ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย โดย กลิ่นสีและหยดหมึก @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า

รายละเอียด

ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...

ผู้แต่ง

กลิ่นสีและหยดหมึก

เรื่องย่อ

สารบัญ

มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 1 คนผู้นั้น... ซึ่งไม่มีวันทรยศข้า,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 2 ข้อสันนิษฐานของฟ้ามุ่ย,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 3 ไล่หมาอย่าให้จนตรอก,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 4 กองทัพไม้ไผ่,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 5 ปะทะคารมที่หอตำรา,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 6 เหยื่อล่อ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 7 เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 8 พระราชพิธี (NC 13+),มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 9 อย่างที่เคยเป็น,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 10 ไร้สิ่งใดให้กังวล,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 11 สตรีในกองเพลิง,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 12 นัยแห่งสร้อยมยุระ,มธุรภัทรเคียงบัลลังก์-ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

เนื้อหา

ตอนที่ 13 ว่านอนสอนง่าย

          เสียงสิ่งของบางอย่างร่วงกราวลงบนพื้นดึงสติของฟ้ามุ่ยที่หลุดลอยออกไปพร้อมกับฝูงผีเสื้อให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง  บุรุษผู้ที่กำลังครอบครองริมฝีปากของนางอยู่ก็ดูเหมือนจะรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ทว่ากลับยังคงอ้อยอิ่งไม่ยอมถอนริมฝีปากออกโดยง่าย  จนเมื่อร่างในอ้อมกอดเริ่มดิ้นขยุกขยิกประท้วง  เขาจึงจำยอมผละจากริมฝีปากอันอ่อนนุ่มนั้นแต่โดยดี ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความหวานละมุนบนริมฝีปากและในหัวใจอีกฝ่าย

          เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็พบบุรุษรูปร่างผอมบางผู้หนึ่งยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงทางเดินที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง คล้ายกำลังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเดินมาข้างหน้าต่อ  หรือจะถอยหลังกลับไปตามทางเดิมดี ตำราสองสามเล่มที่เขามักจะหอบติดตัวไปไหนมาไหนด้วยอยู่เป็นนิจบัดนี้ร่วงกองอยู่บนพื้น 

          "อัครเรศ..."  องค์ชายจักรินทร์พึมพำพลางเลิกคิ้ว  คาดไม่ถึงว่าคนที่ตนเพิ่งกล่าวขวัญถึงจะมาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเช่นนี้

          "ล่วงเกินเสด็จพี่กับพระชายาแล้ว  หม่อมฉันไม่ทราบว่ากำลัง..." องค์ชายอัครเรศอึกอัก  มองบุรุษและสตรีตรงหน้าสลับกันไปมาอย่างประดักประเดิด

          สายตาของอาคันตุกะที่มองมาทำให้ผู้เป็นสตรีขบริมฝีปากแน่น  ดวงหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที นึกอยากจะตีคนข้างกายเสียให้คว่ำ โทษฐานที่ทำรุ่มร่ามโจ่งแจ้งเสียจนเป็นเหตุให้ต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้  แต่เมื่อนึกถึงสถานะของตนและคนข้างกายแล้ว  สิ่งที่องค์ชายอัครเรศได้เห็นนั้น  นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่คู่รักโดยทั่วไปพึงปฏิบัติต่อกันอยู่แล้ว ฟ้ามุ่ยจึงจำต้องงัดเอาหน้ากากกษัตริย์มาสวมไว้บนใบหน้าแล้วกล่าวต้อนรับผู้มาเยือนอย่างที่เจ้าบ้านที่ดีควรจะกระทำ

          "องค์ชายเชิญเสด็จทางนี้ก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันหละหลวมมิได้เตรียมการต้อนรับเอาไว้  องค์ชายโปรดอย่าถือสา"

          "มิได้พระชายา  เป็นหม่อมฉันเองที่มาโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า จึงมาขัดจังหวะพวกท่านเข้า  เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว..."

