ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น

          เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากนอกหน้าต่างปลุกบุรุษผู้หลับใหลให้ตื่นขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เขาขยับร่างใต้ผ้าห่มอย่างเชื่องช้า กระชับอ้อมแขนที่โอบกอดเอวบางของสตรีข้างกายไว้หลวม ๆ ให้แน่นขึ้น จนแผ่นหลังหลังเปลือยเปล่าแนบชิดกับอกแกร่ง เขาซุกหน้ากับเรือนผมหอมกรุ่น ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาแม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหลับหรือตื่นก็ตาม

          "ข้าขอโทษ..."

          อีกฝ่ายยอมนิ่งให้กอดอยู่ครู่หนึ่ง  แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเสียที  ก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ

          "ตื่นแล้วก็ปล่อยข้าเถอะ"

          เขาคลายอ้อมกอดออกแต่โดยดี ฟ้ามุ่ยยังคงนอนนิ่งมิได้เอื้อนเอ่ยอันใดต่อ  ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชวนอึดอัด

          "ฟ้ามุ่ย..." เขาวางมือบนไหล่ลาดมน พูดกับแผ่นหลังเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย

          "เจ้าไม่ต้องขอโทษแล้ว..." ฟ้ามุ่ยเอ่ยขัดขึ้นทั้งที่ยังหันหลังอยู่ "มิใช่ความผิดของเจ้าที่ควบคุมตนเองมิได้"

          "เป็นความผิดของข้า  ฟ้ามุ่ย..."  เขาลุแก่โทษ  รู้ดีว่าได้ทำผิดต่อคนตรงหน้าแล้วอย่างไม่น่าให้อภัย

          แม้ว่าเดิมทีเป็นเพราะฤทธิ์ยาทำให้เขาควบคุมตนเองมิได้  แต่หลังจากที่แรงขับภายในได้ถูกปลดปล่อยออกไปครั้งหนึ่งแล้ว  สติสัมปชัญญะบางส่วนก็กลับคืนมา  เขาจึงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่ากระทำไปโดยไร้สติ  ทั้งยังมิอาจกล่าวโทษว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาทั้งหมดได้

          "ข้ารู้ว่าเจ้าพอจะมีสติอยู่บ้าง  แต่ข้ามีสติครบสมบูรณ์ดี ข้ารู้อยู่แล้วว่าหากไม่หนีออกไปจากที่นี่เรื่องเช่นนี้ต้องเกิดขึ้น แต่ก็เลือกที่จะอยู่... 

          และที่เรื่องมันเลยเถิดเช่นนี้  ก็มิใช่เพราะเจ้าฝ่ายเดียว แต่เป็นเพราะข้าเองก็ตอบสนองต่อเจ้า เพราะข้าเองก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้า..."

          ถ้อยคำที่ทำให้คนฟังปวดร้าวไปทั้งใจ  ด้วยฝีมือและความสามารถของฟ้ามุ่ย จะหนีออกไปจากที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องยากลำบากอันใด แต่เพราะการหนีออกไปนั้นย่อมเสี่ยงที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้ผู้อื่นรู้  นางจึงจำต้องอยู่... 

          และคงเพราะไม่อาจทนเห็นเขาทุกข์ทรมานจากฤทธิ์อันรุนแรงของยา นางจึงคิดว่าการสัมผัสร่างกายเขาจะช่วยให้ความกำหนัดรุนแรงคลายลงได้  หารู้ไม่ว่าตนเองกำลังเล่นอยู่กับไฟ

          สุดท้ายไฟก็แผดเผานางไปด้วย...

