ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่ โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่

          อาชาสีดำสนิทพ่วงพีวิ่งออกจากประตูเมืองอย่างไม่เร่งรีบนัก หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกัน โดยที่ผู้เป็นบุรุษนั่งประกบอยู่ด้านหลังสองมือกำบังเหียนมั่นกระชับ ทำให้ร่างกายคนทั้งสองแนบชิดกันเสียจนขัดเขิน แต่เพื่อให้ผู้พบเห็นเชื่อย่างสนิทใจว่าองค์รัชทายาทและพระชายามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแนบแน่น ต่างฝ่ายจึงต่างเล่นไปตามน้ำโดยไม่ปริปากบ่นอะไร

          เวียงชัยกฤษณะมีค่ายทหารใหญ่แปดค่ายตั้งอยู่ตามทิศต่าง ๆ รอบเมืองหลวง โดยมีจุดศูนย์กลางคือค่ายหลวงใกล้พระนคร แต่ละค่ายมีแม่ทัพนายกองควบคุมดูแล แม่ทัพเหล่านั้นล้วนขึ้นตรงต่อขุนวรเดช แม่ทัพใหญ่ที่ประจำ ณ ค่ายฝึกหลวง แลขุนวรเดชขึ้นตรงต่อองค์รัชทายาทองค์ก่อน เมื่อสิ้นองค์รัชทายาท กองทัพเริ่มระส่ำระสาย องค์ชายจักรินทร์นฤเบศร์ผู้เป็นพระอนุชา พยายามรวบรวมกองทัพให้เป็นปึกแผ่นเข้มแข็งอีกครั้งได้สำเร็จ ทว่าในสายตาของเขากองทัพของเวียงชัยกฤษณะเหมือนกองทัพไม้ไผ่ ข้างนอกแข็ง แต่ข้างในกลวง

          ขุนวรเดช แม่ทัพใหญ่ประจำค่ายฝึกหลวง ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อว่าที่องค์รัชทายาทเสด็จค่ายทหารโดยปราศจากองครักษ์และผู้ติดตาม ซ้ำยังพาสตรีสง่างามผู้หนึ่งมาด้วย นางลงจากหลังม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ถืออาวุธประจำกายเดินฉับ ๆ ราวกับนายทหารหนุ่ม  เขาถวายบังคมทั้งสองพระองค์แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสตรีผู้นี้เป็นใคร แต่เมื่อสามารถเคียงคู่มากับองค์รัชทายาทบนหลังม้าได้ ตัวตนของนางย่อมมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

          "ข้ากับพระชายาอยากมาดูพวกเจ้าฝึกเสียหน่อย ให้พวกเขาฝึกไปตามปกติวิสัยที่เคยทำ ส่วนเจ้าพาข้าเดินไปดูรอบ ๆ อย่าให้เอิกเกริก"

          ที่แท้ข่าวลือที่ว่าองค์ชายจักรินทร์จะขึ้นเป็นองค์รัชทายาท และจะอภิเษกสมรสเร็ว ๆ นี้คงจะเป็นเรื่องจริง และสตรีผู้นี้เองคือว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท

          "เป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่งนักที่ได้พบพระชายา กระหม่อมจะพาทั้งสองพระองค์เดินดูค่ายเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ"

          คำว่า อย่าให้เอิกเกริกขององค์ชายจักรินทร์นั้น ในความเป็นจริงแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยร่างสูงโปร่ง สง่างามราวรูปสลักขององค์รัชทายาทนั้นเดิมทีก็เป็นจุดสนใจมากพออยู่แล้ว ยิ่งผู้ที่เดินเคียงคู่มาเป็นสตรีสวยสง่าที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนยิ่งทำให้เป็นที่สนใจของเหล่าทหารยิ่งนัก

          ขุนวรเดชพาพวกเขาเดินดูรอบ ๆ ค่ายฝึกอย่างไม่รีบร้อน พระชายาดูสนอกสนใจการฝึกเป็นอย่างมากผิดวิสัยสตรี ส่วนองค์รัชทายาทเอามือไขว้หลังตามเดินตามไม่ห่าง

