องค์ชายที่เกิดมาไร้พลังเวทย์ บิดามารดาล้วนไม่ยอมรับในตัวตนของเขา พูดเหมือนตัวเขาเองนั้นไร้ประโยชน์ พี่น้องล้วนเกลียดชัง แต่มีเพียงพี่ชายคนโตที่รักเขาเหมือนคนในครอบครัวเท่านั้น จนกระทั่งในวันนั้นทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป เหตุการณ์น่าสยดสยองที่ไม่มีใครที่จะลืมเลือนมันไปได้

ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้ - บทที่ 3 ข่าวลือ โดย blueb3lls @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ดาร์ค,ตะวันตก,เรื่องสั้น,แอคชั่น,ความแค้น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ดาร์ค,ตะวันตก,เรื่องสั้น,แอคชั่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ความแค้น,แฟนตาซี

รายละเอียด

ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้ โดย blueb3lls @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

องค์ชายที่เกิดมาไร้พลังเวทย์ บิดามารดาล้วนไม่ยอมรับในตัวตนของเขา พูดเหมือนตัวเขาเองนั้นไร้ประโยชน์ พี่น้องล้วนเกลียดชัง แต่มีเพียงพี่ชายคนโตที่รักเขาเหมือนคนในครอบครัวเท่านั้น จนกระทั่งในวันนั้นทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป เหตุการณ์น่าสยดสยองที่ไม่มีใครที่จะลืมเลือนมันไปได้

ผู้แต่ง

blueb3lls

เรื่องย่อ

นิยายเรื่องสั้น


TRIGGER WARNING

 การฆ่าบุพการี,เลือด,มีการบรรยายถึงฉากการฆ่าคน,การตัดศีรษะคน,คำดูถูกและด้อยค่า,การวางยาพิษ







“องค์ชายผู้นั้นไงที่เกิดมาไร้พลังเวทย์ องค์จักรพรรดิเลยไม่ชื่นชอบโอรสองค์นี้ของพระองค์”

“โดนเหล่าพี่น้องเกลียดชังเพราะไร้พลัง มีเพียงองค์รัชทายาทที่ดูจะเอ็นดูเขาเท่านั้น”



คำของสาวใช้ภายในพระราชวังและเสียงหัวเราะเยาะที่ตัวเขา'ออเดรย์'เป็นองค์ชายที่ไร้พลังเวทย์ บิดามารดาของตนไม่เคยยอมรับ แม้จะปฏิบัติตัวดีเพียงใดพวกท่านล้วนไม่เห็นเขาอยู่ภายในสายตา มีเพียงพี่ชายของเขา'เกลนดา' เท่านั้นที่ยอมรับและใส่ใจเขา 







"กระหม่อมจะรับใช้ฝ่าบาทจนชีวิตจะหาไม่"

คำกล่าวสาบานของดยุกคีร์แรนที่เอ่ยต่อหน้าองค์จักรพรรดิคนใหม่ของเขา











เขียนโดย Blueb3lls

ภาพวาดโดย Mochii_roi ,shi_rohebi ,lunardarlia

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้ง

สารบัญ

ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 1 ความอดทนที่มลายหายไป (1/2),ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 2 ความอดทนที่มลายหายไป (2/2),ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 3 ข่าวลือ,ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 4 พิธีราชาภิเษก,ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 5 งานเลี้ยงฉลอง,ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 6 ย้อนไปเมื่อ 1 เดือนก่อนหน้า,ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 7 งานประลองดาล (1/2),ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 8 งานประลองดาบ (2/2),ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 9 การลอบสังหารในยามวิกาล,ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 10 หวานปนพิษ,ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทที่ 11 ความจริงที่เปิดเผย ความอดทนที่หายไป ไฟแค้นในใจที่เริ่มลุกโชน,ไร้เวทมนตร์นั่นคือตัวตนที่ข้าโดนตราหน้าไว้-บทพิเศษ การพักผ่อนขององค์จักรพรรดิ

เนื้อหา

บทที่ 3 ข่าวลือ

ภายในพระราชวังยังคงวุ่นวายแม้จะผ่านพ้นวันนองเลือดมาแล้วเกือบสัปดาห์ แต่เหล่าข้ารับใช้ที่เข้าไปเห็นภาพน่าสยดสยองนั้นล้วนยังคงหวาดผวา แต่ถึงอย่างนั้นงานทำความสะอาดยังคงเป็นงานที่พวกเขาทั้งหมดต้องเหมือนอย่างทุก ๆ วัน มีเพียงเพิ่มการจัดเตรียมพิธีฉลองการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิออเดรย์เท่านั้น แม้เหล่าสาวใช้คนอื่นที่ไม่ใช่สาวใช้ประจำกายของออเดรย์ล้วนไม่เคยใบหน้าของคนผู้นั้นมาก่อน มีแต่เพียงข่าวลือที่ว่าองค์ชายห้าผู้เกิดมาแล้วโดนทอดทิ้งเพียงเพราะเจ้าตัวนั้นไร้พลังเวทย์ เขามีเพียงพี่ชายคนโตอย่างอดีตองค์รัชทายาทเท่านั้นที่คอยแวะเวียนไปเล่นด้วยเสมอ

แม้จะฟังแล้วพระองค์ช่างน่าสงสารยิ่งหนัก แต่เมื่อพวกเธอหวนคิดถึงภาพของชายที่ยืนหันหลังให้พวกเธออยู่หน้าบัลลังก์เส้นผมสีเงินสลวยที่โดนรวบขึ้นสูง ชุดประจำพระองค์สีขาวบริสุทธิ์ปักดิ้นสีทองเป็นลวดลายอันงดงาม ผ้าคลุมไหล่สีเข้มสั่นไหวเบา ๆ ถ้าภาพนั้นไม่มีคราบเลือดและศพนับสิบที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่ตรงนั้น จะเป็นภาพที่ดูงดงามน่าจดจำยิ่งนัก แต่ไม่เลย ภาพในตอนที่เหล่าสาวใช้ต้องเข้าไปทำความสะอาดนั้น คือภาพของชายที่มีคราบเลือดแปดเปื้อนไปทั่วทั้งตัวและศพของเหล่าองครักษ์ที่นอนสิ้นลมหายใจรวมถึงร่างไร้วิญญาณของอดีตจักรพรรดิและจักรพรรดินีที่ไร้ศีรษะ พวกเธอยืนตะลึงและสั่นกลัวภาพตรงหน้าแต่ต้องใจกล้าเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ตัวเองให้เสร็จสิ้น

ออเดรย์ที่ได้ยินเสียงฝีเท้านับสิบเดินเข้ามา เขาหันกลับไปมองที่หน้าประตูเป็นเหล่าสาวใช้ที่ยืนเกาะกลุ่มตัวสั่นกันอยู่ ร่างโปร่งเมื่อรู้ว่าภาพตรงหน้านั้นชวนน่าหวาดกลัวเพียงใด เขาจึงเรียกให้เหล่าอัศวินที่เฝ้าอยู่ด้านนอก เข้ามาเก็บกวาดศพไร้วิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดออกไปเสียก่อน จะให้เหล่าสาวใช้เข้ามาทำความสะอาดแต่นั่นก็ไม่ได้ลดความหวาดกลัวของสาวใช้ทั้งสิบลงได้เลย ในตอนที่ออเดรย์เดินผ่านพวกเธอไปไอเย็นยะเยือกนั้นและสายตาเย็นชาน่าหวาดกลัว ทำให้พวกเธอไม่กล้าขยับเขยือนจนกว่าร่างของออเดรย์จะเดินพ้นประตูออกไปแล้ว พวกเธอจึงเข้าไปทำความสะอาดและยังรวมทั้งเหล่าอัศวินทั้งสามที่เข้ามาเก็บกวาดศพพวกนี้ตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่

