ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+) โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 14 ความกังวลของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 15 เช่นนี้เรียกว่าหึงหวง (NC),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 16 ข่าวร้าย

เนื้อหา

ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+)

          หลังเหตุลอบสังหารในวันนั้นทุกอย่างสงบสุขราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น องค์ชายจักรินทร์และพระชายาย้อนกลับไปหาหลักฐานในที่เกิดเหตุอีกหลายครั้ง แต่ไม่พบเบาะแสใด ๆ ทั้งคู่จึงกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ยามเช้าองค์ชายติดตามพระราชบิดาออกว่าราชการ ยามบ่ายเสด็จค่ายฝึกทหารทุกวันไม่ขาด โดยมีทหารรักษาพระองค์ติดตามไปอารักขาจำนวนมาก

          เมื่อใกล้ถึงวันพระราชพิธีสำคัญ องค์เหนือหัวจักรทิพย์มีพระราชโองการให้หยุดปฏิบัติราชกิจที่ค่ายทหารเป็นการชั่วคราว ทั้งสองจึงต้องอยู่แต่ในเขตพระราชฐานชั้นใน เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมพิธีสำคัญ มีการซักซ้อมลำดับขั้นตอนต่าง ๆ อันแสนยุ่งยากและซับซ้อน

          องค์ชายจักรินทร์ถูกห้ามไม่ให้เสด็จตำหนักริมน้ำที่จะใช้เป็นเรือนหอเป็นการชั่วคราวเพื่อให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี ทำให้ตลอดเวลาสองสามวันที่เตรียมตัวเข้าพิธีนั้นว่าที่บ่าวสาวแทบไม่มีโอกาสพบหน้ากันเลยก็ว่าได้

          วันแรกของพระราชพิธีไม่หนักหนาสาหัสสำหรับฟ้ามุ่ยเท่าใดนัก เพียงแต่ต้องตื่นเช้ากว่าปกติหลายเท่าเพื่อแต่งกายให้สมพระเกียรติไปเข้าร่วมพิธีก็เท่านั้น

          แต่เนื่องจากยังไม่มีบทบาทสำคัญในพระราชพิธีวันนี้ ฟ้ามุ่ยจึงเลือกแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีอ่อนรูปแบบเรียบง่าย สวมเครื่องประดับแต่พองามตามยศศักดิ์ที่ควรจะมีเพื่อมิให้โดดเด่นจนเกินไป กระนั้นเมื่อมาถึงยังท้องพระโรงก็ยังเรียกสายตาจากเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารให้หันมามองได้อยู่ดี

          เสียงกระซิบกระซาบไถ่ถามกันดังทั่วท้องพระโรง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าสตรีผู้สง่างาม กิริยาท่าทางแลดูสูงศักดิ์ผู้นี้เป็นใคร เมื่อได้คำตอบว่า นางคือว่าที่พระชายาขององค์ชายรัชทายาทก็เรียกเสียงฮือฮาได้อีกหนึ่งคำรบ

          จะด้วยความบังเอิญหรือเป็นไปตามประเพณีก็มิอาจทราบได้ ฟ้ามุ่ยจึงถูกจัดให้นั่งข้างกันกับเจ้านางบัวบุศย์ ผู้งดงามหวานละมุนในชุดสีชมพูอ่อน เมื่อฝ่ายนั้นเห็นฟ้ามุ่ยเดินไปยังที่นั่งก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นทำความเคารพก่อน ฟ้ามุ่ยยิ้มตอบแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้นั่งลงได้ ส่วนตนเองก็นั่งลงบนพระแท่นข้าง ๆ กัน กิริยาท่าทางที่แสดงอำนาจเหนืออีกฝ่ายเช่นนั้นทำให้เจ้านางลักขณาวดีที่มองลงมาจากพระแท่นทองคำด้านซ้ายของเจ้าเหนือหัวจักรทิพย์ ชักสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที

          "เจ้านางฟ้ามุ่ย มิพบกันเสียนานสบายหรือไม่เพคะ"

          "สบายดี ถูกลอบสังหารไปหนหนึ่ง แต่ก็ยังสบายดี" ฟ้ามุ่ยกล่าวยิ้ม ๆ "เจ้านางบัวบุศย์เล่า สบายดีหรือไม่"

          "สบายดีเพคะ" เจ้านางบัวบุศย์ตอบด้วยใบหน้าจืดเจื่อน พลันสายตาเหลือบไปเห็นสายตาของเจ้านางลักขณาวดีที่จ้องมองมาก็เงียบไป มิได้ชวนคุยต่ออีก

          พระราชพิธีเริ่มต้นขึ้นด้วยการประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาทใหม่ เหล่าข้าราชบริพารในราชสำนักจะต้องเข้าร่วมพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ซึ่งนับเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาท

          ฟ้ามุ่ยลอบดูแคลนอยู่ในใจ เพราะรู้เห็นมาด้วยตนเองแล้วว่าต่อให้สาบานอย่างไร พอกระหายอำนาจขึ้นมาแล้ว ก็มิมีผู้ใดเกรงกลัวต่อคำสาบานเลยแม้แต่คนเดียว

          คาดไม่ถึงว่าเจ้านางบัวบุศย์เองก็มีสีหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ราวกับว่าสิ่งที่ฟ้ามุ่ยรู้สึกอยู่นั้นได้แสดงออกมาผ่านทางสีหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งหมดแล้ว ทว่าเพียงไม่กี่วินาทีต่อมารอยยิ้มหวานละมุนก็กลับมาประดับอยู่บนใบหน้าของนางอีกครั้งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

          ดูท่าว่าคงต้องสืบหาตัวตนของสตรีผู้นี้ใหม่เสียแล้ว....

          เสร็จจากพิธีดังกล่าว เจ้าจักรทิพย์นฤบดินทร์ ผู้เป็นกษัตริย์ ทรงสวมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่แสดงถึงตำแหน่งและสถานะขององค์รัชทายาทให้พระราชโอรสด้วยพระองค์เอง จากนั้นเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างเข้าเฝ้าถวายพระพรและแสดงความยินดีกับองค์รัชทายาทใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          ภาพตรงหน้าทำให้ฟ้ามุ่ยนึกถึงคำกล่าวขององค์ชายจักรินทร์ที่เคยกล่าวกับนางเมื่อไม่นานมานี้

          ...ผู้ที่กำลังยิ้มให้ข้า ผู้ที่กำลังทำความเคารพข้า แท้จริงแล้วคนเหล่านั้น ใครกันสังหารพี่ชายข้า ใครก่อชนวนสงคราม ใครบ้างที่อยากเห็นข้าตาย...

          คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจเพียงลำพัง



          พระราชพิธีวันที่สองเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เช่นเคย คราวนี้ฟ้ามุ่ยถูกจัดแจงแต่งกายโดยคนจากสำนักพิธีการ หาใช่ฝีมือนางลำเจียกเช่นเคยไม่ การแต่งกายเป็นไปอย่างประณีตทุกขั้นตอน ฟ้ามุ่ยสวมเสื้อผ้าไหมสีแดงสดยกดอกกับผ้าซิ่นตีนจกสีแดงยกไหมทอง ห่มเฉียงสไบจีบสีเขียวขี้ม้าทับด้วยผ้าทรงสะพักนพรัตน์ ปักดิ้นลายทองทั้งองค์มีดารานพรัตน์ปักประดับด้วยอัญมณี สวมเครื่องประดับเต็มยศอย่างสมพระเกียรติ

