ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...
รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฟ้ามุ่ยตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่ง หรือพูดให้ถูกก็คือนางไม่ได้นอนเลยเสียมากกว่า ด้วยเป็นเพราะรู้สึกแปลกที่แปลกทางเกินกว่าจะหลับลงได้ ลำเจียกเห็นนางไม่สดชื่นจึงชงชามะลิหอมกรุ่นให้ดื่มระหว่างที่มวยผมขัดเป็นเกล้าให้อย่างเบามือ
เมื่อต้องแต่งองค์ทรงเครื่องให้ผู้เป็นนาย ลำเจียกก็พบว่าเจ้านายของตนแทบไม่มีเครื่องประดับอะไรติดตัวมามากนัก จะมีก็แต่แหวนทองเกลี้ยงวงเล็ก ๆ ที่สวมติดนิ้วอยู่ตลอดกับปิ่นที่เอาไว้ขัดเกล้าซึ่งทำจากไม้หอมอีกสองสามอัน แต่ละอันรูปร่างลวดลายคล้ายกันไปเสียหมด นางลำเจียกหยิบแต่ละอันมาพินิจพิจารณา หยิบ ๆ วาง ๆ อย่างขัดอกขัดใจนัก
"ปิ่นปักผมของเจ้านางหอมละมุนนัก เสียแต่เหมือนกันไปเสียทุกอัน" นางบ่นหงุงหงิง ในที่สุดก็เลือกได้อันหนึ่งแล้วเสียบขัดมวยผมให้ผู้เป็นนายที่กำลังยิ้มน้อย ๆ
"เดิมทีข้ามิใช่คนในรั้วในวัง จึงไม่จำเป็นต้องประดับร่างกายพิถีพิถันมากนัก ปิ่นปักผมพวกนี้ทำจากไม้กฤษณา เป็นของหายาก เมื่อผู้ให้ตั้งใจหามากำนัล ข้าจึงรับน้ำใจไว้โดยมิได้เกี่ยงว่ามีลวดลายอย่างไร"
"ผู้ใดนำมากำนัลให้หรือเพคะ" นางลำเจียกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"เป็นศิษย์รักของท่านพ่อ" ฟ้ามุ่ยกล่าว ไม่ลืมที่จะเรียกขานท่านราชครูนิลนนท์ว่าพ่อ ด้วยเพราะตัวนางในเวลานี้แอบอ้างเป็นบุตรบุญธรรมของราชครูเฒ่าอยู่
หลังจากแต่งกายให้ผู้เป็นนายเสร็จเรียบร้อยดีแล้วลำเจียกก็ถึงกับยืนตะลึง สตรีร่างระหงนุ่งเสื้อแขนกระบอกพอดีตัวสีเปลือกมังคุด กับผ้าซิ่นตีนจกสีแดงเข้ม ห่มทับด้วยสไบจีบสีเขียวขี้ม้า ขับเน้นผิวพรรณให้ขาวผ่องผุดผาด ดูงดงามสูงศักดิ์เสียจนละสายตาจากนางได้ยากยิ่ง
"งดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ เสียดายน่าจะมีเครื่องประดับสักหน่อย"
"เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก ภายในวันสองวันนี้ช่างจากสำนักพิธีการคงมาตัดชุดที่จะต้องใส่ในงานพิธีให้ และคงจัดหาผ้าใหม่กับเครื่องประดับมาให้อีกไม่น้อย คงมิปล่อยให้ข้าแต่งกายตามอำเภอใจอยู่นานหรอก"
ได้ยินดังนั้นนางลำเจียกพยักหน้าอย่างยินดี แต่แล้วก็นึกสงสัยขึ้นมา "เหตุใดเจ้านางรู้ธรรมเนียมในวังดียิ่งเพคะ"
ฟ้ามุ่ยยิ้มบาง
"ข้าแค่คาดเดาเท่านั้น..."
