ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง

          ควันหนาทึบพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศยามราตรี บดบังแสงดาวที่เคยส่องสว่างให้หม่นแสงลง ไฟลามไปทั่วทั้งอาคารไม้หลังงาม ส่องประกายราวกับเปลวเทียนในความมืด ทว่ากลับไม่มีอะไรสวยงามเลย ทุกสิ่งถูกเผาผลาญอย่างไร้ความปรานี เสียงเปลวไฟลุกลามไปทั่วบริเวณ  เสียงกรีดร้อง และเสียงโหวกเหวกโวยวายดังระงมทั่วเขตพระราชฐาน

          ฟ้ามุ่ยผวาตื่นขึ้นในอ้อมกอดอุ่นของใครบางคน รู้สึกเหมือนเพิ่งหลับไปได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น อีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้วเช่นกันจึงคลายอ้อมแขนออก ทั้งคู่ดีดกายขึ้นนั่งฟังสรรพเสียงรอบตัวอย่างระแวดระวัง

          เสียงฝีเท้าถี่เร็วดังขึ้นนอกห้องบรรทม ตามมาด้วยเสียงเรียกร้อนรนของนางลำเจียก

          "องค์รัชทายาท พระชายา หม่อมฉันเข้าไปได้หรือไม่เพคะ"

          ฟ้ามุ่ยมองสำรวจเสื้อผ้าอาภรณ์ตนและคนข้างกาย เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีมิได้มีอันใดผิดปกติก็เอ่ยปากอนุญาตให้สาวใช้เข้ามาในห้อง

          "เกิดอะไรขึ้นหรือ" องค์ชายจักรินทร์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของหญิงรับใช้

          "เกิดไฟไหม้ที่ตำหนักของเจ้านางบัวบุศย์เพคะ"

          ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง

          "ไปดูเสียหน่อยเถอะ" ฟ้ามุ่ยว่า

          องค์ชายจักรินทร์พยักหน้า  แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทั้งสองสาวเท้าฉับ ๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องบรรทม โดยมีนางลำเจียกวิ่งตามหลังไปด้วย

          ตำหนักของเจ้านางบัวบุศย์ไฟลุกท่วม เสียงไม้แตกหักดังไปทั่วบริเวณ ผู้คนต่างมุงดูด้วยความตกใจและหวาดกลัว  ควันดำพวยพุ่งออกจากหน้าต่าง  ไฟลุกลามไปทั่วตำหนักอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารและบ่าวไพร่ช่วยกันสาดน้ำใส่บริเวณโดยรอบเพื่อควบคุมไฟไม่ให้ลุกลามไปยังตำหนักอื่น

          องค์ชายอัครเรศมาถึงก่อนแล้ว  กำลังยืนอยู่ในหมู่บ่าวไพร่ถามไถ่บางอย่างด้วยใบหน้าเคร่งเครียด  เมื่อเห็นผู้เป็นเชษฐาและพระชายาเดินเข้ามาก็รีบถวายบังคมทันที

          "อัครเรศ  มานานแล้วหรือ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง"

          "เสด็จพี่! หม่อมฉันมาได้สักพักแล้ว กำลังพยายามถามไถ่ถึงเจ้านางบัวบุศย์แต่กลับมิมีผู้ใดพบเห็นนางเลยพ่ะย่ะค่ะ"  องค์ชายอัครเรศตอบ สีหน้าบ่งบอกว่ากังวลถึงขีดสุด

          "ไม่เห็นได้อย่างไรกัน" ฟ้ามุ่ยว่า หันไปหาหญิงรับใช้ประจำตัวของเจ้านางบัวบุศย์  ที่แม้บัดนี้ดวงหน้าจะมอมแมมไปด้วยคราบเขม่าควันไฟ แต่นางก็ยังจำได้ดีด้วยเพราะเคยได้พบกันมาก่อนแล้วที่หอตำรา  เมื่อสบเข้ากับสายตาของฟ้ามุ่ย หญิงรับใช้นางนั้นก็น้ำตาไหลพราก

