ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 14 ความกังวลของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 15 เช่นนี้เรียกว่าหึงหวง (NC),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 16 ข่าวร้าย

เนื้อหา

ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา

          เป็นที่เล่าลือในหมู่ข้าราชบริพาร และเหล่าขุนนางว่า องค์ชายจักรินทร์ ว่าที่องค์รัชทายาทแห่งเวียงชัยกฤษณะนั้นหลงใหลเจ้านางฟ้ามุ่ยว่าที่พระชายาเอกเป็นอย่างมาก แม้ยามเช้าจะมีราชกิจหนักหน่วงสักเพียงใด ยามบ่ายก็ต้องเสด็จไปค่ายฝึกทหารกับพระชายาทุกวันมิได้ขาด เคียงคู่กันบนหลังม้า กลับถึงตำหนักจวนมืดค่ำเสียทุกวัน เมื่อกลับมาแล้วก็ประทับอยู่ที่ตำหนักริมน้ำอีกครู่ใหญ่  กว่าจะกลับตำหนักของตนก็ดึกดื่น

          ว่ากันว่าจนล่วงเข้าวันที่เจ็ดแล้วนับตั้งแต่กลับเข้าเมืองมา องค์ชายจักรินทร์ยังมิเคยมีโอกาสได้เฉียดกรายไปพบหน้าเจ้านางบัวบุศย์ว่าที่ชายาอีกพระองค์เลยด้วยซ้ำ

          เจ้าจักรทิพย์นฤบดินทร์ เจ้าเหนือหัวแห่งเวียงชัยกฤษณะ ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เบื้องหน้าของพระองค์คือ พระราชโอรสองค์สำคัญที่ยืนสงบนิ่ง  เคร่งขรึมไม่แพ้บิดา

          "ข้าได้ยินว่า เจ้ากับชายาเสด็จไปค่ายทหารทุกวันมิได้ขาด ได้เรื่องอย่างไรบ้างเล่า"

          "เวลานี้หม่อมฉันได้ให้ทหารปรับเปลี่ยนวิธีการฝึกเสียใหม่ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องจากการฝึกแบบเดิม เน้นสร้างความแข็งแกร่งของกำลังพล และความหลากหลายของยุทโธปกรณ์ ทั้งยังวางแผนจัดทัพใหม่เพื่อให้เหมาะกับกำลังพลและภูมิประเทศของเวียงเวหาส ซึ่งเป็นพื้นที่สูง กำลังรบล้วนเชี่ยวชาญการใช้ธนูเป็นพิเศษ ชายาของหม่อมฉันจึงให้ทหารราบฝึกใช้โล่ ให้เพิ่มจำนวนทหารม้า และพลธนู รวมถึงให้ฝึกใช้ธนูไฟพ่ะย่ะค่ะ"

          "ทำได้ดี..." เจ้าเหนือหัวพยักหน้าเชื่องช้า "เช่นนี้เหล่าขุนนางและประชาชนคงวางใจได้เสียที ชายาเจ้าผู้นี้สมเป็นลูกสาวท่านราชครู เห็นทีข้าคงต้องหาเวลาสนทนากับนางให้เป็นจริงเป็นจังสักครั้ง"

          "ขอบพระทัยเสด็จพ่อ"

          "...เพียงแต่มีเรื่องที่ข้าคงต้องขอตำหนิพวกเจ้า หลายวันมานี้ขุนณรงค์ปรารภกับข้าว่า พวกเจ้าไม่ยอมให้เขาตามไปอารักขาที่ค่ายทหาร ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก รู้หรือไม่ว่าหากพวกเจ้าเป็นอะไรไป เวียงชัยกฤษณะจักต้องวุ่นวายอีกเพียงใด"

          "ขออภัยเสด็จพ่อ ลูกหละหลวมแล้ว ต่อไปจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ"

          เจ้าจักรทิพย์มองบุตรชายคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็พลันใจอ่อน กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