          ร่างบางเงียบไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะยันกายขึ้นนั่ง เรือนร่างเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ คลี่คลุมด้วยเส้นผมสีดำละเอียดราวเส้นไหม แม้เห็นเพียงแผ่นหลังก็ยังหมดจดงดงาม เสียจนคนมองอดรู้สึกปั่นป่วนในใจไม่ได้

          "อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย  เร่งสืบดูให้แน่ชัดเถอะว่าใครกันที่สามารถวางยาเจ้าได้แม้ในเวลาที่ตำหนักแห่งนี้ถูกคุ้มกันแน่นหนา  หากนี่เป็นยาพิษที่หมายจะเอาชีวิตข้ากับเจ้าคงมิได้ตื่นขึ้นมาสนทนากันอยู่เช่นนี้"

          กล่าวจบฟ้ามุ่ยก็รวบผมข้ามไหล่ไปด้านหน้าใช้มือสางผมช้า ๆ ราวกับกำลังจมดิ่งลงไปในห้วงความคิด

          เขาจนด้วยคำพูด  ได้เพียงมองแผ่นหลังและไหล่เล็กของนางที่บัดนี้หนักอึ้งไปด้วยภาระหน้าที่และปัญหามากมายที่เขาขอร้องให้ร่วมแบกรับ ในใจพลันรู้สึกอยากรวบร่างบางนั้นไว้ในอ้อมกอด แล้วพร่ำกล่าวคำขอโทษจนกว่านางจะยอมให้อภัย ทว่าบัดนี้กลับไม่กล้าจะสัมผัสนางแม้แต่ปลายนิ้ว...


          องค์ชายจักรินทร์ติดตามเจ้าจักรทิพย์ผู้เป็นบิดาออกว่าราชการอย่างไม่ค่อยมีสมาธินัก ด้วยภาพแผ่นหลังของใครบางคนคอยแต่จะผุดขึ้นมารบกวนในสมองสลับกับภาพความทรงจำอันแสนวาบหวามชวนให้สมาธิปั่นป่วน

          ขุนนางเหล่านั้นฝ่ายหนึ่งต้องการให้เขาเร่งจัดการความไม่สงบที่ชายแดนโดยเร็วเพื่อขจัดความกังวลของไพร่ฟ้าประชาชน ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเร่งให้เขารีบแต่งตั้งพระชายารองก่อน  แม้สถานการณ์ชายแดนจะไม่สู้ดีนักก็ตาม

          เขารักษาสีหน้าให้เรียบเฉยขณะที่พยายามจับสังเกตท่าทีของขุนนางเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน การถกเถียงกันถึงปัญหาในมุ้งอย่างแต่งชายารองหรือไม่แต่งในขณะที่เขาเพิ่งเข้าหอกับชายาเอกไปเมื่อคืนนั้นเป็นเรื่องที่พิลึกพิลั่นยิ่งนัก  ทั้งยังเกิดขึ้นในที่ประชุมเหล่าขุนนางเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไร้ความหมายแน่ ต้องมีผู้ที่ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนเจ้านางบัวบุศย์ผู้นี้ให้ขึ้นเป็นพระชายา และต้องมีผู้เสียประโยชน์ด้วยเช่นกัน

          ในขณะที่ขุนนางทั้งสองฝ่ายต่างถกเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร  เจ้าจักรทิพย์ก็เบือนพระพักตร์มาทางพระราชโอรสเพื่อขอความเห็น

          "องค์รัชทายาทเล่าเห็นควรให้เป็นเช่นไร"

          องค์รัชทายาทหนุ่มผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาขยับรอยยิ้มบาง  กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม

          "หม่อมฉันรับปากเสด็จแม่ไว้แล้วว่าจะอภิเษกกับนางตามพระประสงค์ก็ต้องทำตามที่ได้รับปากไว้ ส่วนเรื่องเวลาที่เหมาะสมนั้น หม่อมฉันเห็นว่าหลังจากอภิเษกกับพระชายาเอกพ้นเจ็ดวันแล้ว ก็สามารถอภิเษกพระชายารองได้โดยไร้ข้อครหาพ่ะย่ะค่ะ"

          ขุนนางหลายคนตกตะลึงกับคำตอบ บางคนขบกรามแน่น สีหน้าบิดเบี้ยวไม่น่ามอง

          ...องค์รัชทายาทก็รักใคร่กันดีกับพระชายาเอกมิใช่หรือ เหตุใดจึงเห็นชอบให้แต่งชายารองเข้ามาในระยะเวลาอันใกล้เช่นนี้ หรือแท้จริงแล้วองค์รัชทายาทผู้นี้มีอุปนิสัยมักมาก ไม่รู้จักพอ แฝงอยู่ในกมลสันดานกันแน่...

