ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน

          เด็กหญิงกำลังวิ่ง วิ่งด้วยความกลัวสุดขีด แม้รู้ดีว่าปลายทางที่วิ่งไปนั้นไร้หนทางให้หนี แต่หากหยุดวิ่งก็มีแค่ตายกับตายเท่า เสียงฝีเท้าและเสียงอาวุธกระทบกันไล่ตามหลังมายิ่งทำให้หัวใจของเด็กน้อยเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมาจากปาก

          สุดทางแล้ว...

          ผ้าจันทร์เสี้ยวแห่งนี้นับเป็นจุดสิ้นสุดของแผ่นดินที่ราบสูงที่เรียกกันว่านครลอยฟ้า ต่ำลงไปเบื้องล่างมองเห็นท้องน้ำอยู่ลิบ ๆ คะเนความสูงแล้วถึงกับขาอ่อนยวบ เด็กหญิงน้อยขบริมฝีปากแน่น หมุนตัวหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้ที่วิ่งไล่ตามมา

          "องค์หญิง ไม่มีประโยชน์หรอกพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรก็ไม่มีทางรอด ทรงยอมเสียแต่โดยดีเถิด  จะได้มิต้องทรมาน"

          เด็กหญิงตัวสั่น แต่มิยอมแสดงความกลัวออกมาแม้แต่น้อย แม้บัดนี้ปลายดาบนับสิบเล่มจะชี้มาที่ตนอย่างหมายจะเอาชีวิต

          "ทรงกล้าหาญยิ่งนัก..." แม่ทัพผู้สวมชุดดำทั้งร่างกล่าว ก่อนจะวาดดาบหมายจะฟันร่างน้อยให้ขาดในคราวเดียว

          องค์หญิงน้อยใจเด็ดกว่าที่ผู้ใดจะคาดเดาได้ วินาทีก่อนที่ดาบจะปะทะร่างเข้าอย่างจัง เด็กหญิงก้าวถอยหลังดิ่งวูบลงจากหน้าผาสูง ปลายดาบทันตวัดโดนอกซ้าย เรียกเลือดได้ไม่น้อย แต่เด็กหญิงกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

          ร่างน้อยพุ่งดิ่งลงมาด้วยความเร็วเท่าใดมิอาจรู้ได้ สติพลันหลุดลอยหายไปชั่วขณะก่อนจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อร่างตกกระทบท้องน้ำที่แข็งราวกับแผ่นเหล็ก ร่างทั้งร่างปวดร้าวราวกับกระดูกแหลกละเอียด  แรงดันน้ำจากทุกทิศทุกทางถาโถมใส่ร่างน้อยที่แทบไม่มีแรงขยับ ได้แต่ปล่อยให้ร่างกายจมดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ

          ...


          ฟ้ามุ่ยลืมตาตื่นขึ้น น้ำตาเย็นชื้นไหลเป็นทางจากหางตาจนเปียกหมอน นางลำเจียกกำลังจ้องมองมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดจากโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนผู้ที่นั่งข้างพระแท่นบรรทม และกำลังกุมมือนางอยู่ในขณะนี้คือ องค์ชายคนสำคัญแห่งเวียงชัยกฤษณะ

          "อ้ายมิ่ง..." นางกล่าวอย่างมึนงง คล้ายยังแยกแยะระหว่างความจริงและความฝันได้ไม่ชัดเจนดีนัก

          องค์ชายจักรินทร์ได้ยินคำเรียกขานที่ใช้เรียกกันในวัยเด็กก็มีสีหน้าอ่อนโยนลง ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง

          "เจ้าฝันร้ายรึ"

          ฟ้ามุ่ยหลับตาตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ

          "ฝันเรื่องเมื่อสิบปีก่อน... ผาจันทร์เสี้ยว..." นางบอก

          สีหน้าคนฟังแปรเปลี่ยนเป็นกังวลขึ้นมาทันที

          "เจ้ายังฝันเรื่องนั้นอยู่หรอกหรือ เหตุใดยังฝันอยู่เล่า หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา--" เขาสัมผัสไหล่บางอย่างลืมตัว ลำเจียกรีบก้มหน้าก่อนจะลุกออกจากห้องไปเงียบ ๆ

          "ไม่ใช่อย่างนั้น" ฟ้ามุ่ยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ "ข้าไม่ได้ฝันเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว แต่คงเพราะเหตุลอบสังหารวันนี้จึงทำให้เก็บมาฝัน" ว่าแล้วก็พยายามดึงมือที่ถูกกุมไว้ออกมาเพื่อจะเช็ดน้ำตาที่ยังเปียกอยู่ที่หางตา

          เขายอมปล่อยมือแต่โดยง่าย แต่ไม่ยอมละสายตาจากคนตรงหน้าที่ยันกายลุกขึ้นพลางเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ลอบเลื่อนสายตาลงมาที่เนินอกด้านซ้าย รอยแผลเป็นจาง ๆ โผล่พ้นผ้าแถบคาดอกให้เห็นรำไร

          "แผลเป็นของเจ้า..."