          "เช่นนั้นต่อไปก็ให้ขุนณรงค์ตามไปอารักขาด้วยทุกครั้ง และอย่าได้หักโหมจนเกินไป อย่าลืมว่าอีกไม่ถึงเดือนพวกเจ้าจะต้องเข้าพิธีสำคัญ จะให้มีอะไรผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด"

          "ลูกจะจำไว้ พ่ะย่ะค่ะ"



          นางลำเจียกขัดถูเนื้อตัวเจ้านายของตนอย่างเบามือด้วยผงสมุนไพรบดละเอียดหอมกรุ่น ร่างที่นอนแช่อยู่ในอ่างศิลาหลับตาพริ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มสีกุหลาบเผยอขึ้นเล็กน้อย งดงามราวกับภาพวาด

          "หมู่นี้ทรงเสด็จค่ายทหารทุกวัน ผิวชักจะไหม้แดดเสียแล้ว..." นางลำเจียกเปรยเสียงอ่อย ๆ พยายามประโคมสมุนไพรลงไปอีก

          "ไหม้ก็ช่างปะไร มิได้มีผู้ใดเห็นใต้ร่มผ้าเสียหน่อย" ฟ้ามุ่ยพึมพำ ยังคงหลับตาไม่รู้ร้อนรู้หนาว

          "องค์ชายจักรินทร์อย่างไรเล่าเพคะ ใกล้ถึงวันอภิเษกแล้ว เจ้านางต้องดูแลตัวเองให้มาก"

          คนฟังหัวเราะเบา ๆ

          "เขาไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก จะโชกเลือด ชุ่มเหงื่อ หรือเปื้อนดินเปื้อนโคลน ก็ล้วนเคยเห็นกันมาแล้วทั้งสิ้น หากนึกรังเกียจคงไม่คิดจะแต่งตั้งข้าเป็นชายา"

          ที่เล่าไปล้วนเป็นความจริง พวกเขาเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ เป็นสหายสนิทที่ยามเล่าเรียน ยามฝึกฝนก็ล้วนผ่านมาด้วยกัน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในสภาพใดก็ไม่นึกรังเกียจ มีแต่จะนึกขบขันกันเสียมากกว่า

          นางรับใช้ได้ฟังก็นิ่งไปครู่หนึ่งราวกับใช้ความคิด

          "จริงอย่างเจ้านางว่า องค์ชายคงรักเจ้านางมากจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น หม่อมฉันก็เห็นว่าเจ้านางควรพักผ่อนเสียบ้าง ทรงเป็นสตรี เหตุใดต้องปฏิบัติราชกิจของบุรุษ แต่ละวันกว่าจะกลับมาถึงตำหนักก็ค่ำมืดเสียแล้ว ขุนณรงค์ก็มิทรงให้ตามอารักขา หม่อมฉันเป็นห่วง...."

          เสียงนางลำเจียกเงียบหายไป พอฟ้ามุ่ยลืมตาก็เห็นนางมีท่าทีอึดอัดใจ

          "เหตุใดทำหน้าเช่นนั้นเล่า พูดต่อสิ"

          "หม่อมฉันเป็นแค่บ่าวมิบังอาจยุ่งราชกิจขององค์รัชทายาทและพระชายา แต่หม่อมฉันแค่อดเป็นห่วงไม่ได้เพคะ"

          คนฟังครุ่นคิดเงียบ ๆ ครูหนึ่งก็เปรยขึ้นช้า ๆ

          "เจ้าเคย ปรารภเรื่องนี้กับผู้อื่นหรือไม่ เรื่องขุนณรงค์ไม่ได้ตามเสด็จ หรือเรื่องความเป็นห่วงของเจ้า"

          นางลำเจียกมีสีหน้าตกใจ รีบคุกเข่ากดหน้าผากแนบพื้น

          " จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หม่อมฉันและคนในตำหนักไม่เคยเปิดปากพูดเรื่องส่วนพระองค์ กับคนอื่นเลยเพคะ แต่เรื่องขุนณรงค์ไม่ได้ตามเสด็จ ผู้ที่ใกล้ชิดกับขุนณรงค์ และทหารด้วยกันย่อมรู้เรื่องนี้เพราะไม่ได้ปิดเป็นความลับแต่แรก พระชายา.."