          ทว่าผู้ที่กล้าเอื้อนเอ่ยคัดค้านออกมา กลับกลายเป็นองค์ชายอัครเรศผู้น้อง  ที่พักหลังมานี้มักจะขอติดตามบิดาและเชษฐาเข้าร่วมประชุมกับเหล่าขุนนางด้วยเสมอ

          "เหตุใดเสด็จพี่ทรงกล่าวเช่นนี้  ทรงเพิ่งเข้าหอกับเจ้านางฟ้ามุ่ยไปหยก ๆ ก็จะทรงอภิเษกชายาใหม่แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดทรงแล้งน้ำใจกับนางยิ่งนัก"

          องค์ชายจักรินทร์ผู้พี่เลิกคิ้ว หันมองพระอนุชาด้วยความสงสัย ดูท่าว่าน้องชายของเขาคงจะนิยมชมชอบในตัวฟ้ามุ่ยอยู่ไม่น้อย หรือไม่ก็คงเป็นหนึ่งในผู้เสียผลประโยชน์ จึงกล้าออกหน้ากล่าวคัดค้านตรง ๆ เช่นนี้

          แต่เขาจะเสียผลประโยชน์ได้อย่างไร ในเมื่อเจ้านางบัวบุศย์ก็เป็นคนของเจ้านางลักขณาวดีผู้เป็นมารดาของเขาเอง...

          "อัครเรศ... เจ้ายังเด็กจึงยังมิเข้าใจ นี่ไม่ใช่เรื่องว่าแล้งน้ำใจหรือไม่ แต่เป็นเรื่องความมั่นคงของแผ่นดิน ขุนนางเป็นปึกแผ่น ราชบัลลังก์ย่อมมั่นคง ประชาชนย่อมผาสุก" 

          คำพูดขององค์รัชทายาท ทำให้สีหน้าของขุนนางหลายคนดำทะมึน  ในขณะที่หลายคนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

          "คิดได้เช่นนั้นก็ดี..." เสด็จพ่อของเขาเองก็มีท่าทางพึงพอใจเช่นกัน "แต่เวลานี้บ้านเมืองอยู่ในช่วงเสี่ยงภัยสงคราม หากจะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสอีกคงสิ้นเปลืองมิใช่น้อย ให้จัดเป็นพิธีแต่งตั้งอย่างเรียบง่าย  และให้ถวายตัวตามฤกษ์ยามที่เหมาะสมก็พอแล้ว"

          ราวกับฟ้าผ่าลงกลางท้องพระโรง ขุนนางหลายคนลอบยิ้มเยาะ ในขณะที่หลายคนหน้าแดงก่ำจนแทบจะกลายเป็นสีเขียว รีบทูลคัดค้านกันเป็นพัลวัน

          "ได้อย่างไรฝ่าบาท!  เจ้านางบัวบุศย์ชาติตระกูลดีไม่ได้ด้อย  เป็นถึงพระนัดดาของพระมเหสีลักขณาวดี ทรงทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้าพระมเหสีเลยพ่ะย่ะค่ะ!"

          "ชาติตระกูลดีแล้วอย่างไร  บ้านเมืองอยู่ในสภาวะเช่นนี้ พวกเจ้ายังกล้าขอให้จัดพิธีใหญ่โตในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเจ้าหวังดีต่อบ้านเมืองกันจริงหรือ..." เจ้าจักรทิพย์กล่าวด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจชวนให้เกรงขาม  "เช่นนั้นก็เลือกเอา  หากยืนยันจะให้รีบแต่งตั้งพระชายารอง  อีกเจ็ดวันก็จัดพิธีแต่งตั้งเสียให้เรียบง่าย  แต่หากจะจัดงานให้ใหญ่โตก็รอจนบ้านเมืองสงบก่อนค่อยมาว่ากันใหม่"

          ดำรัสชัดเจนของกษัตริย์เฒ่า ทำให้คนในท้องพระโรงเงียบเสียงลงอีกครั้ง  เห็นได้ชัดว่าสำหรับขุนนางกลุ่มคงมาถึงจุดที่ต้องเลือกแล้วว่าระหว่างเกียรติศักดิ์ศรีกับความกระหายอำนาจสิ่งใดสำคัญกว่ากัน...



