ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...
รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
น้ำอุ่นในอ่างหินอ่อนหอมกรุ่นด้วยกลิ่นเครื่องหอมและสมุนไพร กลีบกุหลาบสีแดงสดลอยอ้อยอิ่งบนผิวน้ำที่เป็นประกายระยิบระยับยามต้องแสงเทียน ฟ้ามุ่ยเอนกายพิงหลังกับขอบอ่าง ปล่อยให้น้ำอุ่นอาบไล้ผิวขาวนวลให้เปล่งปลั่งจนเป็นสีแดงระเรื่อ ผมยาวสีดำสนิทถูกรวบขึ้นหลวม ๆ เผยลำคอระหงงดงาม นัยน์ตาพริ้มหลับ ใจคิดใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในเวียงชัยกฤษณะจนถึงวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาเพียงแค่เดือนเศษกลับมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน
หลายวันมานี้สถานการณ์ชายแดนระหว่างเวียงชัยกฤษณะและเวียงทิพย์เวหาสก็ย่ำแย่ลงอีก ฟ้ามุ่ยและองค์ชายจักรินทร์จึงมิได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเจ้านางบัวบุศย์อีกเป็นครั้งที่สอง ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วเหตุเพลิงไหม้ตำหนักของเจ้านางบัวบุศย์ก็จบลงที่ไม่มีหลักฐานเพียงพอจะจับมือใครดมได้
หลังจากนั้นการประชุมวางแผนรับมือศึกใหญ่ก็เริ่มขึ้น เว้นจากค่ายพยัคฆ์เมฆาที่ต้องตรึงกำลังแน่นหนาอยู่ตามแนวชายแดนแล้ว แม่ทัพนายกองจากทั้งหกเหล่าทัพ ได้แก่ อาชาทมิฬ หัสดินสิงขร วานรมหากาฬ สิงคาลผงาด และสีหราชเรืองเดช ล้วนถูกเรียกตัวมายังค่ายหลวงมยุเรศนเรศวรเป็นการด่วน เพื่อวางแผนเคลื่อนทัพและตระเตรียมยุทธวิธีต่าง ๆ ร่วมกัน
การประชุมกินเวลาทั้งสิ้นสามวัน เจ็ดรูปแบบเก้ากลยุทธ์ของฟ้ามุ่ยก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาโดยละเอียดในการประชุมครั้งนี้ด้วย ทั้งเหล่าแม่ทัพอาวุโสที่เคี่ยวกรำศึกมาจนเขี้ยวลากดิน นายกองรุ่นใหม่มากความสามารถแต่อ่อนประสบการณ์ ฝ่ายงานเสบียงและพลาธิการ ตลอดจนฝ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ ต่างช่วยกันวิพากษ์อยู่เป็นนาน กว่าปรับแก้จนเป็นที่พอใจและได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่ายก็เล่นเอาแทบไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว
หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม กองทัพอาชาทมิฬจะเริ่มปฏิบัติภารกิจทันที โดยจะลอบอพยพสตรี เด็ก และคนชราออกจากหมู่บ้านตามแนวชายแดน และยึดเอาหมู่บ้านอาบจันทร์ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำที่เป็นเส้นกั้นระหว่างแคว้นราว ๆ สี่ร้อยเส้นเป็นฐานที่มั่น ตั้งค่ายชั่วคราวขึ้นที่นั่นและใช้เป็นจุดรวมพล