          "อยู่ก่อนเถิดอัครเรศ"  องค์ชายจักรินทร์เอ่ยขัด  แล้วสาวเท้าเดินออกไปนอกศาลา  ช่วยผู้เป็นน้องเก็บตำรับตำราที่หล่นกระจัดกระจายขึ้นจากพื้นก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

          "อย่ารีบร้อนกลับเลย เจ้ามิได้มาขัดจังหวะอันใด  พี่กับชายาเพียงหยอกล้อกันเล่นประสาผัวเมียเท่านั้นโปรดอย่าถือสา เจ้าอุตส่าห์มาหาพี่ถึงที่นี่คงมีเรื่องสำคัญไม่น้อย  เข้ามานั่งคุยกันก่อนเถิด"  

          ฟ้ามุ่ยนึกอยากจะโดดสระบัวหนีไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด  เมื่อถูกอีกฝ่ายเรียกผัวเรียกเมียตรง ๆ ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ หน้ากากกษัตริย์ที่ว่าหนาแสนหนาก็ยังปิดบังความกระดากอายที่ผุดขึ้นในใจเอาไว้ได้ไม่มิด

          ส่วนคนพูดกลับทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว  กล่าวจบก็ก้าวเดินฉับ ๆ กลับเข้ามาในศาลาริมน้ำทันที องค์ชายอัครเรศที่ถูกยึดตำราทั้งหมดเอาไว้แล้วจึงจำใจเดินตามมาอย่างไม่มีทางเลือก

          "สีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีนัก  มีเรื่องร้อนใจอันใดหรือ" องค์ชายจักรินทร์เอ่ยปากถาม เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของผู้มาเยือน

          องค์ชายอัครเรศมีท่าทีลำบากใจไม่น้อย มองดูเจ้าบ้านทั้งสองที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะกลมสลับกันไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากถาม

          "เสด็จพี่  พวกท่านได้ไปเยี่ยมเจ้านางบัวบุศย์มาแล้วหรือ อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง"

          องค์ชายจักรินทร์เลิกคิ้วนิด ๆ นัยน์ตาสีอำพันกวาดมองทั่วใบหน้าของอนุชาอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะตอบอย่างหมายจะลองเชิง

          "พี่เข้าเฝ้าเสด็จพ่อเพิ่งกลับมาถึงตำหนักเมื่อครู่นี้เองจึงยังไม่ได้ไปเยี่ยมนาง หากเจ้าอยากทราบอาการของนาง  พี่ก็คงพอจะบอกได้อย่างไม่ใคร่ละเอียดนัก แขนของนางถูกไฟไหม้รุนแรง  เจ้าตัวจับไข้เพราะพิษบาดแผลตอนนี้ยังไม่ได้สติ  เสด็จพ่อจึงให้เลื่อนกำหนดถวายตัวออกไปก่อน"

          ในขณะที่คนหนึ่งเล่า อีกคนก็เฝ้าลอบสังเกตสีหน้าของคนฟังอย่างละเอียดว่ามีร่องรอยของความยินดีปรากฏขึ้นมาบ้างหรือไม่ เมื่อทราบว่ากำหนดการถวายตัวของเจ้านางบัวบุศย์จะถูกเลื่อนออกไป  ทว่าสีหน้าและแววตาของผู้ฟังนั้นกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลหาได้มีอย่างอื่นเจือปนไม่

          "หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายไปเยี่ยมนางมาแล้วเสียอีก"  ฟ้ามุ่ยว่า

          "พระชายาทรงคาดการณ์ไม่ผิด ที่จริงหม่อมฉันไปเยี่ยมนางมาแล้ว  แต่เสด็จแม่ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม ที่หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพราะหวังพึ่งบารมีเสด็จพี่และพระชายา หากจะทรงเสด็จไปเยี่ยมนางที่ตำหนักเพียงอำพรเมื่อใด หม่อมฉันจะขอตามเสด็จด้วยพ่ะย่ะค่ะ"