          การประชุมล่าช้าไปมาก จนตะวันบ่ายคล้อยเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายถึงยอมเลิกรากันเพราะความหิว องค์ชายจักรินทร์ก้าวฉับ ๆ มุ่งหน้าสู่ตำหนักริมน้ำ  นึกอยากจะเล่าเหตุการณ์ และข้อพิพาทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงให้คนเจ้าแผนการช่วยวิเคราะห์เต็มที  แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็มีอันต้องชะงักฝีเท้า เพราะเสียงเรียกจากด้านหลัง  เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นองค์ชายอัครเรศที่เร่งฝีเท้าตามมา

          "เสด็จพี่  ขอเวลาหม่อมฉันสักประเดี๋ยวเถอะพ่ะย่ะค่ะ"

          เขาหยุดยืนรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินตามทัน เมื่อมาถึงองค์ชายผู้น้องก็ถวายความเคารพทันที

          "หม่อมฉันอยากขออภัยเสด็จพี่  หวังว่าจะไม่ทรงโกรธเคืองหม่อมฉันที่กล่าวขัดเช่นนั้นในที่ประชุม"

          องค์ชายผู้พี่ยิ้มน้อย ๆ

          "พี่จะโกรธเคืองเจ้าเรื่องใดกัน ต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำที่ช่วยพูดแทนชายาของพี่ เพียงแต่เรื่องนี้มิใช่แค่เรื่องความรักระหว่างคนสองคน  แต่ยังเกี่ยวพันถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย พี่จึงไม่อาจตัดสินใจโดยคำนึงถึงฟ้ามุ่ยคนเดียวได้"

          แววตาขององค์ชายอัครเรศหม่นแสงลง

          "คงเพราะหม่อมฉันเป็นลูกที่เกิดจากชายารอง  จึงรู้สึกกับเรื่องเช่นนี้มากกว่าผู้อื่น"

          องค์ชายจักรินทร์เขาส่ายหน้า แล้วจับต้นแขนน้องชายไว้มั่น

          "อย่ากล่าวเช่นนี้  เจ้าเป็นน้องชายของพี่ เสด็จแม่ลักขณาวดีก็เหมือนแม่แท้ ๆ ของพี่"

          "แค่เหมือน แต่อย่างไรก็ไม่ใช่แม่แท้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ เพราะอย่างนั้นเสด็จพี่จึงสงสัยหม่อมฉันเรื่องลอบสังหาร"  นัยน์ตาของผู้พูดไหวระริก เต็มไปด้วยแววตัดพ้อ

          คนฟังถอนหายใจหนัก ๆ บีบต้นแขนผู้น้องเบา ๆ

          "เจ้าเข้าใจผิดแล้วอัครเรศ พี่มิได้สงสัยเจ้าเพราะเจ้าเป็นน้องต่างมารดา  แต่ที่พี่สงสัยเจ้าในวันนั้นเป็นเพราะสถานการณ์และการปรากฏตัวของเจ้านั้นชวนให้สงสัย  เมื่อเจ้าอธิบายตนเองแล้วพี่ก็มิได้เก็บมาคิดอีก ไม่นึกเลยว่าจะสร้างบาดแผลในใจเจ้าถึงเพียงนี้ โปรดอภัยให้พี่ด้วย" 

          องค์ชายอัครเรศหลุบนัยน์ตาลงต่ำ กดความรู้สึกในใจไว้มิให้แสดงออกมาทางสายตาอีก  ครู่ต่อมาเมื่อเงยหน้าขึ้น แววตาก็กลับมาสดใสดังเดิม  เขาคลี่ยิ้มบางให้องค์ชายผู้พี่ พลางแกะมือที่เกาะกุมต้นแขนออก

          "เรื่องผ่านมาแล้ว หม่อมฉันมิควรรื้อฟื้นขึ้นมาเช่นนี้เลย นี่ก็บ่ายแก่มากแล้ว เสด็จพี่คงมีภารกิจอีกมากที่ต้องไปจัดการ  หม่อมฉันขอตัวกลับตำหนักก่อน"