ช่วงสายขณะที่ฟ้ามุ่ยออกมาเดินเล่นริมสระบัว ช่างหลวงจากสำนักพิธีการก็มาจริงดังคาด นำผ้ามาหลายหีบ เพื่อให้นางเลือกสีสำหรับตัดชุดใส่ในงานพิธี แต่ละหีบแต่ละพับล้วนงดงามจนเลือกไม่ถูก ฟ้ามุ่ยปล่อยให้พวกเขานำมาผ้ามาทาบทับบนร่างจนพอใจ ในที่สุดก็เลือกผ้าไหมสีแดงสดยกดอกไหมทองเป็นผ้าสำหรับตัดเสื้อ ผ้าซิ่นตีนจกสีแดงยกไหมทองเช่นกัน ส่วนสไบจีบห่มเฉียงเลือกสีเขียวขี้ม้าทับด้วยผ้าทรงสะพักนพรัตน์ ปักดิ้นลายทองทั้งองค์มีดารานพรัตน์ปักประดับด้วยอัญมณี
"...ส่วนเครื่องประดับก็ให้เป็นไปตามที่โบราณราชประเพณีกำหนดเถิด"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าช่างหลวงก็มีท่าทีโล่งใจ ล้วนเห็นดีเห็นงามกับสีและลวดลายบนผ้าที่นางเลือก ต่างนึกชื่นชมสตรีผู้นี้ที่มีความรู้เรื่องพิธีการในวังเป็นอย่างดี กิริยามารยาทการวางตัวก็งดงามราวกับสตรีสูงศักดิ์ ไม่เหมือนเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่าเป็นหญิงชาวป่าแม้แต่น้อย แม้เวลานี้ที่แต่งกายเรียบง่าย ไม่มีเครื่องประดับติดกายสักชิ้น ก็ยังแลดูงดงาม น่าเกรงขาม
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะตัดเย็บอย่างดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ พวกนี้" เขาผายมือไปยังหีบที่ยังไม่ได้เปิดอีกสองสามหีบ "เจ้าจักรทิพย์พระราชทานให้ทรงสวมใส่ยามเสด็จไปนอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ" ว่าแล้วก็ถวายบังคมจากไป ทิ้งผ้านุ่งกับเครื่องเครื่องประดับเอาไว้หลายหีบ
ลำเจียกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ส่งสายตาปริบ ๆ อ้อนวอนให้ฟ้ามุ่ยออกปากอนุญาตให้เปิดหีบดูเสียที คนเป็นนายนึกขำ รอจนคนของสำนักพระราชวังออกจากตำหนักไปไกลแล้วจึงค่อยพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
เมื่อองค์ชายจักรินทร์นฤเบศร์ เสด็จตำหนักริมน้ำเพื่อเสวยมื้อเที่ยงกับว่าที่พระชายา เขาก็พบว่านางดูราวกับเป็นหีบทองเคลื่อนที่ไปเสียแล้ว เพราะนางรับใช้ตัวดีดันอยากจะประโคมสวมทุกอย่างลงไปบนร่างคนเป็นนายไปเสียหมด ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉยของนาง เขาก็อดหัวเราะไม่ได้
ลำเจียกรู้ตัวว่าทำเจ้านายขายหน้าเสียแล้วก็รีบขอตัวออกไปยกสำรับกับข้าวอย่างหนีความผิด ฟ้ามุ่ยมองนางรับใช้ที่วิ่งหนีออกไปอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วก็คลี่ยิ้มบาง ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
"ยังจะหัวเราะอยู่อีก รีบมาช่วยข้าถอดเร็ว" นางกล่าวเสียงดุ ๆ แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้ม
บุรุษผู้มีใบหน้าคมคายพยายามกลั้นหัวเราะได้สำเร็จ แต่กระนั้นก็ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เดินเข้าไปยืนด้านหลังช่วยถอดดอกไม้ไหวสีทองอร่ามออกจากศีรษะให้