          องค์ชายจักรินทร์แต่งกายด้วยสีผ้าไหมสีเข้มขับผิวให้ดูสว่างขึ้น หล่อเหลา สง่างามและทรงอำนาจบารมีผิดหูผิดตาเช่นกัน เมื่อทั้งคู่เข้าสู่ท้องพระโรงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตในการสมรส ต่างฝ่ายก็ต่างจ้องมองกันและกันด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด

          "ข้ารู้สึกเหมือนไม่ได้พบเจ้ามานานเป็นปี" องค์ชายจักรินทร์เปรยเบา ๆ กับสตรีตรงหน้าที่บัดนี้ดูงดงามผิดหูผิดตาจากที่เคย

          ฟ้ามุ่ยหัวเราะเบา ๆ "ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น"

          "ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่" เขาพินิจร่างบางตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับกลัวว่าจะพบความผิดปกติปรากฏขึ้นที่ใดที่หนึ่ง

           "ทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแต่... " ดวงตาสีดำขลับหลุบลงเล็กน้อยอย่างผิดวิสัย "พอคิดว่าต้องแต่งงานเข้าจริง ๆ ก็รู้สึกแปลกอย่างไรชอบกล" ฟ้ามุ่ยพึมพำเบา ๆ

          ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้คนฟังอีกขยับกายเข้ามาใกล้ ๆ มือใหญ่อบอุ่นคว้ามือเล็กไปเกาะกุมเอาไว้แน่น ฟ้ามุ่ยบีบมือเขาเบา ๆ เป็นการตอบรับ เมื่อจับมือกันเอาไว้เช่นนี้ความกังวลต่าง ๆ ก็ดูเหมือนจะคลี่คลายลงชั่วขณะ

          ทว่าแม้ต่างฝ่ายต่างรู้ดีอยู่แล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงการแสดงละครฉากใหญ่ กลับอดรู้สึกอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ว่าหลังจากวันนี้ไปความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจย้อนคืนมาดังเดิมได้



          ช่วงบ่ายนับเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายอย่างแท้จริง เพราะเมื่อเสร็จจากพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระชายาองค์ใหม่ก็ต้องเตรียมตัวเข้าพิธีถวายตัวในช่วงเย็นต่อไป ซึ่งนับว่าเป็นช่วงที่ทรมานที่สุดที่ฟ้ามุ่ยต้องพบเจอเลยก็ว่าได้

          เริ่มจากต้องอาบน้ำชำระร่างกายอีกรอบด้วยสมุนไพรและเครื่องหอมจำนวนมาก ขัดผิวพอกตัวด้วยดินสอพองและขมิ้น อบร่ำเส้นผมให้หอมกรุ่น จากนั้นต้องนั่งบนกระโถนซึ่งภายในมีสมุนไพร ยางไม้หอมและเปลือกไม้หอมใส่เอาไว้ แล้วใช้ความร้อนจากถ่านเพื่ออบร่ำให้หอมทั้งภายนอก และภายใน...

          ตกค่ำขบวนเสด็จองค์ชายรัชทายาทมาถึงตำหนักริมน้ำตามฤกษ์ที่กำหนดไว้ ภายในตำหนักริมน้ำที่ถูกตกแต่งสำหรับใช้เป็นเรือนหอ หอมกรุ่นด้วยดอกไม้สด และเครื่องหอม ผ้าม่าน หมอน และผ้าที่ปูลาดบนแท่นบรรทมล้วนถูกเปลี่ยนใหม่ให้มีลวดลายมงคล

          เสียงขานพระนามองค์ชายจักรินทร์ดังขึ้นที่หน้าตำหนัก ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของบุรุษเจ้าของชื่อเดินไปยังห้องบรรทม ฟ้ามุ่ยที่ถูกกักตัวอยู่ภายในห้องเล็ก ๆ ก่อนเริ่มพิธีพลันหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเพียงการถวายตัวพอเป็นพิธีเท่านั้น กลับรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

          ลำเจียกเห็นท่าทางคนเป็นนายแปลกไป ก็รีบกุมมือผู้เป็นนายไว้แน่น

          "พระชายา ทรงกลัวหรือเพคะ"

