ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้เจ้า ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้า...
รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,ชิงบัลลังก์,สงคราม,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฟ้ามุ่ยลืมตาตื่นในอ้อมกอดอุ่นอันแสนคุ้นเคย กะพริบตาถี่ ๆ สองสามหนเพื่อไล่ความมึนงง ค่อย ๆ ขยับตัวเชื่องช้าใช้ความรู้สึกสำรวจร่างกายตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าไม่ได้เจ็บปวดที่ใดเป็นพิเศษ มีเพียงความรู้สึกในใจเท่านั้นที่แปลกแตกต่างออกไปจากทุกวัน
ใจของนางสงบลงแล้ว ความกังวลที่หนักอึ้งอยู่ในอกบรรเทาเบาบางลง ทว่ากลับทิ้งร่องรอยอันแสนวาบหวามไว้ในหัวใจแทน
ฟ้ามุ่ยรู้ดีว่าครั้งนี้พวกเขาได้ก้าวข้ามเส้นบางอย่างในความสัมพันธ์ไปแล้วแล้วอย่างที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้เป็นดังเดิมได้อีก
คนข้างกายยังคงหลับสนิท นัยน์ตาพริ้มหลับ ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปคล้ายกำลังแย้มรอยยิ้ม งดงามหล่อเหลาราวรูปสลัก ฟ้ามุ่ยสัมผัสใบหน้าของเขาแผ่วเบา นึกถึงเรื่องราวตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พานพบ
บุรุษผู้นี้เองที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตของนางเอาไว้ เฝ้าประคบประหงมกายและใจที่บอบช้ำจนแทบเอาชีวิตไม่รอดให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง...
"ตื่นแล้วไยไม่เรียกข้า"
คนถูกสัมผัสพึมพำเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ รวบจับนิ้วเรียวที่ลูบไล้อยู่บนใบหน้ามาจุมพิต ก่อนจะประทับจูบลงบนหน้าผากและริมฝีปากอย่างอ่อนโยน
"ได้ทีก็รังแกข้าเสียยกใหญ่เลยนะ" คนถูกจูบบ่นเบา ๆ
"ไม่ได้รังแก เพียงดูให้แน่ใจว่าได้ทำเจ้าบอบช้ำที่ใดบ้างหรือไม่ก็เท่านั้น" เขากล่าวพลางขยับรอยยิ้มบาง ลูบไล้แก้มนวลที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างทะนุถนอม ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นภายในใจจนไม่อาจเก็บไว้ได้อีกต่อไป
"ฟ้ามุ่ย ข้ารู้สึกกับเจ้าเกินกว่าที่สหายควรจะรู้สึกเสียแล้ว..."
คำกล่าวสั้น ๆ แผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ทว่ากลับดังก้องอยู่ในใจของคนฟัง ทำให้จนหัวใจที่เพิ่งสงบลงสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง
"แน่ใจแล้วหรือ" ฟ้ามุ่ยข่มใจถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เจ้าอาจรู้สึกเช่นนั้น เพราะข้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่เจ้าใกล้ชิดด้วย เจ้ายังไม่เคยพานพบสตรีอื่น แน่ใจได้อย่างไรว่า..."
คนฟังขมวดคิ้วเข้ม พลิกกายขึ้นคร่อมเหนือร่างบางแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากอิ่มงามทันทีโดยไม่รอให้กล่าวจบ ลิ้นร้อนรุกรานควานหาความหวานไปทั่วโพรงปากอย่างดูดดื่ม ขณะที่มือค่อย ๆ เค้นคลึงขยำอกอิ่มอย่างรุกเร้า จนคนถูกสัมผัสเริ่มเรี่ยวแรงหดหายอ่อนระทวยไปทั้งร่าง เขาจึงยอมถอนริมฝีปากออก
"เจ้าช่างไม่รู้อะไรเลย" เขากระซิบเสียงเข้ม ทว่าแววตากลับอ่อนโยนยิ่งนัก "ข้ายังไม่เคยพานพบสตรีอื่นงั้นหรือ แล้วเจ้าคิดว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นเล่า เหตุใดตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาข้าถึงไม่มีสตรีอยู่ข้างกายเลยสักคน แม้แต่นางเล็ก ๆ ไว้คอยบำเรอก็ไม่มี เพราะข้าไม่มีอารมณ์ความรู้สึกหรือ หรือเพราะข้ามีใครในใจอยู่แล้ว"
ฟ้ามุ่ยหลุบตามองต่ำ ใจเต้นแรงเมื่อเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
ไม่ใช่เขาไม่เคยมีใคร แต่ไม่ยอมมีใครเพราะมีคนในใจแล้วอย่างนั้นหรือ...