          ฟ้ามุ่ยโบกมือเป็นสัญญาณให้นางลำเจียกเลิกหมอบกราบ

          "ข้ามิได้กล่าวโทษเจ้า" ฟ้ามุ่ยรู้ดีว่าที่นางลำเจียกกล่าวเป็นความจริงทุกประการ เจ็ดวันมานี้นางลำเจียกถูกลองใจหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว อย่างแกล้งสนทนาถึงเรื่องถูกลอบสังหารให้นางได้ยิน แกล้งดับเทียนในห้องบรรทมให้นางเข้าใจว่าทั้งคู่ร่วมหลับนอนกันโดยที่ยังมิได้เข้าพิธีอภิเษก แต่เรื่องเหล่านี้กลับมิได้แพร่งพรายออกไป เรื่องที่เล่าลือกันในวังหลวง ล้วนเป็นเรื่องทั่วไปที่คนนอกต่างเห็นกันทุกคน มิใช่เรื่องลับเฉพาะที่รู้กันแค่คนในตำหนักแต่อย่างใด ฟ้ามุ่ยจึงมั่นใจว่าในเวลานี้คนในตำหนักริมน้ำยังคงไว้ใจได้กันทุกคน

          "แต่ข้าอยากให้เจ้าแพร่งพรายบางเรื่องออกไป เจ้าทำได้ไหม"

          "เจ้านาง..." ลำเจียกมีสีหน้าไม่เข้าใจ

          "เจ้ามีสหายอยู่ตำหนักอื่นบ้างหรือไม่"

          "ไม่ใช่สหายเพคะ เพียงแค่คนรู้จัก แต่ก็มีอยู่หลายตำหนักเพคะ"

          ฟ้ามุ่ยพยักหน้า

          "เลือกคนที่ปากสว่างหน่อย เอาที่เจ้ามั่นใจว่านางต้องเอาเรื่องไปพูดต่อแน่ ให้พูดออกไปว่าข้ากลับค่ำมืดทุกวัน กอดกันมาบนหลังมาอย่างหน้าไม่อาย องครักษ์ก็ไม่ยอมให้ตามเสด็จ ชวนให้สงสัยว่าคงแอบไปพลอดรักกันระหว่างทาง บอกด้วยว่าข้ากลับมาจากทิศประจิมซึ่งมิใช่ทางมาจากค่ายทหาร"

          นางลำเจียกคุกเข่าอีกหน สีหน้าคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

          "เจ้านาง... หม่อมฉันจะพูดถึงพระองค์เช่นนั้นได้อย่างไร หัวขาดแน่เพคะ"

          "พูดได้... เจ้าก็แกล้งทำเป็นว่าเจ้ากลุ้มใจนัก เป็นห่วงข้าเหลือทน แล้วก็ปะปนรายละเอียดที่ข้าต้องการไปกับคำพูดของเจ้าเสีย"

          ลำเจียกตัวสั่น ฟ้ามุ่ยเอาสมุนไพรป้ายหน้าของนางเบา ๆ

          "นี่แน่ะ ข้าให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ทำ ไม่ต้องกลัว ตราบใดที่ข้ายังอยู่ หัวบนบ่าเจ้าปลอดภัยแน่"

          คนฟังยังมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ฟ้ามุ่ยเชยคางของนางให้เงยหน้าขึ้น ใช้ดวงตาสีดำสนิททรงอำนาจจ้องลึกลงไปในแววตาสั่นระริกของคนตรงหน้า

          "ทำตามที่ข้าสั่ง เข้าใจหรือไม่"

