โอ้อก…คิดถึงคะนึงนอนวัน นอนให้ใฝ่ฝันเห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลดสวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตา…เรียมเอ๋ย…

ปานประทีป - ๒ บทที่ ๑ ดวงประทีป โดย จางดันเต้ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,ดราม่า,เมะลูกหมา,เมะสวย,เมะเด็กกว่า,นิยายวาย,เคะหล่อ,เคะกล้าม,พีเรียดไทย,เคะแก่,ปานประทีป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ปานประทีป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เมะลูกหมา,เมะสวย,เมะเด็กกว่า,นิยายวาย,เคะหล่อ,เคะกล้าม,พีเรียดไทย,เคะแก่,ปานประทีป

รายละเอียด

ปานประทีป โดย จางดันเต้ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

โอ้อก…คิดถึงคะนึงนอนวัน นอนให้ใฝ่ฝันเห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลดสวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตา…เรียมเอ๋ย…

ผู้แต่ง

จางดันเต้

เรื่องย่อ

"ผู้ใดต่างก็กล่าวว่ามีดวงเดือนแลตะวันเพียงดวงเดียว ไฉนคนต่ำต้อยน้อยปัญญาเช่นไอ้ปาน กลางวันถึงได้พบตะวันสองดวง...จนยามค่ำก็มีวาสนาได้พบดวงแขแม้ในคืนเดือนมืดเล่าขอรับ"

สารบัญ

ปานประทีป-๑ ปฐมบท,ปานประทีป-๒ บทที่ ๑ ดวงประทีป,ปานประทีป-๓ บทที่ ๒ ด้อยเพียงดิน

เนื้อหา

๒ บทที่ ๑ ดวงประทีป


บทที่ ๑ ดวงประทีป 



วันใหม่เวียนมาอีกครั้ง อ้ายปานลืมตาตื่นตั้งแต่เช้ามืด แม้แต่ไก่ตัวผู้ยังลุกขึ้นมาขันไม่ทันมัน

อดีตนาคน้อยที่บัดนี้เปลี่ยนมาห่มจีวรสีน้ำหมากกล่าวว่า เมื่อเช้าวานพายเรือออกบิณฑบาต โยมท่านขุนยกแตงโมครึ่งซีกให้แก่คนอัปลักษณ์ มันไม่ยกกัดสักเสี้ยว แต่พอโยมน้องไปหยิบฉวยมากิน มันโกรธเคืองเสียจนไม่ยอมพูดจา

ชายในผ้าผืนยาวรุงรังเดินผ่านเลยพระหมาด ๆ ไป ไม่ยอมเก็บคำมาใส่ใจ ใช่ว่ามันตระหนี่ขี้เหนียวกับน้องนุ่งเสียเมื่อไร มันขุ่นเคืองเนื่องว่าของที่คุณภาสท่านมอบให้เป็นของที่คนหยิบใส่มือให้มันเป็นครั้งแรก แม้ตนจักไม่สันทัดของหวานแลผลหมากรากไม้ แต่มันก็มิได้มีหน้าที่เผื่อแผ่สิ่งที่ตนอุตส่าห์หวงแหนไปถึงผู้อื่น

ปานลากเรือลงน้ำ จัดแจงที่นั่งด้วยท่าทีนิ่งสนิทดังเช่นทุกครา แต่ในครั้งนี้นอกจากภายนอกที่เฉยชาดุจหินผาแล้ว ภายในทั้งสิ้นล้วนสั่นไหว

ไม้พายหนาหนักโบกแจวเทียวไปตามสายทาง เพราะเป็นวันพระชาวบ้านจึงออกมาตักบาตรกันหนาตา

คนแจวเห็นเส้นทางข้างหน้าแล้วพลันมีท่าทีพิกล มันลุกลี้ลุกลนชวนให้คนขบขันนัก อ้ายปานมิใคร่สนอกสนใจสายตาผู้ใด ผ่านคุ้งน้ำนี้ไปก็จวนถึงเรือนท่านขุนเชี่ยวชาญทิศ

จิตใจอ้ายคนอัปลักษณ์ไม่อยู่กับเนื้อตัว ไปยืนรอคนถึงท่าน้ำหน้าเรือนโน่นแล้ว

คุณภาส…

เทวดาเดินดินที่สองสามวันมานี้มักลุกขึ้นเตรียมตัวรอใส่บาตร เครื่องคาวหวานที่ตระเตรียมไว้เกินกว่าพระเณรห้ารูปแบ่งปันมาถึงมันด้วยมือเจ้าของเรือน ไม่เว้นแม้แต่วันนี้