"ที่แท้เจ้าก็คิดไม่ซื่อกับข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว"
"ไม่ใช่อย่างนั้นฟ้ามุ่ย อย่าเข้าใจผิด... " เขากล่าว รีบเชยคางของนางขึ้นไม่ยอมให้หลบตา
"ที่ผ่านมาข้าห่วงใยเจ้า ทำดีกับเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจ มิเคยคิดหาผลประโยชน์ หรือคิดเอาเปรียบเจ้าจากความใกล้ชิดเช่นสหาย แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เริ่มรู้สึกกับเจ้ามากเกินกว่านั้น อาจเป็นตอนที่เราเข้าหอกัน ตอนถูกลอบสังหาร ตอนที่เจ้ายอมตอบตกลงมาเป็นชายาของข้า หรืออาจเป็นตอนที่ข้าให้ปิ่นไม้กฤษณากับเจ้า ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด รู้แต่เพียงแค่ว่าความรู้สึกที่มีมันค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น และชัดเจนขึ้นในทุก ๆ วัน"
เขาประคองดวงหน้างามไว้ ส่งความรู้สึกที่มีผ่านดวงตาและคำพูดอันแสนอ่อนหวาน
"ฟ้ามุ่ย ข้า...--"
"องค์รัชทายาท พระชายาเพคะ มีหนังสือมาจาก..."
เสียงของหญิงรับใช้เงียบหายไป ลำเจียกยืนนิ่งค้าง ภาพตรงหน้าทำให้ดวงหน้าของเด็กสาวเห่อร้อน รีบทรุดตัวลงคุกเข่าก้มหน้าแนบพื้นทันที
"ขออภัยองค์รัชทายาท ขออภัยพระชายา บ่าวสมควรตาย! บ่าวสมควรตาย!"
องค์ชายจักรินทร์ยกมือขึ้นกุมขมับพลางถอนหายใจ อีกแค่ครึ่งคำก็ยังอุตส่าห์มาขัดจังหวะได้ ลำเจียกหนอลำเจียก...
"คราวหน้าหากมิใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เห็นแล้วก็ให้รีบออกไป ไม่ต้องคุกเข่า ไม่ต้องขออภัยเข้าใจหรือไม่" เขาสั่งเสียงเข้ม
"เข้าใจแล้วเพคะ" ลำเจียกรับคำแข็งขัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มแหย ๆ แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ ขององค์รัชทายาทผู้ไม่เคยดุ ก็รู้ตัวว่าตนขัดจังหวะสำคัญเข้าให้แล้ว จึงรีบก้มลงเอาหัวแนบพื้นอีกครั้ง
ฟ้ามุ่ยหัวเราะเบา ๆ ทั้งอายทั้งขำ นึกสงสารบุรุษข้างกายที่ไม่อาจพูดเรื่องสำคัญให้จบ ขณะเดียวกันก็เห็นใจลำเจียกยิ่งนักที่ต้องมาเห็นภาพซึ่งเด็กสาวแรกรุ่นเช่นนางไม่ควรเห็น
"เงยหน้าขึ้นเถอะ พูดใหม่อีกทีสิว่ามีเรื่องอันใด" ฟ้ามุ่ยกล่าวหลังจากที่ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายเรียบร้อยดีแล้ว
"มีหนังสือฉบับหนึ่งมาจากองค์ชายอัครเรศเพคะ" ลำเจียกเงยหน้าขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะรีบคลานเข้ามาหาแล้วรีบยื่นกระดาษแผ่นน้อยให้ผู้เป็นนายดู
"คนรับใช้ประจำพระองค์ขององค์ชายลอบนำมาให้เมื่อครู่นี้เองเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องด่วนจึงทะเล่อทะล่าเข้ามาขัดจังหวะ..."
