ชัดเจนผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอด อยู่ ๆ หลานสาวก็มีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่าเดียร์ ที่น้องชมพูถึงกับพูดว่าเขาคือเจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ เขาคงต้องลงมือกำจัดกวางให้พ้นทางเสียแล้ว

come to be my deer - บทที่ 1 ขวัญใจ (คนใหม่) โดย summer_T @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ไทย,อื่นๆ,นิยายเกย์,นิยาย18+,boylove ,#BL,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

come to be my deer

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ไทย,อื่นๆ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายเกย์,นิยาย18+,boylove ,#BL,รักวัยรุ่น,นิยายวาย

รายละเอียด

come to be my deer โดย summer_T @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชัดเจนผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอด อยู่ ๆ หลานสาวก็มีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่าเดียร์ ที่น้องชมพูถึงกับพูดว่าเขาคือเจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ เขาคงต้องลงมือกำจัดกวางให้พ้นทางเสียแล้ว

ผู้แต่ง

summer_T

เรื่องย่อ

Come to be my Deer : หลงกวาง


#หลงกวาง



เมื่อหนุ่มนักธุรกิจอย่าง ชัดเจน ผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอดอยู่ ๆ

บัลลังก์ก็สั่นคลอนเพราะมีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่า เรนเดียร์

ที่น้องชมพูหลานสาวเพียงหนึ่งเดียวถึงกับพูดว่า "ครู (หมอ) เดียร์ คือ เจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ" ด้วยวัยเพียง 5 ขวบ

อย่างนี้เขาคงต้องกำจัดกวางป่าให้พ้นทางเสียแล้ว

สารบัญ

come to be my deer-บทที่ 1 ขวัญใจ (คนใหม่),come to be my deer-บทที่ 2 ผู้ปกครองน้องชมพู,come to be my deer-บทที่ 3 ลงสนาม,come to be my deer-บทที่ 4 สายตาคืออาวุธ,come to be my deer-บทที่ 5 พ่อทูนหัว,come to be my deer-บทที่ 6 สวัสดีเพื่อนใหม่,come to be my deer-บทที่ 7 ติดตามผลงาน,come to be my deer-บทที่ 8 กระแสใหม่,come to be my deer-บทที่ 9 เด็กดี,come to be my deer-บทที่ 10 มองหา,come to be my deer-บทที่ 11 เป็นข่าว,come to be my deer-บทที่ 12 วันหยุด,come to be my deer-บทที่ 13 ถอย,come to be my deer-บทที่ 14 เคลียร์,come to be my deer-บทที่ 15 เริ่มต้น,come to be my deer-บทที่ 16 พร่ามัว,come to be my deer-บทที่ 17 คืนฉลอง,come to be my deer-บทที่ 18 ความกลัว,come to be my deer-บทที่ 19 สิ่งที่เลือนหาย,come to be my deer-บทที่ 20 ภาพถ่าย,come to be my deer-บทที่ 21 รับรู้,come to be my deer-บทที่ 22 ประกาศตัว,come to be my deer-บทที่ 23 เยือนถิ่นกวาง,come to be my deer-บทที่ 24 เข้าฝูง,come to be my deer-บทที่ 25 ล่อ(ลวง)กวาง,come to be my deer-บทที่ 26 หลงกวาง,come to be my deer-บทที่ 27 พิเศษ1 ฝูงกวาง,come to be my deer-บทที่ 28 พิเศษ2 กวางเชื่อม,come to be my deer-บทที่ 29 พิเศษ3 กวางเหลียวหลัง

เนื้อหา

บทที่ 1 ขวัญใจ (คนใหม่)

แดดช่วงบ่ายในเมืองไทยไม่เคยปราณีใครทั้งนั้นท่ามกลางการจราจรที่แออัดตามแยกไฟแดงรถ Alphard สีดำเงาวาววับบ่งบอกว่าถูกดูแลอย่างดีสม่ำเสมอ จอดติดสัญญาณไฟแดงมาสองรอบกว่าจะขับมาจอดรอสัญญาณไฟเขียวที่แถวหน้าสุดได้

ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดในชุดสูทพอดีตัวสีเทานั่งเหยียบขาทิ้งน้ำหนักลงเบาะอย่างเอือมระอากับการเดินทางในเมืองหลวงแห่งนี้ นิ้วเรียวเคาะเบา ๆ กับที่วางแขนสายตาพรางชำเลืองนาฬิกาข้อมืออยู่เป็นระยะ ๆ

"ลุงโชค พ้นแยกนี้ไปจะเจอไฟแดงอีกเยอะไหมครับ" เขาเอ่ยถามคนขับวัยกลางคนด้านหน้า

"พ้นแยกนี้ไป อีกสองไฟแดงก็ถึงโรงเรียนคุณหนูชมแล้วครับคุณชัด" ลุงโชคตอบกลับมา สายตาเหลือบขึ้นมองสังเกตคนถามผ่านกระจกมองหลัง เห็นท่าทางของชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเอ็นดูให้กับท่านั่งสบายและกิริยาที่ผ่อนคลายกว่าตอนทำงานมากนัก หากเป็นคุณชัดในบทบาทนักธุรกิจหนุ่มเช่นเวลางานปกติแล้ว คงไม่มีใครนึกว่าหนุ่มนักธุรกิจเนื้อหอมเบอร์ต้น ๆ ของประเทศจะนั่งทิ้งน้ำหนักได้น่าเอ็นดูเช่นนี้แน่

หนุ่มหล่อที่เอาแต่เฝ้ามองเวลาเป็นระยะ ๆ นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นเจ้านายอีกหนึ่งคนในบ้านพนาศิลป์ที่เขารับใช้มาหลายชั่วคน

ตระกูลนี้ทำธุรกิจอยู่หลายอย่าง จัดว่าเป็นหนึ่งในบ้านที่มีอันจะกิน แม้ไม่ใช่ผู้ดีเก่าแก่อย่างคนรวยส่วนใหญ่ แต่ด้วยต้นตระกูลสืบเชื้อสายชาวจีนผู้เข้มงวดที่บ่มเพาะให้ลูกหลานขยันขันแข็งจึงส่งผลให้มั่งมีงอกเงยเงินและทรัพย์สินจนเป็นที่นับหน้าถือตาในแวววงสังคม

เถ้าแก่และซ้อเสียไปหลายปีก่อน ทิ้งธุรกิจมากมายไว้ให้ทายาทเพียงสองคนดูแลต่อ

หนึ่งคือ คุณชิดชนก ลูกสาวคนโตที่พิสูจน์ต่อสู้ตัวเองจนสามารถขึ้นเป็นหัวเรือใหญ่อย่างที่ไม่มีใครกล้าคัดค้านในเวลาไม่ถึงปี เป็นทั้งเสาหลักให้ธุรกิจและครอบครัวที่ ณ เวลานั้นมีกันเพียงแค่สองพี่น้อง

และสองคือ คุณชัดเจน ลูกชายคนเล็กที่เพิ่งสำเร็จจากการไปศึกษาต่อจากอเมริกาเมื่อไม่นานนี้ และตอนนี้คือคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง
คอยถามคำถามเดิมในทุกสี่แยก

"คุณชัดอย่ากังวลไปเลยครับ ที่โรงเรียนมีคุณครูดูแลจนกว่าผู้ปกครองจะมารับ"

"ไปรับช้าแบบนี้ ผมจะเสียคะแนนนิยมเอาได้น่ะสิ" ชัดเจนขยับสูทอยู่หลายทีจนสุดท้ายก็ถอดออกพาดไว้กับที่วางมือด้านข้าง แดดไหนจะร้อนเท่าใจคนเป็นอาที่กำลังจะเสียคะแนนความนิยมจากหลานสาวตัวน้อยเพียงหนึ่งเดียวในดวงใจไปได้

หลังจากรับสายจากพี่สาวเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ว่าด้วยเรื่องขอความช่วยเหลือให้ไปรับลูกสาวที่โรงเรียนให้หน่อย เนื่องจากเดี๋ยวนี้เจ้าตัวน้อยแผลงฤทธิ์หนักจนล่าสุดไม่ยอมให้พี่เลี้ยงไปรับกลับ ร้อนรุ่มกลุ้มใจถึงหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ติดประชุมหุ้นส่วนสำคัญประจำปีไม่สามารถปลีกตัวไปรับได้



(ชัด แกไปรับชมพูให้พี่ทีสิ)

(อ้าว ทำไมหรือครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าพี่ชิด)

เขาเอ่ยถามอย่างนึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปรับหลาน กลับกันถ้าเป็นไปได้อยากเสนอตัวไปรับทุกวัน
จนใจจะขาด ติดที่ตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา งานก็พุ่งเข้าหาราวกับจะทับตัวเขาให้ตายไปเสีย

(ก็น้องชมหลานเธอน่ะสิ เดี๋ยวนี้ฤทธิ์เยอะเหลือเกินไม่ยอมกลับมากับเจ้าปาย กล่อมอย่างไรก็ไม่ยอม พี่กับคุณยุตก็ไปรับไม่ได้ เลยต้องโทรหาแกนี่แหละ ช่วยพี่หน่อยแล้วกันนะ พี่ให้ปายขึ้นแท็กซี่กลับบ้านไปก่อนแล้ว เดี๋ยวลุงโชคจะวนรถจากโรงเรียนไปรับแกที่บริษัท ฝากปราบหลานเธอให้หน่อยแล้วกัน แค่นี้แหละ)

พี่สาวเพียงคนเดียวของเขาร่ายยาวรัวเร็วแบบที่ไม่ให้เขาตั้งตัว ก่อนตัดจบไปเสียดื้อ ๆ

แม้ว่าจะค่อนข้างสับสนในเหตุการณ์นี้ แต่เขาก็เต็มใจเหลือเกินที่จะยกสายโทรแจ้งเลขาฯ ให้เลื่อนทุกนัดและทุกประชุมที่มีในช่วงบ่ายนี้ออกไป ก่อนจะรีบลงไปชั้นล่างเมื่อเลขาฯ ตอบกลับมาว่าประชาสัมพันธ์ชั้นล่างแจ้งว่ารถลุงโชคมาถึงและจอดรอที่หน้าตึกเรียบร้อยแล้ว



ในระหว่างฝ่าการจราจรไปรับหลานสาวจึงได้มารู้จากการสอบถามลุงโชคว่า ชมพูหลานรักวัยห้าขวบ ออกฤทธิ์ออกเดชยื่นคำขาดว่าไม่ให้พี่เลี้ยงผู้หญิงคนไหนไปรับเธอ ด้วยเหตุผลว่าเจ้าตัวหวงคุณครูคนใหม่จนกลัวว่าพี่เลี้ยงจะไปหลงรักครูในดวงใจของเธอเข้าให้ และนี่เป็นเหตุผลให้พี่เลี้ยงสาวชาวพม่านามว่าปายต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านในวันนี้

คิดแล้วก็อยากจะกัดลิ้นให้ดิ้นตาย เด็กวัยห้าขวบสมัยนี้โตเร็วจนใจหาย แม้ว่าเขาจะไปร่ำเรียนที่เมืองนอกอยู่หลายปีจนชินกับสังคมฝรั่งที่สั่งสอนเรื่องเพศกันอย่างสมควรตามช่วงวัยและเปิดเผยเป็นธรรมชาติไม่ปกปิดแม้เด็กเล็กเด็กน้อย แต่พอเป็นหลานสาวตัวเองเข้าก็ร้อนรุ่มใจไม่อยากให้โตเร็วรู้ไวไปมากนัก

อยากจะเห็นนักว่าคุณครูคนไหนทำหลานสาวเขาถึงกับเอ่ยว่าโตไปจะเป็นเจ้าสาวคุณครูด้วยวัยเพียงเท่านี้

"ชมพู บอกว่าจะแต่งงานด้วยเลยหรือครับ"

"ครับ คุณหนูชมพูดในรถมาหลายวันมาแล้วครับคุณชัด" ชัดเจนถอนหายใจเมื่อฟังลุงโชคเล่าวีรกรรมหลานสาวจบ

"แก่แดดจริง ไปเอาคำพวกนี้มาจากไหนกัน"

ไหนว่าอาชัดหล่อที่สุด จะโตไปเป็นเจ้าสาวของอาชัดอย่างไรเล่า นี่เขาแยกออกมานอนที่บริษัทไม่ถึงสองเดือน หลานสาวก็มีชายหนุ่มขวัญใจคนใหม่เสียแล้ว

งานนี้เขาไม่สามารถยอมได้ อย่างไรตำแหน่งขวัญใจหลานสาวก็ต้องเป็นเขา อาชัดสุดหล่อเพียงคนเดียวเท่านั้น



"ถึงแล้วครับคุณชัด อย่าลืมเอาบัตรผู้ปกครองลงไปด้วยนะครับ" ชายหนุ่มหยิบเสื้อสูทที่ถอดพาดไว้ขึ้นมาสวมทับเสื้อยืดสีขาวเนื้อดี ที่ในตอนแรกตั้งใจว่าไม่อยากให้ตนดูทางการไป เมื่อต้องมารับหลาน ก่อนจะจัดเสื้อและทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ขายาวจึงก้าวลงจากรถ ไม่ลืมที่จะสะบัดขาแว่นตากันแดดยี่ห้อดังขึ้นมาสวม ก้าวเดินมั่นคงมือล้วงกระเป๋าอย่างที่เคยเห็นนายแบบเดินบนแคทวอล์คทำ ก้าวเข้าไปในเขตอาคารโรงเรียนด้วยความมั่นใจ

ถ้าหลานสาวเขาเอ่ยว่าอยากแต่งงานด้วย ผู้ท้าชิงตำแหน่งขวัญใจน้องชมพูก็ไม่น่าจะธรรมดา

แต่มีหรือแชมป์เก่าแบบเขาจะกลัว แค่เห็นสายตาจากครูสาว ๆ ที่รอสแกนบัตรผู้ปกครองให้เขาก็รู้แล้วว่า งานนี้บัลลังก์ขวัญใจหลานสาวจะต้องกลับมาอยู่ในน้ำมือเขาได้อย่างไม่ยากเย็น

"น้องชมพูอยู่ในห้องกับเพื่อน ๆ ค่ะ ผู้ปกครองจะให้เข้าไปตามเลยไหมคะ" ครูพี่เลี้ยงคนหนึ่งเอ่ยถาม

"เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมขอเข้าไปเซอร์ไพรส์แกดีกว่า นาน ๆ มารับที ผมเข้าไปได้ใช่ไหมครับ"

"ค่ะ แต่ว่า…แว่นคุณ"

"งั้นขอตัวนะครับ"

หล่อบาดใจเลยใช่ไหมครับครู ใคร ๆ ต่างก็บอกทั้งนั้นว่าผมมีเสน่ห์มากขึ้นเป็นพิเศษเมื่อใส่แว่นกันแดดอันนี้

ชายหนุ่มหมุนตัวก้าวเดินพ้นจุดสแกนยังไม่เกินสามเมตร ขายาวก็เตะเข้ากับถังพลาสติกสีครีมล้มกลิ้งส่งเสียงดังก้องโถง

"ว้าย คุณระวังค่ะ" ป้าแม่บ้านประจำโรงเรียนเอ่ยอย่างห่วงใย ดีที่ถังยังไม่ได้ใส่น้ำ ชุดของผู้ปกครองเด็ก ๆ หรือลูกค้าโรงเรียนจึงไม่ได้
รับความเสียหายอะไร เธอเพียงวางแอบไว้ริมทางเดินระหว่างหยุดคุยกับชายวัยใกล้กันที่กำลังตัดแต่งพุ่มไม้บริเวณนั้นเท่านั้น

"ขอโทษทีครับ ผมไม่ทันเห็น" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างนอบน้อม ก่อนจะมองหาถังที่ตนเพิ่งจะเตะกลิ้งไป

เขาคิดว่าตอนเดินมาเขาไม่เห็นถังนี่บนทางเดินแม้แต่สักนิด แอบเซ็งนิดหน่อยที่เสียงกลิ้งของถังดังขึ้นมาขัดอารมณ์นายแบบของเขาเสียก่อน

มองหาสักพักก็ยังไม่พบถังเจ้าปัญหา หนุ่มทายาทบริษัทใหญ่จึงก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อใช้สายตามองลอดแว่นกันแดดส่องหา และได้พบว่ามันนอนนิ่งอยู่ด้านหน้าเขาไม่ไกลนั่นเอง

สีถังกับสีพื้นของทางเดินใกล้เคียงกันมาก ถึงว่าทำไมเขาถึงไม่ทันสังเกต เขาหยิบมันส่งคืนให้ป้าแม่บ้าน มือยกขึ้นจัดแว่นคู่บุญให้เข้าที่

"ขอโทษทีครับ นี่ครับ"

"คุณถอดแว่นก่อนดีไหมคะ ในอาคารแบบนี้เกรงว่าคุณจะมองไม่ชัด เดี๋ยวจะหกล้มไปแย่เลยนะคะ"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ…คำไทยเขาเรียกว่าอะไรนะครับ" เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนต่อประโยคอย่างอารมณ์ดี

"อ๋อ เขาเรียกหล่อสะดุ้งกุ้งดิ้น ใช่ไหมครับ"

ชายหนุ่มส่งยิ้มหล่อประจำตัวให้หญิงสาวตรงหน้าแล้วเดินตรงเข้าไปในอาคาร มุ่งหน้าไปยังห้องเรียนหลานสาว ปล่อยหญิงแม่บ้าน
งุนงงกับคำไทยคำใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยินมาเมื่อครู่

เขาไม่ใช่เรียกว่า 'หล่อลื่น' หรอกหรือ

คนอะไรหน้าตาหล่อเหลา ยังหนุ่มแน่น ท่าทางโก้ กลับเป็นคนพิลึกไปได้ ในอาคารที่ทางเดินรายล้อมด้วยต้นไม้ร่มรื่นถึงเพียงนี้จะใส่แว่นดำให้ลำบากทำไมกัน



เสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วออกมาจากด้านหลังของประตูไม้ทรงโค้งสีเหลืองนวลน่ารัก ยืนเงี่ยหูฟังอยู่สักพักก็ยังจับใจความไม่ได้ นิ้วมือเรียวยื่นไปผลักบานประตูอย่างเบามือ สอดส่องสายตาเข้าดูเหตุการณ์ด้านใน

เขาไม่ได้กลัวอะไร เพียงแต่เตี่ยเคยสอนไว้ว่า อย่าออกรบเมื่อไม่รู้จักแม้กระทั่งสนามรบและคู่แข่ง

เด็กน้อยกลุ่มเล็ก ๆ ยืนรุมล้อมชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่นั่งย่อตัวลงอุ้มอะไรสักอย่างในอ้อมแขน เขาแอบสังเกตอยู่สักพักก็ยังไม่เห็นใบหน้าคู่แข่ง เสียงหัวเราะร่าเริงของเด็ก ๆ ตอบคำถามความนิยมในหนุ่มสาววัยอนุบาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเด็กสาวตัวน้อยถักเปียสองข้างผูกโบสีเหลืองสีโปรดประจำตัวที่ยืนหน้าสุดส่งยิ้มน่ารักกับแก้มกลมใสให้ครูหนุ่ม เล่นเอาคนเป็นอาหงุดหงิดหัวใจ

กิริยาท่าทางของผู้ที่มาแย่งตำแหน่งเจ้าบ่าวของชมพูที่มีให้เด็ก ๆ ดูอ่อนโยนแม้มองเห็นเพียงข้างหลังจนเขาเองเผลอเฝ้ามองเพลินจนหลงลืมจุดประสงค์

จนเมื่อได้ยินเสียงร้องตกใจของหลานสาวดังขึ้นจึงได้สติรีบผลักบานประตูเข้าไป

“นี่! คุณทำอะไรหลานผม”

“อาชัด!”

“อ๊ะ!”

“ครูเดียร์!”

หลังจากผลักประตูเข้ามา เขาก็พุ่งตัวไปประชิดหลานสาวช้อนตัวอุ้มขึ้นแนบอก จังหวะเดียวกันที่คุณครูผู้ไม่น่าไว้ใจล้มหงายก้นจุ้มปุ๊กไปกับพื้นพร้อมก้อนอะไรสักอย่างในอ้อมแขน

“อาชัด ปล่อยชมพูลงก่อนค่ะ อาชัดทำครูเดียร์ล้มแล้วนะคะ” แก้มพอง ๆ กับเสียงดุเล็ก ๆ ของหลานสาวช่างขีดข่วนหัวใจคนเป็นอาเหลือเกิน แต่ขออาจัดการผู้ร้ายก่อนแล้วกันนะครับ แล้วคุณอาจจะกลับมาง้อหนู

“คุณจะทำอะไรน้องชมพู” ชัดเจนก้มลงพูดกับคนที่นั่งอยู่ที่พื้น

“เอ่อ ขอโทษทีครับ ผมแค่กำลังจะสอนเด็ก ๆ อุ้มกระต่ายเท่านั้น” หวานใจวัยอนุบาลลุกขึ้นยืนพูดกับผู้ปกครองที่ดูตื่นตูมพอ ๆ กับกระต่ายในอ้อมแขน

ในที่สุด...ก็เห็นแล้ว

ใบหน้าเจ้าของตำแหน่งเจ้าบ่าวป้ายแดงของน้องชมพู หล่อสมราคาความหวงของหลานสาวที่พี่สาวเขากล่าวไว้จริง ๆ คิ้วเรียว ตากลมสวยน่ามอง จมูกโด่งนิด ๆ กับปากเล็กอิ่มเป็นกระจับที่ขยับตอบเขาเมื่อครู่ จากการประเมินแล้วส่วนสูงน่าจะน้อยกว่าเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“อาชัดจะใส่แว่นดำทำไมคะ น่ากลัวจัง” เสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้น พร้อมแว่นตาที่ถูกถอดออกด้วยมือเล็กของเจ้าของประโยค เรียกเขาให้ละสายตาจากคู่แข่งตรงหน้ามาสนใจหลานสาว

“น้องชมพูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

“น้องชมพูไม่เป็นอะไรค่ะ แต่อาชัดทำคุณนิ่มตกใจ แล้วก็ทำครูเดียร์ล้มด้วยนะคะ อาชัดไม่น่ารักเลย” ไหงกลายเป็นเขาผิดไปซะทุกประตูไปได้

“คุณนิ่ม?”

“กระต่ายน่ะครับ คุณนิ่มเป็นสัตว์เลี้ยงประจำเด็ก ๆ ห้องนี้” เสียงตอบนุ่มหูเรียกให้คุณอาหันกลับไปเผชิญหน้ากับคู่แข่งตำแหน่ง
เจ้าบ่าวหลานสาวอีกครั้ง

เขาไม่ควรยอมให้หลานสาวถอดแว่นเลย เพราะเมื่อความมืดจากเลนส์กรองแสงยูวีราคาแพงหายไปจากทัศนวิสัย ความสว่างใจ
ที่ไม่ได้มาจากแสงแดดของคนตรงหน้าก็ทำดาเมจเขาชัดเจนกว่าตอนใส่แว่นตาหลายเท่าหนัก เล่นเอาแชมป์เก่าขวัญใจน้องชมพูที่หวังจะมาทวงบัลลังก์คืนอย่างเขาหวั่นใจ

เมื่อไร้การปิดกั้นจากเลนส์ดำ ผมจึงถือโอกาสสำรวจคู่แข่งอีกครั้ง และพบว่าความลงตัวของเครื่องหน้าครูหนุ่มที่ว่าดีแล้ว ยิ่งดีและชัดเจนกับตามากกว่าที่เห็นในตอนแรกมากมายนัก โดยเฉพาะดวงตากลมใสดำสนิทที่มองมา สวยจนเขาอยากเข้าไปดูใกล้ ๆ ว่าทำไมมันต่างจากคนทั่วไปที่เขาเคยเห็นนัก ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้มีองค์ประกอบไหนต่างจากบุคคลที่ตามมาตรฐานทางการแพทย์ระบุว่าเป็นบุคคลสมบูรณ์อวัยวะครบสามสิบสอง

“สวัสดีครับ ผมเดียร์นะครับ จริง ๆ เป็นสัตวแพทย์ที่มาช่วยดูแลกับให้ความรู้เรื่องสัตว์กับเด็กๆ ที่โรงเรียนน่ะครับ แต่เด็ก ๆ ชอบเรียก
ครูเดียร์ ก็เลยเลยตามเลย คุณคือผู้ปกครองน้องชมพูหรือครับ ยังไงก็ต้องขอโทษที่ทำให้ตกใจด้วยนะครับ”

ครูเดียร์ที่เพิ่งแนะนำตัวหมาด ๆ เอ่ยอย่างคล่องแคล่วน่าฟัง

“น้องชมพูอยากอุ้มคุณนิ่ม แต่อาชัดทำคุณนิ่มตกใจ น้องชมพูเลยไม่ได้อุ้มคุณนิ่มเลย”

โดนพองแก้มงอนไปสองครั้ง ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

คะแนนความนิยมผมจะเหลือเท่าไหร่กัน

“อาชัดขอโทษนะคะ อาชัดไม่รู้”

“ครูเดียร์ขา งั้นครูเดียร์สอนอุ้มคุณนิ่มต่อได้มั้ยคะ” หนึ่งในกลุ่มเด็กน้อยเอ่ยถามขึ้น

“อือยังไงดี หมอว่าวันนี้ให้คุณนิ่มพักก่อนแล้วกันนะครับ ไว้วันหลังหมอมาสอนต่อนะ” คุณครูหมอย่อตัวลงตอบเด็กน้อย มือข้างหนึ่งละออกจากคุณนิ่มกระต่ายสีเทาในมือ ยกขึ้นลูบหัวกลมอย่างอ่อนโยน

น่ามอง…

“เด็ก ๆ ผู้ปกครองมารอแล้วนะคะ” เสียงครูพี่เลี้ยงดังมาจากหน้าประตู เด็ก ๆ กล่าวสวัสดีคุณครูหมอและผู้ปกครองตื่นตูมของเพื่อนร่วมห้องก่อนจะทยอยกันออกจากห้องไป

“กลับบ้านกันนะคะ” ผมหันไปบอกหลานสาว

“แต่น้องชมพูอยากไปส่งคุณนิ่มก่อน ได้ไหมคะ อาชัดของหนู” ในทีแรกผมตั้งใจว่าจะปราบเด็กดื้อด้วยการไม่ยอมตามใจ แต่เจอหลานจบประโยคด้วยคำนี้ ใจผมจะทนไหวได้อย่างไร

สุดท้ายเลยต้องมาเดินตาม มองดูหลานสาวเดินเคียงคู่คุณครูหมอไปส่งคุณนิ่มที่โซนดูแลสัตว์เลี้ยงของโรงเรียน

นี่โรงเรียนหรือสวนสัตว์กันแน่

ทั้งหนู กระต่าย แมว หมา มีครบทุกสัตว์เลี้ยงยอดนิยม ทุกตัวมีโซนและคอกแยกกันเป็นอย่างดีในพื้นที่กว้างขวาง สะอาดสะอ้านไร้กลิ่นกวนใจ

เมื่อ (จำใจ) ส่งคุณนิ่มเสร็จ

ก็ต้อง (จำใจ) เดินกลับมาหน้าโรงเรียน

โดยที่ตอนนี้หลานสาวของผมอยู่ในอ้อมแขนคุณครูหมอเป็นที่เรียบร้อย

พ่ายแพ้ยับเยินตั้งแต่ศึกแรก

“กลับบ้านกันได้แล้วค่ะ น้องชมพูมาหาอาชัดนะคะ” ผมหันไปเรียกหลานสาวเมื่อเรา (สองคนอาหลานบวกคนอื่นอีกหนึ่ง) เดินมาถึงหน้าโถงโรงเรียน ซึ่งมีลุงโชคจอดรถรออยู่ก่อนแล้ว

“พรุ่งนี้ครูเดียร์มาอีกไหมคะ”

น้องชมพูควรจะถามว่าพรุ่งนี้อาชัดจะมารับอีกหรือเปล่าสิคะ ทำไมทำร้ายจิตใจอาชัดอย่างนี้ ผมได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ

“จริง ๆ หมอเดียร์ไม่มีตารางพรุ่งนี้นะ แต่ถ้าหมอว่างจะแวะเข้ามาดีไหมครับ”

ผลประกอบการวันนี้…ส่วนเกินโดยสมบูรณ์

“เข้ามานะคะ ชมพูอยากเจอครูเดียร์ทุกวันเลยค่ะ อยากอุ้มคุณนิ่มด้วย”

“กลับบ้านได้แล้วครับ คุณอางอนแล้ว” ครูหมอกระซิบกระซาบกับน้องชมพูหลานผม

แต่ขอโทษนะครับ ได้ยินทุกคำครบจบทั้งประโยคเลยครับหมอ

ผู้ชนะส่งถ้วยรางวัลให้ผู้แพ้อย่างผมรับต่อ ผมยื่นมือไปรับน้องชมพูมาอุ้มไว้ เอ่ยลาผู้ชนะของวันนี้ (ตามมารยาทอันดี) แล้วหันกลับขึ้นรถ



“เดี๋ยวนี้ไม่รักอาชัดแล้วหรือคะ” ผมเอ่ยอ้อนหลานสาวบนตักทันทีที่เราทั้งคู่นั่งกันอย่างเรียบร้อยปลอดภัย

“รักสิคะ น้องชมพูรักอาชัดที่สุดในโลกเลย”

“จริงหรือเปล่า เชื่อได้ไหมเนี่ย”

“เชื่อได้ค่ะ เชื่อได้ร้อยสิบล้านพันเปอร์เซ็นต์เลย”

“แล้วทำไมให้คุณหมออุ้มมาส่งละคะ อาชัดจะน้อยใจแล้วนะคะเนี่ย”

“ก็ครูเดียร์มือนุ่มกว่าอาชัดนี่ค่ะ ตัวหอมด้วย น้องชมพูชอบให้ครูเดียร์อุ้มค่ะ”

“อาชัดก็หอม”

“อาชัดหอม ครูเดียร์ก็หอมค่ะ อาชัดห้ามน้อยใจน้องชมพูนะคะ” สาวน้อยบนตักพลิกกลับตัวหันมามองหน้าผม แก้มใส ๆ ยกยิ้มส่งให้ ต่อให้อยากจะน้อยใจแค่ไหนเจอยิ้มนี้เข้าไปมาร้อยครั้งผมก็แพ้ร้อยครั้ง

“น้องชมพูพูดจริงนะคะ ถ้าอาชัดไม่เชื่อพรุ่งนี้อาชัดลองหอมครูเดียร์ดูสิคะ ครูเดียร์ใจดีนะ”

“หือ! ไม่ได้ ๆ ไปขอหอมเขาได้ไงละคะ เขาไม่ขอหอมกันนะคะ น้องชมพูห้ามไปขอหอมใครแล้วก็ห้ามให้ใครขอหอมด้วย นอกจากป๊าม้าแล้วก็อาชัด เข้าใจไหมคะ”

“เพิ่มครูเดียร์อีกคน”

“ไม่ได้ค่ะ ไม่อนุญาต”

“แต่น้องชมพูหอมครูเดียร์ไปแล้วนะคะ”

“หา! อาชัดอยากจะร้องไห้”



ลุงโชคได้ยินบทสนทนาอาหลานของคนด้านหลังก็อดนึกขำในใจไม่ได้ เอ็นดูทั้งความไร้เดียงสาของเด็กน้อยวัยห้าขวบ และการต่อรองของคนเป็นอา

“เสียคะแนนไปโขเลยซินะครับคุณชัด” เขาเอ่ยแซวเจ้านายหนุ่ม

“ครับ โขเลยครับ”

“คะแนนอะไรหรือคะ”

“คะแนนคุณอาไงครับคุณชมพู ว่าวันนี้เสียไปเท่าไหร่”

“คะแนน? เสีย? ” เด็กสาวเอียงคอสงสัยอย่างไม่เข้าใจในศัพท์ผู้ใหญ่

“มันคืออย่างนี้ค่ะ ก็คือ….”

“น้องชมพูให้คะแนนเสียอาชัดสิบล้านล้านคะแนนเลยค่ะ”

ยังไม่ทันที่คนเป็นอาจจะหาทางตีตื้นคะแนนด้วยการสอนศัพท์ หลานสาวก็ตอบขึ้นมาอย่างใสซื่อตัดความหวังบวกสิบแต้มให้กับบ้านกริฟฟินดอร์ของเขาหายวับไปกับความเย็นของอากาศภายในรถ

“อาอยากจะร้องไห้จริง ๆ แล้ว” คุณอาหนุ่มทิ้งตัวลงพิงเบาะ ปล่อยตัวเองให้จมหายไปกับเสียงหัวเราะของลุงโชคจากด้านหน้าที่ดังประสานกับเสียงหัวเราะใสของหลานสาวบนตักได้อย่างลงตัว



บทเพลงของผู้แพ้มันเจ็บปวดอย่างนี้