ท่านขุนเธอโน้มกายแบมือเรียวกระด้างจากการหยิบจับมีดดาบที่บัดนี้ขนัดแน่นไปด้วยข้าวต้มมัด ห่อหมก แลกล้วยไข่มาตรงหน้าา กลิ่นจันทน์อ่อน ๆ ลอยอวลอยู่รอบกาย จมูกไม่รักดีไม่สูดดมยังได้กลิ่นหอม

อ้ายปานหลุบซ่อนสายตา แม้แต่ดวงหน้ายังมิกล้าเงยขึ้นมอง แบมือซ้อนใต้หลังมือสีน้ำผึ้งของเธอด้วยความประหม่า
คุณภาสนิ่งอยู่อย่างนั้นจนมันเผลอเหลือบตาขึ้นดู พบว่าคิ้วตาคมเข้มคู่นั้นหลุบมองมันอยู่ก่อนแล้ว

“ไยถึงไม่หยิบไปเล่าปาน” เจ้าของชื่อแตกตื่น มันก้มหน้ามองแต่มือข้างนั้น มือสั่นแต้มเขม่าไฟค่อย ๆ หยิบเอาน้ำใจจากเธอทีละอย่าง ท่าทางระมัดระวังนัก ปลายนิ้วไม่ต้องแตะฝ่ามือแม้แต่น้อย

ท่านขุนขบขัน “กระไรเล่า ฉันน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
เสียงผะแผ่วในลำคอดังกระดิ่งลม พัดต้องดวงจิตคนฟังจับใจนัก…

เย็นย่ำ อาทิตย์คล้อยต่ำฟ้าดำมาเยือน คืนเดือนดับเป็นคืนที่อ้ายปานหวาดกลัว ครั้นยังเล็กจักได้ยินเสียงร้องไห้ดังข้ามไปเจ็ดคุ้ง ทว่าพอเติบใหญ่ ค่ำคืนเช่นนี้ถือเป็นคืนที่ดวงตาของมันแจ้งสว่าง

ตัวอัปลักษณ์ออกมาเดินท่อม ๆ จุดไต้ตะเกียงนำทางมาจนถึงริมน้ำ มันทิ้งตัวลงบนท่าไม้ แหงนหน้ารับลมกลางคืน น่าเสียดายว่าหากคืนนี้มีดวงแขสักดวง คนอาภัพเช่นมันก็คล้ายจะได้รางวัลแล้ว

ลมเอื่อย ๆ หอบเอากลิ่นอายฝนลมพายุพัดกระทบเนื้อ ใกล้ ๆ นี้คงมีที่ใดถูกพายุฝนเข้าไปทายทักจึงเหลือละอองอายให้คนได้หนาวเหน็บมาถึงนี่

ผิวเผือกซีดแผกตาล้อแสงไฟ มันคู้กายคิดถึงอดีตอันไกลโพ้น ชีวิตตอนนี้แม้นไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน ทว่ายังนับว่าดีกว่าเมื่อก่อนโข ถูกอันธพาลทุบตีเป็นครั้งคราวยังดีเสียกว่าถูกทุบตีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้กินข้าวก้นบาตรเทียบกับกินข้าวบูดแล้วยังถือว่าสวรรค์ทรงเมตตา

ค่ำคืนเงียบสงัด ความคิดล่องลอยไปตามสายลม เช่นเดียวกันกับเสียงแว่วหวานอ้อนลมที่ลอยกระทบหู ท่วงทำนองไม่เคยคุ้นดังอี่อ้อล้อส่งมาเป็นอ้ายปานที่บังเอิญเก็บได้

มันถือตะเกียงไต้ลุกขึ้นยืน ชะเง้อหน้าตามทางทิศที่ได้ยินเสียงลมสะอื้น เท้าเปล่าเปลือยย่ำลงไปตามบันไดไม้ แขวนตะเกียงไว้บนหลักตรงหัวเรือ ส่วนคนเอี้ยวตัวไปปลดปมเชือกแน่นที่ตนเป็นผู้ผูก

เรือแจวล่องไปตามทางที่ใจมันหมายมั่นไว้ เสียงอี้ออหวานเศร้าเล้าลมเย็นยังคงลอยกระทบโสตหูให้จิตใจมันลอยออกไปถึงที่หมายก่อนตัวคน ใคร่สงสัยยิ่งนักว่าผู้ใดกันหนอที่มามอบชีวิตชีวาให้คืนค่ำอันหว้าเหว่