ฟ้ามุ่ยยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูดต่อว่าขัดจังหวะเรื่องใด ความสนใจของนางพุ่งไปที่เรื่ององค์ชายอัครเรศเสียมากกว่า
"เหตุใดเจ้าจึงใช้คำว่า ลอบนำมาให้ " ฟ้ามุ่ยตั้งข้อสงสัย
"หลายวันมานี้ทั้งสองพระองค์ยุ่งราชกิจทางการทหาร จึงอาจไม่ทรงทราบว่าองค์ชายอัครเรศถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนักมาหลายเพลาแล้วเพคะ กระทั่งบ่าวไพร่ก็ออกไปไหนมิได้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ใช้วิธีการใดจึงลอบนำหนังสือมาส่งให้ได้เพคะ"
ฟ้ามุ่ยขมวดคิ้วพลางคลี่กระดาษแผ่นเล็ก ๆ ในมือออกดูก็พบข้อความที่เขียนด้วยลายมือตวัดงดงามทว่ากลับสั้นจนน่าใจหาย
เสด็จพี่โปรดเห็นแก่น้อง
"เสด็จพี่โปรดเห็นแก่น้องงั้นหรือ... เรื่องใดกัน" คิ้วเข้มขององค์ชายจักรินทร์ขมวดมุ่น ขณะที่เจ้าตัวทวนเนื้อความในจดหมาย
ฟ้ามุ่ยพลิกกระดาษดูหน้าหลังอย่างถี่ถ้วนแล้วเอ่ยปากถามนางลำเจียกอีกครั้ง
"ผู้ที่นำมาให้ได้ฝากข้อความอื่นใดมาบอกอีกหรือไม่"
"ไม่มีเพคะ เพียงย้ำว่าต้องส่งให้ถึงมือของทั้งสองพระองค์ให้ได้ และขอให้ช่วยเก็บเป็นความลับอย่าให้ผู้อื่นรู้เห็นเท่านั้นเพคะ"
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์ชายอัครเรศถูกกักบริเวณตั้งแต่เมื่อใด"
"หลังจากตามเสด็จองค์รัชทายาทและพระชายาไปเยี่ยมเจ้านางบัวบุศย์ที่ตำหนักเพียงอำพร ก็ถูกกักบริเวณตั้งแต่นั้นมาเพคะ"
ฟ้ามุ่ยพยักหน้าช้า ๆ แล้วโบกมือให้ลำเจียกออกไป ก่อนหันมองคนข้างกายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
"คงเป็นเรื่องเจ้านางบัวบุศย์" หญิงสาวบอก พลางทอดถอนใจ "ทั้งที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าคิดกับเจ้านางบัวบุศย์เพียงแค่สหายแต่กลับเขียนหนังสือมาเช่นนี้ สมเป็นน้องชายของเจ้าจริง ๆ"
"แล้วเราควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี"
"เราไม่ควรทำอะไรเลย" ฟ้ามุ่ยกล่าวเรียบ ๆ ทว่าน้ำเสียงชัดเจนเด็ดขาด "เจ้าคงไม่คิดจะยกเลิกพิธีถวายตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าน้องชายของเจ้าหลงรักว่าที่พระชายากระมัง เสด็จแม่ของเจ้าไม่ยอมแน่ แล้วองค์ชายอัครเรศเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อนภายหลัง ไปเยี่ยมนางแค่ครั้งเดียวยังถูกกักบริเวณยาวนานถึงเพียงนี้ คิดว่าเจ้านางลักขณาวดีคงรู้ใจพระโอรสอยู่ไม่มากก็น้อย"
คนฟังพยักหน้าช้า ๆ ใบหน้าปรากฏร่องรอยของความกังวลใจขึ้นจาง ๆ
"เห็นใจเขาหรือ" ฟ้ามุ่ยเปรย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"เจ้าอย่าลืมเสียเล่า ว่าน้องชายของเจ้าผู้นี้อาจจะเป็นหนึ่งในผู้ที่อยากสังหารเจ้ามากที่สุด เห็นใจเขาย่อมไม่ใช่เรื่องผิด แต่อย่าได้ไขว้เขวจนทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากไปกว่านี้เลย"
"ครั้งก่อนที่ตำหนักเพียงอำพรเจ้าช่วยเขาหลายอย่าง ข้านึกว่าเจ้าเลิกสงสัยเขาแล้วเสียอีก"
"ข้าช่วยเขาไม่ได้หมายความว่าเลิกสงสัยเขาเสียหน่อย ข้ายังคงสงสัยทุกคนรอบตัวเจ้าเช่นเดิม ทั้งเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเจ้า น้องชายเจ้า เจ้านางบัวบุศย์ กระทั่งขุนนางเก่าแก่ทั้งหลายก็ล้วนน่าสงสัยทั้งสิ้น
เจ้าไม่สังเกตหรอกหรือว่าหลังพระราชพิธีแล้วเราไม่ถูกลอบสังหารอีกเลย นั่นอาจเป็นเพราะตัวการของเรื่องนี้รู้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างดี หากเจ้ากับข้าเป็นอะไรไปในระหว่างนี้ เจ้าคิดว่าผู้ใดจักต้องนำทัพแทนเราหรือ องค์ชายอัครเรศหรือว่าเสด็จพ่อของเจ้า..."
ฟ้ามุ่ยร่ายยาว ในขณะที่สีหน้าของคนฟังเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด
"เกรงว่าเสร็จศึกแล้วเรื่องในราชสำนักของเจ้าก็ยังจะยังวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น" ฟ้ามุ่ยสรุปพลางทอดถอนใจ เผลอยกมือขึ้นสัมผัสจี้มยุระบนอกอย่างลืมตัว
องค์ชายจักรินทร์เห็นอากัปกิริยาของนางแล้วก็นึกย้อนไปถึงสตรีอีกคนที่เคยเป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้ ชั่วขณะนั้นเองความกลัวที่เขาพยายามซุกซ่อนไว้ให้ลึกที่สุดในความรู้สึกก็แผ่ขยายขึ้นในใจ
เขารั้งร่างบางให้หันมาสบตาด้วย สัมผัสเส้นผมที่ตกระข้างแก้มของนางอย่างแผ่วเบา
"ข้าไม่รู้ว่าข้าตัดสินใจผิดหรือไม่ ที่ให้เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้"
ฟ้ามุ่ยส่ายหน้า รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปาก คว้าจับมือของเขามากุมไว้มั่น สัมผัสอบอุ่นปลอบโยนให้ความรู้สึกในใจคลี่คลายลง
"เจ้าตัดสินใจถูกแล้วต่างหาก..." หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าหนักแน่น "เจ้าบอกว่าข้อเสียของข้าคือใช้เหตุผลมากเกินไป เช่นนั้นข้อเสียของเจ้าก็คือใช้ความรู้สึกมากจนเกินไป ปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกมาทำให้ใจของเจ้าไขว้เขวเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ มีข้าคอยอยู่ข้างกายเจ้าเช่นนี้ก็ถูกแล้วมิใช่หรือ"
คำกล่าวของฟ้ามุ่ยทำให้เขานิ่งเงียบไป เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจสองดวงเต้นแข่งกันอยู่ในอก
"ฟ้ามุ่ย..." เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นกว่าทุกครั้ง สายตาที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป
"ข้ารักเจ้า"
คนฟังหูอื้อไปชั่วขณะ แม้จะพอรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะเอ่ยคำนี้ แต่พอได้ยินเข้าจริง ๆ กลับทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกอก ความร้อนพุ่งขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ จนดวงหน้าและลำคอแดงระเรื่อ พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะ
"ข้า..." ฟ้ามุ่ยเอ่ยเสียงแผ่ว ลมหายใจสะดุดเป็นห้วง ๆ ขณะที่พยายามบังคับตนเองไม่ให้หลบตาเขาอย่างยากเย็น
"ข้า..."
มือน้อยกำหมัดแน่น ขบริมฝีปากอย่างนึกรำคาญตัวเอง ความรู้สึกที่ท่วมท้นในใจอัดแน่นจนอกแทบระเบิดแต่กลับพูดออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว สุดท้ายก็ตัดสินใจยกแขนขึ้นโอบรอบคอบุรุษตรงหน้าให้โน้มเข้ามาใกล้ ก่อนจะมอบจุมพิตแสนอ่อนหวานให้เขาแทนคำตอบ
เขาตอบรับจูบของนางอย่างอ่อนโยน แลกเปลี่ยนความรู้สึกในใจกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด ปล่อยให้ลมหายใจสอดประสานเชื่อมโยงหัวใจสองดวงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน...
ยามค่ำใกล้มาเยือน ขบวนเชิญเสด็จองค์รัชทายาทไปยังตำหนักเจ้านางบัวบุศย์มาเทียบรอที่หน้าตำหนักริมน้ำตั้งแต่ยังโพล้เพล้ แม้เป็นพิธีเล็ก ๆ เรียบง่ายแต่สำนักพิธีการก็จัดขบวนเชิญเสด็จได้อย่างสมพระเกียรติ
เมื่อถึงฤกษ์พานาทีที่กำหนด องค์รัชทายาทในชุดเครื่องแต่งกายเต็มยศก็เสด็จออกมายังหน้าพระตำหนักโดยมีองครักษ์ประจำพระองค์ตามเสด็จด้วย
ฟ้ามุ่ยมองอยู่ไกล ๆ จากศาลาริมน้ำ เมื่อเห็นว่าเขาเองหันมองมาทางนี้เช่นกัน หัวใจก็กระตุกวูบเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย นางลำเจียกเห็นสีหน้าผู้เป็นนายไม่ดีนัก ก็คลานเข่าเข้ามาหาแล้วกุมมือผู้เป็นนายไว้หลวม ๆ
"พระชายาทรงทำใจให้สบายเถิดเพคะ องค์รัชทายาททรงรักพระชายาที่สุด ต่อให้ถวายตัวอีกร้อยคน องค์รัชทายาทก็ไม่มีทางยกผู้ใดขึ้นมาอยู่หรือพระชายาแน่เพคะ"
ฟ้ามุ่ยหัวเราะออกมาเบา ๆ
"ร้อยคนเลยหรือ แค่คนเดียวข้าก็หวงจะแย่แล้ว"
"ไหนเมื่อครู่ทรงบอกองค์รัชทายาทว่าไม่หวงไงเพคะ"
"หืม แอบฟังนายคุยกันหรือ ประเดี๋ยวข้าจะเอาหวายลงหลังเจ้า" ฟ้ามุ่ยบ่นเสียงเข้มพลางใช้นิ้วเคาะหัวนางเบา ๆ ลำเจียกยิ้มแหย ๆ แล้วรีบก้มหน้าทันที
ยังไม่ทันที่ขบวนเสด็จจะได้ออกเดิน เสียงควบม้าก็ดังมาจากที่ไกล ๆ ทุกคนหยุดความเคลื่อนไหวต่างหันมองไปยังทิศทางที่เป็นแหล่งที่มาของเสียง
ฟ้ามุ่ยชักรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงรีบสาวเท้าเดินออกจากศาลาตรงไปยังหน้าตำหนักทันที โดยมีนางลำเจียกวิ่งตามมาติด ๆ
ครู่ต่อมาทหารในชุดเกราะนายหนึ่งก็รีบรุดมาถึงยังหน้าตำหนัก ดูจากการแต่งกายก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นทหารจากกองทัพพยัคฆ์เมฆา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความวิตก เขาคุกเข่าถวายบังคมก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
"องค์รัชทายาท พระชายา ข่าวจากวานรมหากาฬแจ้งว่าทัพหลวงจากเวียงทิพย์เวหาสกำลังเคลื่อนทัพใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว อาจล่วงเข้าถึงประชิดฝั่งแม่น้ำได้ก่อนค่ำวันพรุ่งนี่พ่ะย่ะค่ะ!"