ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล

          "เสด็จพี่ทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้าข้าเลย!!  กับนางสตรีขี้ครอกข้างถนนทรงให้จัดการอภิเษกใหญ่โต แต่กับเจ้าที่เป็นหลานสาวของข้าแท้ ๆ กลับให้แต่งตั้งเงียบ ๆ ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!!"  น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังลั่นตำหนักเพียงอำพรทำเอาเหล่านางรับใช้กลัวจนหัวหดรีบคลานออกจากห้องไปโดยมิรอให้ผู้เป็นนายสั่ง

          เจ้านางลักขณาวดีผู้เป็นเจ้าของตำหนักประทับนั่งบนเก้าอี้ทองอันวิจิตร พระพักตร์บึ้งตึง ขณะที่เจ้านางบัวบุศย์ผู้เป็นหลานสาวนั่งอยู่ใกล้ ๆ มองไปยังอีกฝ่ายด้วยแววตากังวล

          "เช่นนั้นรอให้สถานการณ์ชายแดนคลี่คลายก่อน แล้วค่อยขอพระราชทานงานอภิเษกดีหรือไม่เพคะ" เจ้านางบัวบุศย์เสนอขึ้นเสียงแผ่ว ทำให้สีหน้าของผู้ฟังยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้นกว่าเดิม

          "รอสถานการณ์คลี่คลาย เจ้าก็ไม่ต้องอภิเษกแล้ว พระชายาติดตามองค์รัชทายาทไม่เคยห่างเจ้าไม่เห็นหรือไร  หากเกิดสงครามนางก็คงติดตามไปแนวหน้าเป็นแน่ พอสถานการณ์สงบนางไม่ยิ่งกลายเป็นคนโปรดรึ  ถึงเวลานั้นเจ้าจะเอาอะไรไปสู้นางได้  เว้นเสียแต่ว่า..."  นัยน์เนตรเกรี้ยวกราดหรี่ลง  ประกายอำมหิตปรากฏขึ้นบนพระพักตร์เย็นชาวูบหนึ่ง

          "เว้นเสียแต่ว่าอันใดเพคะ" เจ้านางบัวบุศย์ถามเบา ๆ สำรวจสีหน้าอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

          "เว้นเสียแต่ว่านางจะตายในสงคราม..."  เจ้านางลักขณาวดีตอบเสียงเย็นเยียบ

          "เสด็จป้า..."  

          เมื่อเห็นสีหน้าตกอกตกใจของผู้เป็นหลาน พระมเหสีแห่งเวียงชัยกฤษณะก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง

          "แต่นั่นก็เป็นไปได้ยากนัก  นางฝีมือเก่งกาจออกปานนั้น  อย่างไรเสียก็คงไม่ตายง่าย ๆ เจ้าถวายตัวตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว"

          คนฟังหลุบตามองพื้น กำมือแน่นเสียจนข้อมือบางสั่นระริก  เจ้านางลักขณาวดีเห็นดังนั้นก็ปลุกปลอบใจหลานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

          "บัวบุศย์ เจ้าอย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจไปเลย  ยอมเสียศักดิ์ศรีครั้งนี้ก็เพื่อแลกกับโอกาสที่เจ้าจะได้ขึ้นเป็นคนโปรดขององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า ยาเพิ่มความกำหนัดที่ข้าเคยให้เจ้า ยังเก็บไว้ดีอยู่หรือไม่"

          "เก็บไว้อย่างดีเพคะ" เจ้านางบัวบุศย์กล่าว ยังคงจ้องมองพื้นด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก ดวงหน้านวลของสตรีอ่อนวัยขึ้นสีแดงเรื่อ

          "คืนถวายตัวก็นำออกมาใช้เสีย..."

          ถ้อยคำอ่อนโยนทว่าบางอย่างในน้ำเสียงกลับแสดงออกชัดเจนว่าเป็นคำสั่งที่ต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ "ระวังให้ดีอย่านำไปผสมในสุราเป็นอันขาด  ฤทธิ์สุราร้อนแรงจะทำลายตัวยาเสียหมด ต้องผสมกับชาเท่านั้นจึงจะช่วยให้ยาออกฤทธิ์แรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว"

          "หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ จะใช้อย่างระมัดระวัง" 

          เมื่อได้ยินคำตอบที่ต้องการ สตรีสูงวัยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ลุกจากพระแท่นทองคำเดินมาหาหลานสาวอย่างเชื่องช้าด้วยท่วงท่านางพญา นิ้วเรียวเชยคางผู้เป็นหลานให้เงยหน้าขึ้น  นัยน์เนตรเย็นเฉียบจ้องลึกลงไปในแววตาของอีกฝ่าย 