          นางลำเจียกไม่มีทางเลือกได้แต่พึมพำตอบรับเบา ๆ



          เช้านี้ฟ้ามุ่ยให้นางลำเจียกแต่งกายให้อย่างประณีตเป็นพิเศษ ตั้งใจจะไปหอตำราเพื่อสืบดูความเคลื่อนไหวขององค์ชายอัครเรศ หลังจากวันที่พบเขาระหว่างทาง นางได้สอบถามเหล่าทหารอารักขาที่ช่วยนำตำราไปส่งให้ แต่กลับไม่ได้ใจความอะไรสลักสำคัญ นางจึงหมายใจเอาไว้ว่าจะต้องไปดูลาดเลาด้วยตาตัวเองสักครั้ง

          ยามเช้าผู้คนไม่พลุกพล่าน คงเพราะเหล่าข้าราชบริพารบางส่วนต้องออกว่าราชการ ฟ้ามุ่ยเกรงว่าการไปพบองค์ชายอัครเรศตามลำพังอาจทำให้เกิดข้อครหานินทาจึงให้นางลำเจียก และทหารองครักษ์สองสามนายมาติดตามมาด้วย

          หอตำราหลวง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขตพระราชฐาน โดยมีหออาลักษณ์ตั้งอยู่ใกล้กัน เป็นอาคารชั้นเดียวกว้างขวางและดูสะอาดสะอ้าน ภายในเก็บรักษาตำรา จดหมายเหตุ พงศาวดาร และวรรณคดีต่าง ๆ ไว้นับพันนับหมื่นเล่ม

          เมื่อเดินเข้าไปในหอตำรายังไม่ทันได้พบผู้ที่ตั้งใจมาหาก็ปะเข้ากับสตรีผู้หนึ่งซึ่งกำลังทำท่าว่าจะกลับ ดวงหน้าของสตรีผู้นั้นงดงาม นัยน์ตาหวานซึ้งราวกับตากวาง ผิวพรรณผุดผ่อง รับกับแก้มนวลและริมฝีปากโค้งหยักได้รูป ข้างกายนางมีหญิงรับใช้ติดตามสองคน เมื่อหญิงทั้งสองเห็นฟ้ามุ่ยดวงตาก็เขม็งเกร็งรีบกระซิบบอกเจ้านายตนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

          "เจ้านางฟ้ามุ่ยเพคะ"

          เมื่อได้ยินเช่นนั้น สตรีตรงหน้าก็ทำความเคารพ สายตาจับจ้องที่สร้อยมยุระอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

          "ที่แท้คือเจ้านางฟ้ามุ่ย หม่อมฉันคือบัวบุศย์เพคะ"

          ฟ้ามุ่ยเผยรอยยิ้มบาง

          "เป็นเกียรติที่ได้พบ เจ้านางบัวบุศย์งามสมคำร่ำลือ"

          "ผิดแล้วเพคะ เจ้านางฟ้ามุ่ยต่างหากที่งามสมคำร่ำลือ กิริยาท่าทางก็สง่าสูงศักดิ์ หากไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นบุตรีท่านราชครู คงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นองค์หญิงจากแคว้นใดสักแคว้นเสียแล้ว"

          ฟ้ามุ่ยเลิกคิ้ว
          
          "กิริยาท่าทางเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนเรียนรู้ได้ หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีสามัญชน คงมิบังอาจเป็นถึงองค์หญิงเพคะ"

          ดวงตาสวยหวานของเจ้านางบัวบุศย์ลดต่ำลงมองอ้อยอิ่งอยู่ที่สร้อยลายมยุระอีกหนก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

          "สตรีสามัญชน ผู้ที่องค์รัชทายาทรั้งตำแหน่งชายาเอกไว้ให้น่ะหรือเพคะ.."