          ฟ้ามุ่ยก้มลงมองรอยแผลเป็นของตน แล้วแค่นเสียงหัวเราะ

          "มันไม่มีวันหายหรอก คงยังเจ็บไปชั่วชีวิต... "




          ...

          ฟ้ามุ่ยจำความเจ็บปวดเมื่อสิบปีก่อนได้ดี ตอนที่ร่วงหล่นจากผาจันทร์เสี้ยว ร่างกายบอบช้ำจนแทบไม่เหลือชิ้นดี จมดิ่งสู่ก้นแม่น้ำสายใหญ่อันเป็นพรมแดนระหว่างเวียงชัยกฤษณะและนครลอยฟ้าเวียงทิพย์เวหาส

          ขณะนั้นราชครูเฒ่าพาเหล่าลูกศิษย์หนุ่มน้อยมาฝึกปราบกองโจรแถบชายแดน องค์ชายจักรินทร์ที่ยังเป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบสามสิบสี่ปี ซุกซนและช่างสังเกต

          ระหว่างที่ลาดตระเวนอยู่ริมน้ำ เขาพลันสังเกตเห็นอะไรบางอย่างคล้ายห่อผ้าร่วงหล่นลงมาจากผาจันทร์เสี้ยวอันสูงชัน ดิ่งลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างด้วยคตสวามเร็วอันน่ากลัว

          วินาทีที่สิ่งนั้นสัมผัสผิวน้ำ และจมดิ่งลงสู่เบื้องล่าง เขาจึงมองออกว่าเป็นร่างคน แต่จะคนเป็นหรือศพนั้นก็มิอาจทราบได้ 

          คล้ายกับคุณธรรมในใจของเขาถูกทดสอบ ไม่ว่าศิษย์ร่วมสำนักจะห้ามอย่างไรก็ไม่อาจทัดทานองค์ชายน้อยไม่ให้กระโดดตามร่างปริศนานั้นลงไปในน้ำได้

          ใต้ท้องน้ำอันดำมืด ร่างของเด็กสาวปัดป่ายรอบกายด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ ปวดร้าวทั้งร่างจนแทบขยับไม่ได้ คล้ายจะขาดใจตายอยู่ทุกขณะจิต ปอดที่ไม่มีอากาศเหลือแล้วปวดร้าวราวกับจะระเบิด

          ชั่วขณะนั้นเด็กหญิงรู้สึกว่ามือสัมผัสโดนบางอย่างเข้า สิ่งนั้นกอดกระหวัดรัดกายแล้วพยายามจะฉุดให้ลอยขึ้น ทว่าเด็กหญิงไร้เรี่ยวแรง ในหัวเกิดประกายไฟวาบขึ้นนับไม่ถ้วน แล้วความทรงจำก็ขาดหายไปเพียงเท่านั้น...



          เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง เด็กหญิงพบว่าร่างกายขยับไม่ได้เลยแม้แต่ส่วนเดียว ในหัวเต็มไปด้วยคำถามและความงุนงงสับสน ใบหน้าหลากหลายที่เข้ามาในครรลองสายตา ล้วนเป็นใบหน้าที่ไม่รู้จัก แต่ใบหน้าเหล่านั้นล้วนแสดงถึงความยินดีที่เด็กหญิงฟื้นคืนสติ

          หนึ่งในใบหน้าเหล่านั้น  มีใบหน้าของชายชราท่าทางเข้มงวดผู้หนึ่ง ชายชราผู้นั้นบอกกับเด็กหญิงว่า กระดูกตามร่างกายของเด็กหญิงนั้นได้รับความเสียหายหลายแห่ง แต่เพราะยังเด็กอีกไม่นานก็จะสมานกันได้ดีดังเดิม รอยฟันที่อกแม้ไม่ลึกมากแต่คงกลายเป็นแผลเป็นที่ยากจะรักษา นอกจากนั้นยังมีอวัยวะภายในฉีกขาดบอบช้ำหลายจุด และศีรษะกระทบกระเทือนอย่ารุนแรง จึงทำให้ยังเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้

