โอ้อก…คิดถึงคะนึงนอนวัน นอนให้ใฝ่ฝันเห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลดสวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตา…เรียมเอ๋ย…

ปานประทีป - ๓ บทที่ ๒ ด้อยเพียงดิน โดย จางดันเต้ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,ดราม่า,เมะลูกหมา,เมะสวย,เมะเด็กกว่า,นิยายวาย,เคะหล่อ,เคะกล้าม,พีเรียดไทย,เคะแก่,ปานประทีป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ปานประทีป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เมะลูกหมา,เมะสวย,เมะเด็กกว่า,นิยายวาย,เคะหล่อ,เคะกล้าม,พีเรียดไทย,เคะแก่,ปานประทีป

รายละเอียด

โอ้อก…คิดถึงคะนึงนอนวัน นอนให้ใฝ่ฝันเห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลดสวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตา…เรียมเอ๋ย…

ผู้แต่ง

จางดันเต้

เรื่องย่อ

"ผู้ใดต่างก็กล่าวว่ามีดวงเดือนแลตะวันเพียงดวงเดียว ไฉนคนต่ำต้อยน้อยปัญญาเช่นไอ้ปาน กลางวันถึงได้พบตะวันสองดวง...จนยามค่ำก็มีวาสนาได้พบดวงแขแม้ในคืนเดือนมืดเล่าขอรับ"

สารบัญ

ปานประทีป-๑ ปฐมบท,ปานประทีป-๒ บทที่ ๑ ดวงประทีป,ปานประทีป-๓ บทที่ ๒ ด้อยเพียงดิน

เนื้อหา

๓ บทที่ ๒ ด้อยเพียงดิน

บทที่ ๒ ด้อยเพียงดิน 
ถึงเที่ยงวัน ดวงตาโศกเพ่งดูลำน้ำใส มือใหญ่เหลาใบมะพร้าว ใจล่องลอยไปตามกระแสทางเอื่อย ๆ เสียงทุ้มทรงเสน่ห์ดังก้องสลักดวงใจไม่สร่างซา

‘เด็กดีอย่างปานไม่ถือว่าน่ารังเกียจสำหรับฉันหรอก’
ถ้อยความนั้นพาให้มุมปากบางยกขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนคมมีดเฉือนเข้าเนื้อมันถึงได้สติขึ้นมา

ธารสายอุ่นสีสดหยดไหลไปตามแนว อ้ายปานวางมีดอีโต้ลงข้างกาย ขยับตัวลุกไปล้างมือล้างไม้ในน้ำ มองเห็นเงาตะคุ่มใหญ่สะท้อนสู่สายตา มันปิดหน้าทั้งปิดตัวเสียมิดชิดดูแทบไม่ต่างกับโจรผู้ร้าย คนเช่นนี้มีดีกระไรให้ท่านขุนเรียกใช้

อ้ายคนอัปลักษณ์ถอนใจ มือแช่น้ำจนเหี่ยวย่น วันนี้มันแทบไม่หลงเหลือสัมปชัญญะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความนึกคิดมุ่งไปหาแต่คุณภาส

ใคร่อยากไปอยู่เรือนกับเธอนัก หลวงตาก็มิได้ห้ามปรามกระไร แต่ใจมันละอาย ครั้นตกทุกข์ได้วัดเอามาชุบเลี้ยง พอมีทางให้ไปกลับทิ้งบุญคุณไว้ข้างหลังไม่รู้จักทดแทน แม้แต่หมามันยังรู้คุณคน หากไอ้ปานออกจากวัดไปอยู่เรือนคุณภาส มิใช่ว่าจักด้อยกว่าหมามันหรือ

อ้ายคนอัปลักษณ์แช่น้ำจนดินโคลนที่ทาไว้หลุดร่อนจากมือออกเสียหมด สีขาวเผือกโผล่พ้นชายแขนเสื้อสู่สายตา ปานดูแล้ววิตก มันเหลือบซ้ายแลขวาไม่พบว่ามีผู้ใดจึงค่อยวางใจ