          องค์ชายจักรินทร์มองตามแผ่นหลังผู้เป็นน้องชายที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไป ในใจพลันรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล



          "องค์ชาย..." ขุนณรงค์เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นองค์ชายของเขายืนนิ่งไปนาน  "เสด็จตำหนักริมน้ำหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"

          คนถูกถามลังเล แม้เดิมทีตั้งใจจะรีบไปพบนาง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เขาออกจากตำหนักริมน้ำ นางไม่แม้แต่จะหันมามองเขาด้วยซ้ำ เขาก็เปลี่ยนใจกะทันหัน

          "ไปคอกม้า"  เขาให้คำตอบในที่สุด

          อย่างไรก็ตามเมื่อไปถึงคอกมาหลวง  ผู้ที่เขาอยากพบก็อยู่ที่นั่นก่อนแล้ว  นางกำลังเตรียมจะขึ้นหลังม้า โดยมีทหารองครักษ์สองสามคนคอยช่วย

          "เจ้ากำลังจะไปที่ใด"  เขาถามด้วยความสงสัย ขณะที่มองดูคนตรงหน้าซึ่งแต่งกายรัดกุม ในมือถืออาวุธคู่กาย  ฟ้ามุ่ยเองก็มองเขาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

          "ข้ารอเจ้าที่ตำหนัก แต่เจ้าไม่กลับมาเสียที ข้าจึงคิดเอาเองว่าเจ้าอาจไปที่ค่ายทหารแล้วโดยไม่พาข้าไปด้วย จึงกำลังจะตามไป"

          เป็นคำตอบที่ทำเอาคนถามยิ้มออกมา เพราะสตรีตรงหน้าเดาใจเขาถูกเกือบทั้งหมด

          "การประชุมล่าช้า ข้ากำลังจะไปหาเจ้า แต่ไม่แน่ใจว่าเจ้าจะอยากเห็นหน้าข้าหรือยัง จึงกำลังจะไปที่ค่ายฝึกทหารอย่างที่เจ้าคาดไว้" เขาอธิบาย

          คนฟังขมวดคิ้ว  ด้วยเหตุผลบางประการที่เขาเองก็อธิยายไม่ได้  องค์ชายจักรินทร์รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจที่อยู่ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย และคิ้วที่ขมวดมุ่นนั้น

          "แล้วเหตุใดข้าถึงจะไม่อยากเห็นหน้าเจ้า"

          ก็เจ้าหันหลังให้ข้าตลอดเวลา...

          เขาคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป เกรงจะยิ่งเป็นการชวนทะเลาะ  

          "ไปด้วยกันเถอะ"  ว่าแล้วก็อุ้มร่างบางขึ้นบนหลังม้า  คนถูกอุ้มไม่ทันได้ตั้งตัวก็ดิ้นขลุกขลัก ปากก็บ่นพึมพำว่าสามารถขึ้นเองได้โดยไม่จำเป็นต้องอุ้ม 

          เมื่อเขาขึ้นมานั่งบนหลังม้าด้วยกันเสียงบ่นก็หยุดกึก แผ่นหลังบอบบางสัมผัสแนบชิดกับแผงอกแกร่ง มือทั้งสองของเขาจับบังเหียนอย่างมั่นคง คล้ายกำลังโอบกอดร่างบางจากด้านหลัง 

          ทั้งที่อยู่ด้วยกันบนหลังม้าทุกวันแต่วันนี้หัวใจทั้งสองดวงกลับเต้นแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร กลิ่นหอมละมุนของเส้นผม  ลำคอกลมกลึงระหง ชวนให้ภาพความทรงจำบางช่วงบางตอนแวบเข้ามาในหัว จนเขาหายใจไม่ทั่วท้อง...