ยิ่งเข้าไปใกล้ เสียงหวานปนโศกก็ยิ่งแจ่มชัด เส้นทางคุ้นเคยปรากฏแก่สายตา ชลมารคสายนี้ตลอดสองถึงสามวันที่ผ่านมาอ้ายปานได้เทียวผ่านบ่อยครั้งนัก

ทางไปเยือนท่าน้ำเรือนคุณภาส

ก้อนเนื้อบางก้อนสั่นไหวอย่างไร้สาเหตุ ลักษณะอาการคล้ายกับยามที่มันจวนตัวพบกับความหวาดหวั่น เพียงแต่หนนี้ความรู้สึกช่างแตกต่าง

อ้ายปานรู้ว่าตัวโง่งมนัก ไม่รู้หนังสือหนังหา ทั้งอารมณ์อื่นนอกเหนือจากความเกลียดชังแลหวาดกลัวล้วนไม่รู้จัก แยกแยะได้เพียงดีชั่ว สิ่งเดียวที่รู้ได้ในยามนี้คือคุณภาสนั้นดียิ่ง

หนนี้แม้นอกข้างซ้ายจักสั่นเทิ้มด้วยความงกงัน แต่ช่างเป็นความหวั่นเกรงที่หอมหวานนัก ยิ่งสั่นไหวยิ่งอยากแจวเรือเข้าไปใกล้

หลังจากครั้งแรกที่ได้พบกับคุณภาสมันก็เอาแต่ค้อมไหล่ก้มหน้า ยามมือสีน้ำผึ้งเหลืองแก่หยิบยื่นของหวานมาให้ มันทำเพียงแบมือรับของพูดจาไม่รู้ความอยู่ในลำคอ ยิ่งคนให้ไม่คิดถือสาจิตใจกลับยิ่งว้าวุ่นเพราะความใจงาม

ปานแจวเรือผ่านลำน้ำคดโค้ง ด้านหน้าเป็นท่าไม้สูง เสียงเครื่องสายดังแจ่มชัดอยู่ข้างบนนั้น

สายตามันมองผ่านแสงราตรีไปได้ไม่ไกล จึงไม่เห็นตัวผู้บรรเลง ทว่าสมองทึบทึมกลับวาดภาพเจ้าของเรือนคนงามไว้เสียดิบดี

กรอบหน้าคมเสลาปราณีตผุดขึ้นมาในความคิด ถึงมันจักโง่เง่าแต่ความคิดความอ่านยังคงดีอยู่ รู้ว่าไพร่สามัญมิอาจเอื้อมมือไปต้องแตะเครื่องดนตรีอื่นใดนอกจากเพลงใบไม้ เข้าใจได้ไม่ยากว่าเจ้าของลายเสียงออดอ้อนลมเย็นนี้ย่อมเป็นนายของบ้านไม่ผิดแน่

เรือเก่า ๆ ของผู้ต้อยต่ำจอดเทียบท่าไม้แดงอย่างเงียบงัน มันเอียงศีรษะทุยซบขั้นบันได วาดดวงหน้าสว่างไสวของชายผู้หนึ่งบนผืนฟ้ามืดหม่น

เสียงเครื่องสายบรรเลงเพลงโศกพลันหวานหู ไพเราะยิ่งกว่าเรไรที่มันใช้กล่อมนอนต่างเพลงเลี้ยงน้องนัก ครุ่นคิดอย่างคนเพ้อพกว่า

แรมสิบห้าค่ำไฉนถึงยังมีนวลจันทร์ฉายอยู่บนฟ้าละ

แซ่เสียงไก่ขันกระชั้นดัง ปลุกอ้ายหนุ่มตัวดำให้ลุกจากเสื่อนอน แผ่นหลังเผือกขาวราวกับผีมีแต่ลายเสื่อ แผลนูนแลตำหนิกระดำกระด่างแต้มอยู่ทั่ว

มันอาบน้ำผลัดเสื้อก่อนนำตมผสมถ่านทาแขนขา ซ่อนเนื้อขาวไข่เป็ดจากสายตาที่มองมาอย่างกับว่าตนเป็นคนชอบกล

ผ้าสีซอมซ่อปกปิดดวงหน้าผ่อง ดวงตาสีอ่อนกับปานแดงบนกรอบหน้า ทั้งกระทั้งขี้แมลงวันมากมายบนนั้นยังน่าชังขนาดที่ว่าพบเห็นแล้วต้องถูกเฆี่ยนให้ถึงตาย