          "มิได้กลัว เพียงแค่ประหม่าเล็กน้อยเท่านั้น" แม้จะกังวลอยู่ลึก ๆ แต่ฟ้ามุ่ยก็มิได้กล่าวออกมาให้นางลำเจียกกังวลใจไปด้วย เพียงแต่ขยับรอยยิ้มบาง บอกแก่นางว่าเพียงประหม่าเล็กน้อยเท่านั้น

          นางลำเจียกพยักหน้า ยิ้มจนตาหยี

          "อย่ากังวลไปเลยเพคะ องค์รัชทายาททรงรักพระชายามาก ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดีแน่เพคะ"

          ว่าแล้วนางลำเจียกก็ยกพานธูปเทียนแพส่งให้ผู้เป็นนาย พยักพเยิดให้หญิงรับใช้อีกคนเปิดประตูห้อง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

          "ได้เวลาแล้วเพคะ"



          ในห้องบรรทมจุดเทียนไว้สลัว ๆ ร่างบางเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า สง่างามดุจนางพญา บุรุษที่นั่งอยู่ในห้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ใบหน้าขาวนวลที่คุ้นเคยเปล่งปลั่งท่ามกลางแสงเทียน เนินอกนวลผ่องผุดผาดไร้อาภรณ์ปกปิด มีเพียงฉลองนมสีทองฉลุลวดลายงดงาม อ่อนช้อยเป็นเครื่องประดับติดกายเพียงชิ้นเดียว ผมยาวสีดำขลับรวบต่ำมุ่นเป็นมวยเหนือต้นคอเล็กน้อย ประดับด้วยปิ่นทองอันเล็ก ท่อนล่างสวมผ้าไหมสีแดงเลือดนกยาวกรอมเท้า มือทั้งสองประคองพานธูปเทียนแพที่ใช้ประกอบพิธีไว้เหนือหัว เป็นภาพที่ทำให้เขาตื่นตะลึงจนหายใจติดขัด

          สตรีตรงหน้าสบตาเขาแวบหนึ่งก่อนจะนั่งลงกับพื้น วางพานธูปเทียนไว้แทบพระบาท ก้มลงกราบแล้วบรรจงเปิดกรวยใบตองเผยให้เห็นกลีบกุหลาบสีแดงสดที่อยู่ภายในกระทง เขารับพานจากนางแล้ววางบนแท่นข้างที่บรรทม

          "ขึ้นมานั่งนี่เถอะ" เขาตบพระแท่นเบา ๆ

          ฟ้ามุ่ยทำตามอย่างว่าง่าย ลำเจียกและนางรับใช้ทั้งสองจึงถวายบังคมแล้วรีบออกไปจากห้อง

          เมื่อแน่ใจว่าหญิงรับใช้ออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองสำรวจคนตรงหน้าแล้วรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนจะจับไข้

          "แปลกตาหรือ" คนถูกจับจ้องเอ่ยถาม

          "แปลกตา" เขาตอบตามความสัตย์จริง

          ฟ้ามุ่ยหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะปลดปิ่นปักผมออก ผมยาวสลวยหอมกรุ่นคลี่คลุมแผ่นหลังของนางมองดูคล้ายเส้นไหมสีดำสนิท

          เขารู้สึกขัดเขินชอบกล จึงหันไปรินชาที่วางอยู่ใกล้พระแท่นบรรทมแล้วยกขึ้นจิบช้า ๆ เบี่ยงเบนความสนใจของตนเองไปจากนางเสีย

          "พระราชพิธีวันนี้ยาวนานนัก ข้าง่วงเต็มทีแล้ว ก่องนมนี้ก็กดเนื้อข้าเสียจนเจ็บ" ฟ้ามุ่ยบ่นเบา ๆ

