ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 14 ความกังวลของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 15 เช่นนี้เรียกว่าหึงหวง (NC),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 16 ข่าวร้าย

เนื้อหา

ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ

          ความมืดโรยตัวลงมาเชื่องช้า อาชาสีดำก้าวเดินอย่างนุ่มนวลไปตามทางสายเล็ก ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้และกิ่งไม้ องค์ชายจักรินทร์ ว่าที่รัชทายาทแห่งเวียงชัยกฤษณะและพระชายากลับจากค่ายฝึกทหารเย็นย่ำกว่าที่เคย ทั้งสองจงใจเลือกใช้เส้นทางที่แตกต่างจากทุกวัน ลัดเลาะอ้อมตามชายป่าไปทางทิศตะวันตกซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว

          สองร่างแนบชิดกันบนหลังม้า ดวงจันทร์สีซีดส่องแสงสลัว ๆ ทำให้พวกเขามองเห็นกันและกันเป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ หูยังได้ยินเสียงฝีเท้าม้าของขุนณรงค์ที่วิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังอยู่ไม่ไกลนัก

          "อ้ายมิ่ง..." ฟ้ามุ่ยกระซิบเบา ๆ "กอดข้าหน่อย"

          องค์ชายจักรินทร์ละมือจากบังเหียนข้างหนึ่งรั้งร่างบางเข้าหาตัวให้แนบชิดกับแผ่นอก

          "ก้มลงมาอีกหน่อย" ร่างในอ้อมแขนบอก เขาซุกหน้าลงบนซอกคอระหง กลิ่นหอมจาง ๆ จากเรือนผมลอยอ้อยอิ่งวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก ชวนให้รู้สึกวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก

          "มีมือสังหาร" นางกระซิบเบา ๆ

          "ราว ๆ ยี่สิบคน" เขากล่าวต่อ ร่างในอ้อมกอดพยักหน้าเบือนหน้าไปทางคู่สนทนาเพื่อให้พูดคุยกันได้ถนัดถนี่ยิ่งขึ้นทำให้แก้มนวลสัมผัสกับริมฝีปากและปลายจมูกของอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ ต่างฝ่ายต่างชะงักไปครู่หนึ่ง

          "เจ้าว่าขุนณรงค์รู้ตัวแล้วหรือไม่" ฟ้ามุ่ยกระซิบต่อ พยายามไม่สนใจอาการร้อนฉ่าตามแก้มและลำคอที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ

          "คงรู้แล้ว" เขากระซิบตอบ "อย่าประมาทข้าได้ยินเสียงน้าวสายธนู..."

          เร็วเท่าความคิดองค์ชายจักรินทร์ดึงสายบังเหียนทำให้ม้าชะงักฝีเท้า ลูกธนูแล่นฝ่าความมืดเฉียดผ่านแก้มนวลไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ทั้งสองร่างพลิกกายลงจากหลังม้า ชักอาวุธออกมาตามสัญชาตญาณ เสียงม้าของขุนณรงค์ร้องโหยหวนมาจากที่ไกล ๆ แม้ในความมืดสลัว พวกเขารู้ได้ทันทีว่าได้ถูกล้อมเอาไว้แล้ว กลุ่มมือสังหารลึกลับโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ สวมชุดดำ มีคันธนูและดาบติดตัว

          ฟ้ามุ่ยกระชับดาบในมือ ก้มหลบลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอีกหลายลูก ก่อนจะวิ่งตรงไปหามือสังหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด คนผู้นั้นยิงธนูมาอีกครั้ง แต่ถูกดาบยาวของบุรุษข้างกายฟันขาดเป็นสองท่อน หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษผลัดกันกระโจนเข้าใส่ศัตรูอย่างรวดเร็วดุดัน รุกรับประสานกันเป็นอย่างดี

