ชัดเจนผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอด อยู่ ๆ หลานสาวก็มีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่าเดียร์ ที่น้องชมพูถึงกับพูดว่าเขาคือเจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ เขาคงต้องลงมือกำจัดกวางให้พ้นทางเสียแล้ว

come to be my deer - บทที่ 8 กระแสใหม่ โดย summer_T @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ไทย,อื่นๆ,นิยายเกย์,นิยาย18+,boylove ,#BL,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

come to be my deer

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ไทย,อื่นๆ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายเกย์,นิยาย18+,boylove ,#BL,รักวัยรุ่น,นิยายวาย

รายละเอียด

ชัดเจนผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอด อยู่ ๆ หลานสาวก็มีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่าเดียร์ ที่น้องชมพูถึงกับพูดว่าเขาคือเจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ เขาคงต้องลงมือกำจัดกวางให้พ้นทางเสียแล้ว

ผู้แต่ง

summer_T

เรื่องย่อ

Come to be my Deer : หลงกวาง


#หลงกวาง



เมื่อหนุ่มนักธุรกิจอย่าง ชัดเจน ผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอดอยู่ ๆ

บัลลังก์ก็สั่นคลอนเพราะมีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่า เรนเดียร์

ที่น้องชมพูหลานสาวเพียงหนึ่งเดียวถึงกับพูดว่า "ครู (หมอ) เดียร์ คือ เจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ" ด้วยวัยเพียง 5 ขวบ

อย่างนี้เขาคงต้องกำจัดกวางป่าให้พ้นทางเสียแล้ว

สารบัญ

come to be my deer-บทที่ 1 ขวัญใจ (คนใหม่),come to be my deer-บทที่ 2 ผู้ปกครองน้องชมพู,come to be my deer-บทที่ 3 ลงสนาม,come to be my deer-บทที่ 4 สายตาคืออาวุธ,come to be my deer-บทที่ 5 พ่อทูนหัว,come to be my deer-บทที่ 6 สวัสดีเพื่อนใหม่,come to be my deer-บทที่ 7 ติดตามผลงาน,come to be my deer-บทที่ 8 กระแสใหม่,come to be my deer-บทที่ 9 เด็กดี,come to be my deer-บทที่ 10 มองหา,come to be my deer-บทที่ 11 เป็นข่าว,come to be my deer-บทที่ 12 วันหยุด,come to be my deer-บทที่ 13 ถอย,come to be my deer-บทที่ 14 เคลียร์,come to be my deer-บทที่ 15 เริ่มต้น,come to be my deer-บทที่ 16 พร่ามัว,come to be my deer-บทที่ 17 คืนฉลอง,come to be my deer-บทที่ 18 ความกลัว,come to be my deer-บทที่ 19 สิ่งที่เลือนหาย,come to be my deer-บทที่ 20 ภาพถ่าย,come to be my deer-บทที่ 21 รับรู้,come to be my deer-บทที่ 22 ประกาศตัว,come to be my deer-บทที่ 23 เยือนถิ่นกวาง,come to be my deer-บทที่ 24 เข้าฝูง,come to be my deer-บทที่ 25 ล่อ(ลวง)กวาง,come to be my deer-บทที่ 26 หลงกวาง,come to be my deer-บทที่ 27 พิเศษ1 ฝูงกวาง,come to be my deer-บทที่ 28 พิเศษ2 กวางเชื่อม,come to be my deer-บทที่ 29 พิเศษ3 กวางเหลียวหลัง

เนื้อหา

บทที่ 8 กระแสใหม่

“ไงจ๊ะ พ่อกวางหนุ่มของพี่ บอกแล้วว่าอย่ารับเคสผ่าไปหมดคนเดียว เป็นยังไง เยินล่ะสิ” พี่จิ๊บส่งแก้วน้ำดื่มมาให้ เมื่อผมผ่าเคสสุดท้ายของสัปดาห์เสร็จ

“ขอบคุณครับ” ผมรับมาดื่มพร้อม ๆ กับรุ่นพี่สาวท้องแก่ที่ค่อย ๆ ย่อตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างกัน