          คำตอบขององค์ชายอัครเรศทำให้คนฟังลอบสบตากัน  หลังจากสนทนากันทางสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ฟ้ามุ่ยก็หันไปจับจ้องอาคันตุกะหนุ่มน้อยอีกครั้ง ก่อนเปรยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าชัดเจนตรงไปตรงมายิ่ง

          "หม่อมฉันขอบังอาจถามองค์ชายอัครเรศตรง ๆ พระองค์ทรงทราบดีอยู่แล้วว่าเจ้านางบัวบุศย์คือว่าที่พระชายาอีกพระองค์หนึ่งของเจ้าพี่  แต่กลับยังทรงแสดงออกว่าห่วงใยนางถึงเพียงนี้มิเกรงกลัวคำครหาบ้างหรือไร"

          สายตาคมปลาบราวกับมีดจ้องลึกลงไปในดวงตาของอาคันตุกะเบื้องหน้าราวกับหมายจะแทงให้ทะลุ สายตาที่แม้แต่คนคุ้นเคยอย่างองค์ชายจักรินทร์เองก็ยังอดเสียวสันหลังไม่ได้ แต่องค์ชายอัครเรศผู้นี้กลับสบตาด้วยอย่างตรงไปตรงมาและตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำเกินคาด

          "หม่อมฉันทราบฐานะของเจ้านางบัวบุศย์ดี เพียงห่วงใยนางเช่นสหายผู้หนึ่งเท่านั้น  มิเคยคิดเกินเลยพ่ะย่ะค่ะ"

          "สหายหรือ..." ฟ้ามุ่ยทวนคำช้า ๆ "หมายความว่า  องค์ชายทรงรู้จักสนิทสนมกับเจ้านางบัวบุศย์ก่อนที่นางจะเข้าวังแล้วหรือเพคะ"

          "หามิได้พระชายา หม่อมฉันเพียงเคยได้ยินชื่อของนาง และทราบว่าเป็นญาติอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้นแต่มิเคยพบหน้ากันมาก่อน  จนเมื่อนางเข้าวังจึงมีโอกาสได้พบนางที่หอตำราอยู่บ่อยครั้ง หม่อมฉันเห็นว่านางเข้าวังมาเพียงลำพังมิได้รู้จักมักคุ้นกับผู้อื่น  จึงผูกมิตรกับนางและคอยแนะนำตำรับตำราที่น่าสนใจให้นางบ้างเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ" 

          กล่าวจบองค์ชายอัครเรศก็หันไปมองผู้เป็นพี่ชาย ราวกับจะรอให้อีกฝ่ายแสดงความเห็นต่อเรื่องที่ตนแถลงไข  แต่เมื่อเห็นว่าองค์ชายจักรินทร์ยังคงเงียบมิได้กล่าวอันใดออกมา ดวงตาสีอำพันที่แสนจะละม้ายคล้ายพี่ชายก็หม่นแสงลงเล็กน้อย 

          "หม่อมฉันเข้าใจแล้ว แม้จะทรงเป็นเครือญาติกันแต่ครอบครัวของนางค้าขายอยู่แถบชายแดน  ส่วนองค์ชายก็ถือเพศสมณะมาตลอด จึงมิเคยได้มีโอกาสพบมาก่อน"  ฟ้ามุ่ยกล่าวสรุป  จงใจกล่าวถึงเรื่องครอบครัวของนางขึ้นมาด้วยเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

          "ถูกแล้วพระชายา"  องค์ชายอัครเรศตอบรับ  ก่อนทำท่าราวกับนึกเรื่องสำคัญออกแล้วกล่าวเสริมอีกว่า  "ที่จริงแล้วเจ้านางบัวบุศย์ดูเหมือนจะมิใช่คนที่เสด็จแม่เลือกไว้แต่แรกด้วย"