          เมื่อได้ยินถ้อยคำบ่นของนาง สายตาขององค์ชายจักรินทร์ก็พลันหลุบมองตามโดยไม่ทันได้ห้ามตนเอง เห็นเนื้อนวลรำไรลอดผ่านลายฉลุอันแสนวิจิตรก็รีบเบนสายตาไปทางอื่นทันที

          ฟ้ามุ่ยเดินไปเปิดหีบที่มุมห้อง หยิบผ้าแพรสีอ่อนมาผืนหนึ่งแล้วเดินกลับมาที่พระแท่นบรรทม

          "เจ้าช่วยปลดตะขอด้านหลังให้ข้าได้หรือไม่ ข้าเอื้อมไม่ถึง"

          เขารู้สึกคอแห้งขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จึงจิบชาไปอีกสองสามอึกก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยปลดตะขอทองคำที่กดเนื้อนวลจนแดงช้ำ ครั้นมือสัมผัสโดนผิวเนื้ออ่อนละมุนก็รู้สึกร้อนวาบที่ท้องน้อยขึ้นมา

          เขาชะงัก รีบหดมือกลับอย่างรวดเร็วราวกับถูกของร้อน แล้วสั่นศีรษะแรง ๆ เป็นการเรียกสติ

          "เร็วหน่อย ข้าเจ็บจนเนื้อจะขาดอยู่แล้ว" สตรีตรงหน้าเร่งอีกด้วยน้ำเสียงร้อนรน มือกวัดแกว่งมาข้างหลังพยายามควานหาตะขอทองคำที่เป็นปัญหา

          องค์ชายจักรินทร์ขบกรามแน่น ข่มความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นในใจอย่างยากลำบาก ยื่นมือสั่นเทาออกไปช่วยปลดตะขอทองคำอีกครั้งอย่างงุ่มงาม เมื่อปลดได้แล้วก็รีบหันหลังให้นางทันที คว้าถ้วยชาขึ้นมารินชากลิ่นหอมประหลาดลงในถ้วยอีกครั้ง แล้วยกดื่มรวดเดียวหมด หวังให้ช่วยบรรเทาความรู้สึกร้อนวูบวาบที่ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

          เคร้ง!!

          เขากระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะ ฟ้ามุ่ยที่แต่งกายเรียบร้อยดีแล้วหันกลับมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจยิ่ง คิ้วเรียวขมวดมุ่น

          "เป็นอันใด"

          "ไม่เป็น..." เขาขบฟัน พูดไม่เป็นประโยค รู้สึกอึดอัดราวกับร่างกายส่วนล่างกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ

          เมื่อสังเกตเห็นดวงตาแดงก่ำของอีกฝ่าย ฟ้ามุ่ยที่เข้าใจผิดคิดไปว่าเขาอาจจะจับไข้ก็เอื้อมมือไปสัมผัสหน้าผากเขาอย่างไม่ทันระแวดระวัง แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายคว้าข้อมือนางไว้ ไม่ยอมให้สัมผัสใบหน้า มือของเขาร้อนจัดราวกับถูกไฟลน

          "เจ้าจับไข้เสียแล้วกระมัง" ฟ้ามุ่ยพึมพำพยายามจะดึงมือกลับ แต่มือร้อนกลับเกาะกุมไม่ยอมปล่อย คนถูกจับเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงกระชากแขนกลับในทันที แต่ช้าไปเสียแล้วร่างบางถูกจับพลิกกดลงบนเตียง แขนขาถูกตรึงเอาไว้แน่น

          "เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้า!" ว่าแล้วก็ถีบเข้าที่ท้องอย่างแรง อีกฝ่ายตัวงอแต่นางก็ยังดิ้นไม่หลุด องค์ชายจักรินทร์ในวัยหนุ่มเรี่ยวแรงต่างจากคนเดิมในวัยเด็กลิบลับ