          เสียงโลหะกระทบกันดังก้องป่า นักฆ่านิรนามพยายามตั้งรับ แต่เพลงดาบที่พิสดารของบุรุษและสตรีคู่นี้กลับทำให้พวกมันไม่อาจต้านทานได้ ผู้เป็นสตรีแคล่วคล่องว่องไว กระโจนใส่แต่ละทีศัตรูก็ร่วงลงพื้นราวกับใบไม้ร่วง ส่วนผู้เป็นบุรุษก็ดุดันหนักหน่วงฟาดฟันแต่ละครั้งล้วนเข้าจุดตาย

          นักฆ่าที่เหลือไม่ยอมแพ้ วิ่งกรูกันเข้ามาล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด องค์ชายจักรินทร์หลบหลีกการโจมตีด้วยความคล่องแคล่ว และโจมตีกลับด้วยความแม่นยำ

          ขณะนั้นเอง นักรบคนหนึ่งพยายามจะใช้ธนูยิงใส่เขาจากระยะไกล วินาทีที่ฟ้ามุ่ยสังเกตเห็นก็ตัดสินใจพุ่งดาบในมือใส่นักฆ่าผู้นั้น ดาบทะลุผ่านลำตัวของเขา ร่างนั้นล้มลงกับพื้นขาดใจตายทันที นักฆ่าที่เหลืออยู่คนสุดท้ายพุ่งเข้าใส่นางทันทีเช่นกัน ฟ้ามุ่ยไม่มีอาวุธ  ทำได้เพียงก้าวถอยหลังสองสามก้าวเพื่อหลบระยะดาบ สายตากวาดหาอาวุธที่พอจะนำมาใช้แก้ขัดได้ พลันครรลองสายตาก็ถูกบดบังด้วยแผ่นหลังของบุรุษที่คุ้นเคย  เขาพุ่งเข้าขวางคั่นกลางระหว่างฟ้ามุ่ยกับมือสังหารไว้ได้ทันท่วงที

          "อย่าบังอาจยุ่งกับคนของข้า" น้ำเสียงเหี้ยมเกรียม แฝงไว้ด้วยไอสังหารอย่างที่ฟ้ามุ่ยเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

          เขาสบตากับนักฆ่าผู้นั้นต่างคนต่างไม่มีทีท่าว่าจะถอย สองร่างกระโจนเข้าปะทะกัน  ดาบกับดาบสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร เพียงไม่กี่เพลงดาบ องค์ชายรัชทายาทก็ฟันเข้าที่จุดตายของศัตรูอย่างแม่นยำ นักฆ่านิรนามล้มลงกับพื้น หายใจรวยริน

          "ผู้ใดส่งเจ้ามา" ผู้กำชัยชนะเหนือกว่าเค้นถาม

          นักฆ่านิรนามไม่ตอบแต่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ แว่วเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง ฟ้ามุ่ยกระชับดาบในมือเตรียมพร้อมต่อสู้อีกครา

          "องค์ชาย พระชายา... ทรงปลอดภัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"

          ขุนณรงที่วิ่งมาสมทบในสภาพบาดเจ็บหลายแห่ง เลือดไหลรินจากแขนขวา แต่มือยังกำดาบไว้มั่น สีหน้าวิตกกังวลถึงขีดสุด เมื่อเห็นว่ายังมีนักฆ่าเหลือรอดอีกคนหนึ่งก็ชี้ดาบไปยังนักฆ่าผู้นั้นด้วยอย่างระแวดระวัง

          "อุกอาจยิ่งนัก ผู้ใดส่งเจ้ามา"

          นักฆ่านิรนามหัวเราะดังลั่น ดวงตากลิ้งกลอกไปมาราวกับคนเสียสติ ก่อนจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายคว้าคมดาบที่จ่อคออยู่ดึงเข้าหาตัวจนแทงทะลุคอปลิดชีพตนเองขาดใจตายคาที่

          ฟ้ามุ่ยถอนหายใจ

          น่าเสียดาย... นักฆ่าเหล่านี้จงรักภักดีต่อนายของตนยิ่งนัก ยอมตายดีกว่ายอมคายความลับ 

