่นคิด ในขณะที่เจ้านางลักขณาวดีเริ่มเกลี้ยกล่อมพระโอรสอีกครั้ง

          "เจ้าน้อย พระองค์กำลังจะขึ้นเป็นองค์รัชทายาท พระชายาต้องเป็นผู้ที่เหมาะสม เจ้านางบัวบุศย์พร้อมด้วยรูปโฉมและชาติกำเนิด กิริยามารยาท สติปัญญา นางจะส่งเสริมบารมีเจ้า--"

          "ทูลเสด็จแม่ คนของลูกรูปโฉมมิได้ด้อย อีกทั้งมิใช่หญิงข้างถนน.. " เขารีบเอ่ยขัด เพราะเดาออกเสียทั้งหมดแล้วว่าจะทรงพูดอย่างไรต่อ

          "นางเป็นถึงบุตรีท่านราชครู สติปัญญาความสามารถก็นับว่าเก่งกาจกว่าผู้ใดที่ลูกเคยพบ หากได้นางทั้งสองเป็นชายาย่อมส่งเสริมบารมีลูกให้ยิ่งขึ้นไปอีก... ขอเพียงคนที่ลูกรักได้เป็นชายาเอก ลูกก็มิขัดเรื่องที่จะต้องอภิเษกเจ้านางบัวบุษย์อีกคนพ่ะย่ะค่ะ"

          เขาเลือกที่จะไม่ขัดเรื่องอภิเษกกับเจ้านางบัวบุศย์ ในเมื่ออยากให้แต่ง เขาก็จะยอมแต่งให้ แต่คนของเขาจะต้องเป็นผู้กุมอำนาจเหนือกว่า

          เจ้าเหนือหัวจักรทิพย์ได้ฟังก็ทรงหรี่พระเนตรลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามช้า ๆ นัยน์ตาจ้องมองราชโอรสราวกับจะแทงให้ทะลุ

          "สติปัญญาความสามารถด้านใดรึ ที่เจ้าบอกว่านางเก่งกาจนักหนา..."

          ไม่รู้เพราะเหตุใดคนฟังรู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน กระนั้นก็ยังรักษาสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้

         "เรื่องใดที่สตรีควรทำ นางล้วนทำได้ดีพ่ะย่ะค่ะ"

          เจ้าจักรทิพย์ยังคงไม่ถอนสายตาจากราชโอรส นัยน์เนตรคมปลาบจ้องนิ่งราวกับรอคอยให้เขาพูดต่อ สองพ่อลูกหยั่งเชิงกันไปมาหลายวินาที ในที่สุดคนเป็นลูกก็ยอมกล่าวต่ออย่างไม่ปิดบัง

         "อีกทั้งนางรับใช้ใกล้ชิดท่านราชครู ย่อมฝึกฝนการต่อสู้ด้วยอาวุธมาแล้วทุกชนิด เชี่ยวชาญการวางกลศึกและการรบ เจนจบตำราพิชัยสงคราม นับเป็นอาจารย์คนที่สองของเหล่าศิษย์ในสำนักเลยก็ว่าได้พ่ะย่ะค่ะ"

           "หาคนเก่งกาจเช่นนี้มาไว้ข้างกาย เจ้าคง... ไม่ได้กำลังคิดวางแผนจะชิงบัลลังก์อยู่กระมัง" เจ้าจักรทิพย์เปรยช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่คนฟังตัวเย็นวาบราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นลงกลางใจ

          "เสด็จพ่อ! ลูกจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร! ลูกคิดเพียงว่า สถานการณ์ชายแดนเวลานี้ไม่น่าไว้ใจ นางเก่งกาจรอบรู้ถึงเพียงนี้ย่อมคอยหนุนหลังลูกได้ก็เท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือนางเป็นคนที่ลูกรัก เช่นเดียวกับที่เสด็จพ่อรักเสด็จแม่ หากนางไม่ได้เป็นชายาเอก ลูกก็จะไม่ขอแต่งตั้งใครเป็นชายาเอกเช่นกัน ขอเว้นตำแหน่งไว้ เช่นเดียวกับที่เสด็จพ่อเว้นตำแหน่งราชินีไว้ให้เสด็จแม่..."

