โอ้อก…คิดถึงคะนึงนอนวัน นอนให้ใฝ่ฝันเห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลดสวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตา…เรียมเอ๋ย…

ปานประทีป - ๑ ปฐมบท โดย จางดันเต้ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,ดราม่า,เมะลูกหมา,เมะสวย,เมะเด็กกว่า,นิยายวาย,เคะหล่อ,เคะกล้าม,พีเรียดไทย,เคะแก่,ปานประทีป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ปานประทีป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เมะลูกหมา,เมะสวย,เมะเด็กกว่า,นิยายวาย,เคะหล่อ,เคะกล้าม,พีเรียดไทย,เคะแก่,ปานประทีป

รายละเอียด

โอ้อก…คิดถึงคะนึงนอนวัน นอนให้ใฝ่ฝันเห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลดสวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตา…เรียมเอ๋ย…

ผู้แต่ง

จางดันเต้

เรื่องย่อ

"ผู้ใดต่างก็กล่าวว่ามีดวงเดือนแลตะวันเพียงดวงเดียว ไฉนคนต่ำต้อยน้อยปัญญาเช่นไอ้ปาน กลางวันถึงได้พบตะวันสองดวง...จนยามค่ำก็มีวาสนาได้พบดวงแขแม้ในคืนเดือนมืดเล่าขอรับ"

สารบัญ

ปานประทีป-๑ ปฐมบท,ปานประทีป-๒ บทที่ ๑ ดวงประทีป,ปานประทีป-๓ บทที่ ๒ ด้อยเพียงดิน

เนื้อหา

๑ ปฐมบท



ปาน






ร้านรวงเรียงรายตามสายน้ำทั้งบนบกชลมารคต่างกุลีกุจอพับหิ้วหอบเก็บข้าวของไว้ไม่ให้ถูกพัดหาย ร้านเรือแจวจ้วงพายกันสุดแรง ประเดี๋ยวลมแรงกว่านี้ไม่พ้นถูกพาหายไปตามน้ำจักซวยเอา ยิ่งถึงคราวน้ำหลากสายนี้ยิ่งเชี่ยวนัก 


ไม่เว้นแม้แต่ไอ้หนุ่มตัวดำยังกับเขม่าลนไฟ มันออกแรงจ้วงไม้พายเร่งพาทั้งตนเองทั้งไม้กวาดดอกหญ้าทางมะพร้าวอย่างดีกลับบ้านช่อง 

แม้นว่าจะเร่งรีบถึงเพียงใด แต่มันก็ไม่ลืมกำชับผ้าโพกหัวคลุมกาย ปิดคิ้วปิดคางเหลือไว้ให้เห็นแต่ดวงตาสีอ่อน 

คนว่าไอ้ปานมันดำอย่างกับตอตะโก เป็นเพราะดำเหมือนปานดำมันถึงได้ชื่อว่าปาน ทั้งหน้าตาคิ้วคางยังอัปลักษณ์ มองดูแล้วไม่ยักเจริญหูจำเริญตาถึงได้หอบผ้ามาบังตัว เกรงว่าหากไม่น่าดูเกินไปคนซื้อเขาจะพากันไม่อยากซื้อของมัน 

คนอัปลักษณ์แจวเรือมาจนถึงท่าวัด มันดึงเรือขึ้นมาผูกไว้กับต้นตาลไม่ให้ถูกน้ำพัดไป สายฝนเทกระหน่ำดังซ่า ๆ ร่างสูงใหญ่วิ่งหลบไปจนถึงใต้กุฏิหลวงตา ถอนใจด้วยความโล่งอกที่มีคนเก็บผ้าจีวรไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเปียกโชกให้มันได้ตำหนิตนเองอีก 

ไอ้ปานอาศัยชายคาวัดเป็นที่ซุกหัวนอน ตอนเช้าพายเรือพาหลวงตาพระเณรออกบิณฑบาต สายเข้าหน่อยเริ่มกวาดตาด กินข้าวก้นบาตรแล้วซักผ้า พอว่างค่อยมานั่งสานไม้กวาดทางมะพร้าวออกเร่ขายไปตามลำน้ำ คนสงสารเวทนาช่วยอุดหนุนก็มาก ซื้อไปแล้วใช้ดีกลับมาซื้อซ้ำก็มี 