          "รูปแบบการฝึกเป็นเช่นเดียวกันทั้งแปดค่ายเลยหรือ" ฟ้ามุ่ยถามขุนวรเดชเมื่อเดินดูจนทั่วค่ายแล้ว

          "เป็นเช่นเดียวกันทุกค่ายพ่ะย่ะค่ะ รูปแบบการฝึกสืบทอดกันในหมู่แม่ทัพระดับสูงมารุ่นต่อรุ่นปัจจุบันก็ยังคงรักษารูปแบบเดิมไว้มิเคยเปลี่ยน" แม่ทัพกล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจลึก ๆ

          "เจ้าคิดเช่นไร" องค์รัชทายาทถาม แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

          "มีแต่พละกำลัง ไม่มีพื้นฐาน ไม่เป็นกระบวน ฝึกรุกดุดันเป็นหลัก ตั้งรับกลับฝึกน้อยมาก แข็งนอกในกลวง..."

          ...ราวกับไม้ไผ่ เขาต่อคำให้ในใจ ลอบยิ้มเมื่ออีกฝ่ายเห็นตรงกันในเรื่องนี้

          "พอจะแก้ไขได้หรือไม่..."

          "ทุกอย่างย่อมแก้ไขได้" ฟ้ามุ่ยกล่าวยิ้ม ๆ "แต่ต้องให้พวกเขายอมรับข้าเป็นอาจารย์ให้ได้ก่อน"

          หากเป็นเรื่องฝีมือบัดนี้เขาในวัยหนุ่มคงสู้กับนางได้อย่างสูสี แต่ถ้าเป็นเรื่องสอนคนให้เก่งเขาคงต้องยอมรับว่าแพ้นางหมดรูป

          "ขุนวรเดช ท่านหาทหารฝีมือเก่ง ๆ มาสักสิบนาย เอาระดับหัวหมู่นายกองยิ่งดี ยิ่งเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในตัวเอง หรือมีคนเคารพนับถือด้วยก็ยิ่งดี อ้อ... เอาตัวท่านด้วยอีกคนหนึ่ง"

          ขุนวรเดชมีสีหน้างุนงง "จะให้พวกเขารับใช้อันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"

          "ให้พวกเขาสู้กับข้า" นางตอบเรียบ ๆ หยิบกำไลสีเงินออกมาจากห่อผ้าแล้วสวมไว้ที่ข้อมือสองข้าง

          ขุนวรเดชมีสีหน้างุนงงปนลำบากใจหันไปทางองค์ราชทายาทอย่างขอความช่วยเหลือแต่อีกฝ่ายเพียงแค่พูดว่า

          "ทำตามที่พระชายาสั่ง"

          เมื่อเป็นเช่นนี้ขุนวรเดชก็เดชก็จำต้องทำตามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

          ไม่นานนักกลางลานฝึกร้อนระอุก็ปรากฏร่างชายฉกรรจ์รสูงใหญ่สมชายชาติทหารที่ต่างถูกคัดเลือกมาแล้วว่ามีฝีมือ และได้รับความไว้วางใจจากทหารคนอื่น ๆ

          ฟ้ามุ่ยดูท่าดูทางพวกเขาแล้วก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ มือซ้ายหยิบดาบคู่กายแล้วก้าวฉับ ๆ ไปกลางลาน

          นักรบแต่ละนายต่างมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นว่าต้องสู้กับสตรีรูปร่างผอมบาง แถมมีตำแหน่งพระชายาพ่วงท้ายมาเสียด้วย เคราะห์หามยามร้ายขืนพลั้งมือทำอะไรลงไปพวกเขาจะไม่หัวหลุดจากบ่ากันหรอกหรือ ในขณะที่คิดว่าจะสู้กับนางอย่างไรดีนั้นพลันน้ำเสียงเย็นชาของสตรีตรงหน้าก็ดังขึ้น