          เนื่องจากอาการของเด็กหญิงยังไม่ทรงตัวดีนัก การเคลื่อนย้ายคนเจ็บที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลยจึงเป็นไปได้ยากยิ่ง ราชครูเฒ่าจำต้องรั้งรออยู่แถบชายแดนถึงสิบห้าวัน ทุ่มแรงและเวลารักษาเด็กหญิงอย่างลับ ๆ

          ระหว่างนั้นเด็กหญิงได้แต่หลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่อาจขยับตัวได้ รู้แต่เพียงว่ามีหญิงรับใช้คอยอาบน้ำผลัดผ้า และดูแลเรื่องการขับถ่ายให้ตลอดการรักษา

          เด็กหญิงไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นใคร แต่คาดว่าผู้ที่ช่วยตนขึ้นมาจากน้ำ คงเป็นเด็กหนุ่มผู้ที่ทำตัวราวกับเป็นเจ้าของไข้ คอยมาเฝ้าดูอยู่ทุกวัน แม้เด็กหญิงจะไม่ปริปากพูดกับเขาเลยแม้แต่คำเดียวก็ตาม เมื่อผ่านพ้นสิบห้าวันอาการของเด็กหญิงเริ่มทรงตัวราชครูเฒ่าและเหล่าลูกศิษย์จึงช่วยกันเคลื่อนย้ายคนเจ็บขึ้นไปรักษาต่อบนเขา



          เรือนพักฟื้นของเด็กหญิงเป็นเรือนไม้สักหลังเล็กใกล้ลำธาร ข้างเตียงมีหน้าต่างบานน้อยมองออกไปเห็นลำธารใสและดอกไม้ป่าสีฟ้าแกมน้ำเงิน ติดดอกออกช่ออยู่บนต้นไม้ใหญ่ เมื่อเด็กหญิงเริ่มขยับตัวลุกนั่งเองได้แล้ว ก็จะคอยมองออกไปนอกหน้าต่างเสมอ

          "นั่น... ดอกอะไรหรือ"

          หลังจากเฝ้ามองดอกไม้นี้อยู่ร่วมเดือน  เด็กหญิงก็ปริปากพูดขึ้นในที่สุด เด็กหนุ่มผู้มาเฝ้าไข้ทุกวันแทบไม่เชื่อหูตนเอง รีบให้คำตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

          "นั่นดอกฟ้ามุ่ย"

          "ชื่อแปลกหู"

          "เป็นดอกไม้ป่า หายาก และเพราะสีฟ้าแกมน้ำเงินจึงถูกเปรียบเทียบกับสีของท้องฟ้า ฟ้ามุ่ย ก็คือ งดงามจนท้องฟ้ายังดูหมอง"  เขาอธิบายยิ้ม ๆ 

          เด็กหญิงน้อยได้ฟังก็คลี่รอยยิ้มบาง ดวงหน้าซีดเซียวดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย

          "ข้าชอบชื่อนี้"

          "โล่งอกไปที" เด็กหนุ่มว่า

          "โล่งอกอันใด"

          "โล่งอกที่เจ้ายอมพูดเสียที  คนอื่น ๆ ต่างคิดว่าเจ้าสมองกระทบกระเทือนทำให้พูดไม่ได้เสียแล้ว แต่ข้าคิดว่าไม่ใช่ ข้าเห็นสายตาเจ้าก็รู้ว่าเจ้าเพียงแค่ยังไม่อยากพูด"

          "ถูกแล้ว  ข้าเพียงยังไม่อยากพูด" เด็กหญิงยอมรับ "เพราะหากปริปากพูดก็เท่ากับพร้อมจะตอบคำถามแล้ว"

          "เช่นนั้นเวลานี้ท่านพร้อมจะตอบคำถามแล้วใช่หรือไม่" เป็นคำถามจากปากราชครูเฒ่าที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ สรรพนาม 'ท่าน' ที่เรียกขาน ทำให้เดาได้ไม่ยากว่า เขาคงรู้ตัวตนของเด็กหญิงอยู่ก่อนแล้ว