          "ระหว่างนี้เจ้าต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดีอย่าให้มีอันใดขาดตกบกพร่อง เมื่อถึงวันถวายตัวเจ้าจะต้องงดงามที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ยิ่งตั้งครรภ์ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เข้าใจหรือไม่"

          แววตาของเจ้านางบัวบุศย์ไหวระริก  ร่องรอยบางอย่างที่ไม่ชัดเจนปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้นแล้วก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว  

          "หม่อมฉันจะไม่ทำให้ผิดหวังเพคะ"



          "เป็นอันว่าเจ้านางบัวบุศย์จะได้รับการแต่งตั้งในอีกเจ็ดวันข้างหน้าใช่หรือไม่"  ฟ้ามุ่ยเอ่ยถามย้ำ หลังจากได้ฟังเรื่องราวการโต้เถียงในท้องพระโรงอย่างละเอียดลออจากปากองค์ชายรัชทายาทผู้ที่บัดนี้นั่งเอกเขนกอยู่บนพระแท่นบรรทม ส่วนตัวฟ้ามุ่ยเองนั่งบนตั่งทองหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง  กำลังเช็ดถูดาบคู่กายอย่างพิถีพิถัน 

          หลังจากกลับจากค่ายฝึกทหารทั้งสองคนก็หารือกันมาตลอดทาง จนกระทั่งเสวยมื้อเย็นเสร็จ  สรงน้ำแล้วเตรียมเข้าบรรทมก็ยังคงหารือกันไม่จบไม่สิ้น  ทั้งเรื่องสถานการณ์ชายแดนที่เริ่มใกล้ถึงจุดแตกหัก เรื่องการแต่งตั้งพระชายารอง การโต้เถียงกันของขุนนางสองฝ่ายในท้องพระโรง รวมถึงพฤติกรรมผิดวิสัยขององค์ชายอัครเรศ

          "ถูกต้อง ขุนนางฝ่ายนั้นตกลงยอมให้ทำพิธีแต่งตั้งอย่างเรียบง่ายในอีกเจ็ดวันข้างหน้า" องค์ชายจักรินทร์บอก

          ฟ้ามุ่ยพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ มือยังคงง่วนอยู่กับดาบเล่มงาม 

          "ข้าได้ทูลขอให้เสด็จพ่อพระราชทานตำหนักใหญ่ที่อยู่ใจกลางเขตพระราชฐานให้เป็นเรือนหอ ดังนั้นผู้ใดจะเข้านอกออกใน หรือแอบติดต่อกับนางแบบลับ ๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย"

          "ดีแล้ว ได้อยู่ตำหนักใหญ่โต ก็คงพอจะช่วยปลอบใจนางได้บ้าง  น่าเห็นใจนางอยู่ไม่น้อย ให้แต่งตั้ง แล้วถวายตัวเลย ครั้งหนึ่งในชีวิตของสตรีกลับมิได้เข้าพิธีแต่งงานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว..."

          องค์ชายจักรินทร์รู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มิใช่เพราะนึกเห็นใจเจ้านางบัวบุศย์ แต่เพราะคำพูดเหล่านี้ทำให้เขาย้อนนึกถึงเรื่องของตรงหน้าด้วยเช่นกัน ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของสตรีกลับต้องมาแต่งงานด้วยเหตุผลอันผิดปกติจากคนทั่วไป ทั้งสิ่งที่หวงแหนที่สุดของสตรีที่ควรเก็บไว้มอบให้บุรุษอันเป็นที่รัก ก็กลับมีอันต้องเสียไปเพราะเหตุสุดวิสัย 

          "...แต่ไม่ว่านางจะเลือกทางนี้ด้วยตัวเองหรือมีผู้เลือกให้ ก็ย่อมหมายถึงเลือกอำนาจมากกว่าศักดิ์ศรี  การที่เสด็จพ่อของเจ้าเสนอทางเลือกเช่นนี้ ก็นับว่าจงใจดัดหลังได้เจ็บแสบยิ่งนัก--"

          ฟ้ามุ่ยหยุดชะงักเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจับจ้องอยู่อย่างเงียบงัน คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความฉงนสงสัย

          "เหตุใดจ้องข้าเช่นนั้น"