          หญิงสาวกวาดสายตามองรอบห้องมองหาหนทางเอาตัวรอด ทันใดนั้นก็รู้สึกสะดุดใจกับกาน้ำชาสีขาวลวดลายประหลาดที่วางอยู่ใกล้แท่นบรรทม

          ...คืนเข้าหอควรจะวางน้ำจัณฑ์ไว้มิใช่หรือ เหตุใดจึงกลายเป็นชาได้เล่า

          นางถีบเขาที่ท้องอีกหนเพื่อเรียกสติ เขาตัวงอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมท้อง นางจึงใช้มือข้างที่เป็นอิสระดันแผ่นอกของเขาเอาไว้

          "เมื่อครู่เจ้าดื่มชาเข้าไปรึ"

          เขาเหลือบมองกาน้ำชา อย่างเลื่อนลอย

          "ใช่ข้าดื่ม..." ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเขม็งเครียด ใบหน้าบิดเบี้ยว มือใหญ่ยกขึ้นตบหน้าตนเองเพื่อเรียกสติสองสามหน ก่อนจะชกผนังเหนือแท่นบรรทมไปอีกหนึ่งที

          ฟ้ามุ่ยใช้โอกาสนั้นดิ้นหลุดจากพันธนาการ นางดีดตัวขึ้นจากเตียงวิ่งไปที่ประตู แต่แล้วก็หยุดชะงัก หากออกไปเวลานี้ ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งคู่จะไม่ถูกเปิดเผยหรอกหรือ...

          ผู้ที่วางยาในชาต้องการให้เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่... หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง....

          ระหว่างที่ยืนคิดใคร่ครวญอยู่นั้น บุรุษผู้อยู่บนเตียงก็เริ่มดึงทึ้งผมของตน และส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดทรมานยิ่ง

          ฟ้ามุ่ยโผกลับไปที่เตียงอีกครั้ง รีบตะครุบปิดปากเขาไว้ทันที

          "อ้ายมิ่ง... มิ่งเมือง... เจ้าใจเย็นหน่อยได้หรือไม่ หากส่งเสียงประหลาดเช่นนี้ออกไปเราถูกจับได้แน่"

          เขาเงียบเสียงลง เหงื่อเย็น ๆ ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า พยายามเค้นเสียงลอดไรฟัน

          "ฟ้ามุ่ย... ออกไป... ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว..."

          ตีให้สลบเสียดีหรือไม่... ฟ้ามุ่ยคิดหนัก

          เช่นนั้นหนีออกไปแล้วค่อยกลับมาตอนรุ่งสางคงได้กระมัง...

          แต่ถ้าเขาคลุ้มคลั่งแล้วออกไปพบผู้อื่นเข้าเล่า...

          ใจของนางหล่นวูบเมื่อนึกถึงนางลำเจียกที่คงเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องบรรทม

          คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปม ริมฝีปากขบแน่นด้วยความสับสน ขณะที่จ้องมองคนตรงหน้ากำลังต่อสู้กับแรงขับภายในร่างกาย

          "เจ้า... ออกไป.. เร็ว... ข้าไม่ไหวแล้ว--"

          ฟ้ามุ่ยแตะมือลงบนหลังมือของเขาเบา ๆ พยายามปลุกปลอบเรียกสติ

          "เจ้าตั้งสติหน่อย หายใจลึก ๆ ใจเย็น ๆ" นางปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางลูบหลังลูบไหล่เขาของเขาอย่างเบามือ

          หากเป็นช่วงเวลาที่สติครบถ้วนสมบูรณ์ การกระทำนี้คงทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ และใจเย็นลงได้ไม่ยาก หากแต่เวลานี้ไม่ว่านางจะสัมผัสที่ใด ทุกที่ที่นางสัมผัสกลับร้อนวาบเหมือนไฟ สติของเขาพร่าเลือนลงทุกขณะ