          กล่าวแล้วดวงหน้าก็พลันตึงขึ้นเล็กน้อย

          ดูท่าสร้อยของเจ้านางสรวงสุรางค์คงแฝงนัยสำคัญบางอย่างอยู่ ฟ้ามุ่ยจำได้ว่าองค์ชายอัครเรศเองเมื่อเห็นสร้อยครั้งแรกก็จ้องไม่วางตา

          เสียงกุกกักขัดจังหวะขึ้น พร้อมกับการปรากฏกายขององค์ชายอัครเรศ องค์ชายหนุ่มหอบตำราเต็มอ้อมแขนเช่นเคย เมื่อเห็นสตรีทั้งสองกำลังสนทนากันก็เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ

          "เจ้านางฟ้ามุ่ย" เขาเอ่ยทัก ค้อมตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกล่าวกับเจ้านางบัวบุศย์ "ข้าคิดว่าท่านกลับไปแล้วเสียอีก"

          เจ้านางบัวบุศย์ยิ้มบางก่อนจะตอบ

"หม่อมฉันได้หนังสือที่ต้องการแล้ว กำลังจะกลับแต่บังเอิญได้พบเจ้านางฟ้ามุ่ยเสียก่อนจึงสนทนาปราศรัยกันเล็กน้อยเพคะ"

          ฟ้ามุ่ยยิ้มรับพลางกล่าวต่อ

          "เจ้านางบัวบุศย์อ่านหนังสือใดหรือเพคะ แนะนำหม่อมฉันบ้างได้หรือไม่"

          องค์ชายอัครเรศมองสองสตรีที่ยิ้มให้กันไปมาด้วยความงุนงง แม้สีหน้าแววตาจะยิ้มให้กัน น้ำเสียงที่เจรจาปราศรัยก็สุภาพอ่อนโยน ทว่าความอึดอัดบางอย่างกลับแผ่ซ่านอยู่รอบตัวสตรีทั้งสอง

          "หม่อมฉันเป็นสตรีความรู้น้อย อ่านเป็นแต่ค่าวโคลงนิยายประโลมโลก ไม่รู้ว่าเจ้านางฟ้ามุ่ยเคยอ่านหนังสือพวกนี้บ้างหรือไม่"

          "เคยอ่านเรื่องพระลอตามไก่เพคะ แต่ไม่ใคร่ชอบนัก หม่อมฉันไม่นิยมชายหลายเมีย มากเมียก็มากความ"

          ฟ้ามุ่ยกล่าวยิ้ม ๆ ทำเอาสมุดตำราหลายเล่มร่วงจากมือบุคคลที่สามอย่างองค์ชายอัครเรศ แต่เจ้านางบัวบุศย์ยังคงยิ้ม รักษาสีหน้าท่าทางได้เป็นอย่างดี

          "หม่อมฉันเองก็ไม่ชอบเพคะ" เจ้านางบัวบุศย์กล่าวอย่างไม่ยี่หระ ตำราที่ถูกเก็บขึ้นมาแล้วสองสามเล่มพลัดหลุดจากมือขององค์ชายอัครเรศอีกครั้ง "แต่บางครั้งโชคชะตาก็บังคับให้เราต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบ หม่อมฉันก็ได้แต่หวังว่าถึงวันนั้นพระชายาเอกจะทรงเมตตา หม่อมฉันสัญญาว่าจะไม่มากความเพคะ"

          ภายใต้น้ำเสียง อ่อนหวานละมุนละไมนั้น แฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้งยิ่งนัก

          หากเมตตา... ก็จะไม่มากความงั้นรึ....

          เจ้านางบัวบุศย์ผู้นี้นับว่าสติปัญญา และฝีปากเป็นเลิศ ไม่ใช่ผู้ที่จะรังแกได้โดยง่ายเสียแล้ว

          ยังไม่ทันที่ฟ้ามุ่ยจะได้ตอบคำนาง เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากทางด้านหลัง

          "เหลวไหล! เจ้านางบัวบุศย์อีกไม่นานเจ้าก็จะเป็นพระชายาเช่นกัน แม้เป็นชายารองแต่ชาติตระกูลก็สูงส่งมิได้น้อยหน้า ไม่จำเป็นต้องขอความเมตตาจากใคร"

          ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูหอตำราหลวงคือสตรีสูงวัยผู้มีใบหน้างดงาม แต่บึ้งตึงอยู่เป็นนิจ เจ้านางลักขณาวดี พระมเหสีของเจ้าเหนือหัวจักรทิพย์นั่นเอง

          "เจ้าอย่าคิดว่าองค์ชายจักรินทร์ทรงโปรด แล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้..."