          ดูท่าว่ายอมเสี่ยงครั้งนี้แม้ไม่ถึงกับคว้าน้ำเหลวแต่ก็คงได้ข้อมูลน้อยกว่าที่คาดเอาไว้

          ขุนณรงค์ก้มลงตรวจสอบที่ร่างของนักฆ่าคนนั้นอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่ายหน้าช้า ๆ

          "ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

          องค์ชายจักรินทร์พยักหน้า เช็ดดาบที่เปื้อนเลือดกับชุดของศพบนพื้นแล้วเก็บเข้าฝักตามเดิม ก่อนจะหันมามองสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหลังตั้งแต่หัวจรดเท้า

          "บาดเจ็บที่ใดหรือไม่" เขาจับสองไหล่บางไว้แล้วบังคับให้นางหมุนรอบตัวเอง  มองสำรวจดูทั่วร่างอย่างละเอียด

          "ข้าไม่เป็นไร มิได้บาดเจ็บ" ฟ้ามุ่ยกล่าว แต่แล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อร่างบางถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว

          "เจ้า!! เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร" คนถูกกอดดิ้นขลุกขลักพยายามผลักแผ่นอกของอีกฝ่ายออกห่าง

          "เจ้าเกือบต้องบาดเจ็บพระข้าเสียแล้ว" เขากล่าวเสียงเครียดขรึม

          "ข้ายังมิได้บาดเจ็บเสียหน่อย เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว นักฆ่าเหล่านี้จะทำให้ข้าบาดเจ็บได้อย่างไร"

          "เพราะช่วยข้า เจ้าจึงอยู่ในสภาพที่ไร้อาวุธ..."

          เขากระชับร่างบางในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก

          "เช่นนั้นก็ขอบคุณข้าสิ" ฟ้ามุ่ยว่า ยังคงดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ

          "ขอบคุณ..."

          คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมหยุดดิ้นแล้วปล่อยให้เขากอดอยู่ชั่วอึดใจ  แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเสียที ก็เริ่มส่งเสียงประท้วงอีกรอบ

          "ปล่อยข้าได้แล้ว มิอายขุนณรงค์หรือไร"

          "มิได้พ่ะย่ะค่ะ มิจำเป็นต้องสนใจกระหม่อม กระหม่อมไม่รู้เห็นสิ่งใด ทรงคิดเสียว่ากระหม่อมมิได้อยู่ที่นี่ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ"

          คำกล่าวของขุนณรงค์จริงจังเสียจนฟ้ามุ่ยอดหัวเราะไม่ได้ อีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนจะได้สติและยอมปล่อยนางออกจากอ้อมแขนแต่โดยดี

          "ดูท่าว่าเราคงต้องเดินกลับ" ฟ้ามุ่ยปรารภ กวาดตามองซากศพของเหล่านักฆ่านิรนาม และอาณาบริเวณโดยรอบอีกครั้ง ม้าของพวกเขาเตลิดหนีไปไกลแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับคืนสู่คอกหลวงอีกหรือไม่

          "แต่กระหม่อมได้ยินเสียงฝีเท้าม้า" ขุนณรงค์กล่าว ฟ้ามุ่ยเองก็ได้ยินเช่นกัน เป็นเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

          คนทั้งสามจับอาวุธในมืออีกครั้ง ใจเต้นกระหน่ำเมื่อเห็นแสงจากคบไฟของอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
          
          "หลบก่อน"  องค์ชายจักรินทร์กล่าวสั้น ๆ คว้าร่างบางที่ยืนใกล้กันให้ไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ในขณะที่ขุนณรงค์หลบหลังต้นไม้อีกต้นใกล้ ๆ กัน

          แสงไฟจากคบเพลิงสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ อาชานับสิบปรากฏแก่สายตา ร่างบนหลังอาชาร่างหนึ่งนั้นดูคุ้นตา ดวงหน้าหล่อเหลา ละม้ายคล้ายองค์ชายจักรินทร์อยู่หลายส่วน รูปร่างผอมบาง และผมที่ยังไม่ยาวเข้าทรงดีนัก....