          "วันนี้ไม่ต้องตามอารักขา"  องค์รัชทายาทรับสั่งกับองครักษ์คู่กาย 

          ขุนณรงค์สีหน้าเขม็งเครียดกำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน แต่เมื่อเห็นความเด็ดขาดในแววตาสีอำพันคู่นั้นของผู้เป็นนายก็เงียบไป  

          ฟ้ามุ่ยเห็นปฏิกิริยาขององครักษ์หนุ่มผิดปกติก็เอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อหันมามองเช่นกัน  แต่ถูกอีกฝ่ายชิงกระซิบถามที่ข้างหูเสียก่อน

          "เจ้าปวดเมื่อยเนื้อตัวหรือเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่"

          คนฟังหูแดงก่ำ ศอกใส่เขาเต็มแรง พลางดุเสียงเขียว

          "ข้าบอกว่าอย่าพูดเรื่องนี้อย่างไรเล่า!" 

          เขาไม่ต่อปากต่อคำกับนางอีก บังคับม้าให้ออกวิ่งช้า ๆ อย่างไม่เร่งรีบ

          เมื่อออกมาพ้นเขตพระราชฐานที่ผู้คนพลุกพล่านแล้ว ทั้งคู่จึงเหมือนได้กลับมาอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกครั้ง  ความเงียบชวนอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นช้า ๆ ราวกับเป็นกำแพงกั้นกลางระหว่างทั้งสอง  ร่างกายที่สัมผัสกัน เสียงหายใจของอีกฝ่าย หรือกลิ่นกายที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ ล้วนสร้างความกระอักกระอ่วนให้เกิดขึ้นในใจอย่างอธิบายไม่ได้

          "เช้านี้ข้าสืบสวนเรื่องชาประหลาดนั่นจากคนในตำหนักแล้วนะ"  ฟ้ามุ่ยตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ  "มิมีผู้ใดรู้ว่ามาจากที่ไหน เจ้าอยากลองเดาดูหน่อยหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วข้าได้คำตอบเรื่องนี้จากใคร"

          คนถูกถามขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะกำลังคิดหาคำตอบ แต่เป็นเพราะเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงชาเขาก็พลันถูกจู่โจมด้วยภาพเหตุการณ์ชวนปั่นป่วนใจที่ผุดขึ้นมาในมโนสำนึก  

          "จากใครรึ"  เขาถามเบา ๆ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ

          "องครักษ์หน้าตำหนักที่เป็นคนของขุนณรงค์  พวกเขาบอกว่าเห็นคนของสำนักพิธีการถือกาน้ำชาเข้ามาก่อนเริ่มพิธีถวายตัวช่วงหัวค่ำ เข้าใจว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ จึงมิได้ซักถามอะไร"

          "ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีธรรมเนียมเช่นนี้" องค์ชายแห่งเวียงชัยกฤษณะกล่าวแย้ง

          "ข้าก็เช่นกัน  ดังนั้นข้าจึงไปตามสืบที่สำนักพิธีการ ได้ความว่าเป็นชาพระราชทานจากเจ้าจักรทิพย์ เป็นของหายาก มีฤทธิ์ผ่อนคลายความกังวลเท่านั้นมิได้มีตัวยาอื่นผสม  เป็นไปได้ว่าชาถูกสับเปลี่ยน ไม่ก็ผสมตัวยาอย่างอื่นลงไประหว่างที่อยู่ในมือคนของสำนักพิธีการ แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงคำพูดลอย ๆ มิได้มีหลักฐานอันใด"

          คนฟังใจหายวาบเมื่อได้ยินชื่อของบุรุษผู้เป็นพระราชบิดาเข้ามาเกี่ยวข้อง ทว่าเมื่อความสงสัยไม่ได้ตกอยู่ที่คนผู้นั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนความสงสัยในตัวสตรีตรงหน้าจะเข้ามาแทนที่

          "เจ้าสืบเรื่องนี้มาได้อย่างไร"

          "ข้ามีคนอยู่ในสำนักพิธีการ..."