วันดีคืนดีถูกคนหาเรื่องทุบตีก็ไม่ปริปาก เอาแต่คู้ร่างใหญ่ ๆ ปกป้องผ้าคลุมซอมซ่อไม่ให้ใบหน้าอัปลักษณ์ของมันปรากฏแก่สายตาผู้อื่น อันธพาลเห็นเยี่ยงนั้นต่างพากันหัวร่อ บ้างว่ามันบ้าใบ้ ตัวเท่าวัวควายแต่ใจปลาซิวนอนให้ตนทุบตี 

หลวงตาออกปากว่าจะบวชให้มันก็เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธลูกเดียว แล้วว่าคนเช่นมันใครเขาจักมากราบไหว้ 

คนอัปลักษณ์หอบร่างชุ่มโชกปอนเปียกด้วยหยาดน้ำฝนกลับเข้ากระท่อมท้ายวัดที่มันใช้ซุกหัวนอน ปลดผ้าผืนใหญ่ที่ใช้ปิดบังใบหน้าออก ผิวกายซีดขาวดังดินสอพองปรากฏอยู่กลางเรือนผุพังอันมืดมิด  

เขม่าโคลนที่พอกทาไว้ละลายหายไปกับสายฝน เหลือเพียงสีขาวซีดไร้ชีวิตชีวาอย่างกับคนตาย ตามแขนขากำยำปรากฏรอยกระดำกระด่างสีดำแดงขึ้นเป็นดวง ๆ 

กรอบหน้าคมมนมีรอยอย่างเดียวกันขึ้นอยู่สองจุด ริมฝีปากซีดเซียวเม้มแน่นขณะที่ฝ่ามือใหญ่ลูบน้ำฝนออก แพขนตาหนาดำมีหยดน้ำเกาะพราวกอปรกับนัยน์ตาโศกคิ้วตาหมดจด ไฝรองน้ำตาฉายเด่นขึ้นมา ดูอีกทางก็คล้ายคนงามร่ำไห้ ทว่ามันคือคนอัปลักษณ์ คนงามหากร่ำไห้ก็ยังเป็นคนงาม แต่หากเป็นคนอัปลักษณ์ถึงร่ำไห้ไปก็มีแต่จะถูกคนเขาหัวร่อ 

ไอ้ปานอาบน้ำผลัดผ้าผ่อน ดวงหน้าขาวกระจ่างพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตาเห็น  

กะลาไหถูกมันนำไปรองน้ำหยด เท้าเปล่าเปลือยย่ำเหยียบไม้กระดานชุ่ม กลิ่นราชื้นตีขึ้นเต็มจมูก มันสูดดมด้วยความชินชา 

“ปาน! ไอ้ปาน!” เจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจ เสียงแตกหนุ่มจากด้านนอกร้องเรียกมันลั่นวัดแข่งขันกับสายฝน มือขาวแกร่งคว้าผ้าคลุมขะมุกขะมอมผืนหนึ่งขึ้นมาพันกายลวก ๆ ก่อนจะโผล่ศีรษะออกไปดู เห็นหัวโล้น ๆ ในชุดนาคของเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่ามันยืนหน้านิ่วอยู่ใต้ชายคากุฏิพระ 

“มีกระไรหรือ!” เสียงทุ้มต่ำตะเบ็งถามนาคน้อย 

“ชาวบ้านติดฝน! มีเรือบรรทุกข้าวของจวนจะถูกน้ำพัดมาด้วย! หลวงตาให้ฉันมาเรียกเอ็งไปช่วยเขาอีกแรง!” คนหัวโล้นตะเบ็งเสียงตอบ 

ท้องฟ้าครั่นครื้น แสงแลบแปลบปลาบ ต้นมะพร้าวเอนไหวปลายยอดแทบติดดิน ท่ามกลางพายุมีเรือบรรทุกสินมีค่าขวางน้ำเชี่ยวอยู่ลำหนึ่ง 