          ผู้ฟังทั้งสองเลิกคิ้วพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

          "อย่างไรกันเพคะ" ฟ้ามุ่ยซักไซ้

          "เดิมทีผู้ที่เสด็จแม่หมายตาไว้เป็นญาติผู้พี่ ชื่อบัวเงิน อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเสด็จพี่  แต่เจ้านางบัวเงินปฏิเสธด้วยเพราะมีคนรักอยู่แล้ว  เจ้านางบัวบุศย์ผู้เป็นน้องสาวจึงอาสามาแทน  เสด็จแม่เห็นว่าเจ้านางบัวบุศย์เองก็งดงามเพียบพร้อม ซ้ำยังเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงทรงยอมตกลงให้เปลี่ยนตัว"

          เป็นอีกครั้งที่ฟ้ามุ่ยรู้สึกสะดุดใจกับความเป็นมาของเจ้านางบัวบุศย์ผู้นี้  เพราะหากเรื่องราวเป็นจริงตามที่องค์ชายอัครเรศเล่าก็เท่ากับว่านางมิได้เข้ามาในวังเพราะถูกเลือก  แต่จงใจเปลี่ยนตัวกับผู้ถูกเลือกตัวจริงเพื่อให้ได้เข้ามาในวังต่างหาก  แม้จะเป็นการการเปลี่ยนตัวกันเองในหมู่ญาติพี่น้องและเป็นการเปลี่ยนกันแบบซึ่งหน้าที่ดูจะมิได้มีลับลมคมในอันใด แต่ฟ้ามุ่ยกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจมีนัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์บางอย่างเปลี่ยนไปราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือได้ในภายหลัง

          ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเหตุบังเอิญที่ไร้ความหมายเท่านั้น  หรือแท้จริงแล้วมีเรื่องไม่ชอบมาพากลใดแอบแฝงอยู่อีกกันแน่  หากจะสืบเรื่องนี้ต่อให้กระจ่างก็คงมีแต่ต้องเข้าใกล้เจ้านางบัวบุศย์ให้มากขึ้นเท่านั้น

          "เจ้าพี่..." ฟ้ามุ่ยหันไปหาบุรุษข้างกายในที่สุด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นุ่มนวล  "อนุญาตให้องค์ชายตามเสด็จไปเยี่ยมเจ้านางบัวบุศย์เถิดเพคะ นางบาดเจ็บถึงเพียงนี้ แม้ไม่ได้พบหน้าครอบครัว ได้พบหน้าสหายก็ยังดี..."

          องค์ชายจักรินทร์เข้าใจเจตนาของนางเป็นอย่างดี  เขาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต  ทำให้องค์ชายผู้น้องดวงหน้าสดใสขึ้นมาทันที ดวงตาสีอำพันนั้นเปล่งประกายขึ้นมาราวกับเด็กน้อยได้ขนม ผู้เป็นพี่เห็นแล้วก็ใจอ่อนคลี่รอยยิ้มให้เขาด้วยความเอ็นดู ในขณะที่ฟ้ามุ่ยกลับหันมาเอ่ยปรามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

          "องค์ชายอัครเรศโปรดระมัดระวังท่าทีด้วย  แม้ท่านไม่ได้คิดอันใดเกินเลย แต่ด้วยฐานะของท่านและเจ้านางบัวบุศย์ในเวลานี้  อาจตกเป็นที่ครหาได้โดยง่าย"

          องค์ชายอัครเรศมีท่าทางสลดลงเล็กน้อย  แต่ก็พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

          "ขอบพระทัยเสด็จพี่ ขอบพระทัยพระชายา"

          ฟ้ามุ่ยตอบรับเขาด้วยรอยยิ้ม  ในใจจะนึกสงสัยอยู่เนือง ๆ ว่าองค์ชายอัครเรศผู้นี้อาจจะกำลังสวมหน้ากากกษัตริย์อยู่ก็เป็นได้...