“หรือให้พี่ถามน้องใหม่อีกทีดูไหม ว่าเข้ามาทำงานเร็วขึ้นได้หรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอกครับ อีกสองอาทิตย์เอง ว่าแต่พี่จิ๊บทำไมยังไม่กลับล่ะครับ วันนี้คิวถ่ายรายการถึงแค่บ่ายกว่า ๆ เองนี่ครับ” ผมที่เพิ่งจะนึกได้เอ่ยถามคนข้าง ๆ ออกไป

วันนี้เป็นอีกวันที่มีคิวย่อยของรายการเข้ามาถ่าย เพราะมีเด็ก ๆ สองสามตัวที่มีคิวนัดฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 วันนี้ ซึ่งพี่จิ๊บอาสารับคิวฉีดเองทั้งหมด เนื่องจากผมยกเอาเคสผ่ามากองไว้กับตัวเสียยกตาราง

“นี่ เกินไปแล้วนะเราน่ะ พี่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่นี่นะจ๊ะ จะให้พี่กลับก่อนเลิกงานได้ไง ถ่ายเสร็จไว พี่ก็ทำงานต่อสิจ๊ะ”

“เดียร์บอกแล้วว่าเดียร์ดูคลินิกให้ไงครับ ดูสิเท้าบวมหมดแล้วพี่” ผมจงใจเอ่ยเสียงนิ่งขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตามที่คุยกันไว้เมื่อต้นอาทิตย์ผมเพิ่งบอกให้พี่จิ๊บกลับบ้านได้เลยหลังคิวถ่ายรายการของอาทิตย์นี้เสร็จ ไม่ต้องห่วงงานที่คลินิก

“แหม ใส่ใจจังนะเรา ดูแลดีแบบนี้ พี่อยากเปลี่ยนสามีเลยเนี่ย” และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง พี่จิ๊บไม่เคยกลัวคำดุเด็ก ๆ ของผมเลยสักครั้งเดียว

“เอาน่า ๆ เข้าใจแล้ว อย่ามาทำคิ้วขมวดใส่พี่ เพราะมันน่าเอ็นดูมากกว่าน่ากลัวจ้ะ แล้วนี่รู้ตัวไหมเนี่ยว่ามีแต่คนถามหาไปทั้งกอง พี่เนี่ยตอบคำถามเรื่องเรามากกว่าเรื่องหมาแมวอีก ไปน่ารักใส่ใครมาบ้างบอกพี่มาเลย”

“แล้วใครล่ะครับที่ถามหาเดียร์”

“หลัก ๆ ก็เจ้าเดิมแหละ คุณแฟรงค์ คู่จิ้นคนดีคนเดิมเธอไง” พี่จิ๊บตีไหล่ผมเบา ๆ

ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบา ๆ กับชื่อนั้น รู้สึกดีขึ้นมากับคิวผ่าที่แน่นของวันนี้ที่ทำให้ไม่ต้องเจอกัน ผมไม่อยากจะเป็นตัวสร้างกระแสให้ใคร หรือสิ่งใดทั้งนั้น แค่รักษาสัตว์ก็ใช้พลังชีวิตมากพอแล้ว อย่าให้ผมต้องไปควบตำแหน่งเป็นนักการตลาดอีกอาชีพเลย

“ดูทำหน้าเข้า ถามจริงเดียร์ยังชอบเขาหรือเปล่า พี่รู้สึกว่าช่วงนีหลัง ๆ เดียร์ดูห่าง ๆ และก็ดูหลบ ๆ เขานะ หรือพี่คิดไปเอง แต่…เขาก็ดูสนใจเดียร์อยู่นะ ถามหาตลอดเลย”

“นั่นสินะครับ”

ผมเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้ยังมีเท่าเดิมไหม แล้วที่ผ่านมามันเรียกว่าชอบหรือเปล่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจ

“อย่าทำหน้าเครียดสิ พี่ไม่ถามแล้วดีกว่า อย่าถือสาพี่เลยนะ พี่ก็ปากไวพูดไปเรื่อย จนบางทีก็ลืมคิดถึงคนฟัง” พี่จิ๊บลูบแขนผมไปมาอย่างที่มักทำบ่อย ๆ เวลาปลอบผมเมื่อผมบ่นว่าเครียดตอนช่วงใกล้สอบสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“บ้าน่าพี่จิ๊บ เดียร์ไม่ได้โกรธ แค่…มันตอบยากน่ะครับ”

“เออ จันทร์หน้าช่วงบ่ายพี่ลานะจ๊ะ ฝากเราเรื่องงานเปิดตัวรายการแล้วกันนะ ไม่อยากออกงานตอนท้องโตเท่าไหร่ เดี๋ยวไม่สวย” พูดจบคนท้องก็ค่อย ๆ ยกตัวเองขึ้นลุกยืนโดยมีผมช่วยประคองหลังให้

“งานเปิดตัว?”

“ตายจริง พี่ยังไม่ได้บอกเดียร์หรือ ว่ารายการเขาอยากให้เดียร์ไปแถลงข่าวด้วย แล้วมันดันมาตรงกับคิวตรวจครรภ์ที่พี่เลื่อนมาพอดี พี่เลยตอบตกลงเขาให้เดียร์ไปคนเดียวแทนแล้ว”

“ยังครับ พี่จิ๊บยังไม่ได้บอก เดียร์นึกว่าพี่จิ๊บจะไปเหมือนรอบก่อน”

“เอ่อ…เอาเป็นว่ารู้แล้วเนาะ” ต้นเรื่องหัวเราะแห้งกลบเกลื่อน

“พี่จิ๊บ วันจันทร์เช้าเดียร์มีเชิญบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัย แล้วก็ตอนเย็นต้องไปรับน้องเบลล์ที่สนามบินด้วย”

“ตายแล้ว งั้นเอาไงดี ให้พี่ปฏิเสธเขาไปดีไหม”

“แถลงข่าวบ่ายโมงครึ่งใช่ไหมครับ” พี่จิ๊บพยักหน้ารัวๆ

“งั้นน่าจะพอทัน แต่เดียร์อาจจะต้องขอกลับก่อนงานจะจบ เพราะน้องเบลล์เครื่องลงสี่โมง” ผมเปิดปฏิทินในมือถือที่ลงตารางงานที่ต้องทำในแต่ละวันขึ้นมาดูพร้อมกับลงรายการไปแถลงข่าวรายการแทนที่รายการเข้าคลินิก

“ขอโทษน้า พี่ผิดไปแล้ว” เสียงแตรรถดังมาจากหน้าประตูคลินิก พอมองออกไปก็เจอเข้ากับสารถีประจำกายพี่จิ๊บว่าที่คุณพ่อเดินลงจากรถมารับภรรยา

“ไว้พี่เลี้ยงกาแฟนะ ไปก่อนล่ะ” ว่าเสร็จสามีภรรยาก็พากันเดินประคับประคองท้องใหญ่กันไปที่รถ เป็นภาพที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำเมื่อใกล้เวลาปิดคลินิก

ยิ้มอยู่ได้ไม่นานผมก็ต้องกลับมานั่งคิดแผนการเดินทางเตรียมไว้สำหรับวันจันทร์ ว่าจะทำยังไงให้ไปสามที่ที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันเลยได้ทัน

แค่คิดก็เห็นภาพตัวเองตาลีตาเหลือกล่วงหน้าแล้ว



กว่าจะผ่านสัปดาห์ไปได้ร่างสัตวแพทย์หนุ่มก็แทบแหลก ไหนจะงานที่คลินิก ไหนจะคิวรายการ ยังไม่รวมเรื่องวิ่งวุ่นดูหอพักให้น้องสาว แต่ต่อให้พลังงานชีวิตจะเหลือน้อยแค่ไหนก็ยังพักไม่ได้ โดยเฉพาะตอนนี้



(ครับๆ เดียร์ออกจากมหาวิทยาลัยมาสักพักแล้วครับ น่าจะครึ่งทางแล้ว แต่รถติดมากเลยครับพี่)

(ได้ครับ ครับๆ)



สัตวแพทย์หนุ่มตอบคนปลายสายที่โทรมาสอบถามการถึงเดินทาง เมื่อเห็นว่าอีกไม่ถึงสองชั่วโมงดีจะได้เวลาแถลงข่าวเปิดตัวรายการ

หลังจากฟังเรื่องสถานที่จัดงานเป็นรอบที่นับไม่ถ้วนจบ คุณหมอจึงกดวางสาย ทิ้งตัวลงกับเบาะรถ ที่จอดแช่กับการจราจรในเมื่องหลวงประเทศไทยมาเกือบชั่วโมง



ตากลมดำสนิทก้มมองเวลาที่นาฬิกาบนข้อมือ เครื่องปรับอากาศภายในรถยังคงทำงานได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นกลับดับความร้อนใจของเจ้าของรถไม่ได้เลยสักนิด

“เอาไงดีเดียร์ คิดสิคิด”

นิ้วเรียวเคาะพวงมาลัยครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า

“เอาแบบนี้แหละ สภาพไหนไว้ว่ากันหน้างาน”

เมื่อการจราจรเคลื่อนตัวอีกครั้ง พวงมาลัยจึงถูกหมุนเลี้ยวเข้าซอยชุมชนด้านหน้า วนหาที่จอดอยู่ไม่นานก็ได้ที่เหมาะสมใจ คุณหมอเดินลงไปพูดคุยเรื่องขอจอดรถกับคุณยายที่นั่งฟังวิทยุอยู่หน้าบ้าน

“คุณยายครับ ตรงนี้จอดรถได้ไหมครับ”

“จอดได้ จอดไปเถอะหนุ่ม ลูกยายเขาไปต่างจังหวัด ไม่มีใครมาจอดหรอก”

“งั้นผมรบกวนขอจอดรถไว้หน่อยนะครับ เสร็จธุระผมจะรีบมาขยับออกให้ อันนี้เบอร์ผมนะครับ ถ้ามีอะไรโทรเรียกผมได้เลยครับ”

หลังเคลียร์เรื่องที่จอดและทิ้งเบอร์ติดต่อไว้เรียบร้อย ขายาวก็รีบสาวกลับไปหน้าปากซอย โบกมือเรียกวินมอเตอร์ไซค์ก่อนจะบอกจุดหมายปลายทางแล้วก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายแบบไม่ลังเล





“หมอเดียร์! ตายแล้ว ทำไมสภาพเป็นแบบนั้นละคะ”

ทีมงานเอ่ยทักแทบจะในทันทีที่ผมมาถึงหลังเวที ผมเองก็ไม่ทันได้เช็กสภาพตัวเองว่าเป็นอย่างไร แค่มาให้ทันเวลางานก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ถึงจะเปิดประสบการณ์ใหม่ในการนั่งวินที่เร็วแรงทะลุนรกยิ่งกว่าภาพยนตร์เรื่องโปรดของเบลล์ก็เถอะ แต่ก็ต้องขอบคุณความสามารถของพี่วินคนนั้นที่พาผมฝ่าทุกช่องแคบระหว่างรถจนผมมาถึงก่อนเวลางานได้สำเร็จ

“แล้วสูทละคะ หมอจะเปลี่ยนเลยไหม”

สูทงั้นหรือ?

ตายล่ะ ผมรีบจนลืมว่าต้องเอาสูทที่ทีมงานส่งไปให้มาด้วย อุตส่าห์แขวนไว้ในรถ เตรียมการอย่างดีว่าไม่ลืมแน่ ๆ สุดท้ายก็ลืมหยิบมาจนได้

“เอ่อ ขอโทษครับ ผมลืมหยิบออกมาจากรถ”

ทีมงานหน้าตาตื่นหลังจากผมเอ่ยออกไป ก่อนที่ปัญหาจะถูกส่งต่อไปยังทีมงานคนอื่น ๆ ผ่านทางวิทยุสื่อสาร เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไข

ความจริงแล้วชุดผมไม่ได้จัดว่าแย่ เพราะเมื่อช่วงเช้าผมมีบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัย เพียงแต่สีมันอาจจะไม่เข้ากับงานที่จัดในโทนสีลูกกวาดน่ารัก รู้แบบนี้เปลี่ยนชุดมาตั้งแต่สอนเสร็จเลยดีกว่า พอสำรวจตัวเองดี ๆ ก็รู้สึกปลงกับความคิดตัวเองเมื่อครู่ เพราะพบความจริงที่ว่าต่อให้เปลี่ยนชุดมาเลย สุดท้ายก็คงต้องมีจุดจบเดิมอยู่ดีคือ หาชุดเปลี่ยนใหม่ ดูจากรอยเปื้อนฝุ่นหรืออะไรสักอย่างของกางเกงตรงบริเวณหัวเข่าแล้ว บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าการเดินทางครั้งนี้ ผมผ่านมาหลายช่องแคบเหลือเกิน ต่อให้จะเป็นชุดใหม่หรือชุดเก่าก็คงไม่รอด