          โครม!! เสียงตบโต๊ะดังสนั่นจากเจ้าเหนือหัวแห่งเวียงชัยกฤษณะ ดวงพระพักตร์ของพระองค์ในเวลานี้บอกได้ยากว่ากำลังโกรธเกรี้ยว หรือกำลังพอพระทัยอยู่กันแน่

          "ดี!! เปรียบเทียบได้ดียิ่งนัก! เช่นนั้นถ่ายทอดคำสั่งออกไป นับจากนี้ไปอีกหนึ่งเดือน ให้จัดเตรียมพระราชพิธีอภิเษกสมรส แต่งตั้งเจ้านางฟ้ามุ่ยเป็นพระชายาเอก และพิธีแต่งตั้งองค์ชายจักรินทร์นฤเบศร์เป็นองค์รัชทายาท!! หากผู้ใดคัดค้าน หรือขัดขวางให้จัดการเอามาสำเร็จโทษเสียให้สิ้น"

          สิ้นพระสุรเสียง คลื่นความกลัวแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง อำนาจในน้ำเสียงของผู้เป็นราชาทำให้ไม่มีใครกล้าขยับตัว เหตุใดพระบรมราชโองการงานมงคลจึงต้องเฉียบขาดและแสดงอำนาจถึงเพียงนี้ ผู้เป็นลูกลอบสังเกตสีหน้าของบิดาอย่างละเอียด ใบหน้านั้นเรียบเฉยไม่บึ้งและไม่ยิ้ม ตรงกันข้ามกับใบหน้าของเจ้านางลักขณาวดีที่ไม่เพียงแต่ซีดขาว แต่ยังฉายชัดถึงความไม่พอพระทัยอย่างถึงที่สุด ทำให้เขานึกถึงตำราว่าด้วยหน้ากากกษัตริย์ ที่เคยร่ำเรียนเมื่อนานมาแล้ว

         โกรธหรือพึงใจอย่าแสดงออกสีหน้า ความในใจอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้...

          พลันก็นึกถึงสตรีอีกผู้หนึ่งที่มักจะแสดงสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ ดูท่าเขาคงต้องไปขอร่ำเรียนวิชานี้จากนางบ้างเสียแล้ว

          เนิ่นนาน... มิมีผู้ใดกล้าขยับตัว ข้าราชบริพารที่อยู่รับใช้ล้วนแต่ก้มหน้านิ่ง ในที่สุดเจ้านางลักขณาวดีทนไม่ไหวอีกต่อไป นางถวายบังคมเงียบเชียบ เม้มปากแน่น ก่อนจะสาวเท้าออกจากตำหนักโดยมิหันมามอง

          "ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกจะไม่ทำให้ผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ"

           เขาถือโอกาสถวายบังคมทูลลาด้วยอีกคน


          ลำเจียกคาดเดาเหตุการณ์ได้ถูกต้องอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากที่ฟ้ามุ่ยถูกจับขัดตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เจ้าตัวก็พาร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นดอกไม้และกลิ่นสมุนไพรออกมาพบองค์ชายจักรินทร์ที่รออยู่หน้าห้องบรรทม เมื่อเชิญเสด็จเข้าด้านในแล้ว เขาก็นั่งลงบนพระแท่นบรรทมอย่างถือวิสาสะ นางมิได้ถือสาปล่อยให้เขานั่งตามอำเภอใจ ส่วนตนนั่งลงตรงหน้าคันฉ่องโดยมีนางลำเจียกช่วยสางผมให้อย่างเบามือ

          "หอม..." เขาเปรยเบา ๆ มองไปรอบ ๆ ห้อง สายตาบ่งบอกถึงความโหยหาอาวรณ์อย่างลึกซึ้ง

          นางลำเจียกได้ฟังก็แก้มขึ้นสี คิดว่าเจ้านายคงต้องการคุยกันเป็นการส่วนพระองค์เสียแล้ว จึงรีบถวายบังคมแล้วออกไปนอกห้องอย่างรู้งาน ฟ้ามุ่ยคลี่ยิ้มบางหยิบหวีขึ้นมาสางผมต่อจากที่ลำเจียกทำไว้ แล้วเอ่ยถามขึ้นเบาๆ

          "เสด็จพ่อเสด็จแม่เจ้ามีท่าทีอย่างไรบ้าง"

          คนฟังถอนใจเล็กน้อยก่อนตอบ "เสด็จแม่จะให้ข้าแต่งตั้งเจ้านางบัวบุศย์เป็นชายาเอกให้ได้ ให้เจ้าเป็นชายารอง"

          "แล้วเจ้าทำเช่นไร"