          ตำหนักเพียงอำพรสงบเงียบผิดปกติ  องครักษ์เฝ้าหน้าตำหนัก และบ่าวไพร่ที่นำทางไปยังเรือนรับรองล้วนแล้วแต่มีสีหน้าเคร่งเครียด  องค์ชายอัครเรศกลับมามีสีหน้ากระวนกระวายใจอีกครั้ง เอาแต่หันซ้ายหันขวา  คอยมองไปรอบ ๆ อยู่ตลอดเวลา ราวกับเกรงว่าผู้เป็นมารดาจะโผล่มาจากที่ใดสักที่หนึ่งแล้วขับไล่ตนออกไปให้ออกไปจากตำหนักเสีย

          ภายในเรือนรับรองที่บัดนี้กลายเป็นที่พำนักของผู้ป่วยชั่วคราวเต็มไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรคละคลุ้ง หญิงรับใช้ของเจ้านางบัวบุศย์แหวกผ้าม่านสีขาวออกและเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไปภายในห้องบรรทม  เจ้านางลักขณาวดีมิได้ประทับอยู่ในนั้น มีเพียงร่างของเจ้านางบัวบุศย์ที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนพระแท่นบรรทมที่ปูลาดด้วยผ้าลินินสีขาวสะอาด ใบหน้าของนางซีดเซียว แขนข้างที่มีบาดแผลถูกพันผ้าเอาไว้แน่นหนา

          องค์ชายอัครเรศดูเหมือนจะลืมสิ่งที่ได้รับปากฟ้ามุ่ยเอาไว้หมดสิ้นแล้ว  พุ่งเข้าไปนั่งลงบนตั่งข้างแท่นบรรทมทันที  ฟ้ามุ่ยกับองค์ชายจักรินทร์เดินตามไปยืนข้างหลังเงียบ ๆ 

          "เจ้านางบัวบุศย์..." องค์ชายอัครเรศยื่นมือออกไปสัมผัสมือของคนป่วยแผ่วเบา  เปลือกตาของอีกฝ่ายกระตุกเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น 

          เจ้านางบัวบุศย์มองดูองค์ชายอัครเรศอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง

          "องค์รัชทายาท... พระชายา..."

          "นอนลงเถอะ ไม่ต้องมากพิธี" องค์ชายจักรินทร์บอกพลางยกมือห้าม

          "หม่อมฉันเป็นหนี้บุญคุณทั้งสองพระองค์แล้ว  วันหน้าหากมีโอกาสหม่อมฉันจะตอบแทนพระเมตตาของทั้งสองพระองค์แน่เพคะ"

          "อย่าเพิ่งคิดเรื่องตอบแทนอันใดในเวลานี้เลย พักรักษาจังให้หายดีเสียก่อนค่อยเถิด" ฟ้ามุ่ยว่า

          คนฟังพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองบุรุษที่กุมมือของตนไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

          "องค์ชายอัครเรศโปรดอภัย  ตำราหายากที่ทรงให้ยืมมา คงถูกเผาไปพร้อมกับตำหนักของหม่อมฉันเสียแล้ว"

          "ตำราหายากเพียงใดก็เป็นของนอกกาย ท่านไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตก็นับว่าดีแล้ว  ตอนนี้ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง"

          "เมื่อครู่ก่อนพวกท่านจะเสด็จมาท่านหมอเพิ่งให้ข้าดื่มยาไปไข้จึงทุเลาลงแล้ว แต่ยังปวดแผลอยู่มากเพคะ"  เจ้านางบัวบุศย์บอก  ค่อย ๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างระวังไม่ให้เสียมารยาท

          องค์ชายอัครเรศเอี้ยวตัวหันมายิ้มแหย ๆ ให้ฟ้ามุ่ย  ด้วยเพิ่งระลึกนึกได้ถึงคำเตือนของนางที่บอกให้เขาวางตัวต่อเจ้านางบัวบุศย์อย่างเหมาะสม  ฟ้ามุ่ยส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ แล้วยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดเสียเพื่อมิให้บรรยากาศอิหลักอิเหลื่อไปมากกว่านี้

          "ข้ามีเรื่องสงสัยอยากจะถามเจ้านางบัวบุศย์สักข้อ  ไม่ทราบว่าสะดวกใจจะตอบหรือไม่..."