          เด็กหญิงพยักหน้าช้า ๆ ราชครูเฒ่าปิดประตูลั่นดาล

          "เรื่องนี้จะรู้กันเพียงแค่เราสามคน ขอให้ท่านสบายใจได้"

          เด็กหญิงพยักหน้าอีกครั้ง 

          "ที่นี่เป็นสำนักดาบของข้า เด็กชายที่ช่วยกันขนย้ายท่านมาที่นี่ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ของข้า ผู้คนเรียกขานข้าว่า นิลนนท์ แล้วท่านเล่า เป็นผู้ใด" ราชครูเฒ่านิลนนท์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

          "ข้าชื่อมธุรภัทร"

          เด็กชายรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ยิ่งนัก ทว่านึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ใด ราชครูเฒ่าจึงเป็นผู้ไขข้อข้องใจนี้

          "องค์หญิงมธุรภัทร  แห่งเวียงทิพย์เวหาส"

          "ถูกแล้วท่านนิลนนท์" เด็กหญิงยืนยันคำตอบ

          "เช่นนั้นแล้วเหตุใดท่านจึงตกลงมาจากผาจันทร์เสี้ยวได้เล่า ผู้ใดทำร้ายท่าน"

          "ผู้ที่หมายจะสังหารข้า  คือ มหาอุปราชเอกทัต อาแท้ ๆ ของข้าที่ก่อกบฏชิงบัลลังก์ เวลานี้เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และขุนนางที่จงรักภักดีล้วนถูกเขาสังหารหมดแล้ว"

          แววตาของเด็กหญิงหม่นหมองลงฉับพลัน หยาดน้ำใส ๆ ปริ่มขึ้นมาในดวงตา ทว่ากลับถูกกล้ำกลืนฝืนไว้มิให้หลั่งรินออกมาเป็นสาย

          ราชครูเฒ่ามีสีหน้าครุ่นคิด

          "ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วข่าวการสวรรคตของเจ้าเหนือหัวแห่งเวียงทิพย์เวหาสยังไม่แพร่งพรายออกมา นับว่าแปลกยิ่ง"

          "คงเพราะยังหาศพข้าไม่พบ  อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ คงอยากจะกำจัดเสี้ยนหนามให้สิ้นซากก่อนจะราชาภิเษกขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวองค์ใหม่"

          ราชครูเฒ่าพยักหน้าน้อย ๆ

          "โชคดีที่ข้าสงสัยในตัวตนของท่านตั้งแต่แรก จึงลอบรักษาท่านอย่างเงียบ ๆ กระทั่งขนย้ายขึ้นมาบนเขาทุกอย่างก็กระทำอย่างเป็นความลับ  ไม่แน่ว่าเวลานี้อาจมีคนของมหาอุปราชออกตามล่าหาตัวท่านอยู่ก็เป็นได้"

          "ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาข้า" เด็กหญิงกล่าวอย่างซาบซึ้ง "ด้วยสภาพเช่นนี้ ไม่รู้เมื่อไหร่ข้าถึงจะมีโอกาสได้ตอบแทนท่าน"

          "ขอบคุณเจ้าน้อยมิ่งเมืองเถิด เป็นเขาที่เสี่ยงชีวิตลงไปช่วยท่านขึ้นจากน้ำ เป็นเขาที่ขอร้องข้าให้หาทางช่วยท่านให้รอดชีวิต ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็เป็นผู้ออกเงินทองจ่ายให้ทั้งหมด"

          เด็กหญิงหันไปทางเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของไข้

          "ขอบคุณเจ้าน้อย... หือ... เจ้าน้อยหรือ..."

          อาจารย์เฒ่านิลนนท์ยิ้มน้อย ๆ  

          "เจ้าน้อยมิ่งเมือง เป็นองค์ชายแห่งเวียงชัยกฤษณะ พวกท่านคนหนึ่งเป็นองค์ชาย คนหนึ่งเป็นองค์หญิง ต่อไปก็คบหาเป็นสหายกันไว้ ภายหน้าจักได้พึ่งพาช่วยเหลือกัน"

          เด็กหญิงยิ้มอย่างอ่อนแรง

          "น่าเสียดายนักเจ้าน้อยมิ่งเมือง แต่องค์หญิงมธุรภัทร ได้ตายตกไปที่ผาจันทร์เสี้ยวแล้ว คงมิอาจเป็นสหายกับท่านได้อีก ชื่อมธุรภัทรนี้เก็บไว้ก็มีแต่จะนำพาอันตรายมาให้ ข้าคงไม่อาจใช้ชื่อนี้ได้อีกต่อไปแล้ว"

          "เช่นนั้นแล้วสหายข้าผู้นี้มีนามว่าอย่างไร" องค์ชายแห่งเวียงชัยกฤษณะเอ่ยถาม

          "ฟ้ามุ่ย... ดีหรือไม่" เด็กหญิงเปรยเบา ๆ

          เด็กชายส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

          "ดี งดงามยิ่งนัก..."