กองทัพหัสดินสิงขรจะคุ้มกันเสบียงและอาวุธตามไปสมทบ ในขณะที่ไพร่พลของค่ายวานรมหากาฬต้องเร่งเดินทางขึ้นเหนือ ตั้งฐานที่มั่นบนที่สูงที่สามารถมองเห็นเส้นพรมแดนได้ชัดเจน กระจายกำลังกันออกไปในรัศมีไม่เกินสองร้อยเส้น เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์และรอสัญญาณรวมพลจากทัพหลวง ส่วนไพร่พลที่เหลือนั้นยั้งทัพอยู่ยังค่ายของตนรอฟังคำสั่งรวมพลต่อไป
ขณะที่ทบทวนถึงเรื่องราวต่าง ๆ โดยละเอียด เสียงฝีเท้าของนางลำเจียกก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฟ้ามุ่ยยังคงหลับตาขณะที่พึมพำบอกหญิงรับใช้เบา ๆ
"ขอเวลาอีกสักประเดี๋ยวเถิดลำเจียก"
บ่าวคนสนิทไม่ได้ตอบอะไร เพียงเดินมาข้างหลังแล้วนวดต้นคอและไหล่ให้ผู้เป็นนายอย่างเบามือ แรงกดนุ่มนวลกำลังดีช่วยขับไล่ความเหนื่อยล้าตามร่างกายให้ค่อย ๆ บรรเทาเบาบางลง ความรู้สึกเบาสบายแผ่ไปทั่วร่าง
"อืม... ลำเจียก... พอแล้วมิต้องนวดให้ข้าหรอก เจ้าเองก็ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักเสียเถิด" ฟ้ามุ่ยพึมพำทั้งที่ยังหลับตา
ลำเจียกละมืออย่างว่าง่าย ฟ้ามุ่ยนึกแปลกใจที่วันนี้คนช่างพูดช่างจาเถียงคำไม่ตกฟาก ทำตามคำสั่งโดยไม่ต่อปากต่อคำ ออกจะเงียบเกินไปจนรู้สึกผิดปกติเสียด้วยซ้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้คิดหาคำตอบในเรื่องที่สงสัย น้ำในอ่างหินอ่อนก็กระเพื่อมไหวเสียจนต้องรีบลืมตาขึ้น
ภาพตรงหน้าทำเอาหัวใจของหญิงสาวแทบหยุดเต้นท่ามกลางแสงเทียนสลัว ๆ คนผู้หนึ่งเอนกายพิงขอบอ่างด้วยท่าทางสบาย ๆ ผิวสีน้ำผึ้งเปล่งประกายยามต้องแสงเทียน ความอ่อนโยนสะท้อนอยู่บนดวงหน้าที่งดงามราวรูปสลัก และแน่นอนว่าคนคนนั้นหาใช่ลำเจียกไม่!
"อ้ายมิ่ง!"
ร่างบางถอยกรูดไปจนชิดขอบอ่างอีกด้าน รีบยกสองมือขึ้นปกปิดร่างกายด้วยความตื่นตระหนก
"เหตุใดถึงเป็นเจ้าไปได้เล่า" ฟ้ามุ่ยถามเสียงขุ่น พยายามใช้แขนข้างหนึ่งกวาดเอากลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเข้าหาตัวหวังให้ช่วยบดบังร่างเปลือยเปล่าของตนที่แม้จะอยู่ใต้ผิวน้ำแต่ก็ยังมองเห็นได้รำไร
"ลำเจียกบอกว่าเจ้าแช่น้ำอยู่นานแล้ว ข้าเป็นห่วงจึงเข้ามาดู"
"ข้าปลอดภัยดี เจ้าออกไปได้แล้ว"
"ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า"