          "ไม่ว่าพระชายาจะทรงสงสัยเรื่องใด หม่อมฉันยินดีจะตอบทุกคำถามเพคะ"  เจ้านางบัวบุศย์ตอบเสียงแผ่ว  ฟ้ามุ่ยยิ้มบางก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยอย่างตรงไปตรงมาทันที

          "แท้จริงแล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่  เหตุใดท่านจึงมิได้หนีออกมาพร้อมกับเหล่านางรับใช้ ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้อีก" 

          ดวงตาคู่สวยของเจ้านางบัวบุศย์ช้อนขึ้นสบตาคนถาม บางอย่างในนั้นลึกล้ำดำมืดยากจะคาดเดา  

          "หม่อมฉันอ่านตำราอยู่ในห้องอักษรตั้งแต่หัวค่ำจนเผลอหลับไปเพคะ ไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในตำหนัก จนกระทั่งไฟลามมายังห้องอักษร หม่อมฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะควันไฟและความร้อน  หนังสือตำราต่าง ๆ ติดไฟและลุกลามมาก  หม่อมฉันพยายามวิ่งฝ่าเปลวไฟหนีออกมาจากห้องนั้นจึงได้แผลนี้มาเพคะ"

          "หากท่านอยู่ในห้องอักษรเหตุใดหญิงรับใช้ของท่านจึงค้นหาท่านไม่พบเล่า"  ฟ้ามุ่ยตั้งข้อสงสัย

          เจ้านางบัวบุศย์มิได้แสดงท่าทีตกใจกับคำถาม

          "คงเพราะหม่อมฉันหลับลึก จนมิได้ยินเสียงเรียกหา ทั้งเปลวไฟและควันก็หนาทึบพวกนางคงมิได้เข้ามาดูในห้องอักษรโดยละเอียดจึงมองไม่เห็นหม่อมฉันที่ฟุบหลับอยู่เพคะ"

          คำตอบมีเหตุผลไม่มีช่องโหว่ให้สงสัยเลยแม้แต่น้อยทว่าฟ้ามุ่ยกลับยังติดใจสงสัยอยู่ลึก ๆ โดนเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ชั่วขณะจิตหนึ่งนั้นสตรีผู้นี้มีท่าทีคล้ายไม่อยากจะหลบหนีออกมาจากกองเพลิง...

          "เอาเถอะ บาดเจ็บเท่านี้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว" องค์ชายจักรินทร์กล่าวขึ้นบ้าง  "เสด็จพ่อรับสั่งให้เลื่อนพิธีถวายตัวไปก่อน เจ้าพักรักษาตัวให้ดี มิต้องกังวล"

          "ทรงรับสั่งให้เลื่อนอย่างนั้นหรือหรือเพคะ"  นางทวนคำด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้ามิได้แสดงอารมณ์ใด  ดูไม่ออกว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่  ยังมิทันได้เอ่ยอันใดต่อเสียงขานพระนามของพระมเหสีแห่งเวียงชัยกฤษณะก็ดังขึ้นที่หน้าตำหนัก 

          เร็วเท่าความคิดฟ้ามุ่ยรีบดึงองค์ชายอัครเรศให้ลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ  ในขณะเดียวกันบุรุษข้างกายก็รีบเข้าไปนั่งแทนที่ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ผู้เป็นชายาเอ่ยปาก  เมื่อเจ้านางลักขณาวดีเข้ามาในห้องบรรทมจึงได้เห็นภาพองค์รัชทายาทนั่งกุมมือว่าที่ชายาซึ่งนอนป่วยอยู่  โดยมีชายาเอกและพระอนุชายืนอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบเสงี่ยม