          ฟ้ามุ่ยรักษาตัวอยู่แรมปี ตลอดเวลาที่นอนอยู่บนเตียงเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก เจ้าน้อยมิ่งเมืองจะคอยมาเยี่ยมทุกวันมิเคยขาด คอยช่วยหยิบจับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ก็ประคองลุกนั่งตามสมควร

          นอกจากทรมานจากการเดินเหินไม่ได้แล้ว ฟ้ามุ่ยยังต้องทรมานจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนอยู่ทุกคืน เด็กหญิงมักจะฝันถึงตอนบิดามารดาถูกสังหารบ้าง ฝันถึงตอนร่วงหล่นจากผาจันทร์เสี้ยวบ้าง ส่วนที่แย่ที่สุดของความฝันเหล่านี้ คือการที่ตื่นจากฝันแล้วพบว่าเหตุการณ์เหล่านั้นคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง พอต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกอย่างอกสั่นขวัญแขวนแทบทุกคืน หลายครั้งเข้าก็เริ่มกลัวการนอนหลับ กลัวที่จะต้องฝันเรื่องเดิมซ้ำ ๆ

          เด็กหญิงมิอาจปกปิดเรื่องนี้กับอาจารย์และสหายสนิทได้นานนัก  เพราะเมื่อนอนไม่หลับ ร่างกายก็เริ่มแย่ อารมณ์ก็เริ่มแปรปรวน ทำให้สหายหนุ่มที่แต่เดิมเอาเวลาพักผ่อนจากการเล่าเรียนในยามกลางวันมาคอยมาคุยเล่นเป็นเพื่อนจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัวแล้วนั้น ยิ่งไม่มีเวลาส่วนตัวมากขึ้นไปอีก เพราะต้องใช้เวลาพักผ่อนยามค่ำคืนไปกับการอ่านตำราให้คนป่วยฟังจนกว่าจะผล็อยหลับไป ทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเด็กหญิงก็จะพบเขานอนฟุบอยู่ข้างเตียงร่ำไป เป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดเก้าเดือน

          ย่างเข้าเดือนที่สิบ ในที่สุดฟ้ามุ่ยก็เริ่มกลับมาเดินเหินได้ด้วยตัวเอง ราชครูนิลนนท์จึงให้เด็กสาวศึกษาเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ ไปพร้อมกับศิษย์คนอื่น ๆ และสั่งห้ามมิให้ศิษย์ทั้งสองใช้เวลายามวิกาลด้วยกันอีก เนื่องจากอายุอานามของทั้งคู่ย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ทำให้ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ด้วยกันตามลำพังยามค่ำคืนอีกต่อไป

          ถึงอย่างนั้นสหายทั้งสองก็ยังตัวติดกันเสมอ พอเว้นว่างจากการเรียนมักจะหาเรื่องประดาบกันเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากวันใดเด็กหญิงไม่ยอมสู้ด้วย อีกฝ่ายก็จะเดินตามไปทั่วทุกหนทุกแห่งไม่ยอมเลิกรา เมื่อสู้กันจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว ยามค่ำคืนฟ้ามุ่ยก็นอนหลับสนิทดี ฝันร้ายก็ค่อย ๆ น้อยลงตามลำดับ



          ชั่วพริบตาเดียวเจ้าน้อยมิ่งเมืองก็อายุครบสิบหกปี ถึงเวลาที่ต้องลงจากเขา กลับคืนสู่ฐานะองค์ชายแห่งเวียงชัยกฤษณะ แม้จะอาลัยอาวรณ์ต่อสหายรักที่เป็นเพื่อนเรียนเพื่อนเล่นกันอยู่ทุกวัน แต่หน้าที่ต่อบ้านเมืองนั้นย่อมสำคัญกว่า เขาจึงไม่อาจรั้งรออยู่ที่นี่ได้ตลอดไป