          "อย่า..." เขาอยากจะร้องบอกนางว่า อย่าได้สัมผัสเขามากไปกว่านี้ แต่ถ้อยคำกลับขาดห้วงหายไปเหลือเพียงเสียงครวญครางเสียงต่ำ ๆ ที่เกิดจากแรงปรารถนา

          ฟ้ามุ่ยขบริมฝีปากแน่น... ตัดสินใจกอดบุรุษที่กำลังดิ้นรนทรมานจากด้านหลัง  กระชับอ้อมแขนแน่น แนบแก้มลงบนแผ่นหลังของเขา คลื่นความรู้สึกหลายหลากประเดประดังเข้ามาในใจ แม้รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังตัดสินใจจะทำอยู่นี้อาจทำให้นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ในภายหลัง แต่นางคงก็ไม่อาจทนเห็นเขาทรมานเจียนตายอยู่ต่อหน้า หรือปล่อยให้เขาไปทำเรื่องอย่างนั้นกับผู้อื่นได้เช่นกัน...

          ภายใต้สติอันน้อยนิดของบุรุษผู้กำลังทุรนทุราย เขารู้สึกถึงสัมผัสของปลายนิ้วเรียวที่ค่อย ๆ ลูบไล้ไปตามแผ่นอก และลำคออย่างเชื่องช้าสัมผัสแผ่วเบานั้นทำให้เขาพึงพอใจจนแทบคลั่ง หัวใจแทบจะหยุดเต้น เมื่อสัมผัสจากปลายนิ้วนั้นลูบไล้ต่ำลงเรื่อย ๆ

          "อย่า..." สติสุดท้ายสั่งให้เขาร้องห้าม คว้าข้อมือบางที่กำลังปลดผ้านุ่งของเขาเอาไว้ มือนั้นสั่นระริก แต่เขากลับไร้เรี่ยวแรงที่จะห้ามปราม เมื่อภายในใจร่ำร้องไปในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

          ผ้านุ่งของเขาถูกปลดออก นิ้วเรียวลูบไล้ส่วนอ่อนไหวที่สุดของเขาอย่างเบามือ เชื่องช้านุ่มนวล มืออีกข้างก็เค้นคลึงคลอเคลียแผงอกแกร่ง ก่อเกิดเป็นสัมผัสเร่าร้อนที่ทำให้เขาแทบคุมสติไม่อยู่

          เขาส่งเสียงครางแผ่วเบาเมื่อจู่ ๆ นิ้วเรียวที่สัมผัสร่างกายส่วนล่างก็เปลี่ยนจากลูบไล้อย่างนุ่มนวล เป็นกำกระชับไว้หลวม ๆ ร่างกายของเขาตื่นตัว แข็งแกร่งชูชันรับสัมผัสจากนิ้วเรียวอ่อนนุ่ม

          ข้อมือบางเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นลงช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง เขาสั่นสะท้านไปทั่วร่าง หายใจหอบกระเส่า มือข้างหนึ่งจิกขยำลงไปบนอะไรบางอย่างที่อ่อนนุ่ม อีกข้างเกาะกุมข้อมือนั้นเอาไว้ พยายามเร่งเร้าให้สัมผัสของนางถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงปรารถนา

          นานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ หรือสั้นชั่วอึดใจก็ไม่อาจทราบแน่ชัด ชั่ววินาทีที่รู้สึกถึงริมฝีปากอิ่มของอีกฝ่ายที่กดจูบเบา ๆ ลงบนแผ่นหลัง ในหัวก็พลันขาวโพลนไปด้วยขนนก ร่างกายทุกส่วนเกร็งกระตุก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดทะลุออกมานอกอก ของเหลวในร่างกายถูกปลดปล่อยออกมา แล้วไฟที่แผดเผาอยู่ในท้องของเขาก็ค่อย ๆ มอดลง

          ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง สติสัมปชัญญะบางส่วนเริ่มกลับมา เขาได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเองสะท้อนไปทั่วห้อง

          ตอนนี้เองที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาได้ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดใส่คนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ทำให้แผ่นหลังสัมผัสเข้ากับอกอิ่มที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เพิ่งรู้ตัวว่าขาเรียวสวยของนางถูกมือข้างหนึ่งของเขาจับจิกแน่นจนเกิดรอยแดงช้ำ

          มือข้างหนึ่งของนางยังกุมอยู่ที่อกซ้ายของเขา อีกข้างที่ยังสั่นระริกยังคงกุมอยู่ที่เดิม...