          เขารู้ดีว่าสิ่งที่ตนกำลังคิดมิใช่สิ่งนางต้องการให้หยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีก จึงเลือกที่จะเก็บถ้อยคำเหล่านั้นเอาไว้ในใจแล้วตอบไพล่ไปเรื่องอื่นแทน

          "ข้ากำลังคิดว่าการที่ให้เจ้านางบัวบุศย์อยู่ตำหนักใหญ่ใจกลางพระราชฐาน แต่เจ้ากลับให้เจ้าอยู่ตำหนักเล็กริมน้ำเช่นนี้ยุติธรรมต่อเจ้าดีแล้วหรือ"

          ฟ้ามุ่ยหัวเราะเบา ๆ  ยกดาบขึ้นส่องกับแสงไฟ แล้วพลิกไปพลิกมา

          "นี่เจ้ากลัวข้าน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนั้นหรือ  ที่นี่ตำหนักริมน้ำของเสด็จแม่เจ้าเชียวนะ ตำหนักที่เจ้าเหนือหัวจักรทิพย์หวงแหนที่สุด ถึงกับให้คนคอยดูแลบูรณะให้งดงามอยู่ตลอด เป็นส่วนตัวแยกห่างจากตำหนักอื่น ที่สำคัญคือองค์ชายรัชทายาทแห่งเวียงชัยกฤษณะก็ประทับอยู่ที่นี่ทุกวัน  แล้วข้ายังมีอะไรต้องอิจฉาผู้อื่นอีกหรือ"

          นางละสายตาจากดาบในมือแล้วหันมายิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นงดงามราวกับแสงแดดยามเช้า...

          วินาทีที่สบตากันนั้นเององค์ชายจักรินทร์ก็พลันเกิดความรู้สึกประหนึ่งว่าตนและสตรีตรงหน้าเป็นคู่รักกันจริง ๆ เป็นสามีภรรยาที่เข้าใจกันมากที่สุดคู่หนึ่ง

          เขาหลับตาลงพยายามจัดระเบียบความคิดความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง ฟ้ามุ่ยมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของอีกฝ่ายยังคงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม

          "แต่เราต้องเตรียมแผนรับมือให้ดี ยอมเสียศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ ต้องมีแผนการอันใดแอบแฝงอยู่แน่  ดังนั้นเมื่อพระราชทานตำหนักให้แล้ว ก็อย่าลืมจัดคนรับใช้ให้นางเสียจำนวนหนึ่งด้วยเล่า  ในบรรดาคนเหล่านั้นให้เป็นคนของเราเสียครึ่งหนึ่ง คอยรายงานความเคลื่อนไหวของนางตลอด" 

          "แล้วอีกครึ่งหนึ่งเล่า" เขาถาม ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับความเป็นจริงได้อีกครั้ง

          "เหลือที่ไว้ผู้อื่นสอดแนมบ้าง ข้าไม่เชื่อหรอกว่า กลุ่มคนที่กระหายอำนาจจะมีเพียงแค่นี้ เหลือที่ไว้ให้คนเหล่านั้นสอดแนมนาง  แล้วค่อยให้คนของเราจับตาดูคนพวกนี้อีกต่อหนึ่ง"

          คำตอบนั้นทำให้เขารู้สึกประทับใจยิ่งนัก หากเป็นเรื่องวางแผน ฟ้ามุ่ยลึกซึ้งกว่าเขาหลายขุมนัก ดังที่ราชครูนิลนนท์ชื่นชมเสมอว่านางเป็นจอมวางแผนที่เก่งสุดในบรรดาศิษย์ที่เคยมีมา

          เขาเหม่อมองข้อมือเล็กบางที่ขยับคล่องแคล่วเช็ดถูดาบเล่มงามอย่างพิถีพิถันอยู่ครู่หนึ่ง สร้อยทองประดับจี้รูปนกยูงยังคงแขวนห้อยจากลำคอกลมกลึงยามเมื่อเจ้าตัวขยับร่างกาย นกยูงสีทองก็ขยับไหวไปมาเบา ๆ ราวกับมีชีวิต  แม้ไม่ทราบนัยสำคัญแห่งสร้อยมยุระที่เขามอบให้แต่ดูเหมือนฟ้ามุ่ยก็มิเคยคิดจะถอดออก แม้ยามนอนก็ยังสวมติดกายอยู่เป็นนิจ เว้นแต่เพียงคืนเข้าหอเท่านั้นที่ทั้งร่างมิได้สวมเครื่องประดับใดเอาไว้เลย...