          องค์ชายอัครเรศมองซากศพเกลื่อนพื้นแล้วมีสีหน้าตกใจสุดขีด คบไฟในมือสั่นจนแทบจะร่วงหลุดจากมือ 

          "เสด็จพี่!! พระชายา!!"

          เขาตะโกนก้องพลางก็เหวี่ยงคบไฟ  หันซ้ายหันขวาไม่เห็นใครก็ร้องตะโกนดังขึ้นอีก

          "เสด็จพี่!!  พระชายา!! พวกเจ้ารีบแยกกันออกค้นหาเร็วเข้า!!"

          เหล่าทหารองครักษ์ต่างรีบลงจากหลังม้า  กำลังจะแยกกันออกค้นหาว่าที่องค์ชายรัชทายาทและพระชายา แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ทั้งสามคนที่ซ่อนตัวอยู่ปรากฏกายจากที่ซ่อน องค์ชายจักรินทร์ชี้ดาบไปทางพระอนุชาอย่างระแวดระวัง ส่วนสตรีที่ยืนเคียงข้างและองครักษ์ประจำกายนั้นแม้มิได้ชักดาบออกมา แต่มือยังจับอาวุธไว้มั่น

          "อัครเรศ... เจ้ามาทำอะไรที่นี่"

          องค์ชายอัครเรศมองสีหน้าของคนทั้งสามแล้วก็พลันดวงหน้าซีดขาว รีบลงจากหลังม้าทันที 

          "เสด็จพี่ข้า..." เขาอ้ำอึ้ง

          ผู้เป็นพี่ชายเค้นถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเข้มเครียด

          "ข้าถามว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่"

          เส้นทางนี้มิใช่เส้นทางที่พวกเขาใช้เป็นประจำ หากแต่เป็นเส้นทางที่จงใจให้นางลำเจียกปล่อยข่าวลวงออกไปเพื่อล่อให้ใครบางคนติดกับ ไม่มีทางที่องค์ชายอัครเรศจะผ่านมาแถวนี้ด้วยความบังเอิญ เว้นเสียแต่ว่าเขาคือผู้ที่งับเหยื่อล่อของนางลำเจียกเข้า...

          "เสด็จพี่... ฟังข้าก่อน" องค์ชายอัครเรศมองพวกเขาด้วยสายตาวิงวอน "เมื่อหัวค่ำตอนข้าเดินกลับจากหอตำรา ข้าเห็นแสงไฟสว่างขึ้นบนท้องฟ้า เป็นพลุดวงเล็ก ๆ สีแดงสองสามดวงแถว ๆ ชายป่าทางทางทิศตะวันตก ข้าคิดว่ามันแปลกที่จะมีใครจะจุดพลุขึ้นในป่า จึงรีบเดินมาทางประตูวังทิศตะวันตกเพื่อดูให้ชัด ๆ เมื่อไปถึงประตูวังก็พบนางลำเจียก คนของเจ้านางฟ้ามุ่ยยืนกระวนกระวายอยู่ พอข้าลองถามนางก็บอกว่าพวกท่านควรจะมาถึงได้ตั้งนานแล้ว มิเคยกลับผิดเวลาถึงเพียงนี้ ว่าแล้วก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ผิดวิสัย แม้ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวเท่าใดนัก แต่ข้าคิดว่าคงเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นแน่ จึงไปขอให้พวกองครักษ์พาข้ามาตามหาพวกท่าน กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ใช้เวลานานพอดู เมื่อมาถึงก็พบพวกท่านที่นี่.... เป็นความสัตย์จริง"

          "เจ้าใช้อาวุธไม่เป็น มิเคยร่ำเรียนการต่อสู้ เหตุใดต้องออกมาเสี่ยงชีวิตด้วยตนเอง เหตุใดมิแจ้งให้ทหารออกลาดตระเวน ไม่ก็ให้หน่วยราชองครักษ์ออกติดตาม เจ้าจำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตนเองด้วยรึ" องค์ชายผู้พี่กล่าวเสียงเครียดยังไม่ยอมลดดาบลง สีหน้าขององค์ชายอัครเรศสลดลง