          "ข้าต่อรองว่า ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นชายาเอก ข้าก็จะไม่แต่งกับใครเลย จะไม่มีงานอภิเษกใด ๆ เกิดขึ้น"

          "ข้าเดาว่านางคงไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม"

          "เจ้าเดาถูก" เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย "ทรงติติงถึงชาติกำเนิดของเจ้า เค้นถามข้าเสียยกใหญ่ว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดท่านอาจารย์จึงรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม แล้วเหตุใดเจ้ากับข้าถึงมารู้จักรักใคร่กันได้ ข้าจึงเล่าความจริงไปเสียหลายส่วน เล่าว่าครอบครัวเจ้าจากไปหมดสิ้นแล้ว ท่านอาจารย์เป็นญาติเพียงคนเดียวจึงรับเลี้ยงเจ้า ส่วนที่เราได้เกี่ยวข้องกันนั้น เพราะข้าเคยช่วยเจ้าไว้ตอนที่เจ้าจมน้ำ..."

          ฟ้ามุ่ยพยักหน้า ปล่อยเรือนผมตกสยายคลุมทั่วแผ่นหลัง

          "สุดท้ายแล้วข้าจึงทูลเสด็จพ่อว่า พระองค์รักเสด็จแม่อย่างไร ข้าก็รักเจ้าอย่างนั้น ทรงเว้นตำแหน่งราชินีไว้เช่นไร ข้าก็จะเว้นตำแหน่งชายาเอกไว้ให้เจ้าเช่นกัน"

          คนฟังเบือนหน้าจากคันฉ่องหันมาสบตาเขานึกชื่นชมคนตรงหน้าที่พูดได้อย่างเป็นตุเป็นตะ ดวงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่นาน ๆ จะได้เห็นสักครั้ง

          "เจ้าพูดเป็นจริงเป็นจังเสียจนข้ากลัวว่าจะหลงคารมเจ้าเข้าสักวัน"

          เขาหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

         "ไม่มีผู้ใดทำให้เจ้าหลงคารมได้หรอก อย่างน้อยข้าก็ยังไม่เคยเห็นผู้ใดทำได้"

          "ข้าจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน" นางกล่าวยิ้ม ๆ หันกลับไปหาคันฉ่องแล้วรวบผมขมวดเป็นมวยต่ำไว้ที่ท้ายทอย "ตอนนี้ข้าขอถามเจ้าสักสองสามข้อ... อดีตองค์ราชินี เจ้านางสรวงสุรางค์คือแม่แท้ ๆ ของเจ้า ถูกต้องหรือไม่..."

          ที่จริงเรื่องนี้ได้ยินจากนางลำเจียกมาบ้างแล้ว แต่ที่ฟ้ามุ่ยต้องยืนยันข้อเท็จจริงกับเจ้าตัวอีกหน ก็เป็นเพราะไม่ต้องการให้เขารู้สึกว่านางรู้เรื่องสำคัญเช่นนี้มาจากปากของผู้อื่น

          "ถูกต้อง หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ นางเป็นแม่แท้ ๆ ของข้าและองค์ชายนรินทร์ฤทธิ์ รัชทายาทองค์ก่อน"

"แล้วเจ้านางลักขณาวดีเล่า"

          "เจ้านางลักขณาวดี เป็นอัครมเหสีฝ่ายซ้าย ข้าเรียกขานพระองค์ว่า 'เสด็จแม่' ตามฐานันดรศักดิ์เท่านั้น ทรงมีโอรสหนึ่งพระองค์ คือเจ้าน้อยอัครเรศ แต่เขาป่วยกระเสาะกระแสะตั้งแต่ยังเล็ก อีกทั้งโหราธิบดีทำนายดวงของเขาว่าอายุจะสั้น ให้แก้เคล็ดด้วยการออกบวชตั้งแต่ยังเด็กจึงจะพ้นเคราะห์ภัย ภายหลังจากเสด็จพี่สวรรคตได้ไม่นาน เจ้านางลักขณาวดีก็ทูลขอให้พระโอรสลาสิกขา เขาเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีสิทธิ์ในราชบังลังก์"

          "ข้าเข้าใจแล้ว และเช่นนั้นขอเดาต่อว่าเจ้านางบัวบุศย์คงเป็นญาติของพระมเหสีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง"