          "ข้าไม่อยู่ เจ้าจะนอนฝันร้ายหรือไม่" เจ้าน้อยกล่าวกับสหายสนิทที่ติดตามราชครูเฒ่ามาส่งยังตีนเขา

          "ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าห่วงนักเลย" ฟ้ามุ่ยกล่าวยิ้ม ๆ  ไม่แสดงท่าทางอ่อนแอให้เห็น เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายห่วงหน้าพะวงหลัง

          "หวังว่าวันหน้าคงมีโอกาสได้พบกันอีก ฝากดูแลท่านอาจารย์ด้วย" 

          "ข้าจะดูแลท่านอาจารย์เป็นอย่างดี" เด็กหญิงรับปาก "ที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ดูแลข้าจนหายดี และเป็นสหายที่ดีของข้ามาตลอดนั้น ข้ายังไม่ทันได้ตอบแทนเจ้า แต่ข้าขอให้สัตย์สาบานกับเจ้าว่า ไม่ว่านี้หรือวันหน้า ข้าก็จะเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้าเช่นกัน ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า วันหน้าหากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าจะทำโดยไม่ลังเล"

          เด็กหนุ่มพยักหน้า รู้สึกซาบซึ้งกับคำสัตย์ที่ได้รับจากคนตรงหน้า เขายื่นห่อผ้าห่อหนึ่งยัดใส่มือให้เด็กหญิง ทำความเคารพราชครูเฒ่าแล้วมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง และมิได้กลับขึ้นเขาอีกเลยตลอดเจ็ดปี

          เด็กหญิงคลี่ห่อผ้าออกดู พบว่าเป็นปิ่นไม้ที่เหลาขึ้นเองด้วยฝีมือประณีต แต่ละอันละอันลวดลายละม้ายคล้ายคลึงกัน กลิ่นของไม้กฤษณาลอยฟุ้ง หอมตลบอบอวลชวนให้อบอุ่นหัวใจยิ่งนัก

          ...

          "นึกไม่ถึงว่าตื่นจากฝันร้ายแล้วจะยังพบเจ้าอยู่ข้าง ๆ เช่นเดียวกับเมื่อสิบปีก่อน" 

          ฟ้ามุ่ยกล่าวพลางขยับรอยยิ้มบาง  ความรู้สึกย่ำแย่จากฝันร้ายถูกความรู้สึกบางอย่างที่คุ้นเคยเข้ามาแทนที่ 

          ความรู้สึกที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้ง เมื่อตื่นมาพบคนตรงหน้าฟุบหลับอยู่ข้างเตียง  หากจะเรียกความรู้สึกเช่นนี้ว่า อบอุ่น ปลอดภัย... ก็คงไม่ผิดนัก

          "เป็นความผิดของข้า ที่ทำให้เจ้าต้องเรื่องเจอร้าย ๆ จนกลับมาฝันเรื่องเช่นนี้อีก" 

          น้ำเสียงแผ่วเบาขององค์ชายจักรินทร์ทำเอาคนฟังถึงกับส่ายหน้าน้อย ๆ ทอดถอนใจ  

          "ข้าวางแผนการเองกับมือทุกขั้นทุกตอน  จะกลายเป็นความผิดของเจ้าได้อย่างไร"

          "ข้าไม่ควรดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้" 

          คนฟังนิ่วหน้า 

          "เจ้านี่อย่างไร  ตอนอยากให้ช่วยก็หาเหตุผลมาโน้มน้าวสารพัด ตอนนี้กลับพูดเหมือนไม่อยากให้ช่วยเสียแล้ว  องค์ชายเอาใจยากเช่นนี้ทุกคนหรือไม่"

          เขาจนด้วยคำพูด  ยามเดือดเนื้อร้อนใจนางเป็นคนแรกที่เขานึกถึง  เป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจ  เขาจึงมิได้ลังเลที่จะขอให้นางช่วยเหลือ  ทว่าเหตุการณ์ในวันนี้กลับทำให้เขาตระหนักถึงความจริงขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง  ความจริงที่ว่า  หากต้องเห็นคนตรงหน้าต้องเจ็บปวดกายใจเพราะเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องเหล่านี้  ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเขาเองที่ทำร้ายนางกับมือ

          ฟ้ามุ่ยคล้ายอ่านสีหน้าของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  ก็ถอนหายใจเล็กน้อยพลางกล่าว