อ้ายปานละสายตาจากเงาสะท้อนในตุ่มไห ขาวเผือกน่าเกลียดอย่างกับจิ้งจก อีกทั้งมีตำหนิแต้มอยู่ตามตัวปานตุ๊กแก อัปลักษณ์เยี่ยงนี้หากมีผู้ใดพบเข้าไม่พ้นถูกเขารังเกียจ แม้แต่คุณภาสที่น้ำใจงามก็อาจไม่ละเว้น

พอนึกไปถึงขั้นนั้นได้จิตใจก็พลันห่อเหี่ยว พันทบผ้าผืนใหญ่ไม่ให้มีใครได้เห็น

ถึงยามบิณฑบาต มันพายเรือผ่านคุ้งน้ำก่อนถึงเรือนคุณภาส ทว่าหนนี้แม้แต่สำรับเครื่องคาวหวานยังไม่ถูกตั้งรอ

แก้วตาสีอ่อนเหลียวมองหลังคาเรือนอยู่ลิบ ๆ ชะเง้อคอหาด้วยหวังลม ๆ แล้ง ๆ ยังไม่พบแม้เงา

ตลอดเช้ามันเอาแต่ห่อไหล่อย่างกับไก่ป่วย

กลับถึงท่าวัดก็เห็นว่ามีเรือแพอย่างดีผูกไว้กับเสาท่าน้ำ อ้ายปานมองแล้วผ่านเลย มีอยู่บ่อยครั้งที่เศรษฐีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มักมาถวายภัตตาหารเพลที่วัด หนนี้เองก็คงไม่ต่างกัน
ร่างสูงใหญ่หอบเอากระบุงตะกร้าใส่ของทำบุญขึ้นฝั่งตามหลังพระเณรไปยังศาลาการเปรียญ มีตาสีตาสานั่งเสงี่ยมอยู่ประปราย

พอเหลือบไปเห็นด้านหลังสุดมันกลับมือไม้อ่อนยวบ แทบทำของหนักหลุดมือ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาหอบข้าวของไปวางรวมกับภัตตาหารที่ญาติโยมนำมาเลี้ยง ก่อนจะไปนั่งหลบมุมอยู่ไกล ๆ

ที่แท้คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่อุตส่าห์มาถึงวัดหาใช่ใครอื่น เป็นท่านขุนคนใหม่มานั่งฟังธรรม อ้ายปานนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ข้างศาลา ก้มหน้าประนมมือฟังคำสอนเข้าหูซ้ายแล้วปล่อยมันออกหูขวา ตัวไม่กระดิก

ถึงยามเก็บข้าวของ มันหาบเอาถ้วยชามไปล้างถึงท่าน้ำ ไม่กล้าแม้แต่จักเงยหน้าดูทาง ก่อนออกมาเห็นคุณภาสเข้าไปพูดคุยกับหลวงตาอยู่นานสองนานก็ยังไม่กลับออกมา มันปัดลานวัดสะอาดสะอ้านเสียใบไม้ยังไม่กล้าร่วงก็แล้ว ซักผ้าก็แล้ว

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หางตาเหลือบไปเห็นน้องเณรก้าวเร็ว ๆ เข้ามาหา ดูแล้วไม่สำรวมนัก แจ้งข่าวมันว่าหลวงตาเรียกให้ไปพบ อ้ายปานถึงได้วางมือจากงาน

ในศาลามีเพียงหลวงตาบนอาสนะกับแผ่นหลังตรงสง่าภายใต้เสื้อไหมสีขาว เบื้องล่างนุ่งผ้าโจงลายปราณีต

คนสมองทึบเห็นเพียงเท่านั้นพลันก้าวขาข้างต่อไปไม่ออก ยืนทึ่มทื่อยกไม้ยกมือเก้ ๆ กัง ๆ ขึ้นไปกระชับผ้าคลุมหน้า
กระทั่งหลวงตาเหลือบมาเห็น ก่อนว่า “เข้ามาเถิด มัวแต่ทำเหนียมอายกระไรอยู่ตรงโน้น”

พอได้ฟังพระท่านกล่าว คนผู้ที่หันหลังอยู่จึ่งค่อย ๆ หันหน้ามาพบมัน ตาคมคู่นั้นจับจ้องมา คิ้วดำหนาโค้งพอดีกับดวงตาขลับดำ สันจมูกโด่ง ริมฝีปากไม่หนาไม่บาง เนื้อละเอียดสีน้ำผึ้งมีตำหนิเป็นรอยแผลเป็นจาง ๆ อยู่บนหน้าแก้มและหน้าผากระนาบ ดวงหน้าราวรูปหล่อเทียนตกอยู่ในครรลอง