          น้ำเสียงเย็นเยียบของพระมเหสีลักขณาวดีคล้ายเลือนหายไปในตอนท้ายประโยค เป็นสร้อยมยุระของเจ้านางสรวงสุรางค์อีกแล้วที่ดึงดูดสายตาของพระองค์ นัยน์ตาคู่นั้นพลันเบิกกว้าง คำพูดทั้งหลายทั้งปวงราวกลับถูกกลืนหายลงคอไป

          "พระมเหสีทรงเข้าใจผิดเสียแล้ว หม่อมฉันกับเจ้านางบัวบุศย์เพียงพูดกันถึงเรื่องนิยายประโลมโลก มิได้ถือเอาเป็นจริงเป็นจังเพคะ"

          ฟ้ามุ่ยกล่าวอย่างนอบน้อม ประดับรอยยิ้มซื่อบริสุทธิ์ไว้บนใบหน้า

          คำพูดนั้นทำเอาเจ้านางลักขณาวดีดึงสายตาและสติกลับมาจากสร้อยมยุระได้ในที่สุด นางส่งยิ้มเย็น พลางกล่าวช้า ๆ

          "หึ ไม่ถือเอาเป็นจริงอย่างนั้นหรือ... เจ้าจะบอกว่าสิ่งที่ข้าได้ยินนั้น เป็นเพราะข้าหูหนวกตาบอด สติฟั่นเฟือนไปเองรึ"

          "เสด็จป้า หลานกับเจ้านางฟ้ามุ่ยเพียงสนทนากันถึงเรื่องราวในนิยายเท่านั้นจริง ๆ เพคะ"

          คำตอบกลับมาจากเจ้านางบัวบุศย์ ฟ้ามุ่ยไม่แน่ใจว่านางทำเช่นนี้เพราะต้องการยื่นไมตรี หรือเพียงเพราะไม่อยากให้เรื่องราววุ่นวายใหญ่โตกันแน่ แต่ก็ไม่ได้มัวคิดให้เสียเวลา รีบแสดงสีหน้าเหมาะสมสอดคล้องกับคนพูดของอีกฝ่ายทันที ส่วนองค์ชายอัครเรศก็รีบยืนยันด้วยอีกคน

          "เสด็จแม่ เจ้านางทั้งสองเพียงแลกเปลี่ยนความเห็นจากการอ่านเท่านั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ"

          เจ้านางลักขณาวดีดูคล้ายจะไม่อยากยอมรับเท่าใดนัก แต่เมื่อเจ้านางบัวบุศย์ และพระโอรสของตนต่างยืนยันหนักแน่นถึงเพียงนั้น พระองค์จึงไม่อาจทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กต่อไปได้ จำต้องยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไม่เต็มใจนัก

          "แม่ไปหาเจ้าที่ตำหนักแต่ไม่พบ จึงคาดเดาว่าเจ้าคงอยู่ที่นี่ แต่นึกไม่ถึงว่าจะพบผู้อื่นที่นี่ด้วย"

          คำว่า "ผู้อื่น" บวกกับการปรายสายตาเพียงเล็กน้อย ทำให้ฟ้ามุ่ยเดาได้ไม่ยากว่าหมายถึงตนอย่างแน่นอน แต่ที่คาดไม่ถึง คือเจ้านางบัวบุศย์เองก็ถูกสายตานั้นเล่นงานด้วยเช่นกัน นางรีบก้มหน้าข่มน้ำเสียงให้นุ่มนวล

          "หม่อมฉันได้หนังสือที่ต้องการแล้ว คงต้องขอตัวก่อน" ว่าแล้วก็ทำความเคารพแล้วรีบหันหลังเดินออกจากประตูหอตำราไป