          เขาพยักหน้ารับ ฟ้ามุ่ยเหยียดยิ้ม

          "หลักแหลมเสียจริง ไม่ยุ่งกับตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่ส่งคนของตนมาไว้ข้างกายองค์รัชทายาทแทน หากคนของนางได้เป็นชายาเอก ก็จะส่งเสริมอำนาจในมือนางได้หลายส่วน"

          "ก็ยังไม่แน่หรอก ที่ว่าไม่ทรงยุ่งกับตำแหน่งรัชทายาทนั้น อันที่จริงหลังจากอัครเรศกลับสู่ทางโลก ข้าก็ถูกลอบสังหารหลายครั้ง หากข้าตาย อัครเรศผู้เป็นบุตรชายของนางย่อมได้รับผลประโยชน์โดยตรง ดังนั้นหากยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดส่งคนมาลอบสังหารข้า ข้าก็ยังสงสัยนางและพระโอรสอยู่"

          "ข้าถึงได้บอกว่านางหลักแหลมนักที่มิได้ออกหน้าขัดขวางเจ้าโดยตรง หากเจ้าดวงแข็งฆ่ามิตาย ขึ้นเป็นรัชทายาทได้อย่างราบรื่น คนของนางก็ยังอยู่ข้างกายเจ้า แต่หากสังหารเจ้าได้สำเร็จ เจ้าน้อยอัครเรศก็ได้รับตำแหน่งแทน นับว่ามีแต่ได้กับได้" น้ำเสียงคนพูดมีแววชื่นชมอยู่ลึก ๆ "ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับผลการต่อรองของเจ้าแล้วว่าเป็นอย่างไร"

          คราวนี้สีหน้าของคนถูกถามมีแววกังวลขึ้นมาอย่างประหลาด เขาเล่าถึงพระบรมราชโองการของพระราชบิดาให้ฟ้ามุ่ยฟังอย่างละเอียดลออ ทั้งสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง ก็ถ่ายทอดให้ฟังจนหมดสิ้น

          "เจ้าคิดเห็นเช่นไร เหตุใดต้องทรงสำแดงอำนาจถึงเพียงนั้น มิใช่เพราะต้องการจะเตือนข้าหรอกหรือ ว่าข้าเป็นเพียงองค์รัชทายาท หาใช่เจ้าแผ่นดินไม่ จะได้รับแต่งตั้งหรือไม่ จะได้แต่งงานกับผู้ใด อำนาจล้วนยังเป็นอำนาจของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว..."

         ฟ้ามุ่ยเลิกยุ่งกับผม เดินมานั่งบนพระแท่นบรรทมเคียงข้างเขา

          "เหตุใดต้องทรงระแวงข้าถึงเพียงนี้ ถึงกับตรัสถามออกมาด้วยพระองค์เองว่า ข้าคิดจะชิงบังลังก์หรือไม่"

          "เพราะเจ้าพูดถึงข้าว่า เชี่ยวชาญการรบ เจนจบพิชัยสงครามอะไรนั่นอย่างไรเล่า ซ้ำยังดึงดันจะให้ข้าเป็นชายาเอกให้ได้ จะไม่ให้ทรงระแวงได้อย่างไร"

          เขาไม่เห็นด้วย แววตาคล้ายครุ่นคิดอย่างหนัก

          "ข้าก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ดี"

          ฟ้ามุ่ยถอนใจ แม้ไม่อยากพูดก็ต้องพูด

          "ที่ไม่ถูกต้องก็คือ ในเมื่อเจ้าเป็นรัชทายาทและเป็นโอรสโดยสายเลือดของพระองค์อยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ราชบัลลังก์ย่อมตกเป็นของเจ้า เหตุใดต้องคิดระแวงเรื่องชิงบัลลังก์ ทรงฉุกคิดขึ้นมาเพราะการปรากฏตัวของข้า หรือมีมูลเหตุอันใดให้คิดเช่นนั้นมาก่อนหน้านี้แล้วกันแน่... ใช่หรือไม่"

          คนฟังเงียบไป สายตาจ้องไปที่มุมห้องอย่างเหม่อลอย

          "อ้ายมิ่ง..." คำเรียกขานเช่นสหายที่ห่างหายไปนานถูกนำมาใช้เรียกสติ เขาเบนสายตากลับมาหาคนข้างกายอีกครั้ง ประสานเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทดุจห้วงราตรีที่มืดมิด