เรือแพลำหนึ่งลอยล่องอยู่กลางน้ำ คณะที่มากับแพนั้นมีคนเพียงสามคน หนึ่งในนั้นสูงเด่น ผ้างามผิวงาม ดวงตาคมทอดดูผู้ซึ่งกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงริมน้ำ

ผ้าผ่อนบางเก่า นุ่งโจงยาวเฟื้อย สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิดทั้งลำคอไปจนถึงศีรษะที่มีผ้าคลุมปิดไว้อีกผืนหนึ่ง

ยิ้มงามเบาบางปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมสัน เธอขบคิดบางสิ่งในใจ เมื่อแพลอยเข้าไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่อ้ายคนอัปลักษณ์นั่งยองอยู่พลันมีลมแรงพัดมาวูบใหญ่

แพไม้ไผ่อย่างดีโคลงไหว ผู้ที่ยืนทอดสายตามองท่าน้ำวัดอยู่เมื่อครู่เสียทียั้งตัวไว้ได้ไม่ทัน พลาดท่าร่วงตกลงไปในแม่น้ำ ผู้ติดตามทั้งสองได้แต่ตื่นตกใจ จับไม่ได้คว้าไว้ไม่อยู่ ขนาดว่านายพวกมันตกน้ำไปแล้วยังเอาแต่แตกตื่นร้องตะโกนโหวกเหวก ใจความว่ามีคนตกน้ำ

อ้ายปานนั่งเอ้อระเหยอยู่นานทันเห็นตั้งแต่ตอนที่มีใครบางคนพลัดตกน้ำไป พอหันไปพบคนคุ้นหน้าบนเรือแพใจมันก็พลันหล่นไปถึงตาตุ่ม กวาดตาดูอีกครั้งมีเพียงบ่าวชายสองคนที่คอยตามติดคุณภาสอยู่เสมอยืนอยู่ แต่กลับมองไม่เห็นเธอ

ไวกว่าความคิด มันถอดผ้าคลุมออกแล้วกระโจนลงไปคลองทันทีไม่สนฟ้าสนแดด ดำผุดดำว่ายไปจนถึงที่แล้วงมหาอย่างเอาเป็นเอาตาย ลมหายใจมันแสนสั้นนัก หาได้ไม่เท่าไรเป็นต้องขึ้นไปโกยอากาศหายใจ

หลังใช้มือควานไปทั่วแล้วยังคลำไม่เจอมันยิ่งกระวนกระวาย ตัดสินใจเปิดเปลือกตาขึ้นดูทั้งที่เคยขลาดมาก่อน ดีว่าใต้น้ำสะอาดใสไหลเย็นอยู่ตลอด ปานที่ฝืนลืมตาจึงเห็นสิ่งต่าง ๆ ข้างใต้ได้ชัดเจน

ดวงตาโศกซึ้งหันมองไปรอบทิศด้วยความร้อนรน เห็นเงาร่างราง ๆ จมอยู่ท้ายแพ มีสีชาดอ่อนจางเจือมากับน้ำ มันวิตกเสียกลั้นหายใจเอาไว้ไม่อยู่ ใช้เรี่ยวแรงที่มีตีขาวาดแขนเข้าไปหาท่านขุนของมัน

ทว่าใจคนร้อนกว่ากำลังกายนัก ยิ่งคิดว่าระยะทางยาวไกลเหลือเกิน

สุดท้ายความพยายามก็เป็นใจ อ้ายปานคว้าช่วงเอวของคุณภาสไว้แนบกายก่อนจะพาเธอขึ้นไปเหนือน้ำ

บ่าวชายสองคนซึ่งยืนร้องห่มร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลตัดใจลงไปงมช่วยเจ้านายมิได้เพราะว่ายน้ำไม่เป็น กลัวว่าจักเป็นการพากันไปตายทั้งสามคน พวกมันพอเห็นว่านายตนรอดปลอดภัย แต่กลับสลบไสลไม่ได้สติก็พากันกุลีกุจอเข้ามาดูอาการ

หนึ่งคนวิ่งเข้าไปหาผ้าแห้งสะอาดผืนใหญ่ออกมาซับน้ำคลุมกาย ประคองคุณภาสที่สูงใหญ่กว่าตนเข้าไปใต้ชายคาบังแดด ลืมคนช่วยชีวิตไว้ข้างหลัง

อ้ายคนหนึ่งที่เหลืออยู่คล้ายจักนึกขึ้นได้ หวังจดจำรูปลักษณ์ผู้มีพระคุณช่วยเหลือนายมันเอาไว้ ทว่าพอมันหันมาพบไอ้ปานเข้าก็ได้แต่เบิกลูกตาโพลงไม่พูดไม่จาแข้งขาสั่นพั่บ

ผู้ถูกพบสบเข้ากับสายตาชอบกลนั้นแล้วได้แต่มุดดำลงน้ำกลับไปขึ้นฝั่งของตน คว้าผ้าเก่าผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมศีรษะก้มหน้ามองแต่ดิน เท้าเปลือยสาวยาว ๆ ไปยังกระท่อมท้ายวัด
มีคนเห็นมันเข้าแล้ว

แม้ใจจะห่วงใยคุณภาส แต่สารรูปของมันจักเอาไปใช้สู้หน้าใครเขาได้ อ้ายบ่าวในเรือนคุณภาสเห็นไอ้ปานแล้วยังแข้งขาสั่น รำลึกได้ว่าตัวมันอย่างกับผีสาง ไปปรากฏอยู่ในน้ำเช่นนั้นมิได้ต่างอะไรกับผีพรายที่รอพรากชีวิตคน

อ้ายปานเดินย่ำเวียนวนไม่ต่างไปจากหนูติดจั่น มันเอาแต่นึกถึงใบหน้าซีดเซียวของคนสูงศักดิ์ ที่ศีรษะเธอมีเลือดออก เดิมท่านขุนผู้เคยผ่านสมรภูมิย่อมว่ายน้ำได้ชำนาญกว่าใคร ทว่าตอนที่ตกลงไป ศีรษะคงไปกระแทกกับกระไรแข็ง ๆ เข้าถึงได้ตกอยู่ในสภาพนั้น

จมจ่อมอยู่กับความนึกคิดจนมิมีกระจิตกระใจไปผลัดผ้าเปียกโชก ทั้งมิได้คำนึงถึงสิ่งรอบตัวกระทั่งยินเสียงกังวานเย็นสงบดังมาจากด้านหลัง

“กระท่อมนี้พังผุนัก ยามลมลงก็คงหนาว ยามฝนตกก็คงเปียก มิใคร่เหมาะเป็นที่ให้คนอยู่นัก…เอ็งคิดเช่นนั้นหรือไม่ปาน…” เจ้าของชื่อหันตามทิศทางเสียง ปลายทางมีพระชราใบหน้าผ่องใสยืนไพล่หลังพลางแหงนมองใบจากที่ขาดบางจนเห็นแสงอาทิตย์ลอดเข้ามามากมาย

“…หลวงตา” อ้ายปานคิดกล่าวกระไรไม่ทันท่วงที ได้แต่ขานเรียกพระเฒ่าผู้เป็นเจ้าอาวาสประจำวัดแลผู้มีพระคุณชุบเลี้ยงมันกับน้อง ๆ ให้เติบใหญ่ขึ้นมา

มันหลุบตาดูปลายเล็บเท้าตนเอง เจ็บแปลบอยู่ในอกที่ตนอุตริคิดทรยศบุญคุณของข้าวก้นบาตร กลับอยากวิ่งไปหาเรือนใหญ่เพื่อรับใช้คนที่มันอยากชิดใกล้ ตัวมันสามารถใช้เชีวิตร่มเย็นได้เช่นนี้เป็นเพราะอยู่ใต้ชายคาวัด แม้นบวชทดแทนให้มิได้ แต่ตัวมันก็สมควรแล้วที่จักรับใช้พร้อมสิ้นอายุขัยอยู่ที่วัด

จักไปเห็นแก่ตัวเช่นนั้นได้อย่างไร

“ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ อาตมามองไม่เห็นที่ใดนอกจากหลังคาโบสถ์ วินัยที่ปฏิบัติ ตำราธรรมที่ศึกษาล้วนมาจากความเลื่อมใสของอาตมาเอง…เป็นลูกศิษย์วัดได้ไม่ถึงสิบปีก็ได้อุปสมบท จิตใจสุขสงบนัก” ปานได้ฟังแล้วมืดแปดทิศ มันก้มหน้าให้กับความสมองทึบของตน กระทั่งเจ้าอาวาสกล่าวต่อว่า “วัดวาอารามหาใช่สถานที่ที่อยู่แล้วเป็นทุกข์ หากอยู่แล้วเป็นทุกข์ไม่ว่าจักวิมานดินหรือวิมานเมฆก็ล้วนเป็นโลกันตร์”

พระชราดูดวงหน้าซีดขาวแต้มปานแดงอ่อนจางข้างสันกรามมน แววตาขุ่นข้นคล้ายมองลึกไปถึงวิญญาณ เจ้าอาวาสวัดยิ้มเปี่ยมเมตตา แหงนหน้าขึ้นสบแสงรำไร กล่าวกับลมฟ้าว่า “ชีวิตในวัดต่างเป็นชีวิตที่ไม่มีทางแยก แม้แต่ตัวของอาตมาเอง หมาวัดไม่มีที่ให้ไปจึงเป็นหมาวัด พระไม่มีทางสายอื่นให้ไปจึงบวชเป็นพระ…ในเมื่อมีวาสนาเห็นทางแยกให้เลือกเดินก็จงเลือกทางที่เห็นว่าดีแล้ว…เลือกเอาเถิด”

“เป็นความจริงนะขอรับท่านขุน” อ้ายบ่าวตากลมเหลือกตาว่าจนลูกกลม ๆ นั้นแทบถลนออกมา ผมปีกลุกชันไม่ต่างจากไรขนทั่วกายมัน “ไอ้จ้อยขอสาบานต่อหน้าพระเลยว่าเห็นมันจริง ๆ ตัวสูงใหญ่ เนื้อตัวขาวเผือกยิ่งกว่าควาย ตามตัวมีรอยจ้ำเลือดอย่างกับเพิ่งตาย ตามันเอาแต่จ้องท่านขุนไม่วาง หากกระผมไม่ทันเห็นเสียก่อน ขวัญวิญญาณของท่านขุนคง…”

อ้ายจ้อยตะปบมือตะครุบปากตนไว้แน่นหนา ไม่ว่าต่อแม้แต่คำเดียว มันเกาะขอบตั่งนอนตั้งแต่เช้าจรดสายรบเร้าเล่าเรื่อง ‘ผีพราย’ ขาวหยวกที่หมายเอาชีวิตนายมัน ภาสดูแล้วให้นึกขัน ทำท่ามุ่นคิ้วเย้าบ่าวอย่างจริงจังว่า “ป่านนี้ฉันจักเป็นกระไรไปหรือ”

จ้อยส่ายหัวลูกเดียว นายของเรือนพอเห็นเช่นนั้นถึงได้ออกปาก “กลางวันแสก ๆ จักไปมีภูตพรายออกมาเอาชีวิตใครได้อย่างไรกัน…ฟังจ้อยว่าแล้วฉันกลับยิ่งอยากพบหน้าคนผู้นั้น หากเขาเป็นผู้ที่ช่วยฉันไว้เล่า ไม่ถือเป็นการทำคุณบูชาโทษหรือ”