หลังจากวันนั้นเหล่าสาวใช้กลุ่มนั้น นำเรื่องราวที่พวกเธอพบเหตุไปพูดคุยและเล่าต่อ ๆ กัน จนทำให้ข้ารับใช้ในพระราชวังตอนนี้หวาดกลัวออเดรย์กันมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากวันที่แสนน่าหวาดกลัวผ่านพ้นไปเกือบเดือนพวกเหล่าข้ารับใช้ ล้วนไม่มีใครที่ได้พบกับจักรพรรดิออเดรย์เลยสักคน ในตอนที่ต้องนำอาหารเข้าไปส่งภายในห้องทำงาน ล้วนเป็นท่านที่ปรึกษาเกลนดาที่ออกมารับรถเข็นนั้นเข้าไป ให้พูดกันอย่างเข้าใจเลยคือท่านออเดรย์นั้นไม่เคยได้ออกจากห้องทำงานของจักรพรรดิเลยสักวัน มีเพียงสองท่านเท่านั้นที่สามารถเข้าออกห้องนั้นได้อย่างง่ายดายนั่นคือท่านดยุกคีร์แรนและท่านที่ปรึกษาเกลนดา ทั้งสองท่านเป็นคนสนิทที่องค์จักรพรรดิออเดรย์ไว้วางใจมากที่สุด



ก๊อก ก๊อก



“ชายามว่างเพคะ ฝ่าบาท”

“เข้ามาได้” เสียงเอ่ยอนุญาตให้หญิงสาวที่นำชายามว่างมาเสิร์ฟให้เข้าไป มันช่างน่าแปลกใจเพราะปกตินั้นจะเป็นท่านที่ปรึกษาประจำพระองค์อย่างท่านเกลนดาที่ออกมารับชาไปจากสาวใช้ หญิงสาวเข็นรถที่มีถ้วยชาที่แกะสลักอย่างละเมียดละไมและแก้วชาที่มีลวดลายคล้ายคลึงกัน เธอวางแก้วชาลงและรินชาที่มีกลิ่นหอมโชยออกมา ชาแก้วนี้เป็นของจากชาวตะวันออกที่ส่งมาเป็นของแสดงความยินดีกับองค์จักรพรรดิคนใหม่ เธอไม่รู้ชื่อที่แท้จริงของมันแต่ตัวชานั้นหอมเป็นอย่างมาก เธอจึงเลือกนำมาเสิร์ฟเป็นชายามวางให้พระองค์ เมื่อหญิงสาวเห็นองค์จักรพรรดิยกแก้วชาขึ้นมาจิบแล้วมีรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา ภาพตรงหน้าถ้าตัวเธอนั้นเป็นจิตรกรเธอคงอยากจะหยิบพู่กันและวาดภาพตรงนี้เก็บไว้ไม่ให้ใครผู้ได้เห็น มันช่างงดงามนัก แสงแดดอุ่น ๆ ในยามสายของวันสาดส่องเข้ามาภายในห้องทำงานแห่งนี้และรวมกับชายที่มีใบหน้าที่งดงาม รอยยิ้มบาง ๆ อันมีเสนอ ที่ชายคนนั้นเผยมันออกมา มือที่กำลังยกแก้วชาขึ้นจิบอีกครั้ง ช่างเป็นภาพที่ชวนตรึงตาตรึงใจเธอเหลือเกิน เธอยืนตะลึงกับความงดงามตรงหน้าที่มุมห้องสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น



ก๊อก ก๊อก



“เข้ามา” คนที่เดินเข้ามาภายในห้องนี้คือดยุกคีร์แรนที่อยู่ในชุดประจำตำแหน่งของเขาเอง เป็นชุดสีดำปักลวดลายด้วยดิ้นสีทองมีเข็มกลัดประจำตระกูลติดไว้ที่ปกเสื้อ ชุดนี้ช่างเหมาะสมกับดยุกคีร์แรนเป็นอย่างมาก มีสาวใช้ในพระราชวังแห่งนี้ แอบหลงรักท่านดยุกมากมายแต่พวกเธอทั้งหลายล้วนรู้ว่าความรู้สึกนี้เป็นเพียงการชื่นชมความหล่อเหลาของท่านดยุกเท่านั้น หญิงสาวเมื่อเห็นดยุกคีร์แรนเดินเข้ามาเธอจึงหลุดจากอาการตกตะลึงแล้วถึงเดินออกไปด้วยความเงียบสงบเพื่อให้ท่านทั้งสองได้พูดคุยกัน



“มีเรื่องอะไรเหรอ”

“เรื่องพิธีราชาภิเษกและเรื่องข่าวลือของพระองค์ ฝ่าบาท” ดยุกหนุ่มเอ่ยเกี่ยวกับธุระที่เขาเดินทางมาหาองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่ออกมา

“เรื่องข่าวลือของเราช่างมันเสีย พูดเรื่องพิธีราชาภิเษกก่อนเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ”



ดยุกคีร์แรนที่ตอนนี้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดงานแต่งตั้งองค์จักรพรรดินั้น เขาค่อย ๆ เล่ารายละเอียดทั้งหมดและบอกวันเวลาที่จะจัดพิธี รวมทั้งการส่งเทียบเชิญไปยังอาณาจักรพันธมิตรโดยรอบ หน้าที่ตรงนี้ไม่ใช่หน้าที่ของตัวคีร์แรนเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นหน้าที่ของฝ่ายจัดพิธีการแต่ในตอนนี้พวกตาแก่เหล่านั้นล้วนไม่พอใจกับการที่ออเดรย์ที่ได้ขึ้นรับตำแหน่งแทนที่จะเป็นเกลนดาหรือตัวองค์ชายสี่ที่ยังไม่สิ้นชีพ เหล่าตาแก่พวกนั้นคอยขัดขวางการจัดพิธีการแต่งตั้งมานานนับหลายสัปดาห์ ทำให้พิธีการนั้นล่าช้าไปกว่าที่ตัวคีร์แรนและฝ่ายจัดพิธีการที่แต่งตั้งโดยออเดรย์นั้นคาดการณ์ไว้ในตอนแรก แต่ในครั้งนี้ที่ที่เหล่าขุนนางฝ่ายนั้นไม่เข้ามาวุ่นวายเพราะตัวเกลนดาเข้าไปพูดคุยและบอกกล่าวเจตนาของตนเอง ถึงตัวเกลนดาไม่คิดจะเข้าไปพูดคุยดยุกคีร์แรนที่โดนโยนภาระงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนเองมา ล้วนอยากที่จัดการตาแก่เหล่านั้นทิ้งไปให้หมด แต่กับโดนเกลนดาห้ามปรามเอาไว้เสียก่อนและบอกกล่าวว่าเจ้าตัวนั้นจะเข้าไปพูดคุยเอง ทำให้ตอนนี้การจัดเตรียมพิธีการแต่งตั้งองค์จักรพรรดิคนใหม่คืบหน้าไปมากกว่าครึ่งแล้ว ในเวลาสามสี่วันที่ไม่โดนเหล่าตาเฒ่าพวกนั้นส่งข้ารับใช้ตนเองเข้ามาปั่นป่วน ทำให้การทำงานของฝ่ายจัดพิธีและคนที่จัดเตรียมพิธีการนั้นเป็นไปได้ด้วยดีมากขึ้น

