ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ

          เหตุเพลิงไหม้ตำหนักของเจ้านางบัวบุศย์นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตและสะเทือนขวัญยิ่ง ไม่ต่างจากการลอบสังหารเชื้อพระวงศ์องค์สำคัญพระองค์หนึ่งเลยทีเดียว วันต่อมาองค์ชายจักรินทร์และพระชายาจึงต้องเข้าให้การกับตำรวจวังหลวงโดยละเอียดถึงสิ่งที่พบเห็นในตำหนักระหว่างที่บุกไปช่วยเจ้านางบัวบุศย์ 

         ดูเหมือนว่าตำรวจวังหลวงเองก็สันนิษฐานเช่นเดียวกันกับฟ้ามุ่ยว่าต้นเพลิงในครั้งนี้เกิดจากภายในตำหนักอย่างแน่นอน  ด้วยประตูหน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิท ขณะที่ไฟลามเลียออกมาจากภายในตัวตำหนัก  ทว่านอกจากพยานบุคคลแล้วหลักฐาน อื่นๆ ที่จะนำมาประกอบการสืบสวนกลับหาได้ยากยิ่ง เนื่องจากตัวตำหนักถูกไฟไหม้เกือบหมด อีกทั้งหลังคายังถล่มลงมาทำให้แทบไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ให้เก็บหลักฐาน

          เรื่องเดียวที่ฟ้ามุ่ยติดใจก็คือ เหตุใดนางรับใช้ของเจ้านางบัวบุศย์จึงหานายของตนไม่พบตั้งแต่แรก เป็นเหตุให้เจ้านางบัวบุศย์เกือบถูกย่างสดอยู่ภายในตำหนัก เมื่อสอบถามเรื่องนี้กับตำรวจหลวง ก็ได้ความว่าหญิงรับใช้ผู้นั้นยืนยันหนักแน่นถึงกับกล้าสาบานเลยว่าได้พยายามค้นหาเจ้านางบัวบุศย์จนทั่วแล้วแต่กลับหาไม่พบ ทั้งยังใช้เวลาหาอยู่นานพอสมควรกว่าจะตัดสินใจหนีออกมา 

         เช่นนั้นแล้วเจ้านางบัวบุศย์หายตัวไปอยู่ที่ใด... ไฉนจึงปรากฏตัวที่ปีกขวาของตำหนักพร้อมกับบาดแผลไฟลวกรุนแรงถึงเพียงนั้นได้ 

          อย่างไรก็ตามตำรวจหลวงยังไม่สามารถสอบปากคำเจ้านางบัวบุศย์ได้ในเวลานี้ด้วยเจ้าตัวยังจับไข้ไม่ได้สติเพราะพิษบาดแผล เจ้านางลักขณาวดีจึงยังคงปิดตำหนักเงียบมิให้ผู้ใดเยี่ยมไข้



          ตำหนักริมน้ำยังคงเงียบสงบราวกับถูกตัดขาดจากความวุ่นวายทั้งหลายแหล่ของโลกภายนอก ฟ้ามุ่ยใช้ความคิดอยู่เงียบ ๆ ที่ศาลาริมน้ำ บนโต๊ะไม้ทรงกลมมีกระดาษแผ่นใหญ่หนาวางอยู่ นิ้วเรียวกำดินสอถ่านไว้หลวม ๆ เพ่งพินิจอยู่นานก็ขีดเขียนบางอย่างลงในกระดาษ

          "ทรงเขียนอันใดอยู่หรือเพคะ" ลำเจียกซึ่งคอยรับใช้อยู่ใกล้ ๆ เอ่ยปากถาม ชะเง้อชะแง้มองไปบนแผ่นกระดาษแล้วทำสีหน้าพิลึกพิลั่น

          "ข้ากำลังวางแผนจัดทัพ"  ฟ้ามุ่ยตอบเบา ๆ ยังคงเพ่งมองกระดาษไม่วางตา

          "หม่อมฉันดูไม่เข้าใจเลยสักนิดเพคะ" นางลำเจียกว่าพลางเกาหัวอย่างจนใจ  ผู้เป็นนายหัวเราะเบา ๆ

          "กว่าข้าจะเข้าใจก็ใช้เวลาอยู่นานเป็นปีทีเดียว"

          "ท่านราชครูสอนให้หรือเพคะ"

          "ใช่ ท่านพ่อของข้าเชี่ยวชาญหลายศาสตร์ ทั้งยังเข้มงวดดุดันกว่าข้าหลายเท่าเชียวล่ะ"

          "เช่นนี้นี่เอง  ถึงว่าเหตุใดพระชายาทรงดุนัก" นางลำเจียกพูดจาเจื้อยแจ้ว แต่พอนึกอะไรได้ก็รีบยกมือขึ้นตะครุบปิดปากตัวเองทันที 

          ผู้เป็นนายหันขวับแล้วเคาะหน้าผากนางด้วยดินสอถ่านเสียงดังก๊อก ทิ้งรอยดำเล็ก ๆ ไว้บนหน้าผากของคนปากมาก

          "หากข้าดุจริง เจ้าจะลอยหน้าลอยตาพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนใส่ข้าอยู่เช่นนี้ได้รึ"

          ลำเจียกเช็ดหน้าผากป้อย ๆ พลางยิ้มแหย ๆ แต่ยังไม่ทันได้กล่าวแก้ตัวอันใด เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้สองนายบ่าวหันไปมอง  องค์ชายจักรินทร์เดินลัดเลาะมาตามทางที่เต็มไปด้วยไม้ดอกบานสะพรั่ง โดยมีขุนณรงค์ที่คอยตามอารักขาสาวเท้าตามมาติด ๆ

          "ดุอะไรนางลำเจียกอีกเล่า" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ระหว่างที่ก้าวเข้ามาในศาลา  ขณะที่ขุนณรงค์เพียงหยุดยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกศาลามิได้ตามเข้ามาด้วย

          "นางพูดจาเหลวไหล" ฟ้ามุ่ยตอบสั้น ๆ แต่ทำเอานางลำเจียกหน้ามุ่ย แก้ตัวเสียงหงุงหงิง

          "หม่อมฉันมิได้พูดเหลวไหลเพคะ เพียงพูดว่าพระชายาดุยิ่งนักเท่านั้น ก็ถูกเคาะหัวด้วยดินสอถ่านเสียแล้วเพคะ"

          คนฟังคลี่รอยยิ้มบาง แม้จะรู้สึกเห็นด้วยกับนางลำเจียกอย่างยิ่ง แต่ก็เลือกที่จะเก็บงำความคิดนั้นเอาไว้ในใจ แล้วบอกเล่าถึงประเด็นสำคัญที่หารือกับเจ้าจักรทิพย์ผู้เป็นพระราชบิดาให้อีกฝ่ายรับรู้แทน

          "เสด็จพ่อพระราชทานอนุญาตให้จัดทัพหลวงได้ หากมีเหตุอันใดเกิดขึ้นจะได้เคลื่อนทัพได้ทันท่วงที" 

          ฟ้ามุ่ยพยักหน้ารับ แล้วเบี่ยงกายเล็กน้อยให้บุรุษที่เข้ามายืนด้านหลังได้เห็นสิ่งที่นางขีดเขียนลงบนกระดาษ

          "ข้าวางแผนจัดทัพไว้แล้ว เจ้าดูหน่อยว่ามีที่ใดต้องแก้ไขอีกบ้าง"

          ผู้เป็นบุรุษทอดสายตามองรอยขีดเขียนบนกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง  เขาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเปรยเบา ๆ

          "เจ้าจงใจจัดทัพเรียบง่ายคงเพราะต้องการให้สามารถเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์ใช่หรือไม่"

          ฟ้ามุ่ยหัวเราะเบา ๆ เมื่อถูกอีกฝ่ายเดาความคิดได้อย่างแม่นยำ

          "แปรกระบวนทัพได้เจ็ดรูปแบบ เปลี่ยนกลยุทธ์ได้เก้ากลยุทธ์" ฟ้ามุ่ยบอกก่อนจะเริ่มอธิบาย รูปแบบทั้งห้า และกลยุทธ์ทั้งเก้า ให้อีกฝ่ายฟังพอสังเขป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ท้วงติงให้แก้ไขอันใดแล้วก็ม้วนเก็บกระดาษแผ่นหนานั้นอย่างคล่องแคล่วแล้วยื่นส่งให้นางลำเจียกนำไปเก็บ  ขุนณรงค์เห็นว่าผู้เป็นนายอาจจะอยากอยู่ด้วยกันตามลำพังจึงเดินกลับออกไปทางหน้าตำหนักเช่นกัน

          "เรื่องเจ้านางบัวบุศย์มีความคืบหน้าอีกหรือไม่" ฟ้ามุ่ยปรารภ เมื่อเห็นว่าทั้งสองออกไปพ้นรัศมีการได้ยินแล้ว

          "ข้าให้คนสืบเรื่องของนางมาแล้ว นางเป็นบุตรสาวของคหบดีผู้หนึ่งซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเสด็จแม่ ตระกูลของนางค้าขายอยู่แถบชายแดน ร่ำรวยและสูงศักดิ์ดั่งที่เสด็จแม่กล่าวอ้างทุกประการ"

          "ชายแดนหรือ..." ฟ้ามุ่ยทวนคำ คล้ายมีบางอย่างชวนให้สะดุดใจแต่กลับยังนึกไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไร  องค์ชายจักรินทร์เห็นนางเงียบเปรยแล้วเงียบไปมิได้กล่าวอันใดอีกจึงเล่าต่อ

          "แผลของนางค่อนข้างสาหัส  เสด็จพ่อจึงให้เลื่อนกำหนดการถวายตัวออกไปก่อน แต่เสด็จแม่จะทรงยอมหรือไม่นั้นยังไม่ทราบได้"

          "นางเจ็บถึงเพียงนั้น  หากเจ้านางลักขณาวดีมิยอมให้เลื่อน ก็นับว่าใจดำเกินไปแล้ว..."

          กล่าวถึงตรงนี้ฟ้ามุ่ยก็พลันฉุกใจคิดบางอย่างขึ้นได้ รีบหันมาสบตาบุรุษข้างกายด้วยสีหน้าตื่นตระหนกผิดวิสัย

          "มิ่งเมือง... เจ้าว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่ใครบางคนจะเผาตำหนักของนางเพราะต้องการขัดขวางไม่ให้นางได้ถวายตัว"

          องค์ชายจักรินทร์เลิกคิ้ว เดิมทีเขาเองก็คิดไม่ถึงในข้อนี้  แต่เมื่อทบทวนเรื่องราวอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าช้า ๆ มีท่าทีเห็นด้วย

          "ฝ่ายที่ไม่สนับสนุนนางก็มีมากอยู่  เสด็จพ่อเองก็เป็นหนึ่งในนั้น..."

          "หรือไม่ก็องค์ชายอัครเรศ"  ฟ้ามุ่ยขัดขึ้นเสียงขรึม

          คราวนี้คนฟังโคลงศีรษะเล็กน้อย ภาพองค์ชายผู้น้องที่ตื่นตระหนกจนแทบคลุ้มคลั่งเมื่อทราบว่าเจ้านางบัวบุศย์ติดอยู่ในตำหนักที่ไฟไหม้ยังคงติดตาเขาอยู่

          "แต่เขาเป็นห่วงเป็นใยเจ้านางบัวบุษย์ยิ่งนัก เจ้าก็เห็น"

          "ถูกแล้ว ห่วงมากจนข้าเกือบจะคิดว่าเขาหลงรักนาง" ฟ้ามุ่ยกล่าว "บางที... อาจจะรักเสียจนไม่อาจยอมให้นางตกเป็นชายาของเจ้า" 

          ท่าทีของคนฟังเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด

          "เจ้าแน่ใจหรือฟ้ามุ่ย นี่เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงยิ่งนัก" 

          "ไม่หรอก นี่เป็นเพียงการคาดเดาตามรูปการณ์เท่านั้น" ฟ้ามุ่ยกล่าวอย่างแบ่งรับแบ่งสู้  "แต่เห็นท่าทางของเขาเมื่อคืนแล้วข้าก็คิดเป็นอื่นไม่ได้จริง ๆ  เจ้าอย่าลืมว่าทั้งสองคนแม้สายเลือดจะใกล้ชิดกัน  แต่ก็มิได้ถูกเลี้ยงดูให้โตมาด้วยกันฉันพี่น้อง มาพบกันก็เมื่อตอนที่เป็นหนุ่มสาวแล้ว บุรุษสตรีใกล้ชิดกันอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้"

          องค์ชายจักรินทร์จนด้วยคำพูด เพราะได้พิสูจน์มาด้วยตนเองแล้วว่า บุรุษสตรีใกล้ชิดกันนั้นหักห้ามใจได้ยากเพียงใด  ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป  ฟ้ามุ่ยเบี่ยงกายหันไปทางสระบัว  เหม่อมองดูฝูงผีเสื้อที่บินว่อนท่ามกลางดอกบัวสีขาวบานสะพรั่งอยู่ครู่หนึ่ง  ชั่วอึดใจต่อมก็เปรยขึ้นอีกครั้ง

          "ที่จริงยังมีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะถามเจ้า"  นิ้วเรียวสัมผัสจี้ทองรูปนกยูงที่ตนสวมติดกายไว้อย่างแผ่วเบา

          "สร้อยมยุระนี้ นอกจากจะเป็นสร้อยของเสด็จแม่เจ้าแล้ว ยังเป็นของสำคัญที่มีความหมายอื่นแฝงอยู่ด้วยใช่หรือไม่"

          ความตึงเครียดบนใบหน้าของคนฟังคลายลง  เขาขยับกายเข้าใกล้ผู้เป็นชายา นิ้วเรียวลูบไล้สายสร้อยสีทองลวดลายงดงามบนลำคอระหงของนางอย่างเบามือ

          "มีสิ เป็นของสำคัญมากเสียด้วย"  เขาตอบพลางขยับรอยยิ้มอ่อนโยน ปลายนิ้วลูบไล้ลงไปถึงจี้นกยูงสีทองที่ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กงามระยับ 

          "สร้อยเส้นนี้เป็นสัญลักษณ์ขององค์รัชทายาท ตามธรรมเนียมแล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมองค์รัชทายาทก็จะมอบสร้อยนี้ให้กับชายาผู้ที่จะเป็นราชินีคู่บัลลังก์ ผู้เป็นราชินีก็จะเก็บไว้ส่งต่อให้กับพระโอรสที่จะเป็นองค์รัชทายาทต่อไป สืบทอดกันเช่นนี้จากรุ่นสู่รุ่น"

          ฟังคำอธิบายจบนัยน์ตาคู่สวยของคนฟังก็เบิกกว้าง จ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อหู

          "เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! ของสำคัญถึงเพียงนี้เจ้านำมามอบให้ข้าได้อย่างไร"

          "ข้ามีสติดี" องค์ชายจักรินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง  "เป็นความตั้งใจของข้าตั้งแต่แรกที่จะมอบสร้อยนี้ให้กับเจ้า เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็เป็นสตรี  ยอมเสียเกียรติติดตามมาอยู่ข้างกายข้าแล้วเช่นนี้ ข้าจึงอยากให้เจ้าอยู่ในจุดที่สูงที่สุด มีเกียรติที่สุดเหนือกว่าผู้ใดในเวียงชัยกฤษณะ"

          สตรีผู้ครอบครองสร้อยมยุระยืนนิ่งค้าง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้กันแน่ เดิมทีแค่รับตำแหน่งชายาของเขาก็น่าหนักใจมากพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังต้องพ่วงตำแหน่งว่าที่องค์ราชินีแห่งเวียงชัยกฤษณะเข้ามาอีกหนึ่งตำแหน่ง องค์ชายจักรินทร์ผู้นี้ตั้งใจจะผูกมัดนางเอาไว้นานแค่ไหนกันแน่หนอ...

          "แล้วเจ้าก็ปล่อยให้ข้าสวมติดคอไปทั่ววังโดยไม่รู้ความหมายของมันอย่างนั้นน่ะหรือ" ฟ้ามุ่ยบ่นเสียงขุ่น  กลบเกลื่อนความปั่นป่วนในใจด้วยสีหน้าบึ้งตึง

          ใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นองค์ชายยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม มิได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจใด ๆ ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายมิได้โกรธเคืองอย่างที่กำลังแสดงออก

          "ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ยอมสวมจึงไม่ได้บอกนัยของมันให้รู้แต่แรก  และที่จงใจให้เจ้าสวมติดกายไว้ตลอดก็เพื่อให้ผู้อื่นรู้ฐานะของเจ้า จะได้ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน"

          ทั้งหมดล้วนเป็นคำตอบว่าเหตุใดเจ้านางลักขณาวดีถึงได้บึ้งตึงต่อนางนัก  ในขณะที่เจ้านางบัวบุศย์กลับนอบน้อมยอมยื่นไมตรีให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น ที่แท้ก็เป็นเพราะสร้อยมยุระบนคอได้ประกาศฐานะของนางไว้อย่างชัดแจ้งแล้วนั่นเอง

          "มิน่าเล่าเจ้านางบัวบุษย์ถึงได้ตัดพ้อต่อข้าว่า  เดิมทีสร้อยนี้ควรเป็นของนาง"  ฟ้ามุ่ยว่า  ถอนหายใจหนัก ๆ ทีหนึ่ง  แล้วเล่าเหตุการณ์ตอนที่นางตรวจดูแผลไฟลวกของเจ้านางบัวบุศย์ให้เขาฟัง 

          "นางคงหมายความว่า หากไม่มีเจ้านางคงได้เป็นชายาเอกตามที่เสด็จแม่วางแผนไว้แต่แรก ได้เป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้ และเป็นว่าที่องค์ราชินีแห่งเวียงชัยกฤษณะอย่างนั้นกระมัง" เขาออกความเห็น

          ฟ้ามุ่ยเองก็คิดเช่นนั้น แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด สีหน้าและแววตาของเจ้านางบัวบุศย์ที่ยังคงติดตามาจนถึงตอนนี้กลับทำให้นางรู้สึกตงิด ๆ ในใจอย่างไรพิกล ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างในเรื่องนี้ที่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่นึกเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจุดใดกันแน่ที่ผิดปกติ  

          "ข้ารู้สึกพิกล ๆ อย่างไรก็ไม่รู้"

          ฟ้ามุ่ยหันกลับมาสบตากับบุรุษข้างกายอย่างขอความช่วยเหลือพลางถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่  กลุ่มก้อนความคิดอันหลากหลายผสมปนเปกันในหัววุ่นวายเสียจนดวงหน้างามแลดูยุ่งเหยิง  คิ้วเรียวขมวดมุ่นจนเป็นปมกลางหน้าผาก

          องค์ชายจักรินทร์ยื่นมือไปสัมผัสดวงหน้าของผู้เป็นชายา ใช้นิ้วนวดคลึงหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางเบา ๆ  ตามมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนชวนให้หัวใจอบอุ่น

          "ลำบากเจ้าแล้วที่ต้องมาขบคิดเรื่องเหล่านี้แทนข้า"

          "ข้าเป็นชายาเจ้านี่ ไม่ช่วยเจ้าแล้วจะให้ช่วยใคร"  ฟ้ามุ่ยกล่าวพร้อมกับขยับรอยยิ้มบาง "แต่ข้าคงไม่อาจอยู่เป็นชายาให้เจ้าตลอดไปได้  หากวันหน้าสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายแล้ว  ตำแหน่งชายาและสร้อยมยุระเส้นนี้ข้ายินดีที่จะคืนให้"

          หัวใจของคนฟังหล่นวูบเหมือนถูกดึงออกจากอก ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย บางสิ่งบางอย่างที่เคยมั่นคงอยู่ในใจคล้ายกำลังจะพังทลายลงเหลือเพียงความว่างเปล่า...

          "ข้าให้เจ้าแล้ว  เหตุใดต้องคืน..."

          "ของสำคัญเกี่ยวพันถึงความเป็นไปในราชวงศ์ของเจ้า  ข้าจะเก็บเอาไว้ได้อย่างไร หากวันหน้าเจ้าได้พบกับคนที่เจ้ารักและนางก็รักเจ้า--"

          พูดไม่ทันจบประโยคร่างบางก็ถูกบุรุษตรงหน้าดึงเข้าหาตัวจนแนบชิด  ใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายจักรินทร์แลดูดุดันขึ้นมาเล็กน้อย เขาโน้มกายเข้าใกล้ผู้เป็นชายาแล้วใช้แขนข้างหนึ่งโอบรัดเอวบางไว้ไม่ให้ถอยหนี มืออีกข้างคว้าจับข้อมือบางเอาไว้แน่น

          "ข้ามีเจ้าเป็นชายาแล้ว ไม่คิดจะมีผู้ใดอีก  หากวันหน้าเจ้าไม่ปรารถนาจะอยู่ข้างกายข้าอีกต่อไป  ข้าก็จะไม่รั้งเจ้าไว้  แต่ข้าจะไม่มีวันให้สตรีใดมาแทนที่เจ้า"

          ถ้อยคำหนักแน่นชัดเจนเสียจนหัวใจของฟ้ามุ่ยสั่นไหว นัยน์คู่สวยจ้องคนพูดอยู่นานก่อนจะหลุบลงมองพื้น

          "ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าอย่าได้กล่าวเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้  ประเดี๋ยวก็ทำข้าหลงคารมเข้าจนได้"

          คำกล่าวที่แสนจะตรงไปตรงมาของฟ้ามุ่ยนั้นกลับช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งในสายตาขององค์ชายจักรินทร์  เขายกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ  นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามแก้มและริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบาราวกับสัมผัสแก้วอันแสนบอบบาง

          "หากทำให้เจ้าหลงแล้วเจ้าไม่ไปจากข้า  ข้าก็จะทำ..."

          เขาบรรจงประทับจูบลงบนริมฝีปากอวบอิ่มอย่างอ่อนโยน นุ่มนวลและแผ่วเบาราวกับกำลังบรรจงวางกลีบดอกไม้ลงบนผิวน้ำ...

          ฟ้ามุ่ยหลับตาลง  สติหลุดลอยออกไปราวกับผีเสื้อที่บินอยู่ในดงดอกบัว  หัวใจคล้ายหยุดเต้นไปชั่วขณะ เวลาคล้ายเดินช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง สรรพเสียงรอบตัวเงียบหายไป มีเพียงสัมผัสอ่อนหวานละมุนละไมจากบุรุษตรงหน้าเท่านั้นที่ชัดเจนอยู่ในความรู้สึก