          "เพราะข้าเองเป็นห่วงพวกท่านอย่างไรเล่า แม้ข้ารู้ว่าตัวเองไร้ความสามารถ ร่างกายก็อ่อนแอ ถึงตามมาก็มิอาจช่วยอะไรพวกท่านได้ แต่จะให้ข้ายืนรออยู่เป็นเพื่อนนางลำเจียกข้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน ท่านสงสัยในตัวข้าหรือ เสด็จพี่..."

          ฟ้ามุ่ยแตะแขนบุรุษข้างกายเบา ๆ ให้ลดดาบลง พร้อมกับไกล่เกลี่ยเสียงนุ่มนวล

          "พวกเราเพิ่งถูกมือสังหารเหล่านี้โจมตี เกือบเอาชีวิตไม่รอด เจ้าพี่มิ่งเมืองเพียงยังตกใจและหวาดระแวงอยู่จึงซักถามละเอียดเกินไป องค์ชายอัครเรศอย่าได้น้อยใจหรือโกรธเคืองเลยเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเสด็จมา  หาไม่แล้วพวกหม่อมฉันคงต้องได้นอนกลางป่าเป็นแน่"

          เมื่อได้ฟังคำพูดของสตรีข้างกาย ก็รู้จุดประสงค์ของนางทันที  ดูเหมือนว่าการเค้นเอาความจริงจากองค์ชายอัครเรศในเวลานี้หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ เขาจึงเก็บดาบเข้าฝักตามเดิม ก้มหัวให้อนุชาเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

          "พี่เข้าใจเจ้าผิดแล้ว โปรดให้อภัยด้วย"

          องค์ชายอัครเรศถอนหายใจ แววตายังคงมีแววเศร้าอยู่ลึก ๆ

          "พวกท่านปลอดภัยก็นับว่าดีแล้ว"



          ขุนณรงค์ และองค์ชายทั้งสองช่วยกันตรวจสอบศพของเหล่านักฆ่าชุดดำอยู่อีกครู่ใหญ่ ๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่พบหลักฐานใดแล้วก็ให้เหล่าทหารองครักษ์ช่วยกันเก็บกวาด ส่วนพวกเขาก็ควบม้ากลับเข้าวัง

          นางลำเจียกยืนรออยู่ที่ประตูวังจริงตามคำบอกเล่าขององค์ชายอัครเรศ ดวงตาแดงก่ำ ชายผ้าคลุมไหล่ยับยู่ยี่ราวกับถูกนางขยำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

          เมื่อฟ้ามุ่ยลงจากหลังม้านางก็รีบโผเข้าหาผู้เป็นนายทันที

          "พระชายา! ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ทรงบาดเจ็บหรือไม่ พวกทหารที่มาส่งข่าวบอกว่า ฮึก ๆ" นางสะอึกสะอื้น "บอกว่า มีมือสังหาร หม่อมฉัน... หม่อมฉัน..."

          ฟ้ามุ่ยสบตานาง ส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงให้หยุดพูด นางลำเจียกกล้ำกลืนน้ำตาไว้ หยุดพูดทันทีมิได้พร่ำเพ้อต่อ ฟ้ามุ่ยบีบมือนางเบา ๆ ก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยน

          "ข้าไม่เป็นอะไร มิได้บาดเจ็บ"

          เมื่อได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ร่วงพรูลงอาบแก้มของนางลำเจียกอีกระลอก แต่คราวนี้เจ้าตัวมิได้คร่ำครวญออกมา เพียงแต่ปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบ ๆ

          ในขณะเดียวกันองค์ชายจักรินทร์ องค์ชายอัครเรศ และขุนณรงค์ลงจากหลังม้าแล้วก็ยังคงปรึกษากันต่อด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเดินมากระซิบสั่งความว่าที่พระชายาเบา ๆ