คีร์แรนเล่ารายละเอียดไปดังนั้นก่อนจะยื่นเอกสารสำหรับเบิกของส่วนที่ขาดไป คีร์แรนจ้องมองชายในชุดเรียบ ๆ และผมที่ปล่อยสยายออกมา ภายนอกออเดรย์นั้นดูผ่อนคลายเป็นอย่างมากแต่เอกสารต่าง ๆ ที่มีทั้งคำร้องเรียนจากประชาชน รวมทั้งจากเหล่าขุนนางที่ไม่พอใจวิธีการที่ตัวออเดรย์นั้นได้ขึ้นครองราชย์และยังมีเอกสารที่ออเดรย์ต้องศึกษาโดยเฉพาะ เพื่อการเป็นจักรพรรดิผู้ดูแลอาณาจักรสรวงสวรรค์แห่งนี้อย่างแองเจอโลให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ คีร์แรนจ้องมองใบหน้าที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วนั้น มองปลายคิ้วที่โค้งอย่างงดงามที่ในตอนนี้มันกำลังหย่นเข้าหากันจนหัวคิ้วทั้งสองจะผูกกันเป็นโบไปเสียแล้ว ร่างสูงยื่นนิ้วออกไปอย่างเสียมารยาทเล็กน้อย เขากดนิ้วระหว่างคิ้วทั้งสองให้มันเลิกหย่นเข้าหากัน ด้วยอารามณ์ตกใจร่างโปร่งยื่นสองนิ้วออกไปตามสัญชาตญาณแต่เมื่อมองดี ๆ แล้วนั้น คนที่ก่อกวนการทำงานเขาอยู่คือดยุกคีร์แรน อีกฝ่ายถอยห่างออกไปสองก้าวก่อนจะเอ่ยพูดกับเขาเพียงสองประโยคแล้วเดินถือเอกสารการอนุมัติของเขาออกไปจากห้อง



“ฝ่าบาทควรพักผ่อนเสียบ้างนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ภาระงานของท่าน ส่งให้พวกกระหม่อมช่วยพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องดูสุขภาพและร่างกายของตัวเองให้พร้อมสำหรับพิธีราชาภิเษกนะพ่ะย่ะค่ะ”



ออเดรย์มองตามแผ่นหลังของชายคนนั้นก่อนจะคิดทบทวนให้ดี เอกสารที่เขาต้องตรวจสอบนั้นมีมากมายรวมทั้งเนื้อหาที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องบริหารจัดการอาณาจักรนั้น แต่ความรู้สึกเหนื่อยล้าและปวดไปทั่วทั้งร่างนั้นทำให้ออเดรย์วางปากกาขนนกลง เขาถอดเสื้อตัวนอกออกนำไปแขวนไปกับราวที่วางอยู่ใกล้ ๆ กับบานหน้าต่าง ออเดรย์หยุดยืนตรงหน้าต่างบานนั้นสักพัก เขามองเห็นเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังทำงานของตนเองรวมทั้งเราอัศวินที่เดินตรวจสอบรอบ ๆ พระราชวังแห่งนี้ ภาพที่ดูมีชีวิตชีวานั้นทำให้ออเดรย์อยากที่จะพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายตนเองอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมสำหรับพิธีแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิ

ขายาวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการฝึกฝนนั้นค่อย ๆ ก้าวเดินไปยังโซฟาตัวยาวที่สร้างขึ้นมาเพื่อจัดวางไว้ภายในห้องทำงานขององค์จักรพรรดิโดยเฉพาะ ร่างโปร่งเอนตัวล้มนอนลงไปร่างกายที่สัมผัสกับเบาะนุ่ม ๆ นั้นให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย เพราะความรู้สึกเหล่านี้เขาจึงค่อย ๆ หลับตาลงแล้วจมลงไปในห้วงนิทราให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งหมดให้หมดสิ้นไป

เกลนดาที่เคาะประตูแล้วไม่ได้รับเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ด้านใน ทำให้เขารู้สึกร้อนใจเล็กน้อยจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปอย่างแรง แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นคือน้องชายหรือตอนนี้คือองค์จักรพรรดินั้นกำลังนอนหลับใหลบนโซฟาตัวยาวที่ตั้งไว้ภายในห้องแห่งนี้ ใบหน้าที่ดูผ่อนคลายมากกว่าปกตินั้น ทำให้เกลนดารู้สึกสบายใจขึ้น หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นตัวเขาที่เป็นพี่ชายและครอบครัวของออเดรย์ได้พูดคุยและสั่งสอนออเดรย์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างดี ตักเตือนให้ออเดรย์ไม่ใช้วิชาดาบนั้นกับใครอื่นนอกจากเหล่าศัตรูและมอนเตอร์เท่านั้น อีกฝ่ายรับปากกับเขาอย่างเข้าใจอย่างนั้น จึงทำให้เกลนดาวางใจมากขึ้นก่อนจะลูบศีรษะของน้องชายคนนี้ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่ได้ลูบเลือนผมสีเงินนี้อีกเพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นตัวตนที่สูงศักดิ์กว่าเขาไปเสียแล้ว เกลนดามองใบหน้าที่กำลังหลับใหลของออเดรย์ด้วยความเอ็นดูก่อนจะหยิบผ้าคลุมที่ขนาดสำหรับห่มตัวของออเดรย์ได้ออกมา ห่มลงบนร่างของคนที่กำลังหลับอยู่ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนี้แล้วปิดประตูลงให้เบาที่สุดเพื่อไม่เป็นการรบกวนคนที่กำลังหลับ



ในวันถัดมา

เสียงเปิดประตูของหญิงสาวที่เป็นญาติห่าง ๆ ของออเดรย์อย่าง "มิลเลีย" ในตอนนี้มิลเลียได้เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาและรับผิดชอบในการจัดพิธีการต่าง ๆ ภายในพระราชวังแล้ว มิลเลียในตอนนั้นที่ได้ยินคำพูดของออเดรย์เธอดีใจเป็นอย่างมาก เพราะหญิงสาวรักในการทำงานและชื่นชอบที่จัดแต่งเหล่างานพิเศษนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มิลเลียที่ผละจากหน้าที่จัดเตรียมพิธีการนั้นเพื่อจะมาบอกกล่าวเรื่องของอาคันตุกะทั้งหลาย ที่มารวมฉลองยินดีกับการแต่งตั้งจักรพรรดิพระองค์ใหม่ของแองเจอโล ออเดรย์และเกลนดาที่ได้ยินมิลเลียกล่าวถึงเหล่าอาคันตุกะจากแดนตะวันออกนั้น

ออเดรย์ไม่รอช้าเขาหยิบเสื้อที่แขวนไว้มาสวมใส่ให้เรียบร้อยจัดชุดในดูงดงามดังเดิม เกลนดาที่เห็นตัวออเดรย์จัดเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงเดินไปเปิดประตูให้เขา ออเดรย์เดินนำทั้งสองที่ขนาบข้างเขามาเดินไปห้องโถงต้อนรับแขกที่มีเหล่าอาคันตุกะจากแดนตะวันออกรออยู่ ออเดรย์เดินไปยืนต่อหน้าเหล่าอาคันตุกะที่กำลังรอเขาอยู่ กล่าวทักทายด้วยภาษาของทางฝั่งนั้น เหล่าอาคันตุกะที่เมื่อได้ยินการทักทายด้วยภาษาอันคุ้นเคยของพวกเขาล้วนต่างตกใจ จึงได้เอ่ยถามกับออเดรย์ออกไป



“เจ้ารู้ภาษาของพวกข้าได้อย่างไร” ชาวต่างแดนผู้หนึ่งเอ่ยออกมาด้วยภาษาบ้านเกิดของตนเองถามเกี่ยวกับเขาที่สามารถพูดภาษาของชาวตะวันออกอย่างพวกเขาได้

“ที่อาณาจักรแองเจอโลนั้นมีเหล่านักวิชาการผู้มากความสามารถหลากหลายด้านกันรวมอยู่ การที่อาณาจักรแห่งนี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องเป็นอาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์นั่นไม่เกินความสามารถเลย ที่พวกข้าจะเรียนรู้ภาษาพวกท่านได้”

“พวกข้าเข้าใจเจ้าแล้ว”

“พวกท่านเข้าใจกันแล้ว ตัวข้าก็ยินดี” ออเดรย์นั่งลงที่โซฟาข้าวหน้าเหล่าอาคันตุกะทั้งสี่และพูดถึงพิธีการแต่งตั้งองค์จักรพรรดิองค์ใหม่ รวมถึงธุระของเหล่าทูตจากแดนตะวันออกทั้งสี่ที่มาในครั้งนี้ พวกเขาได้ขอความร่วมมือให้แองเจอโลมีการเปิดรับชาวต่างแดนจากทางฝั่งตะวันออก เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์และมีข้อแลกเปลี่ยนคือพวกเขาจะนำเครื่องเทศจากดินแดนตัวเองเพื่อเป็นสิ่งทดแทน

แต่ออเดรย์นั้นคิดจะไม่รับเป็นสินน้ำใจตอบแทนแต่ให้เปลี่ยนสัญญาการค้าขายและบอกกล่าวกับแขกทั้งสี่ไว้ว่า หลังจบพิธีการนี้จบลงอาณาจักรแห่งนี้จะมีการเปิดรับผู้คนจากต่างแดนที่ไม่ใช่เพียงชาวตะวันออก เพื่อให้พวกเขาได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความรู้กันอย่างทั่วถึง เกลนดาและมิลเลียที่พึ่งได้ยินคำพูดนี้ของออเดรย์นั้นต่างตกใจเล็กน้อยแต่เขาก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้ เพราะในตอนที่อดีตองค์จักรพรรดินั้นปกครองอาณาจักรแห่งนี้ พระองค์ไม่เคยคิดจะต้อนรับแขกจากต่างแดนหรือคนชนชาติอื่นเลย แม้เกลนดาจะบอกกล่าวถึงข้อดีนั้นมากมายเพียงใดแต่ล้วนโดนคัดค้านไปเสียหมด เมื่อเกลนดาได้ยินวิธีการของออเดรย์ที่ใช้แบบที่ตัวเขาคิดไว้ทำให้ยินดีเป็นอย่างมาก

“สำหรับที่พักของพวกท่านคงต้องรอสักพัก เหล่าข้ารับใช้กำลังจัดเตรียมกันอยู่น่ะ” ชายหนุ่มบอกกล่าวให้เหล่าอาคันตุกะรอสักเพื่อได้ตัดเตรียมที่พักให้พร้อม แต่หลังจากเขาพูดไปได้ไม่นาน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เป็นเหล่าข้ารับใช้ที่ได้รับคำสั่งเขาไปจัดเตรียมที่พักเดินเข้ามา

“ฝ่าบาทเพคะ ห้องสำหรับเหล่าแขกจากต่างแดน พวกกระหม่อมได้จัดไว้เรียบร้อยแล้วเพค่ะ”

“ทำได้ดีมาก พวกเจ้าทั้งหมดนำเหล่าอาคันตุกะและผู้ติดตามของพวกเขาไปที่ห้องพักเสียเถอะ”

“ได้เพคะ ตามพวกข้ามาได้เลยเพคะ” เหล่าสาวใช้ตอบรับคำสั่งของออเดรย์แล้วจึงเชิญแขกทั้งสี่ท่านให้ตามพวกเธอไปยังห้องพักที่ได้จัดเตรียมไว้

ออเดรย์ที่เห็นว่าเหล่าอาคันตุกะเดินออกไปจนหมดแล้ว จึงได้ล้มตัวลงนอนไปกับโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะกระเด้งตัวแล้วเดินไปยังห้องทำงาน เพื่อตรวจรายงานและอ่านเอกสารที่เหลือเหล่านั้นบนโต๊ะของเจ้าตัว เกลนดาที่ได้เห็นด้านเกียจคร้านของออเดรย์เขาก็มองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูปนระอาเล็กน้อยแล้วเดินตามออเดรย์ไป เพื่อพูดคุยรายละเอียดในเรื่องที่ตัวออเดรย์พูดไปเมื่อสักครู่ ส่วนมิลเลียที่เห็นทั้งสองเดินออกไปจึงเดินตามทั้งออเดรย์และเกลนดาไปด้วย ตัวมิลเลียยังคงมีเรื่องที่ต้องรายงานกับออเดรย์เกี่ยวกับเรื่องความคืบหน้าในการจัดเตรียมพิธีจึงได้ตามไปที่ห้องทำงานของออเดรย์ด้วยเช่นกัน

ออเดรย์ที่เดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของตัวเองแล้วนั้นกับมีชายร่างสูงใหญ่ยืนบังหน้าประตูไว้แต่ออเดรย์หาได้สนใจไม่ เขาสะกิดอีกฝ่ายเล็กน้อยให้หันกลับมาก่อนจะแทรกตัวแล้วเปิดประตูเข้าไปข้างใน นั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังโต๊ะใหญ่ตรงกลางห้อง ก่อนจะเอ่ยบอกให้ทั้งสามบอกกล่าวและพูดรายงานเรื่องราวที่ต้องการบอกกับเขาทีละคน

“พวกท่านรายงานเรื่องที่ต้องรายงานกันทีละคนก็แล้วกัน เริ่มตั้งแต่มิลเลียเธอก่อนแล้วกัน”

“ฝ่าบาท ตัวงานพิธีการจัดการไปได้อย่างราบรื่นโดยที่มีเหล่าทหารไม่กี่สิบนายของท่านดยุกคีร์แรนช่วยด้วยนั้นจึงทำให้งานใกล้เสร็จไวยิ่งขึ้นเพคะ”

“อีกกี่วันคิดว่าทุกอย่างจะจัดครบหมดเหรอมิลเลีย”

“ไม่เกินวันพรุ่งนี้ตอนเย็นก็เรียบร้อยแล้วเพคะ!”

“ส่วนของท่านพี่-”

"อะแฮ่ม"

“ส่วนของท่านที่ปรึกษาเรารู้ว่าท่านจะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไร ส่วนตรงนี้เอาไว้ทีหลัง ดยุกคีร์แรนท่านพูดธุระของท่านมาก่อนเลย”

“พ่ะย่ะค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อนกระหม่อมออกไปสำรวจรอบ ๆ ตัวเมืองหลวง ไม่พบมอนเตอร์ที่สามารถทำอันตรายให้เหล่าคนต่างแดนได้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้จึงกล่าวได้ว่าปลอดภัย ส่วนเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับพระองค์ให้กระหม่อมจัดการดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“รอบ ๆ ตัวเมืองไม่มีมอนเตอร์ก็ดีมากแล้ว ชาวเมืองจะได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับตัวเราช่างมันเสียเราไม่ได้สนใจมันมาก แม้ประชาชนจะไม่พอใจกับการขึ้นครองราชย์ของเรานัก แต่เราก็อยากทำให้พวกเขายอมรับเราด้วยตัวของเราเอง”

“ตามแต่พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”



ออเดรย์นั่นรับรู้ข่าวลือแย่ ๆ เกี่ยวกับตัวเองมาตลอด เขายอมรับว่าทุกอย่างที่ลือกันออกไปนั้น คือความจริงจึงได้ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขข่าวเหล่านั้น ถึงแม้จะทำแบบนั้นไปประชาชนในอาณาจักรแห่งนี้ก็ไม่ได้ไว้ใจตัวเขาขึ้นมาอยู่ดี ออเดรย์จึงทำได้เพียงเงียบและให้พิธีแต่งตั้งตัวเองเสร็จกิจการทุกอย่าง ที่เขาได้พูดคุยหรือเตรียมไว้จะได้เริ่มเข้าที่เข้าทางเสียที การเป็นผู้ปกครองคนนับหมื่นนับแสนนั้นยากเย็นแต่เมื่อเขาโค้นล้มจักรพรรดิองค์ก่อนแล้วจึงต้องทำหน้าที่นี้ให้ดี ในตอนที่สังหารท่านพ่อนั้นออเดรย์ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเขาจะต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาลืมเลือนกฎหลักของราชวงศ์ไปเสียแล้ว กฎที่บัญญัติไว้ในหน้าแรก



“ถ้าใครที่โค้นล้มจักรพรรดิลงได้ ผู้นั้นจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ห้ามมีผู้ใดคัดค้าน”

กฎหลักของราชวงศ์แองเจอโลที่ปฐมจักรพรรดิได้บัญญัติไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีใครที่สามารถโค้นล้มจักรพรรดิคนไหนได้เลย เพราะโล่เวทมนตร์ที่แสนน่ารำคาญนั้นทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถสังหารและจับจุดอ่อนของมันได้และในประวัติศาสตร์ตอนนี้มีแค่ออเดรย์ที่เป็นเพียงองค์ชายไร้พลังเวทย์สามารถทำลายโล่เวทมนตร์ที่เป็นเวทมนตร์ระดับสูงนั้นลงและสังหารองค์จักรพรรดิได้ ทำให้เขาได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิได้เพราะกฎหลักนี้นั้นเอง

ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปด้วยนั้น ตัวออเดรย์ได้หันตัวมองไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้าง ให้เขาได้มองเห็นผู้คนที่ขยันทำงานตามหน้าที่ของตนเอง เหล่าอัศวินที่เดินตรวจสอบพระราชวัง ทหารจากหน่วยของดยุกคีร์แรนที่เข้ามาช่วยในการเตรียมงานพิธีการแต่งตั้ง ทั้งยังมีสาวใช้ที่เดินถือตะกร้าผ้าและขุนนางที่ว่างงานเดินไปมาในพระราชวังแห่งนี้ ทุกคนล้วนทำงานและพักผ่อนไปด้วยอากาศในวันนี้ช่างสดใสกว่าในทุกวัน ออเดรย์ที่คิดอยากจะทำตัวเกียจคร้านบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจและกลับไปคุยเรื่องการทำธุรกิจกับชาวตะวันออกกับที่ปรึกษาของเขาต่อทันทีภายในพระราชวังยังคงวุ่นวายแม้จะผ่านพ้นวันนองเลือดมาแล้วเกือบสัปดาห์ แต่เหล่าข้ารับใช้ที่เข้าไปเห็นภาพน่าสยดสยองนั้นล้วนยังคงหวาดผวา แต่ถึงอย่างนั้นงานทำความสะอาดยังคงเป็นงานที่พวกเขาทั้งหมดต้องเหมือนอย่างทุก ๆ วัน มีเพียงเพิ่มการจัดเตรียมพิธีฉลองการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิออเดรย์เท่านั้น แม้เหล่าสาวใช้คนอื่นที่ไม่ใช่สาวใช้ประจำกายของออเดรย์ล้วนไม่เคยใบหน้าของคนผู้นั้นมาก่อน มีแต่เพียงข่าวลือที่ว่าองค์ชายห้าผู้เกิดมาแล้วโดนทอดทิ้งเพียงเพราะเจ้าตัวนั้นไร้พลังเวทย์ เขามีเพียงพี่ชายคนโตอย่างอดีตองค์รัชทายาทเท่านั้นที่คอยแวะเวียนไปเล่นด้วยเสมอ

แม้จะฟังแล้วพระองค์ช่างน่าสงสารยิ่งหนัก แต่เมื่อพวกเธอหวนคิดถึงภาพของชายที่ยืนหันหลังให้พวกเธออยู่หน้าบัลลังก์เส้นผมสีเงินสลวยที่โดนรวบขึ้นสูง ชุดประจำพระองค์สีขาวบริสุทธิ์ปักดิ้นสีทองเป็นลวดลายอันงดงาม ผ้าคลุมไหล่สีเข้มสั่นไหวเบา ๆ ถ้าภาพนั้นไม่มีคราบเลือดและศพนับสิบที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่ตรงนั้น จะเป็นภาพที่ดูงดงามน่าจดจำยิ่งนัก แต่ไม่เลย ภาพในตอนที่เหล่าสาวใช้ต้องเข้าไปทำความสะอาดนั้น คือภาพของชายที่มีคราบเลือดแปดเปื้อนไปทั่วทั้งตัวและศพของเหล่าองครักษ์ที่นอนสิ้นลมหายใจรวมถึงร่างไร้วิญญาณของอดีตจักรพรรดิและจักรพรรดินีที่ไร้ศีรษะ พวกเธอยืนตะลึงและสั่นกลัวภาพตรงหน้าแต่ต้องใจกล้าเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ตัวเองให้เสร็จสิ้น

ออเดรย์ที่ได้ยินเสียงฝีเท้านับสิบเดินเข้ามา เขาหันกลับไปมองที่หน้าประตูเป็นเหล่าสาวใช้ที่ยืนเกาะกลุ่มตัวสั่นกันอยู่ ร่างโปร่งเมื่อรู้ว่าภาพตรงหน้านั้นชวนน่าหวาดกลัวเพียงใด เขาจึงเรียกให้เหล่าอัศวินที่เฝ้าอยู่ด้านนอก เข้ามาเก็บกวาดศพไร้วิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดออกไปเสียก่อน จะให้เหล่าสาวใช้เข้ามาทำความสะอาดแต่นั่นก็ไม่ได้ลดความหวาดกลัวของสาวใช้ทั้งสิบลงได้เลย ในตอนที่ออเดรย์เดินผ่านพวกเธอไปไอเย็นยะเยือกนั้นและสายตาเย็นชาน่าหวาดกลัว ทำให้พวกเธอไม่กล้าขยับเขยือนจนกว่าร่างของออเดรย์จะเดินพ้นประตูออกไปแล้ว พวกเธอจึงเข้าไปทำความสะอาดและยังรวมทั้งเหล่าอัศวินทั้งสามที่เข้ามาเก็บกวาดศพพวกนี้ตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่

หลังจากวันนั้นเหล่าสาวใช้กลุ่มนั้น นำเรื่องราวที่พวกเธอพบเหตุไปพูดคุยและเล่าต่อ ๆ กัน จนทำให้ข้ารับใช้ในพระราชวังตอนนี้หวาดกลัวออเดรย์กันมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากวันที่แสนน่าหวาดกลัวผ่านพ้นไปเกือบเดือนพวกเหล่าข้ารับใช้ ล้วนไม่มีใครที่ได้พบกับจักรพรรดิออเดรย์เลยสักคน ในตอนที่ต้องนำอาหารเข้าไปส่งภายในห้องทำงาน ล้วนเป็นท่านที่ปรึกษาเกลนดาที่ออกมารับรถเข็นนั้นเข้าไป ให้พูดกันอย่างเข้าใจเลยคือท่านออเดรย์นั้นไม่เคยได้ออกจากห้องทำงานของจักรพรรดิเลยสักวัน มีเพียงสองท่านเท่านั้นที่สามารถเข้าออกห้องนั้นได้อย่างง่ายดายนั่นคือท่านดยุกคีร์แรนและท่านที่ปรึกษาเกลนดา ทั้งสองท่านเป็นคนสนิทที่องค์จักรพรรดิออเดรย์ไว้วางใจมากที่สุด



ก๊อก ก๊อก



“ชายามว่างเพคะ ฝ่าบาท”

“เข้ามาได้” เสียงเอ่ยอนุญาตให้หญิงสาวที่นำชายามว่างมาเสิร์ฟให้เข้าไป มันช่างน่าแปลกใจเพราะปกตินั้นจะเป็นท่านที่ปรึกษาประจำพระองค์อย่างท่านเกลนดาที่ออกมารับชาไปจากสาวใช้ หญิงสาวเข็นรถที่มีถ้วยชาที่แกะสลักอย่างละเมียดละไมและแก้วชาที่มีลวดลายคล้ายคลึงกัน เธอวางแก้วชาลงและรินชาที่มีกลิ่นหอมโชยออกมา ชาแก้วนี้เป็นของจากชาวตะวันออกที่ส่งมาเป็นของแสดงความยินดีกับองค์จักรพรรดิคนใหม่ เธอไม่รู้ชื่อที่แท้จริงของมันแต่ตัวชานั้นหอมเป็นอย่างมาก เธอจึงเลือกนำมาเสิร์ฟเป็นชายามวางให้พระองค์ เมื่อหญิงสาวเห็นองค์จักรพรรดิยกแก้วชาขึ้นมาจิบแล้วมีรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา ภาพตรงหน้าถ้าตัวเธอนั้นเป็นจิตรกรเธอคงอยากจะหยิบพู่กันและวาดภาพตรงนี้เก็บไว้ไม่ให้ใครผู้ได้เห็น มันช่างงดงามนัก แสงแดดอุ่น ๆ ในยามสายของวันสาดส่องเข้ามาภายในห้องทำงานแห่งนี้และรวมกับชายที่มีใบหน้าที่งดงาม รอยยิ้มบาง ๆ อันมีเสนอ ที่ชายคนนั้นเผยมันออกมา มือที่กำลังยกแก้วชาขึ้นจิบอีกครั้ง ช่างเป็นภาพที่ชวนตรึงตาตรึงใจเธอเหลือเกิน เธอยืนตะลึงกับความงดงามตรงหน้าที่มุมห้องสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น



ก๊อก ก๊อก



“เข้ามา” คนที่เดินเข้ามาภายในห้องนี้คือดยุกคีร์แรนที่อยู่ในชุดประจำตำแหน่งของเขาเอง เป็นชุดสีดำปักลวดลายด้วยดิ้นสีทองมีเข็มกลัดประจำตระกูลติดไว้ที่ปกเสื้อ ชุดนี้ช่างเหมาะสมกับดยุกคีร์แรนเป็นอย่างมาก มีสาวใช้ในพระราชวังแห่งนี้ แอบหลงรักท่านดยุกมากมายแต่พวกเธอทั้งหลายล้วนรู้ว่าความรู้สึกนี้เป็นเพียงการชื่นชมความหล่อเหลาของท่านดยุกเท่านั้น หญิงสาวเมื่อเห็นดยุกคีร์แรนเดินเข้ามาเธอจึงหลุดจากอาการตกตะลึงแล้วถึงเดินออกไปด้วยความเงียบสงบเพื่อให้ท่านทั้งสองได้พูดคุยกัน



“มีเรื่องอะไรเหรอ”

“เรื่องพิธีราชาภิเษกและเรื่องข่าวลือของพระองค์ ฝ่าบาท” ดยุกหนุ่มเอ่ยเกี่ยวกับธุระที่เขาเดินทางมาหาองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่ออกมา

“เรื่องข่าวลือของเราช่างมันเสีย พูดเรื่องพิธีราชาภิเษกก่อนเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ”



ดยุกคีร์แรนที่ตอนนี้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดงานแต่งตั้งองค์จักรพรรดินั้น เขาค่อย ๆ เล่ารายละเอียดทั้งหมดและบอกวันเวลาที่จะจัดพิธี รวมทั้งการส่งเทียบเชิญไปยังอาณาจักรพันธมิตรโดยรอบ หน้าที่ตรงนี้ไม่ใช่หน้าที่ของตัวคีร์แรนเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นหน้าที่ของฝ่ายจัดพิธีการแต่ในตอนนี้พวกตาแก่เหล่านั้นล้วนไม่พอใจกับการที่ออเดรย์ที่ได้ขึ้นรับตำแหน่งแทนที่จะเป็นเกลนดาหรือตัวองค์ชายสี่ที่ยังไม่สิ้นชีพ เหล่าตาแก่พวกนั้นคอยขัดขวางการจัดพิธีการแต่งตั้งมานานนับหลายสัปดาห์ ทำให้พิธีการนั้นล่าช้าไปกว่าที่ตัวคีร์แรนและฝ่ายจัดพิธีการที่แต่งตั้งโดยออเดรย์นั้นคาดการณ์ไว้ในตอนแรก แต่ในครั้งนี้ที่ที่เหล่าขุนนางฝ่ายนั้นไม่เข้ามาวุ่นวายเพราะตัวเกลนดาเข้าไปพูดคุยและบอกกล่าวเจตนาของตนเอง ถึงตัวเกลนดาไม่คิดจะเข้าไปพูดคุยดยุกคีร์แรนที่โดนโยนภาระงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนเองมา ล้วนอยากที่จัดการตาแก่เหล่านั้นทิ้งไปให้หมด แต่กับโดนเกลนดาห้ามปรามเอาไว้เสียก่อนและบอกกล่าวว่าเจ้าตัวนั้นจะเข้าไปพูดคุยเอง ทำให้ตอนนี้การจัดเตรียมพิธีการแต่งตั้งองค์จักรพรรดิคนใหม่คืบหน้าไปมากกว่าครึ่งแล้ว ในเวลาสามสี่วันที่ไม่โดนเหล่าตาเฒ่าพวกนั้นส่งข้ารับใช้ตนเองเข้ามาปั่นป่วน ทำให้การทำงานของฝ่ายจัดพิธีและคนที่จัดเตรียมพิธีการนั้นเป็นไปได้ด้วยดีมากขึ้น

คีร์แรนเล่ารายละเอียดไปดังนั้นก่อนจะยื่นเอกสารสำหรับเบิกของส่วนที่ขาดไป คีร์แรนจ้องมองชายในชุดเรียบ ๆ และผมที่ปล่อยสยายออกมา ภายนอกออเดรย์นั้นดูผ่อนคลายเป็นอย่างมากแต่เอกสารต่าง ๆ ที่มีทั้งคำร้องเรียนจากประชาชน รวมทั้งจากเหล่าขุนนางที่ไม่พอใจวิธีการที่ตัวออเดรย์นั้นได้ขึ้นครองราชย์และยังมีเอกสารที่ออเดรย์ต้องศึกษาโดยเฉพาะ เพื่อการเป็นจักรพรรดิผู้ดูแลอาณาจักรสรวงสวรรค์แห่งนี้อย่างแองเจอโลให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ คีร์แรนจ้องมองใบหน้าที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วนั้น มองปลายคิ้วที่โค้งอย่างงดงามที่ในตอนนี้มันกำลังหย่นเข้าหากันจนหัวคิ้วทั้งสองจะผูกกันเป็นโบไปเสียแล้ว ร่างสูงยื่นนิ้วออกไปอย่างเสียมารยาทเล็กน้อย เขากดนิ้วระหว่างคิ้วทั้งสองให้มันเลิกหย่นเข้าหากัน ด้วยอารามณ์ตกใจร่างโปร่งยื่นสองนิ้วออกไปตามสัญชาตญาณแต่เมื่อมองดี ๆ แล้วนั้น คนที่ก่อกวนการทำงานเขาอยู่คือดยุกคีร์แรน อีกฝ่ายถอยห่างออกไปสองก้าวก่อนจะเอ่ยพูดกับเขาเพียงสองประโยคแล้วเดินถือเอกสารการอนุมัติของเขาออกไปจากห้อง



“ฝ่าบาทควรพักผ่อนเสียบ้างนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ภาระงานของท่าน ส่งให้พวกกระหม่อมช่วยพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องดูสุขภาพและร่างกายของตัวเองให้พร้อมสำหรับพิธีราชาภิเษกนะพ่ะย่ะค่ะ”



ออเดรย์มองตามแผ่นหลังของชายคนนั้นก่อนจะคิดทบทวนให้ดี เอกสารที่เขาต้องตรวจสอบนั้นมีมากมายรวมทั้งเนื้อหาที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องบริหารจัดการอาณาจักรนั้น แต่ความรู้สึกเหนื่อยล้าและปวดไปทั่วทั้งร่างนั้นทำให้ออเดรย์วางปากกาขนนกลง เขาถอดเสื้อตัวนอกออกนำไปแขวนไปกับราวที่วางอยู่ใกล้ ๆ กับบานหน้าต่าง ออเดรย์หยุดยืนตรงหน้าต่างบานนั้นสักพัก เขามองเห็นเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังทำงานของตนเองรวมทั้งเราอัศวินที่เดินตรวจสอบรอบ ๆ พระราชวังแห่งนี้ ภาพที่ดูมีชีวิตชีวานั้นทำให้ออเดรย์อยากที่จะพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายตนเองอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมสำหรับพิธีแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิ

ขายาวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการฝึกฝนนั้นค่อย ๆ ก้าวเดินไปยังโซฟาตัวยาวที่สร้างขึ้นมาเพื่อจัดวางไว้ภายในห้องทำงานขององค์จักรพรรดิโดยเฉพาะ ร่างโปร่งเอนตัวล้มนอนลงไปร่างกายที่สัมผัสกับเบาะนุ่ม ๆ นั้นให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย เพราะความรู้สึกเหล่านี้เขาจึงค่อย ๆ หลับตาลงแล้วจมลงไปในห้วงนิทราให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งหมดให้หมดสิ้นไป

เกลนดาที่เคาะประตูแล้วไม่ได้รับเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ด้านใน ทำให้เขารู้สึกร้อนใจเล็กน้อยจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปอย่างแรง แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นคือน้องชายหรือตอนนี้คือองค์จักรพรรดินั้นกำลังนอนหลับใหลบนโซฟาตัวยาวที่ตั้งไว้ภายในห้องแห่งนี้ ใบหน้าที่ดูผ่อนคลายมากกว่าปกตินั้น ทำให้เกลนดารู้สึกสบายใจขึ้น หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นตัวเขาที่เป็นพี่ชายและครอบครัวของออเดรย์ได้พูดคุยและสั่งสอนออเดรย์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างดี ตักเตือนให้ออเดรย์ไม่ใช้วิชาดาบนั้นกับใครอื่นนอกจากเหล่าศัตรูและมอนเตอร์เท่านั้น อีกฝ่ายรับปากกับเขาอย่างเข้าใจอย่างนั้น จึงทำให้เกลนดาวางใจมากขึ้นก่อนจะลูบศีรษะของน้องชายคนนี้ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่ได้ลูบเลือนผมสีเงินนี้อีกเพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นตัวตนที่สูงศักดิ์กว่าเขาไปเสียแล้ว เกลนดามองใบหน้าที่กำลังหลับใหลของออเดรย์ด้วยความเอ็นดูก่อนจะหยิบผ้าคลุมที่ขนาดสำหรับห่มตัวของออเดรย์ได้ออกมา ห่มลงบนร่างของคนที่กำลังหลับอยู่ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนี้แล้วปิดประตูลงให้เบาที่สุดเพื่อไม่เป็นการรบกวนคนที่กำลังหลับ



ในวันถัดมา

เสียงเปิดประตูของหญิงสาวที่เป็นญาติห่าง ๆ ของออเดรย์อย่าง "มิลเลีย" ในตอนนี้มิลเลียได้เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาและรับผิดชอบในการจัดพิธีการต่าง ๆ ภายในพระราชวังแล้ว มิลเลียในตอนนั้นที่ได้ยินคำพูดของออเดรย์เธอดีใจเป็นอย่างมาก เพราะหญิงสาวรักในการทำงานและชื่นชอบที่จัดแต่งเหล่างานพิเศษนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มิลเลียที่ผละจากหน้าที่จัดเตรียมพิธีการนั้นเพื่อจะมาบอกกล่าวเรื่องของอาคันตุกะทั้งหลาย ที่มารวมฉลองยินดีกับการแต่งตั้งจักรพรรดิพระองค์ใหม่ของแองเจอโล ออเดรย์และเกลนดาที่ได้ยินมิลเลียกล่าวถึงเหล่าอาคันตุกะจากแดนตะวันออกนั้น

ออเดรย์ไม่รอช้าเขาหยิบเสื้อที่แขวนไว้มาสวมใส่ให้เรียบร้อยจัดชุดในดูงดงามดังเดิม เกลนดาที่เห็นตัวออเดรย์จัดเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงเดินไปเปิดประตูให้เขา ออเดรย์เดินนำทั้งสองที่ขนาบข้างเขามาเดินไปห้องโถงต้อนรับแขกที่มีเหล่าอาคันตุกะจากแดนตะวันออกรออยู่ ออเดรย์เดินไปยืนต่อหน้าเหล่าอาคันตุกะที่กำลังรอเขาอยู่ กล่าวทักทายด้วยภาษาของทางฝั่งนั้น เหล่าอาคันตุกะที่เมื่อได้ยินการทักทายด้วยภาษาอันคุ้นเคยของพวกเขาล้วนต่างตกใจ จึงได้เอ่ยถามกับออเดรย์ออกไป



“เจ้ารู้ภาษาของพวกข้าได้อย่างไร” ชาวต่างแดนผู้หนึ่งเอ่ยออกมาด้วยภาษาบ้านเกิดของตนเองถามเกี่ยวกับเขาที่สามารถพูดภาษาของชาวตะวันออกอย่างพวกเขาได้

“ที่อาณาจักรแองเจอโลนั้นมีเหล่านักวิชาการผู้มากความสามารถหลากหลายด้านกันรวมอยู่ การที่อาณาจักรแห่งนี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องเป็นอาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์นั่นไม่เกินความสามารถเลย ที่พวกข้าจะเรียนรู้ภาษาพวกท่านได้”

“พวกข้าเข้าใจเจ้าแล้ว”

“พวกท่านเข้าใจกันแล้ว ตัวข้าก็ยินดี” ออเดรย์นั่งลงที่โซฟาข้าวหน้าเหล่าอาคันตุกะทั้งสี่และพูดถึงพิธีการแต่งตั้งองค์จักรพรรดิองค์ใหม่ รวมถึงธุระของเหล่าทูตจากแดนตะวันออกทั้งสี่ที่มาในครั้งนี้ พวกเขาได้ขอความร่วมมือให้แองเจอโลมีการเปิดรับชาวต่างแดนจากทางฝั่งตะวันออก เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์และมีข้อแลกเปลี่ยนคือพวกเขาจะนำเครื่องเทศจากดินแดนตัวเองเพื่อเป็นสิ่งทดแทน

แต่ออเดรย์นั้นคิดจะไม่รับเป็นสินน้ำใจตอบแทนแต่ให้เปลี่ยนสัญญาการค้าขายและบอกกล่าวกับแขกทั้งสี่ไว้ว่า หลังจบพิธีการนี้จบลงอาณาจักรแห่งนี้จะมีการเปิดรับผู้คนจากต่างแดนที่ไม่ใช่เพียงชาวตะวันออก เพื่อให้พวกเขาได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความรู้กันอย่างทั่วถึง เกลนดาและมิลเลียที่พึ่งได้ยินคำพูดนี้ของออเดรย์นั้นต่างตกใจเล็กน้อยแต่เขาก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้ เพราะในตอนที่อดีตองค์จักรพรรดินั้นปกครองอาณาจักรแห่งนี้ พระองค์ไม่เคยคิดจะต้อนรับแขกจากต่างแดนหรือคนชนชาติอื่นเลย แม้เกลนดาจะบอกกล่าวถึงข้อดีนั้นมากมายเพียงใดแต่ล้วนโดนคัดค้านไปเสียหมด เมื่อเกลนดาได้ยินวิธีการของออเดรย์ที่ใช้แบบที่ตัวเขาคิดไว้ทำให้ยินดีเป็นอย่างมาก