          "ผู้ใดแกล้งออมมือ ให้ประหารทิ้งให้หมด"

          เหล่าทหารหน้าขึ้นสี ความกลัวตายกลับกลายเป็นความโกรธ รู้สึกราวกับกำลังโดนดูถูกเหยียดหยามก็ไม่ปาน หลายคนกำอาวุธของตนเองแน่นคล้ายอยากจะฟาดฟันเต็มที

          สตรีผู้นี้รนหาที่ตายแท้ ๆ

          "ระวังตัวด้วย อย่าให้บาดเจ็บ" องค์ชายจักรินทร์ก้มลงกระซิบข้างหูผู้เป็นชายาก่อนจะเดินออกไปจากลานกว้าง

          คนฟังหัวเราะหึๆ ในลำคอ

          "ได้ ข้าจะระวังไม่ให้พวกเขาบาดเจ็บ..."



          ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป นักรบทั้งสิบคนออกจากลานกว้างไปแล้ว ล้วนพ่ายแพ้อย่างหมดรูป แม้ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาแน่ใจคือ พวกเขาล้วนได้เปรียบทางด้านพละกำลัง และเป็นฝ่ายรุกอย่างรุนแรงอยู่ฝ่ายเดียวตลอดการต่อสู้ นางยืนปักหลักตั้งรับโดยมิได้ขยับตัวถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว กระบวนท่าตั้งรับแน่นหนาราวกับฟันใส่เหล็ก หลายครั้งเข้าข้อมือคนฟันก็เจ็บแปลบเสียเอง แต่แล้วทันทีที่นางก้าวถอยหลัง เพลงดาบที่ตั้งรับมาตลอดกลับเปลี่ยนเป็นรุก ตวัดอาวุธของคู่ต่อสู้ให้หลุดจากมือได้ในดาบเดียว

          เมื่อเป็นเช่นนี้ขุนณรงค์ก็หมดทางเลือก จำใจหยิบดาบใหญ่คู่กายเดินเข้าไปในลานกว้าง 

          "ล่วงเกินพระชายาแล้ว..." เขากล่าว เหล่าทหารที่มุงดูอยู่รอบลานกว้างต่างนิ่งงันราวกับหยุดหายใจ

          ดาบใหญ่เคลื่อนไหวรวดเร็ว ฟาดฟันลงมาแต่ละครั้งหนักหน่วง ทำเอาคนที่ไม่ยอมขยับขาต้องยอมถอยเพื่อตั้งรับจนได้ เหล่าทหารปรบมือลั่นอย่างมีขวัญกำลังใจขึ้นมาบ้าง สู้กันราวห้าหกกระบวนท่า ฟ้ามุ่ยก็ต้องใช้มืออีกข้างช่วยกุมดาบเพื่อตั้งรับ เจ้าตัวเผลอยิ้มออกมาอย่างพอใจ เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนใจดีแบบที่สงวนเอาไว้ใช้กับศิษย์ตัวน้อย ๆ ที่สำนักเท่านั้น

          "ดีมาก.. ฝีมือดียิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะใช้มือขวาแล้วนะ ขุนวรเดช"

          คนฟังตากระตุก ใจหล่นวูบ

          ตั้งแต่เมื่อใดกัน... ตั้งแต่แรกเลยหรือ...

          เพราะนางใช้ดาบอย่างคล่องแคล่วและต่อสู้อย่างดุเดือดทำให้ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเลยว่า สตรีผู้นี้ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดต่อสู้แต่แรก...

          วินาทีนั้นตัวตนของนางในความรู้สึกเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นจนเขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นเด็กตัวน้อย ที่ต่อสู้อย่างสุดกำลังในขณะที่ผู้ใหญ่เพียงแค่เล่นกับเขาด้วยมือซ้ายเท่านั้น ยิ่งทหารสิบนายนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

          "ท่านอยากลองเป็นฝ่ายตั้งรับดูหรือไม่" น้ำเสียงของนางอ่อนโยนราวกับพี่สาวกำลังสอนน้องชายเขียนรูปก็ไม่ปาน ว่าแล้วเพลงดาบรุกที่เร็วและรุนแรงก็กระหน่ำใส่เขาจนแทบต้านไม่อยู่ เมื่อได้ใช้มือขวาที่ถนัดความเร็วก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ทั้งเร็วและหนักหน่วง....

          "พระชายา!!" ขุณวรเดชร้องลั่น เมื่อตั้งรับจนเข่าทรุด คนถูกเรียกมิได้ปรานี ตั้งใจจะฟาดซ้ำลงไปอีกสักสองสามกระบวนท่า

          เคร้ง!!

          เสี้ยววินาทีดาบยาวสีขาวขององค์รัชทายาก็พุ่งเข้าขวางไว้อย่างทันท่วงที

          "อย่าต้อนคนให้จนมุม" เขากล่าวกับชายาเรียบ ๆ

          "ข้าก็ยั้งมือให้เขาอยู่แล้ว ท่านไม่ควรมาขวางเช่นนี้ ข้ารู้ตัวดีว่าทำอะไรอยู่"

          ฟ้ามุ่ยมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมลดดาบลง ในใจอดคิดไม่ได้ว่าน่าจะฟาดดาบใส่หน้าคนตรงหน้าเสียสักยกสองยกเพื่อระบายอารมณ์

          อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ทันรีบสาวเท้าเข้ามาประชิด แล้วกระซิบข้างหู "ถ้าอยากตีข้าก็ค่อยกลับไปตีที่ตำหนัก"

          หากไม่เกรงใจตำแหน่งว่าที่องค์ชายรัชทายาทฟ้ามุ่ยคงจะศอกใส่เสียให้แรง ๆ แล้ว  แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางทหารหลายร้อยนาย จึงทำได้เพียงถอดกำไลสีเงินจากข้อมือข้างหนึ่งเสือกใส่มือเขาแรง ๆ เป็นการระบายอารมณ์แทน

          "ทรงให้ช่างตีเหล็ก ตีกำไลเช่นนี้ขึ้นมาได้หรือไม่เพคะ"

          องค์ชายจักรินทร์รับกำไลมาดู พลิกไปมาซ้ายขวา ขยับขึ้นลงดูน้ำหนัก แล้วพยักหน้ารับ

          "หากเป็นเหล็ก ก็มิน่าจะยากเย็นนัก"

          "กำไลอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"

          ขุนวรเดชที่บัดนี้ลุกขึ้นได้แล้ว  ถามแทรกขึ้นมาอย่างลืมตัว จับต้นชนปลายไม่ถูก เหตุใดต้องเป็นกำไล แล้วเหตุใดเป็นเหล็ก พระชายามิได้สวมกำไลเงิน หรือนาคหรอกหรือ ฟ้ามุ่ยถอดกำไลอีกข้างยื่นให้เขา

          "เอ๊ะ!"

          ขุนวรเดชแทบทำกำไลร่วงจากมือ เพราะน้ำหนักของมันหนักเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ สีหน้าของเขาตื่นตะลึงเมื่อได้ฟังคำอธิบายจากปากสตรีตรงหน้า

          "ข้างละหนึ่งชั่ง ให้พวกเขาใส่ข้อมือข้อเท้า ใส่ฝึกเสียให้ชิน จักได้มีกำลังแขนขา เมื่อแขนขาแข็งแรง รุกก็หนักหน่วง รับก็ทนไม้ทนมือขึ้น"

          ขุนวรเดชเข้าใจถึงวิธีการของพระชายาอย่างแจ่มแจ้ง รวมถึงเข้าใจผลลัพธ์ของมันด้วยว่า หากผู้ที่สวมใส่กำไลนี้ฝึกเสียจนชิน ต่อสู้จริงโดยปราศจากกำไล ความเร็วและพละกำลังจะเพิ่มขึ้นมากมายเพียงใด

          แต่ในทางกลับกัน สตรีผู้นี้สวมกำไลหนักข้างละ หนึ่งชั่งเอาไว้ ทั้งใช้ยังมือซ้ายสู้กับพวกเขา ย่อมหมายถึงจงใจออมมือให้แล้วหลายส่วน คิดมาถึงตรงนี้ขุนวรเดชก็ขนลุกขึ้นมาทันที ไม่อยากจะคิดเลยว่า หากพระชายาทรงเอาจริงขึ้นมาพวกเขาจะมีสภาพเช่นไร...

          "ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ข้าจะมาฝึกให้พวกเจ้าด้วยตัวเอง หลายอย่างที่พวกเจ้าฝึกอยู่เดิมนั้นดีแล้ว แต่ก็มีหลายอย่างที่ข้าจะปรับเปลี่ยน พวกเจ้าต้องอดทนทำตามอย่างเคร่งครัด หากพวกเจ้ามีวินัย ไม่เกินสามเดือนก็จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเอง
          ส่วนอีกเจ็ดค่ายรอบพระนคร ให้คัดเลือกทหารระดับแม่ทัพนายกอง และระดับครูฝึกมาค่ายละยี่สิบนาย ให้เขาเรียนรู้อยู่ที่นี่เจ็ดวัน จากนั้นนำวิธีการฝึกกลับไปฝึกทหารที่ค่ายตัวเองสิบห้าวัน กลับมาที่นี่อีกเจ็ดวัน แล้วกลับไปที่ค่ายตัวเองสิบห้าวัน ทำเช่นนี้จนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด"

          "รับด้วยเกล้า พ่ะย่ะค่ะ" ขุนวรเดชรับคำแข็งขัน ลืมตัวไปชั่วขณะว่า ผู้ที่กำลังออกคำสั่งเฉียบขาดอยู่ตรงหน้าคือสตรีผู้หนึ่งที่ยังไม่มีแม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ

          หลังจากนั้นพระชายาก็สั่งความอะไรต่อมิอะไรอีกยาวเหยียด เพื่อให้ขุนวรเดชและเหล่าทหารเตรียมการสำหรับการฝึกที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่วันนี้ องค์ชายรัชทายาทดูเหมือนจะให้ท้ายพระชายาอย่างมาก นอกจากเอ่ยถามขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว ก็มิได้ขัดอันใดเลย อยากได้สิ่งใด อยากทำสิ่งใด ล้วนเป็นไปตามพระประสงค์ของพระชายาทั้งสิ้น

          จวนค่ำเต็มทีแล้ว ว่าที่องค์รัชทายาทและว่าที่พระชายาจึงเสด็จกลับไปที่สุด ขุนวรเดชเหม่อมองดูร่างทั้งสองพระองค์นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยกัน ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไป แล้วรู้สึกขยุกขยิกหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มองเผิน ๆ ดูไม่ออกเลยว่า สตรีบนหลังม้าที่กำลังนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษผู้เป็นที่รักผู้นี้ แท้จริงแล้วแข็งแกร่งจนเขาเทียบไม่ติด นอกจากจะรู้สึกขายหน้าอยู่หน่อยๆ แล้ว ขุนวรเดชก็อดรู้สึกประทับใจไม่ได้จริงๆ




          "เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" องค์ชายจักรินทร์เอ่ยถามแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้

"มิได้บาดเจ็บอันใด ยังสู้กับเจ้าได้อีกหลายยก" ฟ้ามุ่ยว่า ทำเอาคนฟังบังคับม้าให้ชะลอความเร็วลง

          "สู้อันใด" เขาว่า

          "ก็เจ้าบอกเองว่าหากอยากจะตีเจ้าก็ให้กลับไปตีที่ตำหนัก เช่นนั้นข้าก็จะตีเจ้าสักยกสองยกอย่างไรเล่า ไม่ได้พบกันหลายปี บัดนี้ข้าสู้แรงเจ้าไม่ไหวเสียแล้วกระมัง"

          องค์ชายจักรินทร์หัวเราะในลำคอแล้วบังคับม้าให้เปลี่ยนมาเป็นวิ่งเหยาะ ๆ อย่างไม่เร่งรีบ กลิ่นหอมจาง ๆ จากปิ่นไม้กฤษณาฟุ้งกำจายอยู่ที่ปลายจมูก