          ฟ้ามุ่ยค่อย ๆ คลายอ้อมแขนออก ขณะที่อีกฝ่ายหมุนตัวหันมาสบตาด้วย เพียงแวบเดียวที่ประสานสายตากัน ไฟในกายของบุรุษตรงหน้าที่ดูเหมือนจะมอดลงแล้วกลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

          ร่างบางถูกกดให้นอนราบมือทั้งสองข้างถูกรวบไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากร้อนประกบลงมาอย่างหิวกระหาย บดขยี้จูบที่รุนแรงลงบนริมฝีปากนุ่มจนชอกช้ำราวกลีบดอกไม้ถูกขยี้

          ฟ้ามุ่ยตื่นตระหนก นางคิดว่าเพียงทำตามใจเขาสักครั้ง ฤทธิ์ยาก็น่าจะคลายลง ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ร่างบางดิ้นขลุกขลักถีบคนตรงหน้าแรง ๆ อีกครั้งเพื่อเรียกสติ

          คนถูกถีบได้สติกลับคืนมาบางส่วน แต่ยังคงพ่ายแพ้ต่อแรงปรารถนา สติสัมปชัญญะอันน้อยนิดสั่งให้เขาจูบนุ่มนวลลงกว่าเดิม ปลายลิ้นรุกล้ำควานหาความหวานละมุนจากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

          เนิ่นนานจึงถอนริมฝีปากจากกลีบปากอิ่ม ค่อย ๆ ไล่ละเลียดจูบไปตามหน้าผาก แก้ม และลำคอขาวนวล สูดดมกลิ่นหอมจากเส้นผมนุ่มละเอียดราวเส้นไหมก่อนจะไล่จูบคลอเคลียลงไปตามซอกคอและเนินอก 

          ผ้าแพรสีอ่อนที่นางบรรจงพันไว้ถูกปลดออกอย่างง่ายดายด้วยมือข้างเดียว เขาประทับจูบลงบนรอยแผลเป็นที่อกซ้าย จูบไล่ตามรอยแผลที่ลากยาวมาถึงกลางอก บรรจงสัมผัสยอดถันบอบบางอย่างแผ่วเบา เค้นคลึงคลอเคลียด้วยปลายลิ้น ส่วนที่อ่อนไหวนั้นแข็งชูชันรับสัมผัส เสียงครวญครางแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากอวบอิ่ม แม้ร่างบางยังคงดิ้นขลุกขลักขัดขืน

          "อ้ายมิ่ง..."

          เขาหยุดการกระทำของตัวเองอย่างยากเย็น เงยหน้าขึ้นสบตาสตรีผู้ที่กำลังเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงชวนให้วาบหวาม ทั้งคู่สบตากันเนิ่นนาน ยิ่งสบตากันก็ยิ่งทำให้กระแสความปรารถนาพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง

          สุดท้ายแรงปรารถนาในใจก็เป็นฝ่ายชนะ ฟ้ามุ่ยหลับตาลง ปล่อยให้เขารุกรานต่อตามใจชอบ...

          เช่นเดียวกับกองไฟที่ถูกราดน้ำมันลงไป ย่อมลุกไหม้โหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ ยากที่จะมอดดับลงได้โดยง่าย จนใกล้รุ่งสางความเคลื่อนไหวทุกอย่างในห้องจึงหยุดลง...