          ภาพร่างระหงไร้อาภรณ์ที่งดงามผุดผาดยามเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายผุดขึ้นในมโนสำนึกโดยมิทันได้ตั้งตัว  เขายกมือขึ้นกุมขมับ  สูดลมหายใจลึก ๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป รู้สึกผิดกับคนตรงหน้ายิ่งนักที่ล่วงเกินนางอีกครั้งแล้วในความคิด จึงรีบดึงความสนใจของตนให้กลับมาอยู่กับบทสนทนาครั้ง

          "ที่ข้านึกไม่ถึง คือเหตุใดอัครเรศถึงกล้าออกหน้าพูดแทนพูดเจ้ากลางที่ประชุมเช่นนั้น"

          "เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาพูดเพื่อข้า" ฟ้ามุ่ยเอ่ยช้า ๆ อย่างระมัดระวัง ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มแปลกพิกล  "เขาอาจจะพูดเพื่อเจ้านางบัวบุศย์ก็เป็นได้  เขาบอกเจ้าเองมิใช่หรือว่าเพราะเขาเองเป็นลูกเมียรองจึงรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ นั่นแปลว่าเขาย่อมพูดเพราะเห็นใจเมียรองอยู่แล้ว..."

          คราวนี้คนฟังโคลงศีรษะอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

          "หากจะพูดเพื่อเจ้านางบัวบุศย์  ก็ควรพูดส่งเสริมการแต่งตั้งครั้งนี้  จึงจะเป็นประโยชน์กับนางมากกว่า" 

          "แต่ถ้าเขาไม่ได้อยากให้นางรับการแต่งตั้งเล่า  จะเป็นอย่างไร"

          คนฟังนิ่งอึ้งกับข้อสันนิษฐานที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนนี้

          "ครั้งก่อนที่ข้าไปหอตำราหลวง ได้พบเจ้านางบัวบุศย์และองค์ชายอัครเรศที่นั่น ดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้ว เป็นไปได้ว่าทั้งคู่อาจรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อาจมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้องค์ชายอัครเรศไม่ต้องการให้นางได้รับการแต่งตั้งก็เป็นได้"

          "คงมิใช่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวหรอกกระมัง อย่างไรเสียเจ้านางบัวบุศย์ก็มีศักดิ์เป็นนัดดาของเสด็จแม่"  องค์ชายจักรินทร์ว่า

          "ไม่แน่หรอก ต้องสืบเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูให้แน่ชัดอีกที  คนรอบตัวเจ้านี่ช่างน่าสงสัยทุกคนเสียจริง" ฟ้ามุ่ยสรุปพลางเก็บดาบเข้าฝัก

          "ข้าถึงต้องมีเจ้าอยู่ด้วยด้วยอย่างไรเล่า"  เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "เข้านอนเถอะ คืนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจักเข้าเฝ้าแต่เช้าเพื่อทูลเสด็จพ่อเรื่องสถานการณ์ชายแดน"

          "หากเจ้าง่วงก็นอนก่อนเถอะ  ข้ายังไม่ง่วง"

          กล่าวแล้วร่างบางลุกไปหยิบดาบยาวสีขาวที่วางอยู่บนตั่งทองเหนือแท่นบรรทมหมายจะนำมาเช็ดถูทำความสะอาดให้ ทว่าผู้เป็นเจ้าของดาบผุดลุกขึ้นอย่างว่องไวพริบตาเดียวก็แย่งดาบไปจากมือของนางได้สำเร็จ

          "ดึกมากแล้ว" เขากล่าวย้ำเสียงเข้ม

          "ข้าไม่ง่วง เหตุใดเจ้าต้องบังคับ" ฟ้ามุ่ยเอื้อมมือไปหมายจะแย่งดาบกลับมาอีกครั้ง ทว่าถูกคนตัวโตกว่ารวบข้อมือเอาไว้ได้สำเร็จ

          "หากมิบังคับ เจ้าคงขัดดาบเสียจนสว่างคาตา" เขาว่า เก็บดาบไว้ที่เดิมแล้วกึ่งจูงกึ่งลากอีกฝ่ายไปยังแท่นบรรทม

          ฟ้ามุ่ยชักสีหน้าเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายสามารถเดาความคิดของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่กระนั้นก็ยอมนั่งลงบนแท่นบรรทมแต่โดยดี

          "นอนดี ๆ ข้าจะดับเทียนแล้ว"

