ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...
รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ในห้องบรรทมเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจลึกยาวของบุรุษข้างกาย ฟ้ามุ่ยนอนไม่หลับ สายตาจับจ้องไปยังเพดานห้องที่มีเงาของเปลวเทียนวูบไหว ความรู้สึกบางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจเมื่อไม่นานมานี้ หนักหน่วงอยู่ในอกจนไม่อาจหลับลง ทั้งยังไม่กล้าเอื้อนเอ่ยให้คนข้างกายได้รับรู้ ทำได้เพียงลอบถอนหายใจเพียงอยู่ลำพังในความเงียบ
เสียงคนข้างกายขยับตัว ฟ้ามุ่ยปิดเปลือกตาลงทันที แสร้งทำเป็นหลับ
"ฟ้ามุ่ย... เจ้ายังไม่หลับอีกหรือ"
หญิงสาวไม่ตอบ คนถามเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพลิกตัวคร่อมเหนือร่างบางที่นอนนิ่งไม่ไหวติง กดจูบลงบนริมฝีปากอวบอิ่มอย่างแผ่วเบา
ฟ้ามุ่ยมิได้จูบตอบแต่ก็มิได้ขัดขืน ปล่อยให้เขาลิ้มรสความหวานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงผลักอกเขาเบา ๆ
"คิดอะไรอยู่ เหตุใดถึงยังไม่หลับ" เขากระซิบ
เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นหลับต่อไป ฟ้ามุ่ยก็จำใจลืมตาขึ้นมองบุรุษผู้ที่เพิ่งขโมยจูบของนางไปอย่างเสียมิได้
"ข้าแค่... รู้สึกกังวลใจจนนอนไม่หลับเท่านั้น"
"เรื่องพิธีถวายตัวพรุ่งนี้น่ะหรือ"
ฟ้ามุ่ยพยักหน้า
"อย่ากังวลเลย ข้าจะระวังให้มาก"
เขาลูบผมของนางเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ ดวงตาสีอำพันทอดมองสตรีตรงหน้า ในแสงสลัว ๆ ยังเห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่นเด่นชัดกลางหน้าผาก จึงใช้ปลายนิ้วนวดคลึงหว่างคิ้วของนางเบา ๆ หวังให้ปมที่ผูกบนดวงหน้างามคลายออก
"นอนเสียเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว..." เขาบอกเบา ๆ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับใช้ความคิด ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งกว่าเก่า
"หรือ... ให้ข้ากล่อมเจ้านอนดีหรือไม่"
ฟ้ามุ่ยสบตาบุรุษที่กำลังทาบทับอยู่เหนือร่างของตน นัยน์ตาคู่นั้นบอกความหมายชัดแจ้งว่ากล่อมนอนนั้นหมายความเช่นไร ใจของนางกระตุกวูบ เต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาจากอก
เมื่อเห็นนางเงียบงันไม่ตอบคำ ก็คลี่รอยยิ้มบาง ไม่ติดใจคาดคั้นเอาคำตอบ เพียงจุมพิตลงบนหน้าผากของนางเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนจะพลิกกายกลับไปนอนหงายตามเดิม
ความเงียบชวนอึดอัดคลี่คลุมทั่วทั้งห้อง บุรุษข้างกายนิ่งเงียบไปมิได้ขยับตัวอีก กระนั้นมือใหญ่ก็ยังคงกุมมือเล็กเอาไว้แน่น ฟ้ามุ่ยลอบมองดวงหน้าด้านข้างของเขาที่เครื่องหน้ายังโดดเด่นแม้อยู่ท่ามกลางแสงจากตะเกียงอันริบหรี่ นัยน์ตาคู่สวยจ้องมองเพดานนิ่ง ๆ ดูไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่