คนอัปลักษณ์แตกตื่น เพียงพบหน้าก็คล้ายได้กลิ่นจันทน์ลอยเอื่อยมาตามลม

อ้ายคนอัปลักษณ์สาวเท้าไปใกล้ ระหว่างทางไม่วายก้มมองแต่ปลายเท้าด้วยตกประหม่า

มันนั่งเยื้องห่างอยู่ด้านหลังคุณภาสนิ่งไม่ไหวติง

เจ้าอาวาสพอเห็นเช่นนั้นจึงหันไปเอ่ยกับคนหนุ่มว่า “โยมภาสถามเอาจากมันเถิด อาตมาจักหาไปบังคับขืนใจใครได้ไม่ มิใช่กิจของสงฆ์”

เธอได้ฟังก็ตอบคำท่านก่อนวกไปกล่าวกับอ้ายปานว่า “ปานใคร่สนใจอยากไปทำงานที่เรือนกับฉันหรือไม่?”

คนฟังพอได้ฟังก็นิ่งงัน คล้ายไม่เชื่อหูตนเองนัก ท่านขุนอยากให้มันไปเป็นบ่าวในเรือนท่านถึงขั้นมาขอกับหลวงตาให้เป็นเรื่องราว ทั้งที่ผู้อื่นเดียดฉันท์มันปานนั้น แต่เธอกลับอยากให้มันเข้าไปอยู่ในเรือน?

พอเห็นมันนิ่งไป ภาสจึงขยายความว่า “ฉันเลี้ยงข้าวแลจ่ายเบี้ยให้บ่าวเท่ากัน เธอจักไม่เสียเปรียบ เรือนฉันเองก็อยู่ไม่ไกลจากวัด กลับมาเยี่ยมเยียนได้ตามสมควร”

อ้ายปานเหลือบตามอง เห็นว่าท่านขุนเองก็ดูมันอยู่จึงรีบหลุบมองหน้าตัก ใบหน้าเห่อร้อนลามไปถึงลำคอ ใช้ความคิดของคนเบาปัญญาถ้วนถี่ว่า แม้ตนจักโง่เขลาทว่ามิได้ลืมคุณคน หลวงตาชุบเลี้ยงมันมาแต่เล็ก หากออกจากวัดไปไม่เท่ากับทอดทิ้งท่านหรือ

ใจมันใคร่อยากอยู่ใกล้คุณภาสนัก ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่หากเธอพบใบหน้าใต้เศษผ้าผืนนี้แล้วเดียดฉันท์ไอ้ปานอีกคนเล่า

แม้แต่เด็กในวัดที่เติบใหญ่มาด้วยกันยังหวาดกลัว กับคุณภาสที่ทั้งชีวิตได้เห็นแต่ของสวยงามคงไม่ใคร่พึงใจเท่าไร

“ปานกลัวฉันจริง ๆ หรือ?” เสียงทุ้มพร่าถามขึ้นอย่างระมัดระวัง คิ้วงามมุ่นลงเล็กน้อย

ปานตระหนก รีบส่ายศีรษะปฏิเสธคำ มันจักไปหาความกล้าจากที่ใดมาหาญหวาดหวั่นคุณภาส หากแต่กลัวว่าคุณภาสจักเป็นฝ่ายที่หวาดกลัวมันเสียมากกว่า

อ้ายปานเงยหน้าขึ้นไปหาหลวงตา เจ้าอาวาสพิจารณาเพียงครู่เดียวก่อนว่า “รูปเป็นอย่างไรไม่เท่าจิตใจเอ็งดอก”

พระท่านว่าแล้วลุกขึ้นยืน สลับดูหงส์ฟ้าคนหนึ่งกับอีกหนึ่งสนุขจนตรอก “ให้เป็นไปตามบุญกรรมของโยมทั้งสองเถิด”

ภาสไม่เค้นเอาคำจากปานให้มันลำบากใจ เธอกล่าวว่าหากมันอยากไปเมื่อใดก็ให้ไปเคาะประตูเรือน

ก่อนไปยังทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มอีกว่า “สิ่งใดงามสิ่งใดไม่งามฉันแยกแยะได้ ผู้ใดอัปลักษณ์หรือไม่ฉันดูที่ใจคอ เด็กดีอย่างปานไม่ถือว่าน่ารังเกียจสำหรับฉันหรอก”