          คนถูกสั่งดึงปิ่นขัดเกล้าออกด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก ปล่อยเส้นผมสีดำสนิทคลี่คลุมบนหลังและไหล่บาง ส่งกลิ่นหอมกรุ่นกำจายลอยฟุ้ง ก่อนจะทิ้งกายลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างจนถึงคอ นัยน์ตากลมโตสีดำสนิทเหลือบมองบุรุษข้างกายอย่างระแวดระวัง  เป็นภาพที่ทั้งน่ารักและน่าขันในเวลาเดียวกัน

          "ไหนเจ้าบอกให้ข้าทำตัวปกติอย่างไรเล่า แล้วเหตุใดเจ้า..." เขาเปรย ร่างใต้ผ้าห่มรีบแย้งเสียงขุ่น

          "ข้าก็ทำตัวปกติอยู่นี่อย่างไรเล่า!"

          เขาทอดสายตามองสตรีข้างกายที่กำลังอยู่ในอิริยาบถอันห่างไกลจากคำว่าปกติด้วยความเอ็นดูปนขบขัน แต่ด้วยไม่อยากโต้เถียงกับนางอีก เขาจึงเอนกายลงนอนข้าง ๆ โดยไม่ได้กล่าวอันใดต่อ

          ร่างใต้ผ้าห่มเลิกคิ้ว กะพริบปริบ ๆ 

          "มิดับเทียนหรือ"

          "ไม่แล้ว ไม่อยากให้เจ้าหวาดระแวงเสียจนนอนไม่หลับ"

          "ข้ามิได้ระแวง  ข้าเพียง... " คำพูดต่อจากนั้นถูกกลืนหายไป เมื่อผู้เป็นบุรุษพลิกกายหันมาสบตาด้วย  ใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ใกล้เสียจนฟ้ามุ่ยแทบจะมองเห็นขนตาของเขาได้อย่างชัดเจนครบทุกเส้น

          มือใหญ่อบอุ่นสัมผัสแก้มนวลของสตรีที่บัดนี้ขึ้นสีแดงเรื่ออย่างระมัดระวัง นิ้วเรียวสวยค่อย ๆ เกลี่ยไรผมที่ระบนหน้าผากออก แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นผูกเป็นปมอย่างเบามือ

          "ข้ารู้จักเจ้ามาเป็นสิบปี สายตาของเจ้ามองข้าเช่นไร ข้าจะไม่รู้เลยหรือ"

          ผู้เป็นสตรีเผยอริมฝีปากขี้นทำท่าจะโต้แย้ง  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเก็บงำคำพูดเอาไว้ดังเดิม เพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกาะกุมมือใหญ่ที่กำลังสัมผัสเส้นผมของนางเอาไว้ 

          ดวงตาสองคู่สบประสานกันเนิ่นนานในความเงียบ แลกเปลี่ยนความรู้สึกกันโดยมิได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดออกมา ความรู้สึกบางอย่างพลันก่อตัวขึ้นในใจของฟ้ามุ่ย เป็นความรู้สึกเช่นเดียวกันกับทุกครั้งที่ตื่นจากฝันร้ายแล้วได้เห็นคนผู้หนึ่งคอยอยู่ข้าง ๆ อบอุ่นปลอดภัยราวกับมิต้องหวั่นเกรงใด ๆ อีกแล้วบนโลกใบนี้

          ร่างบางค่อย ๆ ขยับกายเบียดชิดเข้าหาอกอุ่นของบุรุษเบื้องหน้า  เขากอดรับนางเข้าสู่อ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ขยับร่างกายให้เข้าที่เข้าทางเพื่อให้คนในอ้อมกอดได้นอนสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าก็คอยระมัดระวังมิให้สัมผัสของตนล่วงเกินอีกฝ่าย

          "เช่นนี้ยังเรียกว่าระแวงอยู่อีกหรือไม่"  ฟ้ามุ่ยกระซิบแผ่วเบา

          แทนคำตอบคนฟังกอดกระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นก่อตัวขึ้นช้า ๆ ปลอบประโลมหัวใจสองดวงที่กำลังว้าวุ่นให้ค่อย ๆ สงบลง  ความกังวลทั้งหลายที่อัดแน่นอยู่ในใจดูเหมือนจะเบาบางลงไปชั่วขณะ ทำให้ต่างฝ่ายต่างตระหนักได้ว่า หากจะมีสถานที่ใดบนโลกใบนี้ที่จะสามารถหลับตาลงได้อย่างไร้ซึ่งความกังวล สถานที่นั้นก็คงเป็นในอ้อมกอดของกันและกันเช่นนี้เอง...