          "หม่อมฉันไม่ทราบจริง ๆ เพคะพระชายา พอรู้ว่าเกิดเหตุไฟไหม้หม่อมฉันก็รีบเข้าไปในห้องบรรทม จะพาเจ้านางหนีออกมาจากตำหนัก แต่เจ้านางไม่อยู่ที่นั่น หม่อมฉันหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ พยายามถามคนอื่น ๆ ที่กำลังวิ่งหนีกันออกมาก็ไม่มีผู้ใดเห็น  หม่อมฉันจึงคิดว่าอาจจะมีบ่าวไพร่คนอื่นพาเจ้านางออกมาแล้ว จึงตัดสินใจวิ่งออกมา  แต่เมื่อออกมาแล้วถามไถ่ผู้ใดกลับไม่มีคนเห็นเจ้านางบัวบุศย์เลยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว...  ผิดไปแล้วจริง ๆ " ว่าแล้วก็ทรุดลงร่ำไห้ สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ

          ฟ้ามุ่ยกวาดสายตามองรอบ ๆ ตำหนักที่กำลังลุกไหม้  ด้านหน้าไฟโหมแรงคลอกประตูที่ใช้เข้าออกจนไม่น่าจะมีใครหนีออกมาทางนี้ได้อีกแล้ว  ด้านหลังและปีกขวาของตำหนักมีส่วนที่ไฟยังลามไปไม่ถึง  เป็นไปได้ว่ายังสามารถใช้เป็นทางหลบหนีได้

          "ถ้าออกมาแล้วนางต้องอยู่ที่นี่ ไม่มีเหตุผลอะไรที่นางจะต้องซ่อนตัว คิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือนางยังอยู่ข้างใน"

          เมื่อได้ยินคำกว่าสรุปเช่นนั้น องค์ชายอัครเรศก็ร้อนรนขึ้นมาทันที ทำท่าจะวิ่งเข้าไปในตำหนักที่กำลังลุกไหม้ โชคดีที่ผู้เป็นพี่ชายคว้าร่างเอาไว้ได้ทันท่วงที

          "ช่วยกันจับองค์ชายไว้!" ฟ้ามุ่ยตวาดลั่น ทำเอาองค์ชายอัครเรศตัวแข็งทื่อ น้ำเสียงเฉียบขาดทรงอำนาจทำให้บ่าวไพร่ของเจ้านางบัวบุศย์ทำตามอย่างว่าง่าย

          องค์ชายจักรินทร์หันมาสบตาผู้เป็นชายาก็รู้ทันความคิดของนางทันที จึงผละจากอนุชาแล้วรีบคว้าแขนสตรีตรงหน้าไว้แทน 

          "หากเจ้าจะเข้าไป ต้องให้ข้าไปด้วย"

          เมื่อรู้ว่าเขาห่วงฟ้ามุ่ยก็มิได้รั้น รีบพยักหน้าตอบรับแล้วกวาดสายตามองไปโดยรอบ เมื่อปะเข้ากับทหารยามสองสามคนที่กำลังช่วยอพยพคนก็รีบกราดเข้าไปหา ยืมดาบมาได้สองเล่ม เล่มหนึ่งโยนให้องค์ชายจักรินทร์ อีกเล่มนำติดตัวไว้แล้วมุ่งหน้าไปทางปีกขวาของตำหนักทันที



          ด้านในตำหนักเต็มไปด้วยควันดำหนาทึบพวยพุ่งขึ้นจากทุกทิศทาง บดบังสายตาเสียจนแทบมองอะไรไม่เห็น  เสียงไม้ลั่นดังเปรี๊ยะ เสียงผนังถล่มลงมาเป็นสัญญาณว่าความหวังในการหนีออกไปกำลังริบหรี่ลงทุกขณะ

          บัวบุศย์ยืนอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยควันไฟ เหลือบมองดูแขนของตัวเอง เห็นผิวหนังที่ถูกเผาจนเป็นแผลลึกและเนื้อเยื่อถูกเผาไหม้จนเกือบถึงกระดูก ความเจ็บปวดอย่างท่วมท้นทำให้หัวใจเต้นระรัว นางพยายามกัดฟันข่มความเจ็บปวด รู้ดีว่าต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป  ทว่าเวลานี้ทุกประตูทุกหน้าต่างถูกเปลวไฟล้อมไว้หมดแล้ว ความร้อนที่แผดเผาทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายจะมอดไหม้

          เสียงไม้ลั่นดังกึกก้องเหนือหัว รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากหลังคาที่อาจถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ เปลวไฟสะท้อนในดวงตาคู่งามที่บัดนี้ที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก

          ชั่วขณะจิตนั้นเอง ภาพเงาของบุรุษผู้หนึ่งผุดขึ้นในมโนสำนึก น้ำเสียง คำพูดและความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นั้นฉายชัดในความทรงจำ