          "หากรู้สึกผิดนัก  ต่อไปก็ดีกับข้าให้มาก ๆ วันหน้าเมื่อเรื่องต่าง ๆ คลี่คลายแล้ว เจ้าก็ไปเยี่ยมข้าบนเขาบ่อย ๆ ส่งข้าวของเงินทองให้ข้าใช้ไม่ขาดมือ  แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว"

          คำพูดนั้นกลับยิ่งทำให้ใจของคนฟังวูบไหว  พอคิดว่าหลังจากทุกอย่างคลี่คลายลง คนตรงหน้าก็จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างอิสระเพียงลำพัง ก็พลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างไรชอบกล

          เมื่อฟ้ามุ่ยเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงทำสีหน้าไม่สบายใจ  คิ้วเรียวก็เริ่มขมวดมุ่น  นัยน์ตาสีดำขลับมีแววดุดันขึ้นมาเล็กน้อย

          "เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ข้าถอนตัวตอนนี้กระมัง..."

          เขาถอนหายใจ  ไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นโดยไร้เหตุผลนี้  จึงก็รีบชิงตัดบท 

          "ข้าย่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น  เอาเถอะ...  คืนนี้ดึกมากแล้ว  เจ้าพักผ่อนก่อน ค่อยหารือกันต่อพรุ่งนี้--"

          พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกผลักแรง ๆ เข้าที่ไหล่ทีหนึ่ง 

          "ข้าฝันร้ายเช่นนี้แล้วจะให้หลับลงได้อย่างไรอีก"

          แม้คนพูดจะพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่คนฟังกลับเข้าใจถึงนัยของคำพูดนั้นเป็นอย่างดี

          "เจ้าอยากให้ข้าอยู่ด้วยหรือ" เขาถามเบา ๆ

          "อยู่คุยเรื่องลอบสังหารวันนี้ก่อนเถอะ..."

          สตรีผู้สวมหน้ากากกษัตริย์อยู่เป็นนิจ แม้แต่สหายสนิทยังเห็นรอยยิ้มที่แท้จริงของนางนับครั้งได้  ถึงกับเอ่ยปากขอร้องให้เขาอยู่ด้วย คงเป็นเพราะความฝันและความทรงจำเก่า ๆ ยังคงมีอิทธิพลต่อจิตใจของนาง หรือไม่ก็คงเพราะนางร้อนใจอยากจะแลกเปลี่ยนเรื่องราวในวันนี้กับเขาจริง ๆ 

          เขาพยักหน้าตอบตกลง โดยไม่ซักไซ้ไล่เลียงอะไรอีก  ถือวิสาสะว่าได้รับเชิญแล้วขยับกายขึ้นบนพระแท่นบรรทม เอนหลังพิงหมอนอิงที่ปักลวดลายเป็นดอกบัวสีทองวิจิตรในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง ปลดกระดุมที่คอเสื้อออกสองสามเม็ดเพื่อให้รู้สึกสบายตัวขึ้น  ฟ้ามุ่ยเอนกายพิงหมอนข้าง ๆ กัน  เริ่มซักไซ้เขาทันที

          "เสด็จพ่อของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง"

          "เสด็จพ่อทรงกริ้วมาก ให้เพิ่มกำลังทหารอารักขาให้มากขึ้น ไม่ว่าจะไปไหนต้องมีขบวนทหารอารักขาติดตาม ห้ามไปไหนตามลำพัง และสามวันก่อนเข้าพิธีก็ทรงขอให้งดไปค่ายฝึกทหาร"  คนถูกถามเล่าอย่างรวบรัดได้ใจความ  ฟ้ามุ่ยพยักหน้าเชื่องช้า

          "บอกตามตรงเดิมทีข้าสงสัยเสด็จพ่อของเจ้า  แม้นางลำเจียกจะบอกว่า ได้ปล่อยข่าวเรื่องเส้นการเดินทางของเรา และเรื่องที่เราไร้ผู้คุ้มกันไปกับคนในตำหนักของเจ้านางลักขณาวดี  ทว่าทางนั่นกลับเงียบ  กลับเป็นพ่อของเจ้าที่ส่งขุนณรงค์ตามมาอารักขา ขุนณรงค์ติดตามเรา เราก็ถูกลอบสังหารทันที  อีกทั้งเขาแทบไม่ได้ถวายการอารักขาเราเลยแม้แต่น้อย  โผล่มาอีกทีก็ตอนที่นักฆ่าพวกนั้นถูกจัดการไปหมดแล้ว  แม้จะอ้างว่ามิอาจฝ่ากลุ่มนักฆ่ามาหาเราได้ แต่ข้าก็ยังสงสัยเขาอยู่ดี"