"แต่ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าตอนนี้" ฟ้ามุ่ยตอบกลับเสียงแข็ง
ผู้เป็นบุรุษถอนหายใจ
"ข้านอนข้างเจ้าอยู่ทุกคืน เคยฉวยโอกาสกับเจ้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดต้องกลัวข้านัก"
ความลังเลปรากฏขึ้นบนดวงหน้างามที่บัดนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ หากไม่นับคืนเข้าหอบุรุษผู้นี้ก็ไม่เคยแสดงเจตนาล่วงเกินใด ๆ อีก แม้จะหลับใหลไปในอ้อมกอดของเขาแทบทุกคืน แต่นั่นก็เป็นเพราะนางเองที่ยอมให้เขากอด ดังนั้นเรื่องนี้จะถือว่าเป็นการฉวยโอกาสก็คงจะไม่ถูกต้องนัก กระทั่งเรื่องที่ศาลาริมน้ำวันนั้น... ฟ้ามุ่ยเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดตนเองถึงไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
"ต่อให้เจ้าไม่เคยคิดล่วงเกินข้า และต่อให้ข้าจะไว้ใจเจ้าเพียงใด แต่ข้าก็ไม่ใช่สตรีไร้ยางอาย ที่จะสามารถเปลือยกายอยู่กับบุรุษสองต่อสองได้โดยไม่รู้สึกอะไร"
ฟ้ามุ่ยกล่าวขึ้นในที่สุด ก่อนจะกวาดโกยกลีบดอกไม้เข้าหาตัวอีกระลอก ซึ่งนั่นนับเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างยิ่งเท่าที่เคยตัดสินใจทำมาเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อกลีบดอกไม้เกือบทั้งหมดในอ่างถูกกวาดมากองอยู่รอบตัวนางเสียหมดแล้ว บุรุษตรงหน้าก็แทบไม่เหลือสิ่งใดช่วยบดบังร่างกายส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำเลย
เขาค่อย ๆ เลื่อนสายตาลงต่ำ และเมื่อผู้เป็นสตรีมองตามก็มีอันต้องหลับตาปี๋ทันที อับอายจนพูดอะไรไม่ออก แม้จะเคยได้เห็นและสัมผัสเรือนร่างนั้นมาแล้ว แต่ภาพตรงหน้าก็ยังชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่ดี
"เจ้ารีบออกไปได้แล้ว!"
แต่ไหนแต่ไรมิ่งเมืองตามใจนางไม่เคยขัด ฟ้ามุ่ยคิดว่าครั้งนี้เขาก็คงจะยอมออกไปตามที่นางร้องขอจึงมิทันได้ระวังตัว
เสียงถอนหายใจ ตามมาด้วยเสียงน้ำกระเพื่อม แล้วร่างบางก็ลอยหวือทันที ดิ้นขลุกขลักอยู่ครู่หนึ่งก็ถูกจับนั่งบนตักของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อย แผ่นหลังแนบชิดกับอกอุ่นอันเปลือยเปล่า ข้อมือทั้งสองข้างถูกเขาจับเอาไว้หลวม ๆ
"อ้ายมิ่ง! ข้าจะโกรธเจ้าจริง ๆ แล้วนะ! ทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร!" ร่างบางเริ่มออกฤทธิ์ดิ้นหนีรุนแรงจนร่างเปลือยเปล่าสัมผัสบดเบียดกันแนบชิด
"อย่าขยับ ประเดี๋ยวทำข้าตื่น" เขากระซิบบอก
"ตื่นอะไรของเจ้า ข้าไม่..."