          "ยังไม่ใช่เวลานี้หรอก  อีกไม่นาน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้" บัวบุศย์พึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เสียงไม้จะดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเพดานที่เริ่มจะถล่มลงมา

          ชั่วขณะที่ความตายเฉียดเข้ามาใกล้จนขนหัวลุก  เกิดเสียงคล้ายแส้ฟาดผ่านอากาศดังขวับ ๆ หน้าต่างที่ถูกล้อมกรอบด้วยเปลวเพลิงก็ถูกอะไรบางอย่างทำให้ขาดออกเป็นเสี่ยง ๆ จนเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่  ภาพเงาร่างของบุรุษในความทรงจำปรากฏขึ้น 

          ทันทีที่บุรุษผู้นั้นก้าวเข้ามาในห้องบัวบุศย์ก็โถมกายเข้าใส่อ้อมแขนของเขาอย่างลืมตัว ทว่าเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของคนผู้นั้นแล้วกลับพบว่าเขามิใช่คนที่ใจของตนปรารถนาจะได้พบ

          "เจ้านางบัวบุศย์ บาดเจ็บที่ใดหรือไม่"

          เสียงจากสตรีอีกผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้องเรียกสติของนางให้กลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่าบุรุษที่ประคองตนอยู่ขณะนี้เป็นใครบัวบุศย์ก็ผงะถอยหลังทันที

          "พระชายา องค์รัชทายาท มาได้อย่างไรเพคะ..."

          "อย่าเพิ่งถามเลย รีบออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ!"

          เศษไม้และชิ้นส่วนหลังคาเริ่มร่วงลงหล่นลงมา ฟ้ามุ่ยใช้ดาบปัดป้องออกไปอย่างทุลักทุเล องค์ชายจักรินทร์ฉุดแขนเจ้านางบัวบุศย์ให้รีบออกเดิน ทว่าความลังเลบางอย่างกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง  ในช่วงเวลาคับขันร่างบางนั้นกลับไม่ยอมขยับขาแม้แต่ก้าวเดียวราวกับไม่อยากจะออกไปจากที่นี่เสียดื้อ ๆ

          "อุ้มนาง! เร็วเข้า ไปเร็ว!"

          ฟ้ามุ่ยตะโกนสั่งอย่างฉุนเฉียว  เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้เป็นชายาแล้วองค์ชายจักรินทร์จึงช้อนร่างสตรีผู้เอาแต่ยืนนิ่งขึ้นแล้วรีบพุ่งออกจากโพรงเดิมที่ผ่านเข้ามา ฟ้ามุ่ยวิ่งตามออกมาติด ๆ

          วินาทีนั้นเองหลังคาของตำหนักทั้งหลังก็ร่วงหล่นลงมา เปลวไฟลุกโหมขึ้นอีกครั้ง ควันสีดำพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คนที่มุงดูอยู่

          องค์ชายอัครเรศดิ้นหลุดจากพันธนาการของเหล่าหญิงรับใช้ได้ในที่สุด วิ่งถลามารับเจ้านางบัวบุศย์จากอ้อมแขนของพระเชษฐาโดยไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น  เสียงนางรับใช้ร้องไห้ระงมทั้งยินดี โล่งอก และรู้สึกผิดต่อผู้เป็นนาย 

          เมื่อส่งร่างของเจ้านางบัวบุศย์ให้กับอนุชาแล้ว องค์ชายจักรินทร์ก็รีบหันมาสำรวจคนข้างกาย ที่บัดนี้แก้มนวลและเนื้อตัวเปื้อนเขม่าควันกระดำกระด่างไปทั้งร่าง

          "บาดเจ็บที่ใดหรือไม่"

          ฟ้ามุ่ยส่ายหน้า หมุนตัวให้เขาดูเสียรอบหนึ่งเพื่อความสบายใจ  คนถามจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วทำท่าจะดึงนางเข้าไปกอด ฟ้ามุ่ยรีบถลึงตาใส่เป็นเชิงห้าม ก่อนจะใช้สายตาชี้นำให้เขามองไปที่องค์ชายผู้น้องซึ่งกำลังตระกองกอดร่างของว่าที่พี่สะใภ้ไว้อย่างทะนุถนอม  ครั้นเห็นบาดแผลไฟไหม้ที่แขนของนางสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเครียดเขม็งขึ้นมาทันที

