ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 14 ความกังวลของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 15 เช่นนี้เรียกว่าหึงหวง (NC),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 16 ข่าวร้าย

เนื้อหา

ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก

          ฟ้ามุ่ยตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่ง  หรือพูดให้ถูกก็คือนางไม่ได้นอนเลยเสียมากกว่า ด้วยเป็นเพราะรู้สึกแปลกที่แปลกทางเกินกว่าจะหลับลงได้  ลำเจียกเห็นนางไม่สดชื่นจึงชงชามะลิหอมกรุ่นให้ดื่มระหว่างที่มวยผมขัดเป็นเกล้าให้อย่างเบามือ 

          เมื่อต้องแต่งองค์ทรงเครื่องให้ผู้เป็นนาย  ลำเจียกก็พบว่าเจ้านายของตนแทบไม่มีเครื่องประดับอะไรติดตัวมามากนัก จะมีก็แต่แหวนทองเกลี้ยงวงเล็ก ๆ ที่สวมติดนิ้วอยู่ตลอดกับปิ่นที่เอาไว้ขัดเกล้าซึ่งทำจากไม้หอมอีกสองสามอัน แต่ละอันรูปร่างลวดลายคล้ายกันไปเสียหมด นางลำเจียกหยิบแต่ละอันมาพินิจพิจารณา หยิบ ๆ วาง ๆ อย่างขัดอกขัดใจนัก

          "ปิ่นปักผมของเจ้านางหอมละมุนนัก เสียแต่เหมือนกันไปเสียทุกอัน"  นางบ่นหงุงหงิง ในที่สุดก็เลือกได้อันหนึ่งแล้วเสียบขัดมวยผมให้ผู้เป็นนายที่กำลังยิ้มน้อย ๆ

          "เดิมทีข้ามิใช่คนในรั้วในวัง จึงไม่จำเป็นต้องประดับร่างกายพิถีพิถันมากนัก ปิ่นปักผมพวกนี้ทำจากไม้กฤษณา เป็นของหายาก เมื่อผู้ให้ตั้งใจหามากำนัล ข้าจึงรับน้ำใจไว้โดยมิได้เกี่ยงว่ามีลวดลายอย่างไร"

          "ผู้ใดนำมากำนัลให้หรือเพคะ" นางลำเจียกด้วยความอยากรู้อยากเห็น

          "เป็นศิษย์รักของท่านพ่อ" ฟ้ามุ่ยกล่าว ไม่ลืมที่จะเรียกขานท่านราชครูนิลนนท์ว่าพ่อ ด้วยเพราะตัวนางในเวลานี้แอบอ้างเป็นบุตรบุญธรรมของราชครูเฒ่าอยู่

          หลังจากแต่งกายให้ผู้เป็นนายเสร็จเรียบร้อยดีแล้วลำเจียกก็ถึงกับยืนตะลึง สตรีร่างระหงนุ่งเสื้อแขนกระบอกพอดีตัวสีเปลือกมังคุด กับผ้าซิ่นตีนจกสีแดงเข้ม ห่มทับด้วยสไบจีบสีเขียวขี้ม้า ขับเน้นผิวพรรณให้ขาวผ่องผุดผาด ดูงดงามสูงศักดิ์เสียจนละสายตาจากนางได้ยากยิ่ง

          "งดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ เสียดายน่าจะมีเครื่องประดับสักหน่อย"

          "เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก ภายในวันสองวันนี้ช่างจากสำนักพิธีการคงมาตัดชุดที่จะต้องใส่ในงานพิธีให้  และคงจัดหาผ้าใหม่กับเครื่องประดับมาให้อีกไม่น้อย  คงมิปล่อยให้ข้าแต่งกายตามอำเภอใจอยู่นานหรอก"

          ได้ยินดังนั้นนางลำเจียกพยักหน้าอย่างยินดี แต่แล้วก็นึกสงสัยขึ้นมา  "เหตุใดเจ้านางรู้ธรรมเนียมในวังดียิ่งเพคะ"

           ฟ้ามุ่ยยิ้มบาง  

          "ข้าแค่คาดเดาเท่านั้น..."