          ที่จริงฟ้ามุ่ยยังไม่ได้บรรลุจุดประสงค์แรกที่มายังหอตำรา กล่าวคือยังไม่ได้พูดจาปราศรัย ดูท่าทีขององค์ชายอัครเรศตามที่ตั้งใจไว้ แต่เมื่อพระมเหสีเสด็จมาหาพระโอรสถึงที่นี่ย่อมมีเรื่องสำคัญที่ไม่ต้องการให้ 'ผู้อื่น' อยู่ร่วมสนทนาด้วย การจะฝืนรั้งรออยู่ต่อไปนั้นก็ออกจะเสียมารยาทและไร้ประโยชน์ คิดได้ดังนั้นก็ว่าถวายความเคารพ เตรียมจะลากลับ

          "เจ้าอยู่ก่อนสิ นับจากวันแรกที่พบกัน ข้ายังก็มิได้สนทนากับเจ้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย"

          ฟ้ามุ่ยชะงัก
          
          "เพคะ พระมเหสี" นางรับคำอย่างว่าง่าย



          บุคคลทั้งสามย้ายที่สนทนา ไปยังปีกตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณที่มีโต๊ะตั่งหรูหราไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์ประทับเมื่อมาหอตำราหลวง

          "ข้าได้ยินว่าบุตรีท่านราชครูเก่งกล้าสามารถนัก ตามเสด็จไปค่ายทหารทุกวัน ลำบากตรากตรำเช่นนี้ ต้องรักษาสุขภาพให้ดีด้วยเล่า"

          เจ้านางลักขณาวดีเริ่มต้นบทสนทนาอย่างนุ่มนวล เรากับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้น

          "ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันเพียงตามเสด็จมิได้ลำบากตรากตรำอะไร อีกอย่างหน้าที่ปรนนิบัติองค์ชาย เป็นหน้าที่ที่หม่อมฉันพึงกระทำอยู่แล้วเพคะ"

          พระมเหสีแย้มรอยยิ้มเย็นเยียบ

          "ท่านราชครูสั่งสอนบุตรีมาดียิ่งนัก รู้จักจงรักภักดี รู้หน้าที่ที่พึงกระทำ เสียแต่เรื่องเดียวเหตุใดจึงปล่อยบุตรีให้ระหกระเหินติดตามบุรุษมาง่าย ๆ ไม่รู้จักรักเกียรติศักดิ์ศรีของตนบ้างหรืออย่างไร..."

          องค์ชายอัครเรศทำสีหน้าคล้ายหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ฟ้ามุ่ยยังคงรักรอยยิ้มไว้บนใบหน้าได้อย่างน่านับถือ

          "อย่าทรงตำหนิพ่อของหม่อมฉันเลยเพคะ เหตุผลที่ท่านพ่อยอมให้หม่อมฉันตามเสด็จองค์ชายกลับเวียงชัยกฤษณะ กับเหตุผลที่เจ้านางบัวบุศย์ได้เข้ามาอยู่ในวังแท้จริงคงไม่แตกต่างกันนัก พ่อของหม่อมฉันจงรักภักดี และองค์ชายก็เป็นศิษย์รักของท่าน ซ้ำองค์ชายยังให้คำมั่นแก่ท่านพ่อว่าจะดูแลหม่อมฉันเป็นอย่างดี จะยกย่องให้เป็นชายาเอก อยู่ดีมีสุขไปชั่วชีวิต พ่อแม่ที่ไหนจะไม่อยากเห็นลูกอยู่ดีมีสุขไปชั่วชีวิตเล่าเพคะ"

          เจ้านางลักขณาวดีเม้มริมฝีปากแน่น คงนึกไม่ถึงว่าฟ้ามุ่ยจะกล้าเปรียบเทียบตนกับเจ้านางบัวบุศย์ว่าล้วนเข้าวังมาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน แต่ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าคือประโยคต่อมาที่ทำเอาใบหน้างดงามของพระมเหสีขึ้นสีแดงเข้ม