          "เจ้าลองนึกให้ดี ๆ ก่อนที่องค์รัชทายาทจะสวรรคต ทรงเคยมีพฤติการณ์ที่ชวนให้คิดว่ากำลังซ่องสุมกำลัง หรือคิดก่อกบฏชิงบัลลังก์บ้างหรือไม่"

          ในใจเขาเหมือนมีก้อนเหล็กหนักอึ้งถ่วงลงฉับพลัน ความรู้สึกวูบหล่นหายไปลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้า คิ้วเข็มเขม็งเครียดขึ้นมาทันที

"เหตุใดเจ้าถามเช่นนี้"

          "ข้าพูดสิ่งที่เจ้าสงสัย แต่ไม่กล้าพูดออกมาต่างหากเล่า" คนฟังนิ่งอึ้ง คนพูดจึงสันนิษฐานต่อไป  "เจ้าเคยบอกข้าว่า สงสัยเรื่องการตายขององค์รัชทายาท ว่าอาจไม่ใช่การตายตามธรรมชาติ ตอนนั้นหากพิจารณาจากรูปการณ์แล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จากการตายของเสด็จพี่เจ้าโดยตรง ก็มีเพียงตัวเจ้า และองค์ชายอัครเรศผู้เป็นน้องชายต่างมารดาเท่านั้น แต่เมื่อครู่เจ้าก็ได้ทำให้ข้าฉุกคิดถึงความเป็นไปได้อีกข้อขึ้นมา หากมีเหตุบางประการที่ทำให้องค์รัชทายาทกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าก่อกบฏแล้วล่ะก็ จะมีคนอีกผู้หนึ่งที่ได้ประโยชน์จากการตายของเขา..."

          น้ำเสียงราบเรียบของนางหยุดลง ความเงียบลอยอ้อยอิ่งทั่วห้อง หัวใจของคนฟังคล้ายกำลังถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น เขากำมือแน่นจนขึ้นข้อขาว สิ่งที่เขาไม่กล้าเอ่ยออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะนำมาขบคิดให้ถ่องแท้ เวลานี้นางได้กล่าวแทนใจเขาไปแล้วจนหมดสิ้น

          "เจ้าทำให้ข้าดูขลาดเขลายิ่งนัก"

          "เจ้าไม่ได้ขลาดเขลา แต่เพราะเขาคือบิดาของเจ้า การที่บุตรคนหนึ่งจะยอมรับว่าระแวงสงสัยในตัวบิดานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนข้าเป็นคนอื่น เป็นคนนอก ย่อมกล่าวถึงข้อสงสัยออกมาได้โดยง่าย... เจ้าเคยบอกข้าว่า สุดท้ายแล้วแม้แต่เสด็จพ่อของเจ้าเอง ก็อาจมิใช่คนที่ไว้ใจได้ เจ้ารู้เห็นสิ่งใดมาเหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น..."

          เขาส่ายหน้าช้า ๆ อย่างไม่มั่นใจนัก

          "ข้ามิได้รู้เห็นสิ่งใด เป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยไร้เหตุผลเท่านั้น... อีกทั้งเสด็จพี่ก็ไม่เคยมีพฤติการณ์ใดผิดแปลก เพียงแต่หลายเดือนก่อนจะสวรรคตทรงเสด็จชายแดนบ่อย ๆ แต่ก็คงเป็นเพราะสถานการณ์ตึงเครียดที่ชายเเดนมากกว่า"

          คนฟังถอนใจเบา ๆ ยกมือขึ้นตบบ่าเขาก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย

          "เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย คิดกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ตราบใดที่ยังไม่พบหลักฐาน ทั้งหมดนี้มันก็แค่การคาดเดา จับตาดูไปก่อนทั้งเจ้าเหนือหัวจักรทิพย์ เจ้านางลักขณาวดี และองค์ชายอัครเรศ ไม่ช้าก็เร็วความจริงต้องปรากฏแน่"

          อีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ คล้ายยังดำดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์ ฟ้ามุ่ยบีบไหล่เขาแรง ๆ ทีหนึ่งเป็นการเรียกสติพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

          "วางใจเถอะ ข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีใครหน้าไหนแทงเจ้าจากข้างหลังได้แน่ "

          ทั้งคู่สบตากัน แลกเปลี่ยนความคิดกันทางสายตากันครู่หนึ่ง ในที่สุดชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มบางตอบรับคำมั่นของนางด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นไม่แพ้กัน

          "ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเองก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้เช่นกัน..."