          คำตอบทำเอาคนถามตกตะลึงแทบจะหยุดม้า 

          "อย่างไรกัน ฟ้ามุ่ย"

          อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ 

          "ตอนที่คนจากสำนักพิธีการมาตัดชุดให้ข้า  มีช่างหลวงคนหนึ่งทำท่าทางแปลก ๆ เมื่อเห็นแหวนทองที่ข้าสวม  วันนี้ข้าจึงลอบไปหาเขา  หลังจากที่เปิดเผยตัวตนกับเขาก็ได้รู้ว่าคนผู้นี้เคยเป็นช่างในราชสำนักเวียงทิพย์เวหาส  ภายหลังได้แต่งกับภรรยาชาวเวียงชัยกฤษณะ จึงย้ายมาอยู่ที่นี่ และได้ใช้เส้นสายของญาติฝ่ายภรรยาจนได้ทำงานในสำนักพิธีการ..."

          คราวนี้องค์ชายจักรินทร์หยุดม้าจริง ๆ 

          "เจ้าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว"

          คนฟังเบือนหน้ามาเล็กน้อย ยื่นมือไปหมายจะดึงบังเหียนให้ม้าออกเดินต่อด้วยท่าทางไม่ยี่หระ  แต่คนที่เกาะกุมบังเหียนอยู่แต่แรกกลับไม่ยอมให้ทำรีบคว้าจับข้อมือบางไว้มั่น

          "เสี่ยงมากเสี่ยงน้อยก็เสี่ยงอยู่ดี  อย่างน้อยก็ถือว่ามีหูตาเพิ่ม"  ฟ้ามุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน  บิดข้อมือไปมาเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ  เมื่อไม่สำเร็จก็เปลี่ยนมาใช้มืออีกข้างแงะนิ้วเรียวของเขาออก แต่ก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกันเพราะถูกอีกมือหนึ่งของผู้เป็นบุรุษคว้าจับเอาไว้มั่น

          "นี่เจ้ากำลังทำอะไร" คนถูกพันธนาการเริ่มประท้วง หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อหวนไปนึกถึงสถานการณ์บางอย่างที่ไม่อยากนึกถึง 

          "เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเปิดเผยตัวตนให้ผู้อื่นรู้นั้นอันตรายเพียงใด" องค์ชายจักรินทร์ถามเสียงดุ ๆ

          "ข้ารู้!!" คนถูกถามตอบเสียงขุ่น ยังคงไม่ละพยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย

          "หากเขาขายความลับเจ้าให้ผู้อื่นเล่าจะทำอย่างไร" 

          ฝ่ายหนึ่งดุเสียงเครียดขรึม แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

          "ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า เขาจะขายความลับข้าให้ใคร และคนคนนั้นจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไร" 

          ได้ฟังดังนั้นองค์ชายจักรินทร์ก็ออกแรงดึงร่างบางเข้าหาตัวให้แนบชิดยิ่งขึ้นไปอีกจนแทบจะจมหายไปในอกกว้าง 

          "เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร!"  ฟ้ามุ่ยโวยวายพร้อมกับออกแรงดิ้น คิ้วเรียวบนดวงหน้างามขมวดมุ่นด้วยความขัดอกขัดใจ  "เหตุใดไม่ปล่อยเสียที  นี่เจ้าโกรธอันใดข้า"

          "อย่าได้เอาตัวเข้าไปเสี่ยงเช่นนี้อีก" เขากล่าวเสียงเข้ม "คิดจะทำอะไร มีแผนอันใด ก็ควรบอกข้าให้รู้ด้วย  มิใช่คิดเอง ทำเองเช่นนี้ แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน...  ข้าก็ไม่รู้จะไถ่โทษให้เจ้าอย่างไรแล้ว  หากเจ้าเป็นอะไรไปอีกข้าจะทำอย่างไร  "

          คำกล่าวชัดเจนตรงไปตรงมาเสียจนคนฟังต้องถอนหายใจ แล้วยอมนิ่งให้เขากอดอยู่ครู่หนึ่ง 

          "หากเจ้าโกรธเรื่องที่ข้าเปิดเผยตัวตนกับคนของสำนักพิธีการวันนี้ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้าก่อน ต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีก จะทำอะไร จะวางแผนใด ข้าก็จะบอกเจ้าทั้งหมด  ไม่มีความลับกับเจ้า ดีหรือไม่"  

          "ดี"  เขาตอบสั้น ๆ  

          "แต่หากเจ้าเป็นเช่นนี้เพราะเรื่องเมื่อคืน..."  กล่าวแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย ด้วยพยายามข่มความรู้สึกร้อนวูบวาบตามแก้มและลำคอที่เริ่มพุ่งขึ้นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ

          "...ข้าก็บอกแล้วว่ามิได้โกรธเคืองเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็มิได้ตั้งใจให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น  หากเจ้ารู้สึกผิดต่อข้าจริง ๆ ก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย  ยิ่งพูดยิ่งมีแต่จะทำให้ข้าอึดอัดใจ..."