“สำหรับที่พักของพวกท่านคงต้องรอสักพัก เหล่าข้ารับใช้กำลังจัดเตรียมกันอยู่น่ะ” ชายหนุ่มบอกกล่าวให้เหล่าอาคันตุกะรอสักเพื่อได้ตัดเตรียมที่พักให้พร้อม แต่หลังจากเขาพูดไปได้ไม่นาน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เป็นเหล่าข้ารับใช้ที่ได้รับคำสั่งเขาไปจัดเตรียมที่พักเดินเข้ามา

“ฝ่าบาทเพคะ ห้องสำหรับเหล่าแขกจากต่างแดน พวกกระหม่อมได้จัดไว้เรียบร้อยแล้วเพค่ะ”

“ทำได้ดีมาก พวกเจ้าทั้งหมดนำเหล่าอาคันตุกะและผู้ติดตามของพวกเขาไปที่ห้องพักเสียเถอะ”

“ได้เพคะ ตามพวกข้ามาได้เลยเพคะ” เหล่าสาวใช้ตอบรับคำสั่งของออเดรย์แล้วจึงเชิญแขกทั้งสี่ท่านให้ตามพวกเธอไปยังห้องพักที่ได้จัดเตรียมไว้

ออเดรย์ที่เห็นว่าเหล่าอาคันตุกะเดินออกไปจนหมดแล้ว จึงได้ล้มตัวลงนอนไปกับโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะกระเด้งตัวแล้วเดินไปยังห้องทำงาน เพื่อตรวจรายงานและอ่านเอกสารที่เหลือเหล่านั้นบนโต๊ะของเจ้าตัว เกลนดาที่ได้เห็นด้านเกียจคร้านของออเดรย์เขาก็มองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูปนระอาเล็กน้อยแล้วเดินตามออเดรย์ไป เพื่อพูดคุยรายละเอียดในเรื่องที่ตัวออเดรย์พูดไปเมื่อสักครู่ ส่วนมิลเลียที่เห็นทั้งสองเดินออกไปจึงเดินตามทั้งออเดรย์และเกลนดาไปด้วย ตัวมิลเลียยังคงมีเรื่องที่ต้องรายงานกับออเดรย์เกี่ยวกับเรื่องความคืบหน้าในการจัดเตรียมพิธีจึงได้ตามไปที่ห้องทำงานของออเดรย์ด้วยเช่นกัน

ออเดรย์ที่เดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของตัวเองแล้วนั้นกับมีชายร่างสูงใหญ่ยืนบังหน้าประตูไว้แต่ออเดรย์หาได้สนใจไม่ เขาสะกิดอีกฝ่ายเล็กน้อยให้หันกลับมาก่อนจะแทรกตัวแล้วเปิดประตูเข้าไปข้างใน นั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังโต๊ะใหญ่ตรงกลางห้อง ก่อนจะเอ่ยบอกให้ทั้งสามบอกกล่าวและพูดรายงานเรื่องราวที่ต้องการบอกกับเขาทีละคน

“พวกท่านรายงานเรื่องที่ต้องรายงานกันทีละคนก็แล้วกัน เริ่มตั้งแต่มิลเลียเธอก่อนแล้วกัน”

“ฝ่าบาท ตัวงานพิธีการจัดการไปได้อย่างราบรื่นโดยที่มีเหล่าทหารไม่กี่สิบนายของท่านดยุกคีร์แรนช่วยด้วยนั้นจึงทำให้งานใกล้เสร็จไวยิ่งขึ้นเพคะ”

“อีกกี่วันคิดว่าทุกอย่างจะจัดครบหมดเหรอมิลเลีย”

“ไม่เกินวันพรุ่งนี้ตอนเย็นก็เรียบร้อยแล้วเพคะ!”

“ส่วนของท่านพี่-”

"อะแฮ่ม"

“ส่วนของท่านที่ปรึกษาเรารู้ว่าท่านจะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไร ส่วนตรงนี้เอาไว้ทีหลัง ดยุกคีร์แรนท่านพูดธุระของท่านมาก่อนเลย”

“พ่ะย่ะค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อนกระหม่อมออกไปสำรวจรอบ ๆ ตัวเมืองหลวง ไม่พบมอนเตอร์ที่สามารถทำอันตรายให้เหล่าคนต่างแดนได้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้จึงกล่าวได้ว่าปลอดภัย ส่วนเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับพระองค์ให้กระหม่อมจัดการดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“รอบ ๆ ตัวเมืองไม่มีมอนเตอร์ก็ดีมากแล้ว ชาวเมืองจะได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับตัวเราช่างมันเสียเราไม่ได้สนใจมันมาก แม้ประชาชนจะไม่พอใจกับการขึ้นครองราชย์ของเรานัก แต่เราก็อยากทำให้พวกเขายอมรับเราด้วยตัวของเราเอง”

“ตามแต่พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”



ออเดรย์นั่นรับรู้ข่าวลือแย่ ๆ เกี่ยวกับตัวเองมาตลอด เขายอมรับว่าทุกอย่างที่ลือกันออกไปนั้น คือความจริงจึงได้ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขข่าวเหล่านั้น ถึงแม้จะทำแบบนั้นไปประชาชนในอาณาจักรแห่งนี้ก็ไม่ได้ไว้ใจตัวเขาขึ้นมาอยู่ดี ออเดรย์จึงทำได้เพียงเงียบและให้พิธีแต่งตั้งตัวเองเสร็จกิจการทุกอย่าง ที่เขาได้พูดคุยหรือเตรียมไว้จะได้เริ่มเข้าที่เข้าทางเสียที การเป็นผู้ปกครองคนนับหมื่นนับแสนนั้นยากเย็นแต่เมื่อเขาโค้นล้มจักรพรรดิองค์ก่อนแล้วจึงต้องทำหน้าที่นี้ให้ดี ในตอนที่สังหารท่านพ่อนั้นออเดรย์ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเขาจะต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาลืมเลือนกฎหลักของราชวงศ์ไปเสียแล้ว กฎที่บัญญัติไว้ในหน้าแรก



“ถ้าใครที่โค้นล้มจักรพรรดิลงได้ ผู้นั้นจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ห้ามมีผู้ใดคัดค้าน”

กฎหลักของราชวงศ์แองเจอโลที่ปฐมจักรพรรดิได้บัญญัติไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีใครที่สามารถโค้นล้มจักรพรรดิคนไหนได้เลย เพราะโล่เวทมนตร์ที่แสนน่ารำคาญนั้นทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถสังหารและจับจุดอ่อนของมันได้และในประวัติศาสตร์ตอนนี้มีแค่ออเดรย์ที่เป็นเพียงองค์ชายไร้พลังเวทย์สามารถทำลายโล่เวทมนตร์ที่เป็นเวทมนตร์ระดับสูงนั้นลงและสังหารองค์จักรพรรดิได้ ทำให้เขาได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิได้เพราะกฎหลักนี้นั้นเอง

ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปด้วยนั้น ตัวออเดรย์ได้หันตัวมองไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้าง ให้เขาได้มองเห็นผู้คนที่ขยันทำงานตามหน้าที่ของตนเอง เหล่าอัศวินที่เดินตรวจสอบพระราชวัง ทหารจากหน่วยของดยุกคีร์แรนที่เข้ามาช่วยในการเตรียมงานพิธีการแต่งตั้ง ทั้งยังมีสาวใช้ที่เดินถือตะกร้าผ้าและขุนนางที่ว่างงานเดินไปมาในพระราชวังแห่งนี้ ทุกคนล้วนทำงานและพักผ่อนไปด้วยอากาศในวันนี้ช่างสดใสกว่าในทุกวัน ออเดรย์ที่คิดอยากจะทำตัวเกียจคร้านบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจและกลับไปคุยเรื่องการทำธุรกิจกับชาวตะวันออกกับที่ปรึกษาของเขาต่อทันที