          "ข้ากลับสงสัยอัครเรศมากกว่า" องค์ชายจักรินทร์กล่าว  ภาพองค์ชายอัครเรศถือคบไฟบนหลังม้ายังติดตาเขาอยู่จนถึงตอนนี้  "ถ้าจะมีใครไม่ควรอยู่ที่นั่นมากที่สุด ก็คงเป็นเขานี่แหละ" 

          "แต่ลำเจียกยืนยันว่าพบองค์ชายอัคเรศจริง  เรื่องที่นางเล่าก็ตรงกับที่องค์ชายบอกเราทุกอย่าง"  ฟ้ามุ่ยคัดค้าน

          "อาจเป็นแผนของเขาแต่แรก เพื่อจะตามมาดูว่ามือสังหารเหล่านั้นทำงานสำเร็จหรือไม่ หากไม่สำเร็จก็จะได้หาโอกาสจัดการต่อให้เรียบร้อย"

          "นั่นไม่สมเหตุสมผลนัก ในเมื่อจ้างมือสังหารมาแล้ว  เหตุใดต้องตัวเองเข้าไปเกี่ยวพันให้เป็นผู้ต้องสงสัยอีก  ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่ที่ตำหนักไม่ดีกว่าหรือ ข้าติดใจสัญญาณพลุสีแดงที่องค์ชายอัครเรศเห็นมากกว่า"

          "แล้วนางลำเจียกเห็นพลุนั่นหรือไม่เล่า"

          "องค์ชายอัครเรศบอกนางว่าเขาเห็น แต่ตัวนาง ไม่ได้เห็นกับตา  ถ้าพลุนั้นมีจริงเป็นขุนณรงค์หรือไม่ที่ให้สัญญาณพวกนักฆ่า"

          ผู้เป็นบุรุษนิ่งไปราวกับใช้ความคิด  แล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงเครียดขรึม

          "เขาอยู่ห่างเราไม่มาก ถ้าเขาจุดพลุสัญญาณเราจะไม่รู้เชียวรึ"

          "ก็ไม่แน่ เราไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่เขาแต่แรก"

          "ตอนนี้ความเห็นของเราไม่ตรงกันเสียแล้ว" องค์ชายจักรินทร์สรุป  ฟ้ามุ่ยหาวเสียหนึ่งคำรบ  ก่อนจะคลี่ยิ้มบางสีหน้ามิได้เคร่งเครียดแต่อย่างใด

          "ข้าไม่หวังว่าจะตกปลาใหญ่ได้ตั้งแต่คราแรกหรอก คอยจับตาสองคนนี้ไว้ให้ดีก็แล้วกัน  แต่ข้ายังไม่ตัดเจ้านางลักขณาวดีออกจากผู้ต้องสงสัยหรอกนะ ดีไม่ดีนางกับองค์ชายอัครเรศก็พวกเดียวกันนั่นแหละ อย่างไรก็เป็นแม่ลูกนี่"

          "ข้อนี้ข้าเห็นด้วย"

          ทั้งสองถกเถียงกันต่ออีกเล็กน้อย เสียงผู้เป็นสตรีแผ่วลงเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ไม่โต้ตอบอะไรอีก ร่างบางเอนซบลงบนบ่าของเขา ผมยาวสีดำขลับตกระลงมาข้างแก้ม  เขาทอดสายตามองสตรีข้างกายอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะโอบประคองร่างนั้นอย่างเบามือ จัดแจงให้นอนในท่าที่สบายที่สุด  ดึงผ้าห่มคลุมกายให้เรียบร้อย  แล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ 

          "ข้าทำผิดเสียแล้วกระมัง ที่ให้เจ้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้..."  เขาพึมพำเบา  ๆ  พลางเกลี่ยผมที่ระแก้มของนางให้เข้าที่เข้าทาง

          คงเพราะดึกแล้วอากาศเริ่มเย็น  ฟ้ามุ่ยพลิกกายเบียดชิดเข้าหาอกอุ่นโดยไม่รู้ตัว เขาจึงถือวิสาสะดึงร่างบางเข้ามากอดแนบอกปล่อยตัวเองให้ตกลงลงสู่ห้วงนิทราอันแสนอบอุ่นเช่นเดียวกัน