          ช่วงสายขณะที่ฟ้ามุ่ยออกมาเดินเล่นริมสระบัว ช่างหลวงจากสำนักพิธีการก็มาจริงดังคาด นำผ้ามาหลายหีบ เพื่อให้นางเลือกสีสำหรับตัดชุดใส่ในงานพิธี แต่ละหีบแต่ละพับล้วนงดงามจนเลือกไม่ถูก ฟ้ามุ่ยปล่อยให้พวกเขานำมาผ้ามาทาบทับบนร่างจนพอใจ  ในที่สุดก็เลือกผ้าไหมสีแดงสดยกดอกไหมทองเป็นผ้าสำหรับตัดเสื้อ  ผ้าซิ่นตีนจกสีแดงยกไหมทองเช่นกัน ส่วนสไบจีบห่มเฉียงเลือกสีเขียวขี้ม้าทับด้วยผ้าทรงสะพักนพรัตน์ ปักดิ้นลายทองทั้งองค์มีดารานพรัตน์ปักประดับด้วยอัญมณี 

          "...ส่วนเครื่องประดับก็ให้เป็นไปตามที่โบราณราชประเพณีกำหนดเถิด" 

          เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าช่างหลวงก็มีท่าทีโล่งใจ  ล้วนเห็นดีเห็นงามกับสีและลวดลายบนผ้าที่นางเลือก  ต่างนึกชื่นชมสตรีผู้นี้ที่มีความรู้เรื่องพิธีการในวังเป็นอย่างดี  กิริยามารยาทการวางตัวก็งดงามราวกับสตรีสูงศักดิ์  ไม่เหมือนเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่าเป็นหญิงชาวป่าแม้แต่น้อย  แม้เวลานี้ที่แต่งกายเรียบง่าย ไม่มีเครื่องประดับติดกายสักชิ้น ก็ยังแลดูงดงาม น่าเกรงขาม

          "รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะตัดเย็บอย่างดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ พวกนี้" เขาผายมือไปยังหีบที่ยังไม่ได้เปิดอีกสองสามหีบ "เจ้าจักรทิพย์พระราชทานให้ทรงสวมใส่ยามเสด็จไปนอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ"  ว่าแล้วก็ถวายบังคมจากไป ทิ้งผ้านุ่งกับเครื่องเครื่องประดับเอาไว้หลายหีบ 

          ลำเจียกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ส่งสายตาปริบ ๆ อ้อนวอนให้ฟ้ามุ่ยออกปากอนุญาตให้เปิดหีบดูเสียที  คนเป็นนายนึกขำ  รอจนคนของสำนักพระราชวังออกจากตำหนักไปไกลแล้วจึงค่อยพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต



          เมื่อองค์ชายจักรินทร์นฤเบศร์ เสด็จตำหนักริมน้ำเพื่อเสวยมื้อเที่ยงกับว่าที่พระชายา  เขาก็พบว่านางดูราวกับเป็นหีบทองเคลื่อนที่ไปเสียแล้ว เพราะนางรับใช้ตัวดีดันอยากจะประโคมสวมทุกอย่างลงไปบนร่างคนเป็นนายไปเสียหมด  ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉยของนาง เขาก็อดหัวเราะไม่ได้  

          ลำเจียกรู้ตัวว่าทำเจ้านายขายหน้าเสียแล้วก็รีบขอตัวออกไปยกสำรับกับข้าวอย่างหนีความผิด ฟ้ามุ่ยมองนางรับใช้ที่วิ่งหนีออกไปอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วก็คลี่ยิ้มบาง ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

          "ยังจะหัวเราะอยู่อีก รีบมาช่วยข้าถอดเร็ว" นางกล่าวเสียงดุ ๆ แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้ม  

          บุรุษผู้มีใบหน้าคมคายพยายามกลั้นหัวเราะได้สำเร็จ แต่กระนั้นก็ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เดินเข้าไปยืนด้านหลังช่วยถอดดอกไม้ไหวสีทองอร่ามออกจากศีรษะให้

          "ดูท่าเจ้าคงเอ็นดูนางรับใช้ผู้นี้มาก" เขาเปรยระหว่างถอดสร้อยคอเส้นใหญ่ออกจากลำคอระหงแล้ววางลงในหีบ

          "นางยังเด็ก ความคิดหลายอย่างน่าเอ็นดูและน่าขัน" หญิงสาวตอบพลางสร้อยถอดสังวาลออกอีก  เหลือไว้เพียงสองเส้นตามยศตามศักดิ์ที่ควรจะสวม

          "น่าเอ็นดู  แล้วไว้ใจได้หรือไม่เล่า" อีกฝ่ายถามต่อ  หยิบสร้อยคอเส้นเล็ก ๆ จากข้างในอกเสื้อมาสวมให้แทนเส้นเก่าที่เพิ่งช่วยถอดออกให้