"มิ่งเมือง..." นางเรียกขานแผ่วเบาพลางเบียดชิดร่างไปใกล้ โอบแขนรอบเอวของเขาไว้หลวม ๆ "โกรธเคืองข้าหรือไม่"
เขาแลดูตกใจไม่น้อยที่เป็นฝ่ายถูกสวมกอด กระนั้นก็รับนางเข้าสู่อ้อมอกทันที รั้งร่างบางให้นอนหนุนบนแขนในท่าที่สบายขึ้น
"โกรธเคืองเรื่องใดกันฟ้ามุ่ย"
"เรื่องที่ข้าไม่ยอมหลับนอนกับเจ้า"
"เมื่อครู่นี้น่ะหรือ"
"ตลอดมา" ฟ้ามุ่ยตอบเสียงแผ่ว "ทุกคืนที่นอนข้างกัน เจ้านึกโกรธเคืองข้าบ้างหรือไม่"
"เจ้าไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากไหนกัน ข้าจะโกรธเคืองเจ้าได้อย่างไรฟ้ามุ่ย ทุกคืนวันที่อยู่กับเจ้าข้ามีความสุขมากต่างหาก" เขาลูบหลังลูบไหล่เบา ๆ เป็นเชิงปลอบ
คำตอบนั้นทำเอาคนฟังขอบตาร้อนผะผ่าว ความรู้สึกบางอย่างในใจเอ่อล้นไหลจากดวงตาเป็นสาย
องค์ชายจักรินทร์รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของผู้ที่อยู่ในอ้อมแขน ก็พลิกกายกดร่างน้อยไว้แล้วจ้องมองดวงหน้างามที่บัดนี้เอ่อล้นด้วยน้ำตา
"เจ้าเป็นอะไรไป..."
คนถูกถามส่ายหน้าช้า ๆ ไม่เอ่ยคำใด
"ค่อย ๆ พูดออกมาเถิด ข้าต้องเข้าใจเจ้าแน่"
"ดาบน่ะ..." หญิงสาวกล่าวเสียงสั่นเครือ "ดาบที่ข้าไม่ได้ดูแลให้ดีตั้งแต่แรก ถ้าพรุ่งนี้ไปอยู่ในมือคนอื่นที่เต็มใจดูแลมันอย่างดี ข้ากลัว... กลัวว่ามันจะไม่กลับมา เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ดูแลให้ดีตั้งแต่แรก"
องค์ชายจักรินทร์ประคองดวงหน้าผู้เป็นชายาไว้ด้วยสองมือแล้วพินิจอย่างละเอียด ดวงหน้าที่มักสุขุมเยือกเย็นเก็บซ่อนทุกอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ได้ดีเสมอ บัดนี้ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินอย่างสุดกลั้น
เมื่อพิจารณาลำดับเหตุการณ์และเรื่องราวอย่างถี่ถ้วนแล้ว บางอย่างก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในความรู้สึก
"เจ้ากังวลใจเรื่องที่เราไม่ได้หลับนอนด้วยกันใช่หรือไม่ กลัวข้าจะอดอยากเรื่องอย่างนั้นเสียจนต้านทานเจ้านางบัวบุศย์ไม่ไหว กลัวว่าจะเป็นความผิดของเจ้าเองที่ไม่ยอมหลับนอนกับข้าเลย"
หญิงสาวพยักหน้า นัยน์ตากลมโตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาหลุบมองต่ำ อับอายเสียจนไม่กล้ามองเขาตรง ๆ
"ฟ้ามุ่ยหนอฟ้ามุ่ย..." เขาทอดถอนใจ บรรจงเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ก่อนจะใช้นิ้วเคาะหน้าผากของนางเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
"เจ้าโทษตัวเองทั้ง ๆ ที่เรื่องยังไม่เกิดขึ้นเช่นนี้ได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเจ้า ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น"
หยดน้ำตาไหลรินเป็นสายอีกระลอก หัวใจของคนมองหล่นหาย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอ่อนไหวถึงเพียงนี้
เขาลูบผมของนางเป็นเชิงปลอบ ค่อย ๆ บรรจงจูบซับน้ำตาให้จนทั่วใบหน้า ก่อนจะกล่าวคำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชวนอุ่นใจ
"เรื่องที่เจ้ากลัวจะไม่เกิดขึ้นแน่ ข้าจะไม่มีวันแตะต้องเจ้านางบัวบุศย์ ข้าสัญญา"
ฟ้ามุ่ยพยักหน้า ดูเหมือนจะตั้งสติได้แล้วในที่สุด น้ำตาหยุดไหลแล้วเหลือเพียงรอยแดงช้ำที่ดวงตาและปลายจมูก
เขาเกลี่ยไรผมตามกรอบหน้าของนางให้เข้าที่ พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เอาล่ะ นอนได้แล้ว"
"กล่อมข้าหน่อยได้หรือไม่" หญิงสาวกระซิบ
เขาชะงักจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่ยังคงแดงช้ำทว่างดงามจนน่าใจหาย พยายามค้นหาความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น
"ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนใจทำอย่างไรอย่างนี้เลยฟ้ามุ่ย"
"ข้าไม่ได้ฝืนใจ ข้าตั้งใจ หากไม่ทำเช่นนี้ข้าคงรู้สึกผิดไปตลอด"
"ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเสียใจภายหลัง"
ฟ้ามุ่ยคลี่รอยยิ้มบางก่อนจะกล่าว
"ตั้งแต่ได้พบเจ้า เป็นสหายกับเจ้า แต่งงานกับเจ้า อยู่กินกับเจ้ามาจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยนึกเสียใจเลยสักครั้ง"
คำตอบตรงไปตรงมาแต่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนักในใจของคนฟัง เขาตอบรับคำกล่าวอันแสนอ่อนหวานนั้นด้วยการจุมพิตลงบนริมฝีปากอวบอิ่มอย่างนุ่มนวลทว่ารุกเร้ากว่าที่เคย ปลายลิ้นแทรกผ่านริมฝีปากเข้าไปกระหวัดเกี่ยวลิ้นอย่างดูดดื่ม บรรจงลูบไล้ปลายนิ้วไปตามลำคอและเนินอกช้า ๆ สัมผัสทุกส่วนอย่างอ่อนโยนและค่อยเป็นค่อยไป
ภาพความทรงจำที่เคยสัมผัสกันและกันมาแล้วครั้งหนึ่งผุดขึ้นในความทรงจำ เกิดเป็นความรู้สึกวาบหวามแล่นปราดไปทั่วร่าง
"อือ..." เสียงครางแผ่วเบาดังเล็ดลอดผ่านริมฝีปากอิ่ม เขาถอนจูบออกเชื่องช้าไล่ละเลียดสัมผัสไปตามแก้ม และลำคอระหง ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
"เจ้าไม่อยากให้ข้าทำเช่นกับผู้อื่น เป็นเพราะเจ้ากำลังหึงหวงข้าใช่หรือไม่..."
"ข้าไม่..."
เสียงของนางขาดห้วงหายไป เมื่อแพรแถบสีอ่อนที่ปกปิดร่างกายส่วนบนถูกปลดออก อกอวบอิ่มงามสะพรั่งท่ามกลางแสงเทียนริบหรี่ รอยแผลเป็นที่ลากยาวจากอกซ้ายมาจรดกลางอกโดดเด่นขึ้นจากผิวเนื้อส่วนอื่น
เขาจูบไล่ไปตามรอยแผล เขาบีบคลึงนุ่มนวลก่อนจะเลือกครอบครองยอดปทุมถันข้างหนึ่งไว้ในโพรงปาก ดูดดุนโลมเลียด้วยปลายลิ้น ในขณะที่อีกข้างก็ใช้ปลายนิ้วเค้นคลึงจนส่วนยอดที่ถูกสัมผัสขึ้นสีระเรื่อ
ร่างบางบิดเร่า ส่งเสียงครวญอ่อนหวานในลำคอกระตุ้นให้เขาบดขยี้ริมฝีปากและปลายลิ้นลงบนจุดที่นางพึงพอใจซ้ำอีก มือใหญ่ที่เค้นคลึงสองเต้าอวบอิ่มอยู่ค่อย ๆ เคลื่อนลงไปปลดผ้านุ่งของนางออก ลากไล้ปลายนิ้วลงไปยังจุดกึ่งกลางของร่างกายที่เริ่มฉ่ำชื้นด้วยอารมณ์เสน่หา แทรกปลายนิ้วผ่านกลีบดอกไม้อวบอิ่ม เค้นคลึงเคล้าคลออัญมณีเม็ดเล็กที่อยู่ใจกลางอย่างแผ่วเบา
สัมผัสฉ่ำแฉะที่ปลายนิ้วปลุกไฟในกายของบุรุษให้ลุกโชน อวัยวะส่วนล่างเริ่มตื่นตัวตึงแน่น
เขาเคลื่อนกายลงต่ำ แยกเรียวขากลมกลึงออกจากกัน เผยให้เห็นดอกไม้งามที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำค้าง ก่อนจุมพิตลงบนกลีบดอกไม้อวบอิ่ม ลากปลายลิ้นโลมเลียผ่านร่องสวาทไปยังอัญมณีที่อยู่ใจกลาง
ฟ้ามุ่ยส่งเสียงครวญครางราวกับทรมานแทบขาดใจ นิ้วเรียวเลื่อนลงมาปัดป้องปกปิดด้วยความขวยเขิน เขารวบจับไว้แล้วบีบเบา ๆ เป็นเชิงเตือนให้อยู่นิ่ง ก่อนจะแทรกนิ้วเรียวยาวเข้าไปในช่องทางรักอันอุ่นชื้น โดยไม่สนใจเสียงครวญครางประท้วงของนางแม้แต่น้อย
"อย่าดื้อ"
เขากระซิบก่อนจะค่อย ๆ สาวนิ้วเข้าออกช่องทางรักที่เปียกแฉะเกิดเป็นเสียงเนื้อกระทบน้ำอย่างน่าอาย ขณะเดียวกันก็กระหวัดลิ้นรัวลงบนอัญมณีเม็ดงาม
ฟ้ามุ่ยขบริมฝีปาก หักห้ามตัวเองไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา ความเสียวซ่านแล่นปราดไปทั่วร่างผสมปนเปกับความอับอายขวยเขิน จนต้องใช้มือข้างหนึ่งจิกขยุ้มลงบนที่นอนเพื่อระบายอารมณ์ ส่วนอีกข้างขยุ้มจับลงบนกลุ่มผมอ่อนนุ่มของอีกฝ่าย
"มิ่งเมือง..." เสียงสั่นเครือที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากนั้นฟังดูกระเส่าเย้ายวน
ฟ้ามุ่ยตั้งใจจะขอให้เขาหยุดพักเสียครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนเสียงเรียกของนางจะยิ่งกระตุ้นให้แรงปรารถนาในใจของอีกฝ่ายพุ่งสูงขึ้นไปอีก เขาเคลื่อนไหวปลายลิ้นบดขยี้ลงบนเม็ดสวาทเร็วรัวพร้อมกับสาวนิ้วเข้าออกอย่างเร่งเร้า
ฟ้ามุ่ยไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป อารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นถึงขีดสุดทำให้ร่างบางเผลอแอ่นรับสัมผัสของเขาอย่างลืมความอาย พลันในหัวก็ว่างเปล่าแล้วร่างกายก็เกร็งกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
เขากดนิ้วลึกลงไปในร่างกายที่กำลังสั่นกระตุก คาไว้อย่างนั้นให้นางได้หยุดพักหายใจเสียครู่หนึ่ง ร่องรักที่เพิ่งเสร็จสมฉ่ำแฉะไปด้วยหยาดน้ำตอดรัดปลายนิ้วถี่รัว ทำให้ขีดความอดทนของเขาหมดลง
ผ้านุ่งถูกปลดออกทันที เขากดร่างกายส่วนที่แข็งขึงตึงแน่นแทรกกายผ่านช่องทางอุ่นชื้นเข้าไปทีละน้อย ร่างกายของฟ้ามุ่ยตอดรัดแน่นหนา ตึงแน่นเสียจนเขากลัวว่านางจะเจ็บ จึงใช้ปลายนิ้วเรียวกดเน้นเค้นคลึงเม็ดสวาทอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกได้ถึงหยาดน้ำที่ฉ่ำเยิ้มออกมาอีกระลอก จึงค่อย ๆ ดันร่างกายเข้าไปจนกระทั่งสุดความยาว
ร่างบางสะดุ้งเฮือก เขารีบโน้มกายเข้าไปหา กดจูบหนัก ๆ ลงบนริมฝีปาก ปล่อยให้ร่างกายส่วนล่างได้คุ้นชินต่อกันอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยขยับนุ่มนวลเชื่องช้า
ฟ้ามุ่ยตอบรับการเคลื่อนไหวของเขาด้วยเสียงครวญครางในลำคอ สองมือกอดกระหวัดรัดร่างของเขาไว้แน่น ดวงหน้างามบัดนี้ขึ้นสีแดงก่ำด้วยเลือดที่สูบฉีด เสียวสะท้านไปทั่วร่างเมื่อได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังตามจังหวะการขยับของร่างกาย
"มิ่งเมือง... ข้า... กำลังจะตาย" ฟ้ามุ่ยกระซิบเสียงกระเส่า
เพราะเคยหลับนอนด้วยกันมาครั้งหนึ่งแล้วเขาจึงรู้ดีว่ากำลังจะตายของนางนั้นหมายความว่าอย่างไร เขาขยับร่างกายเร็วขึ้นจนร่างในอ้อมกอดสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง
"เจ้าหึงหวง กลัวข้าจะทำเช่นนี้กับผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่" เขากระซิบข้างหูแข่งกับเสียงครวญครางของนาง
โดยไม่รอคำตอบผู้เป็นบุรุษดันกายขึ้นในท่าคุกเข่า ใช้มือข้างหนึ่งประคองเอวบางเอาไว้ อีกข้างเค้นคลึงลงบนจุดกระสัน สอบเอวเร็วระรัวจนอกอิ่มขาวนวลกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงกระแทกกระทั้นชวนมอง ร่างบางแอ่นขึ้นรับสัมผัสด้วยความเสียวซ่าน ครวญครางชื่อของเขาออกมาพร้อมกับเกร็งกระตุกอีกหน
เสียงหอบหายใจดังก้องสะท้อนไปทั่วห้อง ฟ้ามุ่ยรู้สึกเหมือนใจจะขาด แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ยอมให้นางได้พักหายใจ จับพลิกร่างนอนตะแคง โอบกอดไว้แนบอกแล้วสอดใส่จากทางด้านหลัง ความเสียวซ่านแล่นปราดไปทั่วร่างจนร่องสวาทตอดรัดถี่รัว อกอิ่มทั้งสองข้างถูกปลายนิ้วของเขาบดขยี้ส่วนยอดจนแข็งชูชัน ในขณะที่ร่างกายส่วนล่างถูกโถมกระแทกใส่จนครวญครางออกมาไม่เป็นภาษา
"มิ่งเมือง... เจ้า....."
"ข้าเป็นของเจ้าคนเดียว ทำเช่นนี้กับเจ้าแค่คนเดียว ข้าไม่มีวันแตะต้องสตรีอื่นนอกจากเจ้า" เขากระซิบบอกที่ข้างหู ก่อนจะเคลื่อนปลายนิ้วลงต่ำควานหาจุดสัมผัสที่จะทำให้นางสุขสมอีกครา
สตรีในอ้อมกอดครวญครางลั่นอย่างลืมความอาย ร่างบางสั่นกระตุกอย่างรุนแรง เขากอดกระชับร่างนั้นแนบอก มือใหญ่กดหน้าท้องแบนราบของนางไว้ กระแทกแก่นกายถี่กระชั้นอีกระลอกก่อนดันกายเข้าไปให้ลึกที่สุดแล้วปลดปล่อยออกมาเช่นกัน