          " อย่างข้าหรือจะกล้าสู้กับเจ้า" เขากล่าวยิ้มๆ

          " ทำไมจะไม่กล้า เมื่อก่อนเจ้าท้าสู้กับข้าอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน เพียงข้าได้ยินเสียงเจ้าก็อยากจะวิ่งหนีแล้ว"

          พอนึกถึงภาพองค์ชายหนุ่มน้อยวัยสิบสามสิบสี่ที่วิ่งตามนางไปทุกหนทุกแห่งแล้วฟ้ามุ่ยก็หัวเราะเบา ๆ กล่าวสิ่งที่สงสัยออกมาตรง ๆ 

          "ตอนนั้นเรายังเด็ก ข้าจึงแค่รู้สึกรำคาญ แต่พอโตขึ้นข้าก็ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าเจ้าแกล้งแพ้ใช่หรือไม่  คนอะไรรู้ว่าจะแพ้ ก็ท้าสู้อยู่ได้ทุกวัน"

          "ข้าจะทำเช่นนั้นไปเพื่อประโยชน์อันใดเล่า"

          เขาตอบกลั้วหัวเราะ ทว่ามือที่จับบังเหียนกลับกำแน่น  ฟ้ามุ่ยหัวเราะหึ ๆ ในลำคอเช่นกัน แต่ไม่ได้คาดคั้นอะไรอีก 

          "ได้พบองค์ชายอัครเรศแล้ว เจ้าว่าเขาเป็นเช่นไรบ้าง"

          "ยังไม่รู้แน่ชัด อาจจะเป็นน้องชายที่แสนดี อยากเป็นกำลังให้เจ้าโดยที่ตัวเขาไม่ได้ฝักใฝ่อำนาจ หรือเป็นอะไรอย่างอื่นก็ต้องจับตากันดูต่อไป เมื่อกลับไปแล้วข้าจะคุยทหารอารักขาที่ไปส่งเขาที่หอตำราเสียหน่อย"

          "ที่แท้ก็เป็นแผนของเจ้า จึงให้ทหารอารักขาไปส่งเขาที่หอตำรา"

          ร่างบางไหวไหล่ ยกมือขึ้นสัมผัสอกซ้ายตัวเองเบา ๆ คงตั้งใจสัมผัสรอยแผลเป็นที่อยู่ใต้ร่มผ้า รอยแผลฉกาจฉกรรจ์ที่เขาเคยเห็นมากับตาตั้งแต่ยังเป็นแผลสดเลือดโชกเลือด บัดนี้ไม่รู้ว่ารอยแผลนั้นจะจางลงแล้วหรือยัง

          "มิใช่แผนการอันใดหรอก เมื่อเขาเป็นน้องชายเจ้า เราก็ควรดีกับเขาหน่อย เจ้าก็เห็นมากับตาแล้วว่าต่อให้พี่น้องรักกันมากเพียงไร หากพลั้งเผลอละเลยแม้เรื่องเพียงเล็กน้อย อาจเป็นเหตุนำไปสู่การแก่งแย่งอำนาจในภายหลังได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเจอเรื่องเช่นเดียวข้า..."

          ความขมขื่นในน้ำเสียงของนางทำให้เขาอดไม่ได้ ต้องผละมือข้างหนึ่งจากบังเหียน แล้วโอบรัดร่างบางเข้าหาตัวจนแผ่นหลังของนางแนบชิดกับอกแกร่ง

          ฟ้ามุ่ยรู้ดีว่าการกระทำของอีกฝ่ายไม่ใช่การจงใจล่วงเกินหรือเป็นไปในเชิงชู้สาวแต่อย่างใด จึงมิได้ต่อต้านขัดขืน กลับเอนกายพิงแผ่นอกอีกฝ่าย  หลับตาลงแล้วปล่อยให้ความทรงจำเก่า ๆ แล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง...