ชัดเจนผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอด อยู่ ๆ หลานสาวก็มีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่าเดียร์ ที่น้องชมพูถึงกับพูดว่าเขาคือเจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ เขาคงต้องลงมือกำจัดกวางให้พ้นทางเสียแล้ว

come to be my deer - บทที่ 6 สวัสดีเพื่อนใหม่ โดย summer_T @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ไทย,อื่นๆ,นิยายเกย์,นิยาย18+,boylove ,#BL,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

come to be my deer

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ไทย,อื่นๆ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายเกย์,นิยาย18+,boylove ,#BL,รักวัยรุ่น,นิยายวาย

รายละเอียด

ชัดเจนผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอด อยู่ ๆ หลานสาวก็มีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่าเดียร์ ที่น้องชมพูถึงกับพูดว่าเขาคือเจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ เขาคงต้องลงมือกำจัดกวางให้พ้นทางเสียแล้ว

ผู้แต่ง

summer_T

เรื่องย่อ

Come to be my Deer : หลงกวาง


#หลงกวาง



เมื่อหนุ่มนักธุรกิจอย่าง ชัดเจน ผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอดอยู่ ๆ

บัลลังก์ก็สั่นคลอนเพราะมีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่า เรนเดียร์

ที่น้องชมพูหลานสาวเพียงหนึ่งเดียวถึงกับพูดว่า "ครู (หมอ) เดียร์ คือ เจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ" ด้วยวัยเพียง 5 ขวบ

อย่างนี้เขาคงต้องกำจัดกวางป่าให้พ้นทางเสียแล้ว

สารบัญ

come to be my deer-บทที่ 1 ขวัญใจ (คนใหม่),come to be my deer-บทที่ 2 ผู้ปกครองน้องชมพู,come to be my deer-บทที่ 3 ลงสนาม,come to be my deer-บทที่ 4 สายตาคืออาวุธ,come to be my deer-บทที่ 5 พ่อทูนหัว,come to be my deer-บทที่ 6 สวัสดีเพื่อนใหม่,come to be my deer-บทที่ 7 ติดตามผลงาน,come to be my deer-บทที่ 8 กระแสใหม่,come to be my deer-บทที่ 9 เด็กดี,come to be my deer-บทที่ 10 มองหา,come to be my deer-บทที่ 11 เป็นข่าว,come to be my deer-บทที่ 12 วันหยุด,come to be my deer-บทที่ 13 ถอย,come to be my deer-บทที่ 14 เคลียร์,come to be my deer-บทที่ 15 เริ่มต้น,come to be my deer-บทที่ 16 พร่ามัว,come to be my deer-บทที่ 17 คืนฉลอง,come to be my deer-บทที่ 18 ความกลัว,come to be my deer-บทที่ 19 สิ่งที่เลือนหาย,come to be my deer-บทที่ 20 ภาพถ่าย,come to be my deer-บทที่ 21 รับรู้,come to be my deer-บทที่ 22 ประกาศตัว,come to be my deer-บทที่ 23 เยือนถิ่นกวาง,come to be my deer-บทที่ 24 เข้าฝูง,come to be my deer-บทที่ 25 ล่อ(ลวง)กวาง,come to be my deer-บทที่ 26 หลงกวาง,come to be my deer-บทที่ 27 พิเศษ1 ฝูงกวาง,come to be my deer-บทที่ 28 พิเศษ2 กวางเชื่อม,come to be my deer-บทที่ 29 พิเศษ3 กวางเหลียวหลัง

เนื้อหา

บทที่ 6 สวัสดีเพื่อนใหม่

“นี่เรากำลังจะไปไหนกันครับ คุณชัด” ผู้ร่วมทางโดยจำเป็นถามขึ้นมาในรถ หลังจากถูกเชิญขึ้นรถโดยไม่ได้บอกจุดหมาย
ปลายทางมาสักพัก

“ไปเตรียมสถานที่ให้เจ้าตัวบนตักคุณหมอนั่นไงครับ” เจ้าดำส่งเสียงตอบรับได้จังหวะพอดิบพอดีราวกับฟังรู้เรื่อง หัวกลมเล็กยืดขึ้น
ถูหัวอ้อนให้มือขาวของคุณหมอลูบ ๆ เกา ๆ ต่อจากเมื่อครู่ที่หยุดไป

ผมหันไปมองหน้าคู่สนทนาที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามมากมาย แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงแค่พยักหน้ารับทราบเล็กน้อยเท่านั้น

“แล้วนี่ลุงโชคกลับแล้วหรือครับ” ผมแอบหลุดยิ้มกับคำถามชวนคุยทำลายบรรยากาศนั้น

นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถผมจนผ่านไฟแดงมาด้วยกันหลายแยก เพิ่งสงสัยหรอกหรือครับคุณหมอ

“ผมให้ลุงแกกลับไปก่อนเองน่ะครับ ตะลอนกับผมทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้แกต้องไปส่งน้องชมพูแต่เช้าด้วย อีกอย่างผมไม่รู้ว่าคุณหมอจะเสร็จกี่โมง”

“ขอโทษครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะเลทมาจนดึกขนาดนี้”

“ขอโทษอะไรกันล่ะคุณหมอ ก็ผมจะรบกวนให้คุณหมอช่วย ผมก็ต้องรอคุณหมออยู่แล้วล่ะครับ”

อีกอย่างที่ผมไม่ได้พูดออกไปคือ…ผมเอง ณ ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าจะให้คุณหมอช่วยทำธุระอะไรดี

การเลือกให้ลุงโชคกลับก่อนจึงเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าทำถูกแล้ว จะให้แกกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ เพียงเพราะผมไม่อยากผิดคำพูดที่เป็นเพียงบทละครที่คุณหมอคิดขึ้นเพื่อเอาตัวรอดเฉพาะหน้าเฉย ๆ มันก็ดูจะใช้แรงงานลุงแกเกินไปหน่อย

อีกอย่างผมไม่อยากกินเวลาครอบครัวของใครหลังเวลางานนัก หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริง ๆ

“ว่าแต่คุณหมอหิวหรือยังครับ”

“ยังหรอกครับ เราทำธุระให้เจ้าตัวเล็กกันก่อนก็ได้”

คนรักเด็กส่วนใหญ่มักจะรักสัตว์ด้วย คำนี้เห็นทีจะจริง ผมสังเกตหลายครั้งแล้ว คุณหมอไม่เคยเรียกสัตว์ตัวไหนให้ช้ำเลยสักครั้ง ทั้งที่เจ้าหน้าขนที่ส่งเสียงครางเบา ๆ เมื่อถูกเกาคางให้จนทำหน้าฟินเสียเหลือเกิน มองยังไงผมก็ยังนึกไม่ออกว่ามันน่ารักยังไงกัน

“ทำไมมองแบบนั้นล่ะครับคุณชัด” คิ้วเรียวขมวดหากันเล็กน้อย เช่นเดียวกับตากลมสีดำสนิทของคุณหมอที่ดุขึ้นมานิดหน่อย (ที่แปลว่าดุขึ้นนิดหน่อยมาก ๆ)

แล้วนี่ผมผิดอะไร ถึงโดนกวางดุเข้าให้อย่างนี้

“หมอ หมอรู้ไหมว่าหมอไม่ได้น่ากลัวเลย” เห็นหน้าแบบนั้น ผมก็อดแกล้งเล่นไม่ได้

คนโดนแซวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกลับไปสนใจก้อนขนสีดำบนตักอีกครั้ง

สู้ไม่ได้แล้วเงียบใส่เสมอเลยนะครับคุณหมอ

ถ้าตำแหน่งขวัญใจน้องชมพูสู้กันง่าย ๆ เหมือนที่ผมแหย่คุณหมอเล่นแบบนี้ ผมคงชนะไปนานแล้ว



“ไม่นึกว่าคุณชัดจะอยู่ที่ตึกบริษัทแบบนี้ ผมนึกว่าคุณชัดอยู่บ้านกับน้องชมพูมาตลอด” คุณหมอถามขึ้นเมื่อประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นสูงสุดของอาคารบริษัทซึ่งถูกออกแบบให้เป็นที่พักอาศัย

“ก็ใช่ครับ แต่ตอนนี้ผมอยู่ที่นี่เป็นหลัก อีกอย่างผมไม่รู้ว่าหลานจะแพ้ขนสัตว์หรือเปล่า เอามาเลี้ยงไว้ที่นี่น่าจะเหมาะกว่า เชิญครับ” ผมวางกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงไว้บนหลังตู้เก็บของตู้เล็กข้างลิฟต์ เพราะคงไม่ได้ใช้งานอีกแล้วในวันนี้

จากนั้นจึงเดินนำแขกมาที่โถงรับรอง คุณหมอนั่งลงที่โซฟามือยังอุ้มประคองก้อนดำไว้ไม่วางตั้งแต่เกาคางจนหลับคาอก

สงสัยผมจะได้แมวที่ติดมือเสียแล้ว ตอนอยู่ในกระเป๋าไม่เห็นจะนิ่งเท่านี้ เอาแต่ร้องประท้วงข่วนเกาจนคนนั่งข้าง ๆ ตัดสินใจเอื้อมมือไปด้านหลังแล้วพามันออกมาสู่อิสรภาพบนตัก

“ไหนละครับ อุปกรณ์เลี้ยงเด็กที่คุณพ่อคุยโวว่าเตรียมไว้”

จะเปิดศึกใหม่หรือครับหมอ

“ใจเย็นสิครับคุณป๊าหมอเดียร์ ตอนนี้คุณพ่อชัดหิวมาก ขออนุญาตชวนคุณป๊าทานข้าวก่อนได้ไหมครับ” พอพูดจบผมเองก็รู้สึกแปลก ๆ ไม่ต่างจากหน้าขาวนวลของคุณหมอที่มองค้างอยู่หรอกครับ

จั๊กจี้ชะมัด

แต่ขอนับเป็นอีกชัยชนะของผมแล้วกันนะครับคุณหมอ

ผมไม่ได้โกหกหรือต้องการแกล้งอะไรหมออีกหรอกนะครับ ที่บอกว่าหิวคือหิวจริง ๆ นั่นแหละ ทีแรกกะว่าจะแวะหาร้านข้าวชวนหมอกินก่อนเข้ามาที่นี่ ติดที่มีแมวมาด้วย ผมเองก็ยังไม่รู้จักร้านอาหารที่ให้พาสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้ด้วยมากนัก เลยมัดมือชกพาคุณหมอเข้ามาที่พักเลย ทำกินเองง่าย ๆ น่าจะดีกว่า

เท่าที่ได้พูดคุยกันมา หมอเองน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันและไม่ใช่คนถือตัวอะไร พามากินอาหารง่าย ๆ ทำเองฉบับเชฟบ้าน ๆ แบบผม คงจะไม่เป็นอะไร ก็หวังว่าผมจะเดาถูก



“ให้ช่วยอะไรไหมครับ” เสียงเอ่ยถามมาจากหน้าประตูครัว

“เสร็จพอดีครับหมอ หมอช่วยยกไปที่โต๊ะอาหารแล้วกันนะครับ" แขกผู้เสนอตัวมาช่วยเดินเข้ามาหยิบจานสปาเกตตีขี้เมาออกไปให้

“อย่าถือสาเลยนะครับคุณหมอ ไว้วันหลังผมแก้มือพาไปเลี้ยงขอบคุณดี ๆ อีกทีแล้วกันนะครับ”

“นี่ก็ไม่ได้แย่เลยนะครับ อร่อยเลยด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าคุณชัดจะเข้าครัวด้วย” พูดจบเจ้าตัวก็ม้วนเส้นสปาเกตตีเข้ากับช้อนเป็นก้อนพอดีคำเข้าปาก คำแล้วคำเล่า

ไหนว่าไม่หิวไงครับเนี่ย

เอาเถอะ เห็นคนกินชอบคนทำแบบผมก็ดีใจแล้ว ตอนอยู่เมืองนอกผมก็มักทำอาหารให้เพื่อนกินบ่อย ๆ ผมชอบความรู้สึกที่ได้เห็นคนกินอาหารฝีมือผมมีความสุขในรสชาติของมัน

ถ้าไม่นับธุรกิจที่บ้าน อาชีพเชฟก็เป็นอีกอย่างที่ผมสนใจและอยากลองเรียนเหมือนกัน

“ถ้าไม่เหนื่อยจนเกินไป ผมทำกินเองบ่อย ๆ นะ น่าจะติดนิสัยมาตั้งแต่ตอนเรียน พอไม่มีคนทำให้กินเหมือนตอนอยู่บ้านก็ต้องหัดทำเอง ซื้อกินทุกมื้อมันแพงน่ะครับ”

“เก่งนะครับ ผมอยู่คนเดียวเหมือนกัน แต่แทบจะไม่เคยทำกินเองเลย”

“ไม่หรอกหมอ ของผมสถานการณ์มันบังคับน่ะ”

จากนั้นมื้ออาหารก็เต็มไปด้วยบทสนทนาหลากหลายเรื่อง ทำให้เป็นมื้อที่กินเวลายาวนานกว่าปกติไปเยอะทีเดียว คุยไปคุยมาเหมือนว่าผมจะได้ศัตรูหัวใจเป็นเพื่อนเสียแล้ว

อาจจะไม่ได้มีเรื่องที่สนใจเหมือนกันมากนักอย่างคุณโจเซฟ แต่เป็นคนที่คุยแล้วสร้างบรรยากาศสบายใจได้อย่างน่าไม่น่าเชื่อ

บทสนทนาลากยาวมาจนถึงห้องครัวอีกครั้ง เพราะแขกอาสาล้างจานให้แบบมัดมือชกด้วยการรวบเก็บจานมาล้างเองเสียดื้อ ๆ ผมจึงต้องเดินมายืนคุยเป็นเพื่อนแขกเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป

“ให้แขกมาล้างจานเองแบบนี้ ถ้าพี่ผมรู้ผมโดนเละเลยนะหมอ”

“แล้วผมจะไปบอกพี่คุณได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่รู้จักเสียหน่อย” แขกผู้ยอกย้อนวางจานที่ชั้นวาง หันไปเช็ดมือกับผ้าเช็ดมือที่แขวนไว้ใกล้ ๆ

“ก็จริง”

ผมเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่สรรพนามเราฟังดูเป็นกันเองขึ้นเรื่อย ๆ

ถึงหมอจะเป็นเพื่อนใหม่ของผมที่ใช้เวลาในการสร้างบรรยากาศสบายใจและเป็นกันเองสั้นที่สุดในบรรดาเพื่อน ๆ ที่ผมเคยรู้จักมาก็เถอะ แต่เรื่องเป็นคู่แข่งตำแหน่งขวัญใจน้องชมพูยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นถึงหมอจะอยู่ในหมวดหมู่เพื่อนผมแล้ว แต่ตำแหน่งขวัญใจหลานสาวต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น อย่าหวังว่าผมจะอ่อนข้อให้



“ว่าแต่ไหนล่ะครับเรื่องที่จะให้ผมช่วย”

“เอ่อ…น่าจะอยู่ด้านนู่นมั้งครับ” ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าอุปกรณ์ทั้งหลายที่ฝากเลขาคนเก่งของผมจัดการให้ มันถูกจัดวางไว้ตรงไหนบ้าง เลยเดาว่าน่าจะอยู่โซนตรงข้ามกับฝั่งห้องนอนผม

ผมเดินนำคุณหมอมาที่โซนอีกด้านของชั้นที่ออกแบบให้เป็นห้องทำงานและห้องรับรองแขกรวมถึงมีโซนฟิตเนสขนาดกลางแต่อุปกรณ์ครบครันของผม

และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เลขาผมทำงานดีเสียจนอยากมอบรางวัลให้ ต้องออกตัวชมเลยว่าผมโชคดีมากที่ได้เลขาที่มีเซ้นดีและทำงานละเอียดรอบคอบ ความช่างสังเกตทำให้เธอมักเดาใจผมถูกเสมอว่าผมต้องการแบบไหน ซึ่งครั้งนี้เธอก็ยังคงเดาถูกว่าผมไม่ต้องการจะนอนร่วมห้องกับแมวหรือสัตว์ใด ๆ ทั้งสิ้น ของต่าง ๆ จึงถูกจัดวางไว้ที่อีกโซนของที่พัก แถมทำดีถึงขนาดที่ว่าเอาไปไว้ในห้องนอนรับรองแขกห้องเล็กที่ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ เพราะเพื่อนในไทยผมมีไม่มาก และถึงจะมีเพื่อนมาค้างก็มักจะใช้แค่ห้องรับรองใหญ่อีกห้องเสียมากกว่า

“ก็เรียบร้อยดีนี้ครับ อาหารน้ำก็มีเทไว้แล้วด้วย”

เออ…นั่นซิ

หรือว่าความเก่งของเลขาผมจะเป็นข้อเสียกันแน่ เล่นเตรียมทุกอย่างพร้อมสรรพจนผมไม่รู้จะหาธุระที่ไหนมาอ้างให้หมอมาช่วย

หมอเดียร์นั่งสำรวจบ้านกระดาษ และเบาะนอนแมว ก่อนจะเงยหน้า ช้อนตาขึ้นจ้องผมอย่างรอคำตอบ

เอาไงดีชัดเจน…คิดให้ออก ให้หมอทำอะไรดี

หมอครับ อย่ามองขนาดนั้นได้ไหม คนมันกดดัน

“เอ่อ ผมไม่แน่ใจว่าปกติแมวมันนอนตัวเดียวได้ไหม ผมไม่ชินกับการมีสัตว์เลี้ยง เลยไม่สะดวกให้นอนด้วยน่ะครับ” ผมรู้ว่ามันฟังดูประหลาดมาก แต่ผมคิดได้เท่านี้ในตอนนี้

หมออย่าทำหน้าสงสัยแบบนั้นได้ไหมครับ

“นอนได้ครับ แต่ก็แล้วแต่นิสัยของสัตว์แต่ละตัว ส่วนใหญ่น้องแมวเขาจะมีโลกของเขา แต่กับบางตัวก็ติดเจ้าของมากครับ ต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไป”

“อ๋อ ครับ”

“เรื่องที่ให้ช่วย คงไม่ได้หมายถึงคำถามเมื่อกี้คำถามเดียวหรอกใช่ไหมครับ”

“แน่นอนซิครับ” ตอบไปแล้วก็อยากจะเขกหัวตัวเอง แต่จะให้ยอมรับว่ามีแค่คำถามนั้นที่นึกออก มันได้ที่ไหนกัน คราวนี้ผมก็ต้องกลับมานึกธุระใหม่ให้คุณหมอช่วยอีกครั้ง

“แล้ว…?” อย่ามองด้วยหน้าตาคาดหวังแบบนั้นได้ไหมหมอ

“เฮ่อ ขอโทษนะหมอ ผมนึกธุระไม่ออกแล้ว” ผมยอมรับไปตามตรง คนมันนึกไม่ออกจริง ๆ นี่ครับ

คนที่นั่งมองผมอยู่ที่พื้นยิ้มขำผมอย่างเปิดเผยเสียจนผมรู้สึกอายกับการยอมรับออกไปแบบนั้น

โคตรจะเสียฟอร์ม

“เลี้ยงแมวครั้งแรก เลยทำอะไรไม่ถูกสินะครับ” คนตัวเล็กกว่าผมเล็กน้อยยืนขึ้นเต็มความสูงอีกครั้ง

“งั้นเริ่มที่ทำความรู้จักกันก่อนแล้วกันครับ”

“ครับ?”



“น้องก็ดูชอบคุณชัดนะครับ ลองเกาที่คางดูครับ แมวส่วนใหญ่ชอบให้ลูบให้เกาตรงนี้ทั้งนั้น” หมอจับมือผมไปเกาคางเจ้าเหมียวที่ตอนนี้ย้ายตัวมานอนงัวเงียบนตักผม จากการที่คุณสัตวแพทย์แนะนำให้ผมสัมผัสสัตว์เลี้ยงในปกครองตัวเองดู

“แบบนั่นแหละครับ เบา ๆ เห็นไหมน้องเคลิ้มเลย” คุณหมอยิ้มออกมาให้เจ้าลูกแมวบนตัก มือเรียวยังคงประคองมือผมไว้เพื่อชี้นำจังหวะในการเกาคางให้

ผมว่าผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมสัตว์ดูชอบคุณหมอนัก โดยเฉพาะเจ้าดำนี่ ก็มืออุ่นขนาดนี้ไม่แปลกเลยที่พอหมอจับสัตว์ตัวไหนเป็นต้องตัวอ่อนปวกเปียกกันไปเสียหมด

หรือว่าจริง ๆ แล้วสัตว์จะชอบกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ กลิ่นนี้กันแน่ ไม่ฉุนไป ไม่หวานไป ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสงบผ่อนคลาย

นี่ต้องเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับเป็นแน่

“โอ๊ะ” ดูท่าเจ้าเหมียวจะเคลิ้มเกินไปเสียหน่อย เพราะมือเล็ก ๆ นั่นเริ่มขย้ำต้นขาผมเสียแล้ว

“ไม่ต้องตกใจนะครับ แมวนวดนี่ก็เป็นเรื่องที่เจ้าของเจอกันบ่อย เด็กดีจังเลยนะเรา นวดให้คุณพ่อด้วย” ประโยคสุดท้ายคนพูดก้มลงไปชมเจ้าหัวกลมที่ขย้ำขาผมอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เจ็บ ๆ คัน ๆ ดีนะครับ”

“เอาไว้เดี๋ยวผมสอนตัดเล็บให้น้องคราวหน้าแล้วกันนะครับ”

“แล้วนี่คิดชื่อออกหรือยังครับ” คุณหมอเอ่ยถาม

“คุณหมอจะช่วยตั้งให้ไม่ใช่หรือครับ”

ผมคิดชื่อให้เจ้านี่ไม่ออกหรอกนะ นอกจากเจ้าดำ

“ผมไม่ได้รับปากนะ คุณชัดพูดเองเออเองทั้งนั้นเลยนี่ครับ ในรายการน่ะ”

“ผมคิดไม่ออกหรอก”

“ค่อย ๆ คิดก็ได้ครับ รับเป็นพ่อทูนหัวแล้ว ก็เริ่มจากการตั้งชื่อให้น้องเป็นภารกิจแรกแล้วกันนะครับ”

“คุณหมอนี่ใจแข็งจริง” ผมแกล้งบ่นให้ได้ยิน แล้วไม่เกินคาด คุณหมอทำหน้ายุ่งตอบกลับมาตามคาดจริง ๆ เสียด้วย

“พาน้องไปนอนที่เบาะเถอะครับ วันนี้ผมคงต้องขออนุญาตขอตัวก่อน ถ้าคุณชัดไม่มีอะไรให้ช่วยแล้ว”



“ไม่ต้องไปส่งหรอกครับ ขับไปขับมาเสียดายค่าน้ำมันแย่” หมอยืนยันคำเดิมเป็นครั้งที่สอง เมื่อผมเอ่ยขอไปส่งคุณหมอที่คอนโด

“หมอกำลังทำให้ผมรู้สึกผิดนะ พาหมอมาจนดึกดื่นป่านนี้ แล้วยังจะให้กลับเองอีก ห้าทุ่มกว่าแล้วรถไม่ติดหรอกหมอ ผมขับไปส่งแป๊บเดียว” ผมยื่นขอเสนออีกรอบ

“อย่าเกรงใจเลยครับคุณชัด ผมกลับได้ เราเองก็…คนกันเองแล้วนี่ครับ ใช่ไหม” หมอเอ่ยเสียเบาลงเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจกับความคิดตัวเองเหมือนกัน

คนกันเองงั้นเหรอ

“ก็ใช่ครับ แต่เพื่อนคนอื่นผมก็ไม่ปล่อยกลับเองแบบนี้เหมือนกันนะ ยกเว้นแต่มีรถมาเอง” ผมตอบความจริง

ความจริงที่ผมกับคุณหมอเป็นคนกันเองตามที่คุณหมอว่ามา และความจริงที่ว่าถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นในสถานการณ์ที่เพื่อนไม่มีรถแบบนี้ผมก็ไม่ปล่อยเพื่อนโบกรถกลับเองเช่นกัน เพียงแต่ส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วเพื่อน ๆ มักจะมีรถกันก็เถอะ นอกจากกรณีเมาแล้วโทรให้คนที่บ้านมารับก็อีกเรื่อง

“คุณชัดก็เรียกรถให้แล้วไงครับ นั้นไงน่าจะคันนั้น” " หมอชี้ไปที่รถเก๋งสีขาวที่ป้อมรปภ.เพิ่งจะเปิดประตูให้ขับเข้ามาในบริเวณบริษัท

“เฮ่อ หมอเนี่ยนะ งั้นผมขอแลกคอนแทกต์หมอไว้ได้ไหมครับ ถึงแล้วจะได้ติดต่อกันได้ อีกอย่างผมน่าจะต้องมีเรื่องรบกวนหมออีกเยอะเกี่ยวกับเจ้าดำบนห้อง”

เมื่อแลกคอนแทกต์กับเรียบร้อยแล้ว ผมก็ส่งหมอขึ้นรถที่เรียกมาให้

“ถึงแล้วยังไงหมอส่งข้อความมาบอกผมหน่อยแล้วกันนะครับ” เจ้าตัวยิ้มตอบรับก่อนจะเลื่อนกระจกปิด พร้อมกับที่รถออกตัวไปยังหน้าบริษัท



ผมนั่งมองเจ้าก้อนขนดำ ๆ ที่หายใจสม่ำเสมออยู่บนเบาะนุ่มของตัวเอง พลางเช็ดผมที่หมาดจนใกล้แห้งหลังจากอาบน้ำเสร็จสักพัก

ผมกดดูโทรศัพท์อีกรอบ เพราะคนที่กลับไปสักพักแล้วยังไร้วี่แววการส่งข้อความมา

“นี่ปะป๊ากวางแกลืมหรือเปล่าวะเนี่ยไอ้ดำ”

ผมยื่นนิ้วไปเกาพุงเจ้าตัวเล็กเล่นเมื่อมันพลิกหงายท้องนอนแผ่จนน่าอิจฉาในความสุขสบายของมัน จนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์นั่นแหละ ผมถึงละมือจากพุงนุ่มนิ่มมาปลดล็อกเข้าหน้าแอปพลิเคชัน

“โอเค ฝันดีนะไอ้ดำ ฉันไปนอนบ้างดีกว่า”



Dear : ผมถึงคอนโดแล้วนะครับ ขอบคุณเรื่องค่ารถ แล้วก็สู้ ๆ กับบทบาทพ่อแมวมือใหม่นะครับ

Dear : ขอโทษที่ส่งมาช้า พอดีเจอรถติดตอนห้าทุ่มกว่าน่ะครับ ดีแล้วที่คุณชัดไม่ได้มาส่ง ผมบอกแล้วว่าอย่าประมาท
กับการจราจรในกรุงเทพ ฝันดีครับ