          "เวลานี้ยังถือว่าไว้ใจได้..."  ฟ้ามุ่ยที่กำลังจะถอดกำไลข้อมือหยุดชะงัก ก้มมองสร้อยรูปนกยูง ลวดลายประณีตที่สวมอยู่ด้วยความสงสัย  "สร้อยมยุระหรือ... ของผู้ใดกัน"

          "ของเสด็จแม่ข้า"

          คำตอบทำเอาคนฟังหันขวับจนเกือบชนคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เขารีบคว้าต้นแขนนางเอาไว้เพื่อประคองไม่ให้ล้ม

          "ของสำคัญเช่นนี้ เอามาสวมให้ข้าได้อย่างไร เจ้าเก็บไว้เองเถิด" ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นควานหาตะขอบริเวณต้นคอเพื่อปลดสร้อยออก  เจ้าของสร้อยรีบคว้าข้อมือสองข้างของนางเอาไว้เป็นเชิงบอกให้หยุด  เขาปรายตามองสร้อยคอที่ประดับอยู่บนเนินอกของคนตรงหน้า แล้วคลี่ยิ้มบาง

          "เหมาะกับเจ้านัก ฝากให้เจ้าเก็บรักษาไว้ก็แล้วกัน"

          ฟ้ามุ่ยมุ่นหัวคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรนางลำเจียกก็กลับเข้ามาแจ้งว่าตั้งสำรับเรียบร้อยแล้ว พลันดวงหน้าอ่อนวัยของหญิงรับใช้ก็ขึ้นสีเมื่อพบว่า ผู้เป็นนายกำลังยืนแนบชิดกันในท่าทางพิลึกพิลั่น สองมือขององค์ชายเกาะกุมข้อมือบางของพระชายาเอาไว้ ในขณะที่สายตากำลังจ้องมองอย่างลึกซึ้ง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

          "ขออภัยด้วย  หม่อมฉัน... เอ่อ.. ขออภัยเพคะ" นางลำเจียกอึกอักละล่ำละลักอย่างสติแตก แล้วรีบก้มหน้างุดเดินออกไปจากห้องบรรทม

          ฟ้ามุ่ยถอนหายใจ พวกเขาทำให้นางลำเจียกเข้าใจผิดเสียแล้ว... ทว่าสิ่งที่เข้าใจผิดก็นับเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรแล้วตามสถานะที่พวกเขาเป็น  ฟ้ามุ่ยจึงไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดนี้  ทั้งคู่เดินออกไปเสวยมื้อเที่ยงที่ศาลาริมน้ำด้วยกันโดยไม่กล่าวอะไรถึงเรื่องนี้อีก

          หลังเสวยมื้อเที่ยงแล้วทั้งสองอ้อยอิ่งอยู่ริมสระบัวครู่หนึ่ง พอข้าวเรียงเม็ดดีแล้วก็ชวนกันออกไปยังค่ายฝึกทหารที่อยู่นอกเมือง นางลำเจียกกล้ำกลืนเต็มทีเมื่อเห็นเจ้านายผลัดผ้าเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดรัดกุมเยี่ยงบุรุษ ถือดาบเดินฉับ ๆ ออกไปจากตำหนักไปพร้อมกับองค์ชายผู้เป็นคู่มั่นคู่หมาย ท่าทางราวกับบุรุษหนุ่มสองคนเดินเคียงกันไปก็ไม่ปาน  

          เมื่อก้าวพ้นจากตำหนักบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่  ท่าทางองอาจพร้อมกับองครักษ์อีกสองสามนายก็ยืนคอยพวกเขาอยู่แล้ว เมื่อเห็นทั้งคู่ก็รีบทำความเคารพอย่างนอบน้อม  

          "คนผู้นี้คือ..."

          "ขุนณรงค์ เป็นหัวหน้าองครักษ์  ก่อนหน้านี้ที่ไปรับเจ้า ข้ามิได้ให้เขาตามเสด็จ เจ้าจึงยังไม่เคยพบ"

          ฟ้ามุ่ยพินิจบุรุษตรงหน้าอย่างละเอียด ทั้งรูปร่าง ท่าทางการยืน การจับอาวุธ และชนิดของอาวุธ แล้วไม่พูดอะไรเพียงแต่ค้อมศีรษะและยิ้มให้เขาเล็กน้อย

          "วันนี้จะทรงให้กระหม่อมกับพวกองครักษ์ตามเสด็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"

          "ไม่ต้อง  พวกเจ้าคอยดูสถานการณ์อยู่ที่นี่เถิด อย่าลืมทำงานที่ข้าสั่งให้เรียบร้อย ห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด"

          ขุนณรงค์รับคำสั่ง  เขากับทหารอารักขาอีกสองสามนายเดินตามไปส่งเสด็จที่คอกม้าหลวง ทว่ายังไม่ทันไปถึงที่หมายก็พบเข้ากับบุรุษอีกผู้หนึ่งกลางทาง 

          คนผู้นี้ท่าทางสง่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายองค์ชายจักรินทร์อยู่หลายส่วน เสียแต่ผอมบางกว่ามาก และผมบนศีรษะยังสั้นเกรียนไม่เป็นทรง กำลังหอบสมุดข่อยหลายเล่มมุ่งหน้าไปยังหอตำรา

          "เสด็จพี่" เขาถวายความเคารพทั้ง ๆ ที่สมุดอยู่เต็มอ้อมแขน

          "อัครเรศ" องค์ชายจักรินทร์เอ่ยทักผู้เป็นอนุชา  เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟ้ามุ่ยก็ถวายความเคารพ

          องค์ชายผู้น้องมองดูสตรีเบื้องหน้าที่แม้บัดนี้จะผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้รัดกุมเยี่ยงบุรุษแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากสร้อยมยุระที่คอ ประกอบกับกิริยาท่าทางที่เดินเคียงคู่กันมากับพระเชษฐาของเขาก็ทำให้คาดเดาตัวตนของนางไม่ยากนัก

          "ท่านคงเป็นเจ้านางฟ้ามุ่ย  พระชายาของเสด็จพี่"  เมื่อเห็นทั้งคู่ยิ้มรับ ก็กล่าวต่อไป  "งดงามสมคำร่ำลือ"

          "องค์ชายกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ" ฟ้ามุ่ยกล่าวก้มหน้าน้อย ๆ รับคำชมอย่างเสียมิได้  "หม่อมฉันแค่สตรีสามัญชนต่ำต้อย จะงดงามสู้สตรีชาววังที่เจ้าพี่มิ่งเมืองเคยพบได้อย่างไร"  ว่าแล้วก็ปรายตามองคนข้างกายยิ้ม ๆ เห็นเขาลอบกำหมัดก็รู้ได้ทันทีว่าคำว่า "เจ้าพี่" คงทำเอาอีกฝ่ายขนลุก

          "สตรีอื่นจะงดงามกว่าเจ้าได้อย่างไรในเมื่อใจข้ามีแต่เจ้า" อีกฝ่ายกล่าวตอบอย่างไม่ยอมแพ้  ฟ้ามุ่ยทำสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่ยังไม่ทันได้กล่าวคำใดออกมาองค์ชายอัครเรศก็รีบช่วยเหลือองค์ชายผู้พี่ทันที

          "พระชายาโปรดวางใจ  แม้หม่อมฉันอยู่ในสมณะเพศมาตั้งแต่เด็กแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เห็นโลกภายนอก แต่ตั้งแต่เล็กจนโตหม่อมฉันไม่เคยเห็นเสด็จพี่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีใดมาก่อน ท่านเป็นสตรีคนแรกและคนเดียวของเสด็จพี่"

          "ยังมีเจ้านางบัวบุศย์อีกคนเพคะ" ฟ้ามุ่ยว่า องค์ชายน้อยหันไปสบตาพระเชษฐาอย่างจนปัญญา สีหน้าจืดเจื่อนลงเล็กน้อย

          "ข้ามิเคยรู้จักใกล้ชิดกับนางมาก่อน..." เขาว่าไปตามน้ำแล้วก้มลงประสานสายตากับสตรีตรงหน้า

          "หึงข้ารึ..."