          เจ้านางลักขณาวดีพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อพวกเขาลุกขึ้นถวายบังคม  สีหน้าของสตรีวัยกลางคนแลดูอิดโรยอ่อนล้า  ทว่าก็ยังคงบึ้งตึงยามเมื่อมองไปยังสร้อยมยุระที่ประดับอยู่บนอกของฟ้ามุ่ย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดเมื่อมองเห็นโอรสของตนกำลังยืนยิ้มจืดเจื่อนอยู่ข้าง ๆ 

          ฟ้ามุ่ยเดาว่าหากนางและองค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย องค์ชายผู้นี้คงถูกพระมารดาตำหนิติเตียนเสียยกใหญ่เป็นแน่  แต่ในเมื่อมีบุคคลที่สามและสี่อยู่ด้วยเช่นนี้ ผู้เป็นมารดาจึงทำได้เพียงแค่เอ่ยปากถามพระโอรสด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ทว่าแฝงไปด้วยอันตรายอย่างยิ่งยวด

          "เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อัครเรศ"

          ชายอัครเรศอึกอักคล้ายกำลังลังเลว่าจะตอบมารดาอย่างไร ผู้เป็นเชษฐาจึงถือวิสาสะเป็นเอ่ยขัดขึ้นกลางปล้อง

          "เป็นลูกเองที่ชวนอัครเรศมาพ่ะย่ะค่ะ  ลูกไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อมา ขากลับเดินผ่านมาทางหอตำราได้พบกันเข้าโดยบังเอิญ จึงได้ชวนมาด้วยกัน หากจะทรงตำหนิก็ตำหนิลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

          รอยยิ้มเย็นปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นมารดา

          "แม่จะกล้าตำหนิเจ้าน้อย... ไม่สิ ข้าจะกล้าตำหนิองค์รัชทายาทได้อย่างไร ทรงเสด็จมาเยี่ยมบัวบุศย์ก็นับเมตตานางมากแล้ว"  คำเรียกขานที่เปลี่ยนไปนับเป็นการจงใจสร้างระยะห่างขึ้นระหว่างคู่สนทนา บรรยากาศชวนอึดอัดแผ่ลงมาปกคลุมทั่วห้อง เจ้านางลักขณาวดียังคงยิ้มเย็นเหยียดหยันเมื่อหันมากล่าวกับฟ้ามุ่ย

          "พระชายาเองก็ทรงใจกว้างยิ่งนัก ตามเสด็จมาถึงนี่"

          "มิได้เพคะพระมเหสี  อีกไม่นานเจ้านางบัวบุศย์ก็จะถวายตัวเป็นคนของเจ้าพี่  หม่อมฉันในฐานะชายาเอก ก็ย่อมถือว่านางเป็นคนของหม่อมฉันด้วย จักไม่มาเยี่ยมได้อย่างไร"  ฟ้ามุ่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังทว่าความหมายของถ้อยคำกลับวางอำนาจเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด สตรีวัยกลางคนได้ฟังก็หน้าชา ยามเอื้อนเอ่ยถ้อยคำอีกคราริมฝีปากก็สั่นระริก

          "พระชายากล่าวได้ดียิ่งนัก  หากทรงเมตตานางถึงเพียงนี้เหตุใดมิทรงคัดค้านเรื่องเลื่อนการถวายตัวของนางเล่า"

          "เสด็จแม่..."  องค์ชายอัครเรศเอ่ยปากอย่างหมายจะขัดตาทัพ  ทว่ากลับถูกมารดาปรายตาใส่จนต้องหยุดถ้อยคำเอาไว้เพียงแค่นั้น

          องค์ชายจักรินทร์ลุกขึ้นทันที  เหยียดกายสูงตระหง่านยืนเคียงข้างสตรีผู้เป็นชายาราวกับพร้อมจะปกป้องนางอย่างไรอย่างนั้น

          "เรื่องนี้เสด็จพ่อรับสั่งกับลูกโดยตรง ฟ้ามุ่ยมิได้อยู่สนทนาด้วย เสด็จแม่อย่าได้ตำหนินางเลย  เรื่องการถวายตัวนั้นเสด็จพ่อรับสั่งว่าเพียงเลื่อนออกไปก่อนเท่านั้น  เมื่อนางหายดีแล้วทุกอย่างย่อมเป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ขอเสด็จแม่อย่าได้ทรงกังวล"  องค์ชายจักรินทร์กล่าว

          มเหสีแห่งเวียงชัยกฤษณะเหยียดรอยยิ้มเยือกเย็น

          "ดี! เช่นนั้นบัวบุศย์เจ้าบอกองค์ชายรัชทายาทสิว่าอีกเจ็ดวันเจ้าจะหายหรือไม่!"

          ร่างซีดเซียวของคนถูกถามยังคงนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ทว่าดวงตาคู่สวยของนางบัดนี้กลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่  ไม่มีร่องรอยของความลังเลเช่นในคืนที่เกิดเพลิงไหม้หลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว คำตอบที่เล็ดลอดจากริมฝีปากซีดขาวนั้นหนักแน่นมั่นคงยิ่ง

          "หม่อมฉันบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย อีกไม่เกินเจ็ดวันก็คงหายดีเพคะ"

          ความตกตะลึงสุดขีดปรากฏอยู่บนดวงหน้าขององค์ชายอัครเรศ  เขามองผู้เป็นมารดาสลับกับสตรีที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา  ครั้นจะเอ่ยปากกล่าวถ้อยคำออกไปอีกครั้งก็ถูกสตรีที่ยืนอยู่ข้าง  ๆ สะกิดบอกให้เงียบ

          องค์ชายจักรินทร์คลี่รอยยิ้มบางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่าเด็ดขาด

          "เช่นนั้นเสด็จแม่ก็ให้นางพักผ่อนเถิด หายดีเมื่อไหร่ก็ย้ายเข้าตำหนักใหญ่ที่เป็นเรือนหอได้ทันที หากพร้อมเข้าพิธีแล้วก็ขอให้แจ้งข่าวไปที่ตำหนักริมน้ำ วันเวลาใดก็ได้มิขัดข้องทั้งสิ้น"

          การกล่าวถึงพิธีการสำคัญอย่างรวบรัดตัดตอน  ราวกับเป็นเรื่องไร้ความหมาย กระทำเพียงเพื่อให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น มิได้สลักสำคัญอันใดเช่นนี้  ดูเหมือนจงใจหยามศักดิ์ศรีกันยิ่งนักในความรู้สึกของคนฟัง

          กระนั้นมเหสีแห่งเวียงชัยกฤษณะกลับมิอาจตอบโต้ใด ๆ มากไปกว่านี้ ด้วยเกรงอีกฝ่ายจะบิดพลิ้วไม่เข้าพิธีด้วย  ทำได้เพียงเค้นเสียงลอดผ่านไรฟันอย่างขุ่นเคือง

          "ถึงเวลานั้นก็ขอให้พวกท่านเมตตานางอย่างปากว่าก็แล้วกัน!  บัวบุศย์ขอบพระทัยองค์รัชทายาทกับพระชายาเสียสิ!"

          "ขอบพระทัยองค์รัชทายาท  ขอบพระทัยพระชายา..."  

          ว่าแล้วนัยน์ตาคู่สวยก็หรี่ปรือลงคล้ายกับว่าอ่อนเพลียเต็มที และกำลังจะตกลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง  ฟ้ามุ่ยเห็นภาพนั้นแล้วก็ได้แต่รำพึงในใจว่า  เจ้านางบัวบุศย์ผู้นี้ช่างว่านอนสอนง่ายเสียจริง ๆ