ถ้อยคำขาดหาย ผู้เป็นสตรีหยุดดิ้นทันที ตัวแข็งทื่อเมื่อสัมผัสได้ถึงอวัยวะเบื้องล่างของอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ ตื่นขึ้น
"เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำให้ข้ากลัว" ผู้เป็นสตรีกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น แต่ก็มิได้ขยับตัวอีกด้วยเกรงจะไปสัมผัสกับจุดอ่อนไหวของอีกฝ่ายเข้า
"ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรหรอก" เขาบอกเบา ๆ ขยับกายพิงหลังกับอ่างหินอ่อนอีกครั้ง มือทั้งสองข้างโอบเอวบางไว้หลวม ๆ แต่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสัมผัสหรือล่วงเกินมากไปกว่านั้น
"หลายวันมานี้วุ่นวายเรื่องจัดทัพ จนหลงลืมมิได้ปรึกษาหารือกับเจ้าเรื่องของเจ้านางบัวบุศย์อีก กระทั่งเมื่อครู่มีหนังสือมาจากตำหนักเพียงอำพรข้าจึงคิดว่าต้องพูดคุยกับเจ้าเสียให้ชัดเจน"
"ถึงได้บุกมาหาข้าตอนอาบน้ำเช่นนี้น่ะหรือ" ฟ้ามุ่ยว่า น้ำเสียงยังคงไม่คลายจากความกังวล
คนฟังหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ
"หากไม่ทำเช่นนี้เสียบ้าง ลำเจียกจักเชื่อได้อย่างไรว่าเราเป็นผัวเมียกัน"
"ข้ออ้างทั้งนั้น" ฟ้ามุ่ยสวนกลับอย่างไม่ไว้หน้า
องค์ชายจักรินทร์ถอนหายใจ พลางขยับแขนโอบรัดร่างบางให้เข้ามาแนบชิดในอ้อมกอดมากขึ้น ฟ้ามุ่ยนึกเกลียดตัวเองยิ่งนักที่พอถูกอีกฝ่ายกอดเช่นนี้ทีไรก็มีอันต้องใจอ่อนยอมให้กอดเสียทุกครั้งไป ร่างอันเปลือยเปล่าสัมผัสกันแนบชิด อบอุ่นแต่ก็ชวนให้วาบหวาม
"หากคิดจะเอาเปรียบเจ้าจริง ๆ ข้าคงทำไปนานแล้ว มีโอกาสมากมายให้ข้าทำเช่นนั้นได้ แต่ก็ข้าไม่เคยคิดจะทำ เรื่องนี้เจ้าย่อมรู้ดีกว่าใคร" เขากระซิบ
ฟ้ามุ่ยอ้าปากจะเถียง แต่แล้วก็จนด้วยคำพูด ด้วยลึก ๆ ก็รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไร้ความรู้สึก ยิ่งเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาครั้งหนึ่งแล้วก็ยิ่งเหมือนน้ำมันกับไฟ เขาจะหาโอกาสล่วงเกินนางอีกเมื่อไหร่ก็ย่อมทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าอีกฝ่ายก็ยังอดทนนอนกอดนางอยู่ได้ทุกคืน
ในขณะที่กำลังคิดว่าจะตอบโต้เขาอย่างไรดีนั้น จู่ ๆ ความคิดชวนอึดอัดอย่างหนึ่งก็ผุดในใจโดยไม่ทันตั้งตัว
หากชายาของเขาไม่ใช่นางแต่เป็นสตรีอื่นที่เต็มใจจะมีสัมพันธ์ด้วย บางทีเขาคงมีความสุขมากกว่านี้...
บางทีหากเป็นเจ้านางบัวบุศย์อาจจะ...
เร็วเท่าความคิด ภาพบุรุษสตรีกอดจูบกันอย่างดูดดื่มก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดอย่างห้ามไม่อยู่ และไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจจึงปวดแปลบขึ้นมาราวถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มแทง ชาวาบไปทั่วร่าง