“พายุใหญ่ปานนี้ ไฉนถึงได้พากันฝ่ามาเล่า!” ชาวบ้านผู้ขันอาสามาช่วยลากเรือตะโกนถามผู้เป็นเจ้าของ 

“น้ำเชี่ยวนัก! พวกฉันผูกไว้ไม่ดี มันเลยหลุดมาจนถึงนี่จ่ะ!” ไพร่ทาสผู้มากับเรือแข่งฝนตอบ 

คนนับสิบออกแรงดึงเชือกป่านด้วยความทุลักทุเล น้ำฝนเข้าปากเข้าตากระทบผิวจนเจ็บแสบไปหมด แต่ด้วยเห็นข้าวของมีค่าบนเรือแล้วพาให้นึกเสียดายหากมันหลุดลอยไปถึงได้ออกแรงกัดฟันกันเสียนาน 

“เอ้า! ไอ้ปาน! นาค! วิ่งเร็วอย่ามัวอืดอาดยืดยาด” ทันทีที่เห็นคนบ้าใบ้ห่อกายด้วยผ้าผืนใหญ่มาพร้อมกับเด็กหนุ่มนุ่งผ้าขาว หนึ่งในนั้นจึงออกปากเร่ง 

พอได้แรงคนเพิ่มมาอีกสองเรื่องราวพลันง่ายดาย ออกแรงดึงพร้อมกันทีเดียวเรือก็ขึ้นจากน้ำได้ 

ชายนับสิบเหน็ดเหนื่อยกันจนหลวงตาออกปากอนุญาตให้เข้าไปพักเอาเรี่ยวแรงในศาลาการเปรียญ ไพร่ทาสสองคนที่มากับเรือกล่าวว่าข้าวของที่อยู่บนเรือเป็นของ‘คุณภาส’ ขุนเชี่ยวชาญทิศที่เพิ่งโยกย้ายมาประจำที่นี่หลังท่านขุนคนก่อนเกษียณอายุไป 

“ประเดี๋ยวพวกฉันจักแจ้งให้คุณภาสท่านทราบว่าได้พวกน้าช่วยไว้ คุณภาสท่านจิตใจดี รับรองว่าไม่ตระหนี่รางวัลแน่นอน” มันกล่าว แต่ชาวบ้านที่อยู่คู่วัดมานานกลับเห็นพ้องกันว่า หากจักตอบแทนเป็นอัดก็ให้เอาเข้าวัดเถิด อย่างไรที่นี่ก็ในวัดในวา พูดคุยเรื่องเงินตราไปมีแต่จะถูกนรกกินกบาลเอา 

ฝนซาแล้วคนต่างพากันแยกย้าย ส่วนไพร่ทาสสองคนอยู่รอจนกว่าฝนจะหยุดเสียก่อน  

รุ่งสาง คนอัปลักษณ์แจวเรือบิณฑบาตให้กับพระเณรตามกิจวัตร  

เช่นเคย ชาวบ้านที่รอตักบาตรไม่มีผู้ใดสนอกสนใจมัน ทว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่ผิดแผกไปจากทุกที 

ด่านหน้าเป็นเรือนไม้ใหญ่ที่มันจำไม่ได้ว่าเคยมีคนอยู่อาศัย บนท่าเรือตั้งโต๊ะวางกับข้าวคาวหวานชุดใหญ่สำหรับตักบาตรทำบุญ ด้านบนมีคนสี่ถึงห้าคนยืนรอเรือบิณฑบาตอยู่ 

แก้วตาสีอ่อนสะท้อนร่างสูงสง่าภายใต้ผ้าไหมชั้นดี ร่างนั้นผ่าเผยท่ามกลางแสงทองของตะวันแรก คิ้วตาเข้มคมคู่นั้นมองปราดเดียวก็ทราบได้แล้วว่าคนผู้นี้มีจิตใจเช่นไร ข้าทาสบริวารได้รับอนุญาตให้ยืนเสมอนาย ไม่ต้องทนคู้เข่าก้มหน้าให้อย่างนายบ้านอื่น 