          "เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ตำหนักก่อนเถอะ ข้าจะไปรายงานเสด็จพ่อ แล้วจะตามไป"

          ฟ้ามุ่ยพยักหน้ารับ ทั้งคู่สบตากันอย่างมีความหมาย เขาพยักหน้ารับโดยที่นางมิต้องเอ่ยคำพูด

          "ข้ารู้ เจ้าไปรอที่ตำหนักเถอะ"



          ฟ้ามุ่ยมองนางลำเจียกคุกเข่าอยู่ในห้องบรรทมแล้วทอดถอนใจ มิรู้จะสรรหาคำใดมาปลอบใจให้นางรับใช้ผู้นี้หยุดร้องไห้เสียที

          "โธ่เอ๋ย ลำเจียก ข้ารู้อยู่แล้วว่ามีมือสังหารพวกนั้น รู้อยู่แล้วว่าพวกมันต้องมาแน่ ข้าถึงให้เจ้าช่วยปล่อยข่าวพวกนั้นออกไปอย่างไรเล่า ทุกอย่างที่เจ้าทำล้วนถูกต้อง ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย"

          "ตะ แต่ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับพระชายาเล่า หม่อมฉันจะทำอย่างไร"

          "จะเกิดอะไรกับข้าได้อย่างไร ก็ข้าวางแผนไว้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงเข้าใจอะไรได้ยากนัก"

          "มะ หม่อมฉันเข้าใจเพคะ แต่หม่อมฉันกลัว กะ กลัวว่าพระชายาจะ..."

          ฟ้ามุ่ยถอนหายใจ  ไม่นึกว่าแผนการคราวนี้จะทำให้นางลำเจียกสะเทือนใจถึงเพียงนี้

          "มาใกล้ ๆ ข้านี่มา" นางลำเจียกคลานเข่าเข้ามาใกล้ ฟ้ามุ่ยลูบหัวนางอย่างเอ็นดู เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มให้อย่างอ่อนโยน

          "ฟังนะ หากเจ้าอยากจะรับใช้ข้าต่อไป เจ้าต้องเชื่อใจข้า"

          นางลำเจียกพยักหน้าหงึก ๆ 

          "คราวหน้าหากมีเหตุการณ์เช่นนี้อีก เจ้าอย่าเอาแต่ร้องไห้  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ..." ว่าพลางก็ถอดแหวนทองเกลี้ยงที่สวมติดนิ้วตลอดยื่นส่งให้ นางลำเจียกมีสีหน้างุนงง

          "ภายหน้าหากมีเหตุให้ต้องแยกจากกัน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ให้หาทางเอาตัวรอดให้ได้ แค่มีชีวิตอยู่ก็พอเรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ แหวนนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดีวันหนึ่งมันอาจช่วยให้เจ้าอยู่รอดปลอดภัย"

          ลำเจียกส่ายหน้าเร็วรี่

          "หม่อมฉันจะแยกจากพระชายาได้อย่างไร หม่อมฉันไม่..."

          ฟ้ามุ่ยรีบยกมือห้ามมิให้นางพูดต่อ

          "การณ์ภายหน้าไม่มีใครคาดเดาได้ ข้าสั่งให้เจ้าเอาชีวิตรอด เจ้าก็ต้องทำ ไม่ต้องเลือกวิธีการ ไม่ต้องห่วงข้า หลังจากเรื่องทุกอย่างจบแล้วเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าเจ้าตาย ข้าก็คงไม่มีหนทางรอดด้วยเช่นกัน เจ้าอยากให้ข้าตายรึ"

          นางลำเจียกกล้ำกลืนน้ำตา

          "ไม่เพคะ"

          "ถ้าไม่ เจ้าก็ต้องเชื่อใจข้า รักษาชีวิตของเจ้าให้ดี เข้าใจหรือไม่"

          "เข้าใจเพคะ"

          แหวนทองเกลี้ยงถูกเก็บใส่ห่อผ้าเล็ก ๆ นางลำเจียกซุกไว้ในอก สูดลมหายใจลึก ๆ กลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลริน