ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...
รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เสียงสิ่งของบางอย่างร่วงกราวลงบนพื้นดึงสติของฟ้ามุ่ยที่หลุดลอยออกไปพร้อมกับฝูงผีเสื้อให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง บุรุษผู้ที่กำลังครอบครองริมฝีปากของนางอยู่ก็ดูเหมือนจะรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ทว่ากลับยังคงอ้อยอิ่งไม่ยอมถอนริมฝีปากออกโดยง่าย จนเมื่อร่างในอ้อมกอดเริ่มดิ้นขยุกขยิกประท้วง เขาจึงจำยอมผละจากริมฝีปากอันอ่อนนุ่มนั้นแต่โดยดี ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความหวานละมุนบนริมฝีปากและในหัวใจอีกฝ่าย
เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็พบบุรุษรูปร่างผอมบางผู้หนึ่งยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงทางเดินที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง คล้ายกำลังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเดินมาข้างหน้าต่อ หรือจะถอยหลังกลับไปตามทางเดิมดี ตำราสองสามเล่มที่เขามักจะหอบติดตัวไปไหนมาไหนด้วยอยู่เป็นนิจบัดนี้ร่วงกองอยู่บนพื้น
"อัครเรศ..." องค์ชายจักรินทร์พึมพำพลางเลิกคิ้ว คาดไม่ถึงว่าคนที่ตนเพิ่งกล่าวขวัญถึงจะมาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเช่นนี้
"ล่วงเกินเสด็จพี่กับพระชายาแล้ว หม่อมฉันไม่ทราบว่ากำลัง..." องค์ชายอัครเรศอึกอัก มองบุรุษและสตรีตรงหน้าสลับกันไปมาอย่างประดักประเดิด
สายตาของอาคันตุกะที่มองมาทำให้ผู้เป็นสตรีขบริมฝีปากแน่น ดวงหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที นึกอยากจะตีคนข้างกายเสียให้คว่ำ โทษฐานที่ทำรุ่มร่ามโจ่งแจ้งเสียจนเป็นเหตุให้ต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงสถานะของตนและคนข้างกายแล้ว สิ่งที่องค์ชายอัครเรศได้เห็นนั้น นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่คู่รักโดยทั่วไปพึงปฏิบัติต่อกันอยู่แล้ว ฟ้ามุ่ยจึงจำต้องงัดเอาหน้ากากกษัตริย์มาสวมไว้บนใบหน้าแล้วกล่าวต้อนรับผู้มาเยือนอย่างที่เจ้าบ้านที่ดีควรจะกระทำ
"องค์ชายเชิญเสด็จทางนี้ก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันหละหลวมมิได้เตรียมการต้อนรับเอาไว้ องค์ชายโปรดอย่าถือสา"
"มิได้พระชายา เป็นหม่อมฉันเองที่มาโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า จึงมาขัดจังหวะพวกท่านเข้า เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว..."
"อยู่ก่อนเถิดอัครเรศ" องค์ชายจักรินทร์เอ่ยขัด แล้วสาวเท้าเดินออกไปนอกศาลา ช่วยผู้เป็นน้องเก็บตำรับตำราที่หล่นกระจัดกระจายขึ้นจากพื้นก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"อย่ารีบร้อนกลับเลย เจ้ามิได้มาขัดจังหวะอันใด พี่กับชายาเพียงหยอกล้อกันเล่นประสาผัวเมียเท่านั้นโปรดอย่าถือสา เจ้าอุตส่าห์มาหาพี่ถึงที่นี่คงมีเรื่องสำคัญไม่น้อย เข้ามานั่งคุยกันก่อนเถิด"
ฟ้ามุ่ยนึกอยากจะโดดสระบัวหนีไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อถูกอีกฝ่ายเรียกผัวเรียกเมียตรง ๆ ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ หน้ากากกษัตริย์ที่ว่าหนาแสนหนาก็ยังปิดบังความกระดากอายที่ผุดขึ้นในใจเอาไว้ได้ไม่มิด
ส่วนคนพูดกลับทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว กล่าวจบก็ก้าวเดินฉับ ๆ กลับเข้ามาในศาลาริมน้ำทันที องค์ชายอัครเรศที่ถูกยึดตำราทั้งหมดเอาไว้แล้วจึงจำใจเดินตามมาอย่างไม่มีทางเลือก
"สีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีนัก มีเรื่องร้อนใจอันใดหรือ" องค์ชายจักรินทร์เอ่ยปากถาม เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของผู้มาเยือน
องค์ชายอัครเรศมีท่าทีลำบากใจไม่น้อย มองดูเจ้าบ้านทั้งสองที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะกลมสลับกันไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากถาม
"เสด็จพี่ พวกท่านได้ไปเยี่ยมเจ้านางบัวบุศย์มาแล้วหรือ อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง"
องค์ชายจักรินทร์เลิกคิ้วนิด ๆ นัยน์ตาสีอำพันกวาดมองทั่วใบหน้าของอนุชาอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะตอบอย่างหมายจะลองเชิง
"พี่เข้าเฝ้าเสด็จพ่อเพิ่งกลับมาถึงตำหนักเมื่อครู่นี้เองจึงยังไม่ได้ไปเยี่ยมนาง หากเจ้าอยากทราบอาการของนาง พี่ก็คงพอจะบอกได้อย่างไม่ใคร่ละเอียดนัก แขนของนางถูกไฟไหม้รุนแรง เจ้าตัวจับไข้เพราะพิษบาดแผลตอนนี้ยังไม่ได้สติ เสด็จพ่อจึงให้เลื่อนกำหนดถวายตัวออกไปก่อน"
ในขณะที่คนหนึ่งเล่า อีกคนก็เฝ้าลอบสังเกตสีหน้าของคนฟังอย่างละเอียดว่ามีร่องรอยของความยินดีปรากฏขึ้นมาบ้างหรือไม่ เมื่อทราบว่ากำหนดการถวายตัวของเจ้านางบัวบุศย์จะถูกเลื่อนออกไป ทว่าสีหน้าและแววตาของผู้ฟังนั้นกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลหาได้มีอย่างอื่นเจือปนไม่
"หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายไปเยี่ยมนางมาแล้วเสียอีก" ฟ้ามุ่ยว่า
"พระชายาทรงคาดการณ์ไม่ผิด ที่จริงหม่อมฉันไปเยี่ยมนางมาแล้ว แต่เสด็จแม่ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม ที่หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพราะหวังพึ่งบารมีเสด็จพี่และพระชายา หากจะทรงเสด็จไปเยี่ยมนางที่ตำหนักเพียงอำพรเมื่อใด หม่อมฉันจะขอตามเสด็จด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
คำตอบขององค์ชายอัครเรศทำให้คนฟังลอบสบตากัน หลังจากสนทนากันทางสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ฟ้ามุ่ยก็หันไปจับจ้องอาคันตุกะหนุ่มน้อยอีกครั้ง ก่อนเปรยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าชัดเจนตรงไปตรงมายิ่ง
"หม่อมฉันขอบังอาจถามองค์ชายอัครเรศตรง ๆ พระองค์ทรงทราบดีอยู่แล้วว่าเจ้านางบัวบุศย์คือว่าที่พระชายาอีกพระองค์หนึ่งของเจ้าพี่ แต่กลับยังทรงแสดงออกว่าห่วงใยนางถึงเพียงนี้มิเกรงกลัวคำครหาบ้างหรือไร"
สายตาคมปลาบราวกับมีดจ้องลึกลงไปในดวงตาของอาคันตุกะเบื้องหน้าราวกับหมายจะแทงให้ทะลุ สายตาที่แม้แต่คนคุ้นเคยอย่างองค์ชายจักรินทร์เองก็ยังอดเสียวสันหลังไม่ได้ แต่องค์ชายอัครเรศผู้นี้กลับสบตาด้วยอย่างตรงไปตรงมาและตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำเกินคาด
"หม่อมฉันทราบฐานะของเจ้านางบัวบุศย์ดี เพียงห่วงใยนางเช่นสหายผู้หนึ่งเท่านั้น มิเคยคิดเกินเลยพ่ะย่ะค่ะ"
"สหายหรือ..." ฟ้ามุ่ยทวนคำช้า ๆ "หมายความว่า องค์ชายทรงรู้จักสนิทสนมกับเจ้านางบัวบุศย์ก่อนที่นางจะเข้าวังแล้วหรือเพคะ"
"หามิได้พระชายา หม่อมฉันเพียงเคยได้ยินชื่อของนาง และทราบว่าเป็นญาติอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้นแต่มิเคยพบหน้ากันมาก่อน จนเมื่อนางเข้าวังจึงมีโอกาสได้พบนางที่หอตำราอยู่บ่อยครั้ง หม่อมฉันเห็นว่านางเข้าวังมาเพียงลำพังมิได้รู้จักมักคุ้นกับผู้อื่น จึงผูกมิตรกับนางและคอยแนะนำตำรับตำราที่น่าสนใจให้นางบ้างเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"
กล่าวจบองค์ชายอัครเรศก็หันไปมองผู้เป็นพี่ชาย ราวกับจะรอให้อีกฝ่ายแสดงความเห็นต่อเรื่องที่ตนแถลงไข แต่เมื่อเห็นว่าองค์ชายจักรินทร์ยังคงเงียบมิได้กล่าวอันใดออกมา ดวงตาสีอำพันที่แสนจะละม้ายคล้ายพี่ชายก็หม่นแสงลงเล็กน้อย
"หม่อมฉันเข้าใจแล้ว แม้จะทรงเป็นเครือญาติกันแต่ครอบครัวของนางค้าขายอยู่แถบชายแดน ส่วนองค์ชายก็ถือเพศสมณะมาตลอด จึงมิเคยได้มีโอกาสพบมาก่อน" ฟ้ามุ่ยกล่าวสรุป จงใจกล่าวถึงเรื่องครอบครัวของนางขึ้นมาด้วยเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
"ถูกแล้วพระชายา" องค์ชายอัครเรศตอบรับ ก่อนทำท่าราวกับนึกเรื่องสำคัญออกแล้วกล่าวเสริมอีกว่า "ที่จริงแล้วเจ้านางบัวบุศย์ดูเหมือนจะมิใช่คนที่เสด็จแม่เลือกไว้แต่แรกด้วย"
ผู้ฟังทั้งสองเลิกคิ้วพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
"อย่างไรกันเพคะ" ฟ้ามุ่ยซักไซ้
"เดิมทีผู้ที่เสด็จแม่หมายตาไว้เป็นญาติผู้พี่ ชื่อบัวเงิน อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเสด็จพี่ แต่เจ้านางบัวเงินปฏิเสธด้วยเพราะมีคนรักอยู่แล้ว เจ้านางบัวบุศย์ผู้เป็นน้องสาวจึงอาสามาแทน เสด็จแม่เห็นว่าเจ้านางบัวบุศย์เองก็งดงามเพียบพร้อม ซ้ำยังเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงทรงยอมตกลงให้เปลี่ยนตัว"
เป็นอีกครั้งที่ฟ้ามุ่ยรู้สึกสะดุดใจกับความเป็นมาของเจ้านางบัวบุศย์ผู้นี้ เพราะหากเรื่องราวเป็นจริงตามที่องค์ชายอัครเรศเล่าก็เท่ากับว่านางมิได้เข้ามาในวังเพราะถูกเลือก แต่จงใจเปลี่ยนตัวกับผู้ถูกเลือกตัวจริงเพื่อให้ได้เข้ามาในวังต่างหาก แม้จะเป็นการการเปลี่ยนตัวกันเองในหมู่ญาติพี่น้องและเป็นการเปลี่ยนกันแบบซึ่งหน้าที่ดูจะมิได้มีลับลมคมในอันใด แต่ฟ้ามุ่ยกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจมีนัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์บางอย่างเปลี่ยนไปราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือได้ในภายหลัง
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเหตุบังเอิญที่ไร้ความหมายเท่านั้น หรือแท้จริงแล้วมีเรื่องไม่ชอบมาพากลใดแอบแฝงอยู่อีกกันแน่ หากจะสืบเรื่องนี้ต่อให้กระจ่างก็คงมีแต่ต้องเข้าใกล้เจ้านางบัวบุศย์ให้มากขึ้นเท่านั้น
"เจ้าพี่..." ฟ้ามุ่ยหันไปหาบุรุษข้างกายในที่สุด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นุ่มนวล "อนุญาตให้องค์ชายตามเสด็จไปเยี่ยมเจ้านางบัวบุศย์เถิดเพคะ นางบาดเจ็บถึงเพียงนี้ แม้ไม่ได้พบหน้าครอบครัว ได้พบหน้าสหายก็ยังดี..."
องค์ชายจักรินทร์เข้าใจเจตนาของนางเป็นอย่างดี เขาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ทำให้องค์ชายผู้น้องดวงหน้าสดใสขึ้นมาทันที ดวงตาสีอำพันนั้นเปล่งประกายขึ้นมาราวกับเด็กน้อยได้ขนม ผู้เป็นพี่เห็นแล้วก็ใจอ่อนคลี่รอยยิ้มให้เขาด้วยความเอ็นดู ในขณะที่ฟ้ามุ่ยกลับหันมาเอ่ยปรามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
"องค์ชายอัครเรศโปรดระมัดระวังท่าทีด้วย แม้ท่านไม่ได้คิดอันใดเกินเลย แต่ด้วยฐานะของท่านและเจ้านางบัวบุศย์ในเวลานี้ อาจตกเป็นที่ครหาได้โดยง่าย"
องค์ชายอัครเรศมีท่าทางสลดลงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
"ขอบพระทัยเสด็จพี่ ขอบพระทัยพระชายา"
ฟ้ามุ่ยตอบรับเขาด้วยรอยยิ้ม ในใจจะนึกสงสัยอยู่เนือง ๆ ว่าองค์ชายอัครเรศผู้นี้อาจจะกำลังสวมหน้ากากกษัตริย์อยู่ก็เป็นได้...
ตำหนักเพียงอำพรสงบเงียบผิดปกติ องครักษ์เฝ้าหน้าตำหนัก และบ่าวไพร่ที่นำทางไปยังเรือนรับรองล้วนแล้วแต่มีสีหน้าเคร่งเครียด องค์ชายอัครเรศกลับมามีสีหน้ากระวนกระวายใจอีกครั้ง เอาแต่หันซ้ายหันขวา คอยมองไปรอบ ๆ อยู่ตลอดเวลา ราวกับเกรงว่าผู้เป็นมารดาจะโผล่มาจากที่ใดสักที่หนึ่งแล้วขับไล่ตนออกไปให้ออกไปจากตำหนักเสีย
ภายในเรือนรับรองที่บัดนี้กลายเป็นที่พำนักของผู้ป่วยชั่วคราวเต็มไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรคละคลุ้ง หญิงรับใช้ของเจ้านางบัวบุศย์แหวกผ้าม่านสีขาวออกและเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไปภายในห้องบรรทม เจ้านางลักขณาวดีมิได้ประทับอยู่ในนั้น มีเพียงร่างของเจ้านางบัวบุศย์ที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนพระแท่นบรรทมที่ปูลาดด้วยผ้าลินินสีขาวสะอาด ใบหน้าของนางซีดเซียว แขนข้างที่มีบาดแผลถูกพันผ้าเอาไว้แน่นหนา
องค์ชายอัครเรศดูเหมือนจะลืมสิ่งที่ได้รับปากฟ้ามุ่ยเอาไว้หมดสิ้นแล้ว พุ่งเข้าไปนั่งลงบนตั่งข้างแท่นบรรทมทันที ฟ้ามุ่ยกับองค์ชายจักรินทร์เดินตามไปยืนข้างหลังเงียบ ๆ
"เจ้านางบัวบุศย์..." องค์ชายอัครเรศยื่นมือออกไปสัมผัสมือของคนป่วยแผ่วเบา เปลือกตาของอีกฝ่ายกระตุกเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
เจ้านางบัวบุศย์มองดูองค์ชายอัครเรศอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง
"องค์รัชทายาท... พระชายา..."
"นอนลงเถอะ ไม่ต้องมากพิธี" องค์ชายจักรินทร์บอกพลางยกมือห้าม
"หม่อมฉันเป็นหนี้บุญคุณทั้งสองพระองค์แล้ว วันหน้าหากมีโอกาสหม่อมฉันจะตอบแทนพระเมตตาของทั้งสองพระองค์แน่เพคะ"
"อย่าเพิ่งคิดเรื่องตอบแทนอันใดในเวลานี้เลย พักรักษาจังให้หายดีเสียก่อนค่อยเถิด" ฟ้ามุ่ยว่า
คนฟังพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองบุรุษที่กุมมือของตนไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
"องค์ชายอัครเรศโปรดอภัย ตำราหายากที่ทรงให้ยืมมา คงถูกเผาไปพร้อมกับตำหนักของหม่อมฉันเสียแล้ว"
"ตำราหายากเพียงใดก็เป็นของนอกกาย ท่านไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตก็นับว่าดีแล้ว ตอนนี้ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง"
"เมื่อครู่ก่อนพวกท่านจะเสด็จมาท่านหมอเพิ่งให้ข้าดื่มยาไปไข้จึงทุเลาลงแล้ว แต่ยังปวดแผลอยู่มากเพคะ" เจ้านางบัวบุศย์บอก ค่อย ๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างระวังไม่ให้เสียมารยาท
องค์ชายอัครเรศเอี้ยวตัวหันมายิ้มแหย ๆ ให้ฟ้ามุ่ย ด้วยเพิ่งระลึกนึกได้ถึงคำเตือนของนางที่บอกให้เขาวางตัวต่อเจ้านางบัวบุศย์อย่างเหมาะสม ฟ้ามุ่ยส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ แล้วยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดเสียเพื่อมิให้บรรยากาศอิหลักอิเหลื่อไปมากกว่านี้
"ข้ามีเรื่องสงสัยอยากจะถามเจ้านางบัวบุศย์สักข้อ ไม่ทราบว่าสะดวกใจจะตอบหรือไม่..."
"ไม่ว่าพระชายาจะทรงสงสัยเรื่องใด หม่อมฉันยินดีจะตอบทุกคำถามเพคะ" เจ้านางบัวบุศย์ตอบเสียงแผ่ว ฟ้ามุ่ยยิ้มบางก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยอย่างตรงไปตรงมาทันที
"แท้จริงแล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่ เหตุใดท่านจึงมิได้หนีออกมาพร้อมกับเหล่านางรับใช้ ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้อีก"
ดวงตาคู่สวยของเจ้านางบัวบุศย์ช้อนขึ้นสบตาคนถาม บางอย่างในนั้นลึกล้ำดำมืดยากจะคาดเดา
"หม่อมฉันอ่านตำราอยู่ในห้องอักษรตั้งแต่หัวค่ำจนเผลอหลับไปเพคะ ไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในตำหนัก จนกระทั่งไฟลามมายังห้องอักษร หม่อมฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะควันไฟและความร้อน หนังสือตำราต่าง ๆ ติดไฟและลุกลามมาก หม่อมฉันพยายามวิ่งฝ่าเปลวไฟหนีออกมาจากห้องนั้นจึงได้แผลนี้มาเพคะ"
"หากท่านอยู่ในห้องอักษรเหตุใดหญิงรับใช้ของท่านจึงค้นหาท่านไม่พบเล่า" ฟ้ามุ่ยตั้งข้อสงสัย
เจ้านางบัวบุศย์มิได้แสดงท่าทีตกใจกับคำถาม
"คงเพราะหม่อมฉันหลับลึก จนมิได้ยินเสียงเรียกหา ทั้งเปลวไฟและควันก็หนาทึบพวกนางคงมิได้เข้ามาดูในห้องอักษรโดยละเอียดจึงมองไม่เห็นหม่อมฉันที่ฟุบหลับอยู่เพคะ"
คำตอบมีเหตุผลไม่มีช่องโหว่ให้สงสัยเลยแม้แต่น้อยทว่าฟ้ามุ่ยกลับยังติดใจสงสัยอยู่ลึก ๆ โดนเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ชั่วขณะจิตหนึ่งนั้นสตรีผู้นี้มีท่าทีคล้ายไม่อยากจะหลบหนีออกมาจากกองเพลิง...
"เอาเถอะ บาดเจ็บเท่านี้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว" องค์ชายจักรินทร์กล่าวขึ้นบ้าง "เสด็จพ่อรับสั่งให้เลื่อนพิธีถวายตัวไปก่อน เจ้าพักรักษาตัวให้ดี มิต้องกังวล"
"ทรงรับสั่งให้เลื่อนอย่างนั้นหรือหรือเพคะ" นางทวนคำด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้ามิได้แสดงอารมณ์ใด ดูไม่ออกว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่ ยังมิทันได้เอ่ยอันใดต่อเสียงขานพระนามของพระมเหสีแห่งเวียงชัยกฤษณะก็ดังขึ้นที่หน้าตำหนัก
เร็วเท่าความคิดฟ้ามุ่ยรีบดึงองค์ชายอัครเรศให้ลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ ในขณะเดียวกันบุรุษข้างกายก็รีบเข้าไปนั่งแทนที่ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ผู้เป็นชายาเอ่ยปาก เมื่อเจ้านางลักขณาวดีเข้ามาในห้องบรรทมจึงได้เห็นภาพองค์รัชทายาทนั่งกุมมือว่าที่ชายาซึ่งนอนป่วยอยู่ โดยมีชายาเอกและพระอนุชายืนอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบเสงี่ยม
เจ้านางลักขณาวดีพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อพวกเขาลุกขึ้นถวายบังคม สีหน้าของสตรีวัยกลางคนแลดูอิดโรยอ่อนล้า ทว่าก็ยังคงบึ้งตึงยามเมื่อมองไปยังสร้อยมยุระที่ประดับอยู่บนอกของฟ้ามุ่ย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดเมื่อมองเห็นโอรสของตนกำลังยืนยิ้มจืดเจื่อนอยู่ข้าง ๆ
ฟ้ามุ่ยเดาว่าหากนางและองค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย องค์ชายผู้นี้คงถูกพระมารดาตำหนิติเตียนเสียยกใหญ่เป็นแน่ แต่ในเมื่อมีบุคคลที่สามและสี่อยู่ด้วยเช่นนี้ ผู้เป็นมารดาจึงทำได้เพียงแค่เอ่ยปากถามพระโอรสด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ทว่าแฝงไปด้วยอันตรายอย่างยิ่งยวด
"เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อัครเรศ"
ชายอัครเรศอึกอักคล้ายกำลังลังเลว่าจะตอบมารดาอย่างไร ผู้เป็นเชษฐาจึงถือวิสาสะเป็นเอ่ยขัดขึ้นกลางปล้อง
"เป็นลูกเองที่ชวนอัครเรศมาพ่ะย่ะค่ะ ลูกไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อมา ขากลับเดินผ่านมาทางหอตำราได้พบกันเข้าโดยบังเอิญ จึงได้ชวนมาด้วยกัน หากจะทรงตำหนิก็ตำหนิลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
รอยยิ้มเย็นปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นมารดา
"แม่จะกล้าตำหนิเจ้าน้อย... ไม่สิ ข้าจะกล้าตำหนิองค์รัชทายาทได้อย่างไร ทรงเสด็จมาเยี่ยมบัวบุศย์ก็นับเมตตานางมากแล้ว" คำเรียกขานที่เปลี่ยนไปนับเป็นการจงใจสร้างระยะห่างขึ้นระหว่างคู่สนทนา บรรยากาศชวนอึดอัดแผ่ลงมาปกคลุมทั่วห้อง เจ้านางลักขณาวดียังคงยิ้มเย็นเหยียดหยันเมื่อหันมากล่าวกับฟ้ามุ่ย
"พระชายาเองก็ทรงใจกว้างยิ่งนัก ตามเสด็จมาถึงนี่"
"มิได้เพคะพระมเหสี อีกไม่นานเจ้านางบัวบุศย์ก็จะถวายตัวเป็นคนของเจ้าพี่ หม่อมฉันในฐานะชายาเอก ก็ย่อมถือว่านางเป็นคนของหม่อมฉันด้วย จักไม่มาเยี่ยมได้อย่างไร" ฟ้ามุ่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังทว่าความหมายของถ้อยคำกลับวางอำนาจเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด สตรีวัยกลางคนได้ฟังก็หน้าชา ยามเอื้อนเอ่ยถ้อยคำอีกคราริมฝีปากก็สั่นระริก
"พระชายากล่าวได้ดียิ่งนัก หากทรงเมตตานางถึงเพียงนี้เหตุใดมิทรงคัดค้านเรื่องเลื่อนการถวายตัวของนางเล่า"
"เสด็จแม่..." องค์ชายอัครเรศเอ่ยปากอย่างหมายจะขัดตาทัพ ทว่ากลับถูกมารดาปรายตาใส่จนต้องหยุดถ้อยคำเอาไว้เพียงแค่นั้น
องค์ชายจักรินทร์ลุกขึ้นทันที เหยียดกายสูงตระหง่านยืนเคียงข้างสตรีผู้เป็นชายาราวกับพร้อมจะปกป้องนางอย่างไรอย่างนั้น
"เรื่องนี้เสด็จพ่อรับสั่งกับลูกโดยตรง ฟ้ามุ่ยมิได้อยู่สนทนาด้วย เสด็จแม่อย่าได้ตำหนินางเลย เรื่องการถวายตัวนั้นเสด็จพ่อรับสั่งว่าเพียงเลื่อนออกไปก่อนเท่านั้น เมื่อนางหายดีแล้วทุกอย่างย่อมเป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ขอเสด็จแม่อย่าได้ทรงกังวล" องค์ชายจักรินทร์กล่าว
มเหสีแห่งเวียงชัยกฤษณะเหยียดรอยยิ้มเยือกเย็น
"ดี! เช่นนั้นบัวบุศย์เจ้าบอกองค์ชายรัชทายาทสิว่าอีกเจ็ดวันเจ้าจะหายหรือไม่!"
ร่างซีดเซียวของคนถูกถามยังคงนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ทว่าดวงตาคู่สวยของนางบัดนี้กลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่มีร่องรอยของความลังเลเช่นในคืนที่เกิดเพลิงไหม้หลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว คำตอบที่เล็ดลอดจากริมฝีปากซีดขาวนั้นหนักแน่นมั่นคงยิ่ง
"หม่อมฉันบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย อีกไม่เกินเจ็ดวันก็คงหายดีเพคะ"
ความตกตะลึงสุดขีดปรากฏอยู่บนดวงหน้าขององค์ชายอัครเรศ เขามองผู้เป็นมารดาสลับกับสตรีที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ครั้นจะเอ่ยปากกล่าวถ้อยคำออกไปอีกครั้งก็ถูกสตรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สะกิดบอกให้เงียบ
องค์ชายจักรินทร์คลี่รอยยิ้มบางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่าเด็ดขาด
"เช่นนั้นเสด็จแม่ก็ให้นางพักผ่อนเถิด หายดีเมื่อไหร่ก็ย้ายเข้าตำหนักใหญ่ที่เป็นเรือนหอได้ทันที หากพร้อมเข้าพิธีแล้วก็ขอให้แจ้งข่าวไปที่ตำหนักริมน้ำ วันเวลาใดก็ได้มิขัดข้องทั้งสิ้น"
การกล่าวถึงพิธีการสำคัญอย่างรวบรัดตัดตอน ราวกับเป็นเรื่องไร้ความหมาย กระทำเพียงเพื่อให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น มิได้สลักสำคัญอันใดเช่นนี้ ดูเหมือนจงใจหยามศักดิ์ศรีกันยิ่งนักในความรู้สึกของคนฟัง
กระนั้นมเหสีแห่งเวียงชัยกฤษณะกลับมิอาจตอบโต้ใด ๆ มากไปกว่านี้ ด้วยเกรงอีกฝ่ายจะบิดพลิ้วไม่เข้าพิธีด้วย ทำได้เพียงเค้นเสียงลอดผ่านไรฟันอย่างขุ่นเคือง
"ถึงเวลานั้นก็ขอให้พวกท่านเมตตานางอย่างปากว่าก็แล้วกัน! บัวบุศย์ขอบพระทัยองค์รัชทายาทกับพระชายาเสียสิ!"
"ขอบพระทัยองค์รัชทายาท ขอบพระทัยพระชายา..."
ว่าแล้วนัยน์ตาคู่สวยก็หรี่ปรือลงคล้ายกับว่าอ่อนเพลียเต็มที และกำลังจะตกลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ฟ้ามุ่ยเห็นภาพนั้นแล้วก็ได้แต่รำพึงในใจว่า เจ้านางบัวบุศย์ผู้นี้ช่างว่านอนสอนง่ายเสียจริง ๆ