          "พระองค์เองก็คงอยากให้องค์ชายอัครเรศอยู่ดีมีสุข ในตำแหน่งที่มั่นคงใช่หรือไม่เพคะ"

          นัยสำคัญของคำว่า ตำแหน่งที่มั่นคง นั้นชวนให้คิดไปได้หลายแง่มุม แต่สถานการณ์เปราะบางในเวียงชัยกฤษณะเวลานี้ ทำให้ถ้อยคำของฟ้ามุ่ยดูเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงยิ่ง

          เจ้านางลักขณาวดียิ้มเยือกเย็น น้ำเสียงที่กล่าวออกมาแฝงไว้ด้วยอันตรายยิ่ง

          "ตำแหน่งที่มั่นคงรึ... จ้าคิดว่าข้าปรารถนาให้องค์ชายมีตำแหน่งใด เหตุใดไม่กล่าวออกมาเสียให้ชัด ๆ"

          "หม่อมฉันเพียงเปรียบเปรยเพคะ มิได้จำเพาะเจาะจงถึงตำแหน่งใด" ฟ้ามุ่ยกล่าวยิ้ม ๆ ไม่สะทกสะท้าน กับสายตาเขม็งเครียดของพระมเหสีแม้แต่น้อย

          องค์ชายอัคเรศขยับกายอย่างไม่สบายใจนัก คิดหาหนทางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

          "เสด็จแม่มีธุระสำคัญจะคุยกับลูกมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ใกล้เที่ยงแล้ว กลับไปเสวยมื้อเที่ยงกับลูกที่ตำหนักก่อน แล้วค่อยสนทนาธุระสำคัญดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"

          เจ้านางลักขณาวดีปรายตามองบุตรชายแวบหนึ่งอย่างรู้ทัน รอยยิ้มเยาะปรากฏบนใบหน้าก่อนจะกล่าว

          "ก็ได้  เพราะดูท่าข้าคงต้องใช้เวลาอบรมสั่งสอนพระชายาอีกมาก หมาป่าย่อมเป็นหมาป่าอยู่วันยังค่ำ จะให้เชื่องเหมือนหมาบ้านในวันเดียวเลยก็คงไม่ได้"

          ฟ้ามุ่ยหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นปิดปากอย่างรักษากิริยา 

          "น่าเสียดายที่องค์รัชทายาทดูจะชอบเลี้ยงหมาป่ามากกว่านะเพคะ"

          สิ้นคำร่างสูงสง่าขององค์ชายจักรินทร์  ว่าที่องค์รัชทายาทแห่งเวียงชัยกฤษณะก็ปรากฏขึ้นที่ประตูหอตำราหลวง ราวกับนัดหมายไว้แล้วก็ไม่ปาน  เขาก้าวฉับ ๆ มายืนเคียงข้างว่าที่พระชายา  ก่อนจะถวายความเคารพเจ้านางลักขณาวดี  องค์ชายอัครเรศผู้น้องมีสีหน้าโล่งอกอย่างถึงที่สุด รีบกล่าวกับพระเชษฐาทันที

          "เสด็จพี่ พระชายา ข้ากับเสด็จแม่กำลังจะกลับแล้ว ยังมิทันได้พาพระชายาชมหอตำราตามที่เคยรับปากไว้  ต้องขออภัยด้วย"

          "มิเป็นไร" องค์ชายจักรินทร์กล่าวพลางโอบไหล่ผู้เป็นชายาอย่างอ่อนโยน  "พี่จะพานางชมหอตำราหลวงเอง  เจ้ากับเสด็จแม่ไปเถิด มิต้องห่วงทางนี้" 

          เจ้านางลักขณาวดีมิอาจทนดูได้อีกต่อไป  นางหันหลังก้าวฉับ ๆ ออกไปโดยไม่รอให้ถวายความเคารพด้วยซ้ำ องค์ชายอัครเรศหันมายิ้มแห้ง ๆ แทนคำอำลาก่อนจะรีบตามหลังพระมารดาไปเช่นกัน