"เหตุใดถึงเงียบไป คิดอะไรอยู่หรือฟ้ามุ่ย"
เสียงนุ่มนวลข้างหูเรียกสติของนางให้กลับมาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง หญิงสาวส่ายหน้า พยายามสลัดภาพที่รบกวนจิตใจออกไปจากมโนสำนึก
"ไม่มีอะไร เพียงคิดเรื่องเจ้านางบัวบุศย์เท่านั้น" คนถูกถามตอบเลี่ยง ๆ ไม่ถือว่าโกหกเสียเลยทีเดียว "เมื่อครู่ เจ้าบอกว่ามีหนังสือจากตำหนักเพียงอำพรมิใช่หรือ"
"ใช่ วันนี้นางได้ย้ายเข้าตำหนักใหญ่ที่เป็นเรือนหอแล้ว จะขอเข้าพิธีพรุ่งนี้ช่วงหัวค่ำ"
"คนของเราเล่า"
"แฝงตัวปะปนเข้าไปกับพวกบ่าวในตำหนักแล้ว"
ฟ้ามุ่ยพยักหน้ารับรู้ สูดหายใจลึก ๆ เรียกสติ ก่อนจะเอ่ยถามต่ออย่างหมายจะลองเชิง
"แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไร อยากร่วมหอกับนางจริง ๆ หรือไม่"
"เหตุใดถามเช่นนี้ นางก็เป็นคนของเสด็จแม่ ข้าย่อมไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับนางอยู่แล้ว" เขาตอบกลับเคร่งขรึม
ฟ้ามุ่ยพยักหน้าน้อย ๆ ความรู้สึกบางอย่างที่บีบรัดหัวใจจนปวดหนึบค่อย ๆ คลี่คลายลง ร่างบางสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ขับไล่ความรู้สึกปั่นป่วนชวนสับสนออกไปจากความคิด ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มไว้ให้เป็นปกติ
"ไม่คิดก็ดีแล้ว ทางนั้นดึงดันจะถวายตัวให้ได้เช่นนี้ คิดว่าคงวางแผนไว้แล้วอย่างรัดกุม หากไม่เตรียมรับมือให้ดี ๆ เจ้าอาจพลาดท่าเอาง่าย ๆ ขอแค่ได้ร่วมหอกับเจ้าสักครั้ง นางจะตั้งครรภ์แน่"
"เพียงครั้งเดียวก็ตั้งครรภ์หรือ..."
เขาทวนคำช้า ๆ นัยน์ตาสีอำพันกวาดมองสตรีในอ้อมกอดอย่างพินิจพิจารณา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยนับจากคืนถวายตัว
"เจ้าไม่เข้าใจ... หากหลับนอนกับเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว ต่อให้ไม่ท้องกับเจ้าก็ให้ผู้อื่นทำให้ท้องขึ้นมาภายหลังได้ ยิ่งถ้าได้พระโอรส ข้าคงรักษาตำแหน่งชายาเอกไว้ไม่ได้เป็นแน่"
คำกล่าวรุนแรงเสียจนคนฟังใจเสีย
"เจ้านางบัวบุศย์จะกล้าทำเรื่องอย่างนั้นหรือ"
"หากเสด็จแม่ของเจ้าสั่งนางก็คงกล้า ถ้าถึงขนาดสั่งให้นางหายป่วยภายในสามวันห้าวันได้ เรื่องแค่นี้ก็คงไม่ยากเย็นอะไรนัก"
"หาวิธีทำให้นางหลับไปดีหรือไม่" เขาเสนอ คิ้วเข้มขมวดมุ่นแลดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ฟ้ามุ่ยวักกลีบกุหลาบขึ้นมาจากน้ำบีบขยำเล่นระหว่างใช้ความคิด
"ก็อาจจะพอทำได้ ข้าจะหายานอนหลับให้เจ้านำติดตัวไปด้วย ข้าจำได้ว่าเคยมีอยู่ในหีบใดสักหีบ แต่เจ้าก็ต้องอย่าประมาทเด็ดขาด หากถูกวางยาเข้าเหมือนคราวก่อนเกรงว่าคงเอาตัวรอดได้ยาก ที่จริงข้ากังวลเรื่องเครื่องหอมด้วย..."
"ถ้าหากพลาดเล่าจะเป็นอย่างไร" เขาเอ่ยขัดขึ้น
ฟ้ามุ่ยเลิกคิ้วเบี่ยงกายหันมองบุรุษเบื้องหลัง อีกฝ่ายถามย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้ากังวลใจ
"หากข้าหลับนอนกับสตรีอื่นเจ้าจะรู้สึกอย่างไร จักโกรธเกลียดข้าหรือไม่"
สิ้นคำถามภาพอันไม่เหมาะไม่ควรก็ผุดขึ้นในห้วงความคิดของฟ้ามุ่ยอีกครั้ง ทำเอาหัวใจหล่นวูบ หญิงสาวกำมือแน่นจนกลีบกุหลาบในมือแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกพิกลที่เกิดขึ้นในใจก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
"เจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย แล้วข้าจักโกรธเกลียดเจ้าได้อย่างไร ข้าดูเหมือนเป็นคนไร้เหตุผลอย่างนั้นหรือ"
"ไม่ใช่ไร้เหตุผล แต่เจ้าใช้เหตุผลกับทุกเรื่องเสียจนบางครั้งข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกันแน่ ข้าเกรงว่าจะทำร้ายความรู้สึกเจ้าโดยไม่รู้ตัว"
ฟ้ามุ่ยเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาทอดมองกลีบกุหลาบที่ลอยฟ่องอยู่เต็มอ่าง คิ้วเรียวขมวดมุ่นราวกับกำลังเลือกสรรคำพูดอย่างระมัดระวัง
"หากเจ้าเข้าหอกับผู้อื่น ข้าก็คงหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อยกระมัง" หญิงสาวตอบในที่สุด "คงเหมือนกับตอนที่มีใครหยิบยืมดาบคู่กายไปใช้ แม้จะหงุดหงิดใจอยู่บ้าง แต่หากมีเหตุผลอันสมควรข้าก็คงจำต้องให้ยืม"
คำตอบทำเอาคนฟังถึงกับกุมขมับ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเปรียบเทียบได้พิลึกพิลั่นเช่นนี้
"นี่เจ้าเอาข้าไปเปรียบกับดาบอย่างนั้นหรือฟ้ามุ่ย"
"ไม่ดีหรอกหรือ" นางย้อนถาม "ดาบคู่กายข้า ข้าทั้งรักทั้งหวง ขัดถูดูแลทุกวันเชียวนะ เปรียบกับดาบแล้วไม่ดีอย่างไร"
องค์ชายจักรินทร์นึกภาพตามแล้วก็หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ เขาก้มลงกระซิบข้างหูผู้เป็นชายาเบา ๆ
"ทั้งรักทั้งหวงก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่ขัดถูดูแลทุกวันนี่ออกจะ..."
เขาพูดไม่จบก็เงียบไปเสียดื้อ ๆ ทว่าบางอย่างในน้ำเสียงนั้นกลับทำให้คนฟังหน้าขึ้นสี ชวนให้คิดไปในทางสองแง่สองง่ามอย่างไรชอบกล
"ถ้าอย่างนั้นก็ขัดถูดูแลดาบเล่มนี้เสียหน่อยเถิด" เขากล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจังพลางยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า
ฟ้ามุ่ยแทบอยากจะกัดลิ้นตายตรงนี้ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด อะไรหนอดลจิตดลใจให้นางเปรียบเทียบอย่างนี้ หาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ
"ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้เสียหน่อย" หญิงสาวบ่นเบา ๆ
"เพิ่งพูดจบก็จะคืนคำเสียแล้วหรือ"
ฟ้ามุ่ยขบริมฝีปาก จำใจยอมวักน้ำอุ่นอาบไล้ตามท่อนแขนทั้งสองข้างให้อย่างตัดรำคาญ นิ้วเรียวกลมกลึงค่อยบรรจงขัดถูเบา ๆ ตั้งแต่หลังมือไปจรดข้อศอก จนกระทั่งสะอาดดีทั้งสองข้าง
"พอใจหรือยัง"
"ยังไม่พอ"
"นี่เจ้า!" ฟ้ามุ่ยหันไปถลึงตาใส่ ก่อนจะเอ่ยตำหนิอย่างหมดความอดทน
"เจ้าเป็นคนโลภมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!"