ภาสกล่าวแล้วคิดไปถึงครั้งที่เธอพลัดตกน้ำเพราะเอาแต่ดูท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ ของอ้ายคนอัปลักษณ์ที่นั่งวิดน้ำอยู่ริมฝั่งเสียจนศีรษะกระแทกขอบแพ ซ้ำบ่าวทั้งสองที่คอยติดตามยังว่ายน้ำได้ดีกว่าไก่เล็กน้อย ขืนลงไปช่วยท่านขุนที่ทั้งตัวใหญ่แลมากไปด้วยกล้ามเนื้อไม่พ้นตายกันเป็นหมู่คณะ ได้เป็นพรายน้ำสมใจเสียที

ในความทรงจำอันรางเลือน เธอฝืนสัมปชัญญะกลั้นหายใจได้พักเดียวก็หมดแรง ตอนที่แสงตะวันเริ่มริบหรี่ เงาใหญ่คลืบคลานเข้ามาใกล้ ไม่ว่าด้วยเหตุอันใดเธอกลับวางใจว่าตนจักต้องปลอดภัย ก่อนหลับตาลงพร้อมไออุ่นท่ามกลางสายน้ำเย็น

“…อย่างน้อย ๆ ไปให้พระที่วัดช่วยพรมน้ำมนต์ให้ก็ยังดีนะขอรับท่านขุน” เจ้าของเรือนผู้ตกห้วงภวังค์ฟังอ้ายจ้อยกล่าวไม่รู้ใจความ ทว่าพอมันพูดถึงวัดแล้วเธอกลับมีทีท่าโอนอ่อนตามคำเสียอย่างนั้น

จ้อยยิ้มยินดี ตามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากท่านขุนยินยอมไปพรมน้ำมนต์สะเคราะห์ตามที่มันรบเร้า

บ่ายคล้อย จ้อยแจวเรือชื่นบาน ไม่ปล่อยให้นายต้องยืนต้านลมบนแพจนพลัดตกอีก เห็นท่านขุนคล้องสร้อยพระพุทธรูปหล่อสำริดแล้วใจมันคลายกังวลนัก

ภาสเหม่อมองสองฝั่งน้ำ นับตั้งแต่ครั้งที่ไปขอตัวเด็กวัดจากเจ้าอาวาสก็ได้ผ่านมาหลายคืนแล้ว ตัวเธอติดราชการอยู่หลายวันจนมิได้ลุกมาใส่บาตร

นึกไปถึงฝ่ามือใหญ่ที่คอยระมัดระวังยามรับข้าวหนมจากมือตน เสียงทุ้มที่คอยกล่าวขอบน้ำใจแผ่วเบาหลังได้รับ ท่าทางเก้กังดูน่าชังคล้อยหลังก็เช่นกัน ป่านนี้เจ้าของมือข้างนั้นคงนึกไปแล้วว่าวาจาของเธอเลื่อนลอยดังลมแล้ง

ไพร่อัปลักษณ์ไหนเลยจะขวัญเทียมฟ้าไปเคาะประตูเรือนดังว่า หากย่างกรายเข้าไปใกล้ไม่พ้นถูกคนคิดว่าเป็นผู้ร้ายหวังปล้นเรือนขุนวิชาญยุทธ โทษตายสถานเดียว

อัปลักษณ์หรือ?

ภาสฉุกใจคิด ข้อนิ้วยาวเรียว เนื้อเสียงไพเราะ รูปร่างสูงใหญ่ แผ่นหลังตั้งตรงทั้งยังเรี่ยวแรงดี มีสัมมาคารวะ หากไม่นับถ่านดำแลดินโคลนที่ทาตัวไว้หนาจนมองไม่เห็นเนื้อจริงกับเสื้อผ้ายาวรุงรังมิดชิดแล้ว คนลักษณะเช่นนั้นจักเป็นคนอัปลักษณ์ไปได้อย่างไร