"ดูท่าเจ้าคงเอ็นดูนางรับใช้ผู้นี้มาก" เขาเปรยระหว่างถอดสร้อยคอเส้นใหญ่ออกจากลำคอระหงแล้ววางลงในหีบ
"นางยังเด็ก ความคิดหลายอย่างน่าเอ็นดูและน่าขัน" หญิงสาวตอบพลางสร้อยถอดสังวาลออกอีก เหลือไว้เพียงสองเส้นตามยศตามศักดิ์ที่ควรจะสวม
"น่าเอ็นดู แล้วไว้ใจได้หรือไม่เล่า" อีกฝ่ายถามต่อ หยิบสร้อยคอเส้นเล็ก ๆ จากข้างในอกเสื้อมาสวมให้แทนเส้นเก่าที่เพิ่งช่วยถอดออกให้
"เวลานี้ยังถือว่าไว้ใจได้..." ฟ้ามุ่ยที่กำลังจะถอดกำไลข้อมือหยุดชะงัก ก้มมองสร้อยรูปนกยูง ลวดลายประณีตที่สวมอยู่ด้วยความสงสัย "สร้อยมยุระหรือ... ของผู้ใดกัน"
"ของเสด็จแม่ข้า"
คำตอบทำเอาคนฟังหันขวับจนเกือบชนคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เขารีบคว้าต้นแขนนางเอาไว้เพื่อประคองไม่ให้ล้ม
"ของสำคัญเช่นนี้ เอามาสวมให้ข้าได้อย่างไร เจ้าเก็บไว้เองเถิด" ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นควานหาตะขอบริเวณต้นคอเพื่อปลดสร้อยออก เจ้าของสร้อยรีบคว้าข้อมือสองข้างของนางเอาไว้เป็นเชิงบอกให้หยุด เขาปรายตามองสร้อยคอที่ประดับอยู่บนเนินอกของคนตรงหน้า แล้วคลี่ยิ้มบาง
"เหมาะกับเจ้านัก ฝากให้เจ้าเก็บรักษาไว้ก็แล้วกัน"
ฟ้ามุ่ยมุ่นหัวคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรนางลำเจียกก็กลับเข้ามาแจ้งว่าตั้งสำรับเรียบร้อยแล้ว พลันดวงหน้าอ่อนวัยของหญิงรับใช้ก็ขึ้นสีเมื่อพบว่า ผู้เป็นนายกำลังยืนแนบชิดกันในท่าทางพิลึกพิลั่น สองมือขององค์ชายเกาะกุมข้อมือบางของพระชายาเอาไว้ ในขณะที่สายตากำลังจ้องมองอย่างลึกซึ้ง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
"ขออภัยด้วย หม่อมฉัน... เอ่อ.. ขออภัยเพคะ" นางลำเจียกอึกอักละล่ำละลักอย่างสติแตก แล้วรีบก้มหน้างุดเดินออกไปจากห้องบรรทม
ฟ้ามุ่ยถอนหายใจ พวกเขาทำให้นางลำเจียกเข้าใจผิดเสียแล้ว... ทว่าสิ่งที่เข้าใจผิดก็นับเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรแล้วตามสถานะที่พวกเขาเป็น ฟ้ามุ่ยจึงไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ ทั้งคู่เดินออกไปเสวยมื้อเที่ยงที่ศาลาริมน้ำด้วยกันโดยไม่กล่าวอะไรถึงเรื่องนี้อีก
หลังเสวยมื้อเที่ยงแล้วทั้งสองอ้อยอิ่งอยู่ริมสระบัวครู่หนึ่ง พอข้าวเรียงเม็ดดีแล้วก็ชวนกันออกไปยังค่ายฝึกทหารที่อยู่นอกเมือง นางลำเจียกกล้ำกลืนเต็มทีเมื่อเห็นเจ้านายผลัดผ้าเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดรัดกุมเยี่ยงบุรุษ ถือดาบเดินฉับ ๆ ออกไปจากตำหนักไปพร้อมกับองค์ชายผู้เป็นคู่มั่นคู่หมาย ท่าทางราวกับบุรุษหนุ่มสองคนเดินเคียงกันไปก็ไม่ปาน
เมื่อก้าวพ้นจากตำหนักบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ ท่าทางองอาจพร้อมกับองครักษ์อีกสองสามนายก็ยืนคอยพวกเขาอยู่แล้ว เมื่อเห็นทั้งคู่ก็รีบทำความเคารพอย่างนอบน้อม
"คนผู้นี้คือ..."
"ขุนณรงค์ เป็นหัวหน้าองครักษ์ ก่อนหน้านี้ที่ไปรับเจ้า ข้ามิได้ให้เขาตามเสด็จ เจ้าจึงยังไม่เคยพบ"
ฟ้ามุ่ยพินิจบุรุษตรงหน้าอย่างละเอียด ทั้งรูปร่าง ท่าทางการยืน การจับอาวุธ และชนิดของอาวุธ แล้วไม่พูดอะไรเพียงแต่ค้อมศีรษะและยิ้มให้เขาเล็กน้อย
"วันนี้จะทรงให้กระหม่อมกับพวกองครักษ์ตามเสด็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่ต้อง พวกเจ้าคอยดูสถานการณ์อยู่ที่นี่เถิด อย่าลืมทำงานที่ข้าสั่งให้เรียบร้อย ห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด"
ขุนณรงค์รับคำสั่ง เขากับทหารอารักขาอีกสองสามนายเดินตามไปส่งเสด็จที่คอกม้าหลวง ทว่ายังไม่ทันไปถึงที่หมายก็พบเข้ากับบุรุษอีกผู้หนึ่งกลางทาง
คนผู้นี้ท่าทางสง่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายองค์ชายจักรินทร์อยู่หลายส่วน เสียแต่ผอมบางกว่ามาก และผมบนศีรษะยังสั้นเกรียนไม่เป็นทรง กำลังหอบสมุดข่อยหลายเล่มมุ่งหน้าไปยังหอตำรา
"เสด็จพี่" เขาถวายความเคารพทั้ง ๆ ที่สมุดอยู่เต็มอ้อมแขน
"อัครเรศ" องค์ชายจักรินทร์เอ่ยทักผู้เป็นอนุชา เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟ้ามุ่ยก็ถวายความเคารพ
องค์ชายผู้น้องมองดูสตรีเบื้องหน้าที่แม้บัดนี้จะผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้รัดกุมเยี่ยงบุรุษแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากสร้อยมยุระที่คอ ประกอบกับกิริยาท่าทางที่เดินเคียงคู่กันมากับพระเชษฐาของเขาก็ทำให้คาดเดาตัวตนของนางไม่ยากนัก
"ท่านคงเป็นเจ้านางฟ้ามุ่ย พระชายาของเสด็จพี่" เมื่อเห็นทั้งคู่ยิ้มรับ ก็กล่าวต่อไป "งดงามสมคำร่ำลือ"
"องค์ชายกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ" ฟ้ามุ่ยกล่าวก้มหน้าน้อย ๆ รับคำชมอย่างเสียมิได้ "หม่อมฉันแค่สตรีสามัญชนต่ำต้อย จะงดงามสู้สตรีชาววังที่เจ้าพี่มิ่งเมืองเคยพบได้อย่างไร" ว่าแล้วก็ปรายตามองคนข้างกายยิ้ม ๆ เห็นเขาลอบกำหมัดก็รู้ได้ทันทีว่าคำว่า "เจ้าพี่" คงทำเอาอีกฝ่ายขนลุก
"สตรีอื่นจะงดงามกว่าเจ้าได้อย่างไรในเมื่อใจข้ามีแต่เจ้า" อีกฝ่ายกล่าวตอบอย่างไม่ยอมแพ้ ฟ้ามุ่ยทำสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่ยังไม่ทันได้กล่าวคำใดออกมาองค์ชายอัครเรศก็รีบช่วยเหลือองค์ชายผู้พี่ทันที
"พระชายาโปรดวางใจ แม้หม่อมฉันอยู่ในสมณะเพศมาตั้งแต่เด็กแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เห็นโลกภายนอก แต่ตั้งแต่เล็กจนโตหม่อมฉันไม่เคยเห็นเสด็จพี่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีใดมาก่อน ท่านเป็นสตรีคนแรกและคนเดียวของเสด็จพี่"
"ยังมีเจ้านางบัวบุศย์อีกคนเพคะ" ฟ้ามุ่ยว่า องค์ชายน้อยหันไปสบตาพระเชษฐาอย่างจนปัญญา สีหน้าจืดเจื่อนลงเล็กน้อย
"ข้ามิเคยรู้จักใกล้ชิดกับนางมาก่อน..." เขาว่าไปตามน้ำแล้วก้มลงประสานสายตากับสตรีตรงหน้า
"หึงข้ารึ..."
ฟ้ามุ่ยไม่อาจทนประสานสายตากับเขาไม่ได้นาน รีบหลุบนัยน์ตามองพื้นขบเม้มริมฝีปาก กลั้นขำสุดชีวิต แต่ในสายตาขององค์ชายอัครเรศนั้น สถานการณ์ของพระเชษฐาคงถึงขั้นวิกฤตแล้ว เขารีบพาบทสนทนาไปเรื่องอื่นทันที
"ว่าแต่เสด็จพี่กับพระชายาจะทรงเสด็จไปที่ใดกันหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้ากับพระชายาจะออกไปที่ค่ายฝึกนอกเมืองเสียหน่อย ไปด้วยกันหรือไม่"
องค์ชายอัครเรศยิ้มน้อย ๆ ดวงตาละห้อยอ่อนแสงลง
"หม่อมฉันไม่เคยร่ำเรียนการต่อสู้ ไม่รู้เรื่องการทหาร เกรงว่าถึงตามเสด็จไปก็เป็นภาระพวกท่านเสียเปล่า"
เมื่อเห็นน้องชายมีท่าทางเช่นนั้น คนฟังก็แววตาอ่อนโยนลง
"จะเป็นภาระได้อย่างไร หากเจ้าอยากไปก็ตามพี่ไปด้วยกันเถิด"
องค์ชายอัครเรศยิ้มแห้ง "หม่อมฉันต้องเอาตำราไปคืนที่หอตำรา ท่านพี่เสด็จไปกับพระชายาเถิด ไว้คราวหน้าหม่อมฉันค่อยตามเสด็จ"
"ทรงอ่านตำราใดอยู่หรือเพคะ ขอหม่อมฉันดูได้หรือไม่" ฟ้ามุ่ยมองตำราในอ้อมแขนขององค์ชายอัครเรศอย่างสนใจใคร่รู้ ก่อนจะหยิบ สมุดข่อยเล่มบนสุดขึ้นมาพลิกดูโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต
"ตำราว่าด้วยเรื่อง จกอบ และท้องพระคลัง... หัวใจกษัตริย์... หน้ากากราชา... เวียง วัง คลัง นา..." หยิบขึ้นมาแต่ละเล่มฟ้ามุ่ยก็อ่านชื่อตำราไปด้วย "...นึกไม่ถึงว่าทรงสนใจเรื่องเหล่านี้ด้วย"
"หม่อมฉันออกบวชแต่เด็ก บัดนี้กลับเข้าสู่ทางโลกแล้ว หากไม่ศึกษาเรื่องเหล่านี้เอาไว้บ้าง เกรงว่าตัวเองจะไร้ประโยชน์ ไม่สามารถช่วยเหลือราชกิจอันใดเสด็จพี่ได้" องค์ชายอัครเรศตอบเสียงแผ่ว
องค์ชายผู้พี่ได้ยินเช่นนั้นตบบ่าน้องชายเบา ๆ
เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว"
"ไว้หม่อมฉันว่างเมื่อใด คงต้องขอไปเยี่ยมชมหอตำราดูบ้างแล้วเพคะ คงจะมีตำราน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว"
ฟ้ามุ่ยกล่าวยิ้ม ๆ วางตำราสองสามเล่มคืนใส่อ้อมแขนให้องค์ชาย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันกลับไปกล่าวคนข้างกายด้วยน้ำเสียอ่อนโยน
"เจ้าพี่ให้องครักษ์สักสองสามนายช่วยองค์ชายนำหนังสือไปที่หอตำราเถิดเพคะ มากมายเพียงนี้จะขนไปเพียงลำพังได้อย่างไร"
มิ่งเมืองเห็นด้วย หันไปพยักหน้าให้ขุนณรงค์ องครักษ์สองนายจึงรีบเข้ามาช่วยทันที
"หม่อมฉันมิได้ลำบากอะไรเลยพระชายา" องค์ชายอัครเรศปฏิเสธอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่เมื่อตำราหลายสิบเล่มถูกนำออกไปจากอ้อมแขนเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
"ขอบพระทัยเสด็จพี่ ขอบพระทัยพระชายา เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน"
องค์ชายทั้งสองยิ้มให้กัน ฟ้ามุ่ยค้อมศีรษะอย่างไว้กิริยา องค์ชายอัครเรศและองครักษ์สองสามนายจึงแยกตัวไปทางหอตำรา
"อย่าไล่หมาให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม ใช่หรือไม่..." มิ่งเมืองกล่าวอย่างรู้ทัน เมื่อองค์ชายน้อยออกไปพ้นจากรัศมีการได้ยินแล้ว
ฟ้ามุ่ยพยักหน้ายิ้ม ๆ ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทางสายตากันอยู่ครู่หนึ่งก็ออกเดินไปยังคอกม้า โดยมีขุนณรงค์ตามไปอารักขาด้วย