"ตั้งแต่เมื่อครู่นี้เอง" เขาตอบยิ้ม ๆ
ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหนื่อยหน่ายจะปะทะคารมกับเขาเต็มทีแล้ว จึงยอมพลิกกายหันไปหาบุรุษโลภมากผู้ที่บัดนี้กำลังยิ้มอย่างพออกพอใจเป็นที่สุด มือน้อยวักน้ำอุ่นขึ้นลูบไล้ตามไหล่และลำคอให้เขาอย่างไม่เต็มใจนัก ดวงหน้าขึ้นสีแดงก่ำ รู้สึกประดักประเดิดอย่างไรชอบกล
"ข้ารู้หรอกนะว่าเจ้าแกล้งข้าอยู่" ฟ้ามุ่ยว่า
เขาไม่ตอบเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ปล่อยให้นิ้วเรียวสวยลูบไล้ทั่วแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มีเพียงนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นที่คอยจับจ้องอยู่ไม่วางตา
คนถูกมองชักเริ่มรู้สึกร้อนหนาว ๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นัยน์ตาคู่สวยหลุบมองต่ำอย่างหมายจะหลบเลี่ยงสายตาของเขา ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นกลับกลายเป็นว่าได้เห็นภาพร่างกายของอีกฝ่ายตื่นตัวเต็มที่แข็งชูชันอยู่ใต้ผิวน้ำที่มีกลีบกุหลาบลอยอ้อยอิ่ง...
ไม่ใช่พระอิฐพระปูนจริง ๆ เสียด้วย... ฟ้ามุ่ยคิด รีบดึงสายตากลับมาจ้องมองอกของเขาแทน ความกังวลในใจดูเหมือนจะปะทุขึ้นอีกระลอกจนได้
หากอยู่กับเจ้านางบัวบุศย์ในสถานการณ์เช่นนี้ สตรีผู้นั้นคงสัมผัสเขาด้วยความเต็มใจเป็นแน่ ถึงเวลานั้นเขาจะยังห้ามตัวเองได้อยู่จริง ๆ ล่ะหรือ
นัยน์ตาคู่สวยช้อนมองบุรุษตรงหน้า ความคิดหลายอย่างผุดพรายขึ้นในหัว ทว่ามิกล้าเอื้อนเอ่ยออกไปตรง ๆ นิ้วเรียวยังคงลูบไล้บนแผงอกและหน้าท้องของอีกฝ่ายขณะที่กลุ่มความคิดอันยุ่งเหยิงพาใจของนางลอยไปไกลเรื่อย ๆ
"พอแล้วฟ้ามุ่ย"
เขากล่าวเสียงเข้ม คว้าจับมือทั้งสองข้างของนางไว้ไม่ให้ลูบไล้สะเปะสะปะ
ฟ้ามุ่ยสะดุ้งเล็กน้อย รีบดึงใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง
เขาจ้องมองนางนิ่ง ๆ คิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
"เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ ใจลอยไปที่ใดแล้วหรือ"
"ไม่ได้ใจลอยเสียหน่อย" ฟ้ามุ่ยไม่ยอมรับ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ทำท่าจะวักน้ำขึ้นลูบไล้ร่างกายของเขาต่อ
เขาจับมือของนางไว้อีกครั้ง ส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
"ข้าพอใจแล้ว" เขาบอกเบา ๆ ก่อนจรดริมฝีปากจุมพิตลงบนหลังมือของนางอย่างอ่อนโยน คนถูกจูบหัวใจเต้นแรง ดวงหน้าและลำคอร้อนวูบวาบด้วยความขวยเขิน
"เป็นดาบของเจ้าก็นับว่าดีไม่น้อย ส่วนเรื่องใครจะมาหยิบยืมไปนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล แม้เพียงเล็กน้อยข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องหงุดหงิดใจแน่ ข้าสัญญา"
ถ้อยคำหนักแน่นมั่นคง ทว่ากลับสร้างความปั่นป่วนขึ้นในใจของคนฟังยิ่งนัก กระแสความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านเป็นริ้ว ๆ ขึ้นมาในอก ร้อนรุ่มกลุ้มใจราวกับถูกไฟลน
ดาบเล่มนี้... ข้าชักจะไม่อยากให้ใครหยิบยืมเสียแล้ว...