ใคร่อยากรู้นักว่าภายใต้ผ้าเก่าผืนนั้นจักมีใบหน้าเช่นไรซุกซ่อนอยู่ มีแต่คนว่ามันน่าเวทนา ขี้ริ้วขี้เหร่จนถูกทอดทิ้ง ทว่าพอถามถึงลักษณะแล้วกลับได้คำตอบไม่คล้ายกันสักคำเดียว

ถึงท่าวัด ท่านขุนก้าวลงจากเรือก่อนผู้ใด อ้ายจ้อยถือคันร่มตามเธอแทบไม่ทัน

ขายาวสาวเข้าไปถึงศาลาการเปรียญ สงบจิตใจส่วนใดสักส่วนที่กำลังเร่งร้อนด้วยเหตุใดไม่อาจทราบ ภาสนั่งคุกเข่าท่าเทพบุตรก่อนจะก้มกราบพระประธาน งดงามราวเทพบุตรลงมาสถิตย์

ไม้กวาดดอกหญ้าในมือเกือบได้ร่วงหล่น อ้ายปานปัดพื้นด้านหลังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัวว่ามีผู้มาเยือนกระทั่งเงยหน้าขึ้นประสานดวงตากับแก้วตาคู่คมคู่นั้น
คุณภาสแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย ทว่าฉายแววประหลาดใจเสียมากกว่า ผิดกับผู้ติดตามตากลม ฝ่ายนั้นแตกตื่นจนส่งเสียงร้องออกมายามเงยหน้าขึ้นมาพบกับเงาตะคุ่มที่โผล่มาจากด้านหลังพระประธาน คลุมผ้ามิดชิด ปิดหน้าปิดตา ดูเผิน ๆ คิดได้ว่าลุกจากหลุมมาหมาด ๆ

คุณภาสติเตียนไปว่าในวัดในวาให้สำรวมกิริยาเสียหน่อยมันถึงได้ปิดปากตนไว้

ภาส “ปานหรือ? ไปทำกระไรอยู่ตรงโน้นเล่า”

คนอัปลักษณ์ก้าวออกมาด้านนอก มือข้างหนึ่งถือไม้กวาดดอกหญ้า อีกข้างถือผ้าชุบน้ำหมาด ตอบเสียงค่อยว่า “ปัดฝุ่นขอรับ”

หลังลุกลี้ลุกลนอยู่พักหนึ่งก็ถามท่านขุนของมันว่า “คุณภาสละขอรับ”

เจ้าของชื่อยกคิ้วสูง ถามมันว่า “ฉันหรือ?”

อ้ายปานลังเลอยู่พักใหญ่ถึงจะกล่าวคำว่า “แผลที่ศีรษะหายดีแล้วหรือขอรับ”

คนฟังพอได้ฟังก็ผินหน้ากลับไปมองบ่าวของตนที่ยังแสดงสีหน้าหวาด ๆ อยู่ไม่สร่าง มิได้รู้ร้อนรู้หนาวกระไร แล้วว่า “จ้อยไปรอฉันที่เรือเถิด”

อ้ายจ้อยสะดุ้งตัวโยน มันแตกตื่นทำหน้าเหลอหลา “ท่านขุนเล่าขอรับ”

ร่างกำยำค่อย ๆ พยุงกายขึ้นยืน แล้วหันมาตอบบ่าวในเรือนว่า “ฉันอยากพูดคุยกับปานเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”

ต่อมายังสาวเท้าเข้าไปใกล้เด็กวัดแล้วถือวิสาสะยกฝ่ามือต้องแตะแผ่นหลังมันด้วยท่าทีไม่ถือตัว “ได้หรือไม่”

อ้ายปานเกร็งไหล่อย่างสุดความสามารถ ข้าวของในมือสั่นระริก อายร้อนผะผ่าวลุกลามอยู่ภายใต้เนื้อผ้าเก่าโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ มันผงกหน้ารับอย่างยากลำบาก ได้กลิ่นจันทน์หอมแจ่มชัดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ

“ขอรับ”