          ภาพนั้นทำให้องค์ชายจักรินทร์ขมวดคิ้วเข้ม ฟ้ามุ่ยเม้มริมฝีปากบางจนเป็นเส้นตรง ตัดสินใจเดินเข้าไปหาทั้งสองเพื่อขัดขวางฉากที่น่ากระอักกระอ่วนนั้น เมื่อคุกเข่าลงใกล้ ๆ พินิจพิจารณาดูแผลของเจ้านางบัวบุศย์ดี ๆ แล้วก็พบว่าค่อนข้างสาหัส จึงรีบตะโกนสั่งพวกบ่าวไพร่ให้ตามหมอทันที

          เจ้านางบัวบุศย์ตัวสั่นสะท้านเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผล ทว่าริมฝีปากกลับแย้มรอยยิ้ม นิ้วเรียวสั่นระริกเอื้อมมาทางฟ้ามุ่ยที่แม้จะประหลาดใจแต่ก็มิได้ปัดป้องใด ๆ

          สิ่งที่มือของนางยื่นมาสัมผัสนั้นคือจี้มยุระทองที่ห้อยประดับอยู่บนเนินอกของฟ้ามุ่ย  นางหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

          "พระชายาทรงรู้หรือไม่ เดิมทีสร้อยนี้ควรเป็นของหม่อมฉัน..."

          ฟ้ามุ่ยก้มมองสร้อยแวบหนึ่ง เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงหมายความว่า ตนได้แย่งเอาตำแหน่งชายาเอกของนางไป จึงได้แต่พยักหน้ารับ

          "ข้ารู้... แต่ข้ากับองค์ชายจักรินทร์รักกันมาก่อนที่ท่านจะเข้าวังด้วยซ้ำ เรื่องนี่ข้าจึงมิอาจเสียสละให้ท่านได้จริง ๆ"

          คนฟังส่ายหน้าช้า  ๆ รอยยิ้มบิดเบี้ยว

          "ท่านไม่รู้หรอก... ท่านไม่เข้าใจ..."

          คำพูดหลังจากนั้นของเจ้านางบัวบุศย์ถูกขัดถ้วยเสียงกรีดร้องของเจ้านางลักขณาวดีที่เพิ่งเสด็จมาถึงพร้อมกับเจ้าเหนือหัวจักรทิพย์

          "เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร  เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!"

          ฟ้ามุ่ยรีบลุกขึ้นหลีกทางให้สตรีวัยกลางคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นหลานสาว แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่ประคองเจ้านางบัวบุศย์อยู่นั้นคือโอรสของตนดวงหน้าก็พลันเปลี่ยนสีทันที

          "อัครเรศ... เจ้ามาทำอะไรที่นี่!!"




          กว่าเพลิงจะสงบลงรุ่งสางก็มาเยือน 

          องค์ชายอัครเรศถูกมารดาสั่งให้กลับตำหนักทันที เจ้านางบัวบุศย์ถูกย้ายไปพักฟื้นอยู่ที่ตำหนักเพียงอำพรก่อนชั่วคราว  โดยมีหมอหลวงคอยดูแลใกล้ชิด

          เจ้าจักรทิพย์ตำหนิองค์ชายรัชทายาทและพระชายาเป็นการใหญ่ ที่เอาตนเองเข้าไปเสี่ยงกับอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งทรงมีคำสั่งให้สืบสวนเหตุไฟไหม้อย่างละเอียด เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ร้ายแรง และก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นอันมาก  องค์รัชทายาทและพระชายาในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ต้องเข้าให้การกับตำรวจวังหลวงในเช้าวันถัดมา

          สำหรับฟ้ามุ่ยแล้วแม้ไม่มีเบาะแสอันใดมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถสรุปได้จากการบุกเข้าไปช่วยเจ้านางบัวบุศย์ก็คือ ต้นเพลิงในครั้งนี้มาจากในตำหนักอย่างแน่นอน อีกทั้งพฤติการณ์แปลกประหลาดหลายประการของเจ้านางบัวบุศย์และองค์ชายอัครเรศก็ล้วนน่าสงสัย ทว่านอกเหนือจากองค์ชายจักรินทร์แล้วฟ้ามุ่ยกลับเลือกที่จะเก็บงำข้อสงสัยเหล่านี้เอาไว้มิได้แพร่งพรายให้ผู้อื่นทราบ