เนื้อทองสีไม้กฤษณาอร่ามตาดูสูงศักดิ์ ทั้งส่วนสูงยังโดดเด่นเหนือบริวาร คนต่ำต้อยเช่นมันแม้นไม่เคยพบกับเทพเทวายังอดรู้สึกมิได้ว่า ตัวมันมีบุญหนักได้พบเข้ากับร่างจำแลงของเทพาบนวิมานเมฆแล้ว 

เมื่อเรือบิณฑบาตจอดเทียบท่า เท้าเปลือยเปล่าถอดจากเกือกหนังชั้นดี สีทองอร่ามสะอ้านตาของเท้ายาวเรียวคู่นั้นจับสายตามันไว้ชะงัด ยามนั่งคุกเข่าพูดคุยกับคุณพระคุณเจ้าเองก็ดูงดงามไม่ขัดตา 

“นิมนต์รับอาหารบิณฑบาตขอรับ” เสียงทุ้มพร่าทรงเสน่ห์กล่าวก่อนจะหยิบยื่นห่อใบตองอย่างดีลงไปในภาชนะทรงกลม 

“เพิ่งมาอยู่ใหม่หรือโยม” หลวงตาเอ่ยทักขึ้นยามเห็นคนลักษณะแปลกหูแปลกตา 

“ขอรับ ถูกย้ายมาแทนท่านขุนคนเก่าที่เพิ่งเกษียณไปน่ะขอรับ” ท่าทีนอบน้อมผิดกับบรรดาศักดิ์พาให้คู่สนทนานึกเอ็นดู 

“ชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรล่ะ” พระผู้ใหญ่ถาม 

รอยยิ้มบางจุดขึ้นตรงมุมปาก ตอบคำว่า“ภาสขอรับหลวงพ่อ” 

ภาส… 

ไม่แน่ใจนักว่าเป็นคนที่เหมาะสมกับชื่อ หรือเป็นชื่อที่เหมาะสมกับคนกันแน่ ท่านขุนตรงหน้าช่างกลมกลืนไปกับแสงอาทิตย์แรกไม่ปานว่าแสงนั้นเกิดจากตัวของเธอเอง 

คนอัปลักษณ์คิดไปจนถึงขั้นเหม่อลอย มองไม่เห็นว่ามีมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลข้างหนึ่งหยิบยื่นของบางสิ่งมาให้ กระทั่งน้ำเสียงทุ้มพร่านั้นดังอยู่เบื้องหน้า 

“เธอรับไปได้เลย หลวงพ่อท่านอนุญาตแล้ว” กล้วยน้ำว้าสีเหลืองที่ตัดหัวตัดท้ายอย่างดีมาพร้อมกับห่อขนมเทียน มันเหม่อมองข้อนิ้วเรียวที่มาพร้อมข้าวของพวกนั้นอีกครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตากำชับผ้าห่อหน้าตนอีกครั้ง 

“ขอบพระคุณขอรับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังแผ่วคล้ายขนนกปัดผ่านใบหู ผู้ให้มองฝ่ามือใหญ่ที่ถูกเติมแต้มไปด้วยเขม่าแลดินโคลน เจ้าของมือนั้นพลันรู้สึกตัวขึ้นมา แบฝ่ามือด้านที่ไม่เปรอะเปื้อนโคลนตมไปตรงหน้า ท่านขุนมิได้ว่าหรือตำหนิกระไร มือแกร่งวางของลงไปบนฝ่ามือขาวซีด  

ทันทีที่ตกอยู่ในมือไอ้ปาน ข้าวของเหล่านั้นพลันเล็กลงถนัดตา เจ้าของเรือนมองดูด้วยความสนอกสนใจ ชักมือข้างที่มากไปด้วยบาดแผลของตนกลับมากำไว้หลวม ๆ 
นอกจากมิตรสหายชาวฝาหรั่งของตนแล้ว ภาสก็เพิ่งเคยได้พบคนที่สูงใหญ่กว่าเธอเป็นหนแรก