          ฟ้ามุ่ยไม่อาจทนประสานสายตากับเขาไม่ได้นาน รีบหลุบนัยน์ตามองพื้นขบเม้มริมฝีปาก กลั้นขำสุดชีวิต แต่ในสายตาขององค์ชายอัครเรศนั้น สถานการณ์ของพระเชษฐาคงถึงขั้นวิกฤตแล้ว เขารีบพาบทสนทนาไปเรื่องอื่นทันที

          "ว่าแต่เสด็จพี่กับพระชายาจะทรงเสด็จไปที่ใดกันหรือพ่ะย่ะค่ะ" 

          "ข้ากับพระชายาจะออกไปที่ค่ายฝึกนอกเมืองเสียหน่อย ไปด้วยกันหรือไม่"  

          องค์ชายอัครเรศยิ้มน้อย ๆ ดวงตาละห้อยอ่อนแสงลง  

          "หม่อมฉันไม่เคยร่ำเรียนการต่อสู้ ไม่รู้เรื่องการทหาร เกรงว่าถึงตามเสด็จไปก็เป็นภาระพวกท่านเสียเปล่า"

          เมื่อเห็นน้องชายมีท่าทางเช่นนั้น คนฟังก็แววตาอ่อนโยนลง  

          "จะเป็นภาระได้อย่างไร หากเจ้าอยากไปก็ตามพี่ไปด้วยกันเถิด"

          องค์ชายอัครเรศยิ้มแห้ง  "หม่อมฉันต้องเอาตำราไปคืนที่หอตำรา  ท่านพี่เสด็จไปกับพระชายาเถิด ไว้คราวหน้าหม่อมฉันค่อยตามเสด็จ"

          "ทรงอ่านตำราใดอยู่หรือเพคะ ขอหม่อมฉันดูได้หรือไม่" ฟ้ามุ่ยมองตำราในอ้อมแขนขององค์ชายอัครเรศอย่างสนใจใคร่รู้ ก่อนจะหยิบ สมุดข่อยเล่มบนสุดขึ้นมาพลิกดูโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต  

          "ตำราว่าด้วยเรื่อง จกอบ และท้องพระคลัง... หัวใจกษัตริย์...  หน้ากากราชา... เวียง วัง คลัง นา..." หยิบขึ้นมาแต่ละเล่มฟ้ามุ่ยก็อ่านชื่อตำราไปด้วย "...นึกไม่ถึงว่าทรงสนใจเรื่องเหล่านี้ด้วย"

          "หม่อมฉันออกบวชแต่เด็ก บัดนี้กลับเข้าสู่ทางโลกแล้ว หากไม่ศึกษาเรื่องเหล่านี้เอาไว้บ้าง เกรงว่าตัวเองจะไร้ประโยชน์ ไม่สามารถช่วยเหลือราชกิจอันใดเสด็จพี่ได้" องค์ชายอัครเรศตอบเสียงแผ่ว 

          องค์ชายผู้พี่ได้ยินเช่นนั้นตบบ่าน้องชายเบา ๆ

          เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว"

          "ไว้หม่อมฉันว่างเมื่อใด คงต้องขอไปเยี่ยมชมหอตำราดูบ้างแล้วเพคะ  คงจะมีตำราน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว"

          ฟ้ามุ่ยกล่าวยิ้ม ๆ วางตำราสองสามเล่มคืนใส่อ้อมแขนให้องค์ชาย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันกลับไปกล่าวคนข้างกายด้วยน้ำเสียอ่อนโยน

          "เจ้าพี่ให้องครักษ์สักสองสามนายช่วยองค์ชายนำหนังสือไปที่หอตำราเถิดเพคะ มากมายเพียงนี้จะขนไปเพียงลำพังได้อย่างไร"

          มิ่งเมืองเห็นด้วย หันไปพยักหน้าให้ขุนณรงค์ องครักษ์สองนายจึงรีบเข้ามาช่วยทันที

          "หม่อมฉันมิได้ลำบากอะไรเลยพระชายา" องค์ชายอัครเรศปฏิเสธอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่เมื่อตำราหลายสิบเล่มถูกนำออกไปจากอ้อมแขนเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

          "ขอบพระทัยเสด็จพี่ ขอบพระทัยพระชายา  เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน"

องค์ชายทั้งสองยิ้มให้กัน ฟ้ามุ่ยค้อมศีรษะอย่างไว้กิริยา  องค์ชายอัครเรศและองครักษ์สองสามนายจึงแยกตัวไปทางหอตำรา

          "อย่าไล่หมาให้จนตรอก  อย่าต้อนคนให้จนมุม  ใช่หรือไม่..."  มิ่งเมืองกล่าวอย่างรู้ทัน เมื่อองค์ชายน้อยออกไปพ้นจากรัศมีการได้ยินแล้ว 

          ฟ้ามุ่ยพยักหน้ายิ้ม ๆ ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทางสายตากันอยู่ครู่หนึ่งก็ออกเดินไปยังคอกม้า โดยมีขุนณรงค์ตามไปอารักขาด้วย