          คำพูดในตอนท้ายท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาลงจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบก่อนจะเงียบหายไป ทิ้งไว้แต่ความเงียบงันอันแสนยาวนานและชวนอึดอัด  

          เงียบเสียจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน...  

          "ข้าไม่ควรทำให้เจ้าอึดอัดใจเช่นนี้เลย" 

          เขาคลายอ้อมแขน และปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระในที่สุด

          "มิ่งเมือง..."  มือเล็กที่เพิ่งได้รับอิสะคืนกลับเป็นฝ่ายรีบคว้ามือใหญ่มาเกาะกุมเอาไว้เสียเอง

          "เจ้าช่วยเป็นเจ้าคนเดิมได้หรือไม่  ช่วยทำเหมือนเมื่อคืนไม่ได้มีอันใดเกิดขึ้น ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องใกล้ชิดกว่าเก่า  และก็ไม่ต้องทำตัวห่างเหิน ก็แค่... อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม  เช่นที่เคยเป็นมา..."

          อยู่ด้วยกันเหมือนที่เคยเป็นมาอย่างนั้นหรือ... 

          หากไม่นับช่วงเวลาที่แยกกันไปเติบโต พวกเขาก็นับว่าอยู่เคียงข้างกันมาตลอด ทั้งในยามป่วยไข้ ยามทุกข์ใจ หรือยามที่อ่อนแอ ไม่ว่าเรื่องอะไรต่างก็เข้าใจและยอมรับในตัวอีกฝ่ายเสมอมา  นับเป็นมิตรแท้ที่หาพบได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

          คงเพราะอย่างนั้นฟ้ามุ่ยจึงกลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะพังลงในชั่วข้ามคืน...

          "ข้าเข้าใจแล้ว  เมื่อเจ้าไม่อยากให้เอ่ยถึง ข้าก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก  ทุกอย่างระหว่างเราจะยังคงเหมือนเดิม  ข้าจะยังเป็นข้าคนเดิม" เขารับปากหนักแน่น บีบมือของอีกฝ่ายกลับเบา ๆ เพื่อให้ความมั่นใจ

          "เจ้าจะยังมาหาข้าที่ตำหนักใช่ไหม"

          คนฟังขยับรอยยิ้ม สีหน้าผ่อนคลายลง

          "เหตุใดข้าจะไม่ไปเล่า" 

          "ยามค่ำคืนก็จะอยู่กับข้าที่ตำหนักหรือ"

          "แล้วเจ้าอยากให้ข้าอยู่หรือไม่" เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล  ลอบยิ้มบาง เมื่อเห็นว่าใบหูและลำคอของสตรีเบื้องหน้าขึ้นสีแดงก่ำ

           "หากไม่อยู่  คงผิดวิสัยคู่แต่งงานใหม่กระมัง..."  ฟ้ามุ่ยบอกอย่างไม่มั่นใจนัก  "...แต่ถ้าอยู่แล้วเจ้ากล้าทำอะไรข้าอีก ครั้งนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตายคามือเสียจริง ๆ ด้วย"

          "วางใจเถอะ ข้าจะไม่ล่วงเกินอะไรเจ้าอีก"

          องค์ชายจักรินทร์ให้คำมั่นกับผู้เป็นชายา แล้วยื่นมือกลับไปกุมบังเหียนอีกครั้ง  ร่างบางถูกเบียดให้แนบชิดเข้ากับอกกว้างอีกหน แม้หัวใจจะสองดวงจะแข่งกันเต้นกระหน่ำอยู่ในอก แต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจจะห้ามปรามมันอีก เพียงทำตัวให้เป็นปกติอย่างที่เคยเป็น...