“ขอโทษนะครับ พอดีผมมีร้านประจำอยู่ที่นี้ น่าจะพอหาชุดสูทให้หมอทันนะครับ”

คุณชัดที่ไม่แน่ใจว่ามาจากไหนเข้ามาในวงสนทนาปัญหาเรื่องชุดของผมกับทีมงาน และเหมือนที่เกิดขึ้นกับผมแทบจะทุกครั้งคือ ผมไม่ทันได้ตอบอะไร ทีมงานก็หนุนหลังผมให้เดินตามคุณชัดไปด้วยสีหน้าปลื้มปีติ

“ไปครับหมอ ดูจากเวลาน่าจะทัน ถ้าเรารีบหน่อย”

สามสิบนาทีเนี่ยนะ แต่เอาเถอะ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้แล้ว ไม่ทันก็ต้องทัน

ว่าแต่ทำไมต้องจูงมือผมด้วยล่ะ ขาผมไม่ได้สั้นขนาดจะเดินตามคุณไม่ทันหรอกนะครับคุณชัด



“อ้าว คุณชัด สวัสดีครับ มาตัดสูทเพิ่มหรือครับ หรือมารับชุดที่ตัดไว้ เหมียวเช็กให้คุณชัดหน่อย ว่าสูทเมื่อวานก่อนเสร็จเรียบร้อยดีหรือยัง” คนที่ดูเป็นเจ้าของร้านเอ่ยทักทายคุณชัดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เปล่าหรอกครับ พอดีผมมีเรื่องจะรบกวนคุณวุฒิให้ช่วยหน่อยครับ” คุณชัดตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีเสียงหอบสักนิดทั้ง ๆ ที่แทบจะเรียกว่าเหมือนเราวิ่งมาที่ร้าน ผิดกับผมที่หายใจเข้าออกแรงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

“ด้วยความยินดีเลยครับ ว่าแต่คุณชัดจะให้ผมช่วยอะไรครับ” คุณชัดดึงมือที่จับผมมาตลอดทางให้ผมเดินขึ้นมายืนข้างกัน

“ช่วยหาสูทที่เข้ากับคุณหมอให้หน่อยครับ ขอเร็วที่สุด เอ่อ…ขอโทนสีอ่อนนะครับ”

จบประโยคผมก็ถูกพาไปโซนห้องลองชุด และไม่นานสูทสีฟ้าอ่อนพร้อมเสื้อด้านในสีขาวสะอาดตาก็ถูกนำมาให้ ผมถูก
จับแต่งตัวราวกับเป็นตุ๊กตา ทำได้แค่หมุนและบิดตัวตามคำบอกของคุณวุฒิเจ้าของร้านตามที่เจ้าตัวแนะนำอย่างรวดเร็วตอนเดินนำไปห้องลองชุดเท่านั้น ความเป็นมืออาชีพและความชำนาญของคุณวุฒิทำให้ทุกอย่างไวอย่างไม่น่าเชื่อ และที่น่าประทับใจคือสูทพอดีกับผมแบบที่ไม่ต้องเปลี่ยนไซซ์ให้เสียเวลา

เมื่อถูกจับแต่งตัวเสร็จผมก็ถูกพาออกมาหน้าร้านอีกครั้ง คุณชัดนั่งรออยู่ที่โซฟารับรอง

“ขอบคุณคุณวุฒิมากนะครับ ยังไงลงบิลรวมกับสูทตัดรอบก่อนได้เลยนะครับ”

คุณชัดลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมาคว้าข้อมือผมเตรียมออกจากร้านกลับไปยังโซนจัดงาน ถ้าไม่ติดว่าข้อมืออีกข้างผมโดนรั้งไว้ด้วยมือคุณเจ้าของร้านที่จับผมแต่งตัวอยู่เมื่อสักครู่

“เดี๋ยวครับคุณชัด ไหน ๆ ก็ใส่สูทร้านวุฒิเสียเต็มยศขนาดนี้ ขอจัดองค์ประกอบให้ส่งเสริมกันสักหน่อยนะครับ ปล่อยไปแบบนี้มันค้างคาใจ”

ผมไม่มั่นใจนักในเรื่องที่คุณวุฒิเอ่ยว่าหมายถืงอะไร แต่เมื่อคุณวุฒิเห็นคุณชัดยิ้มรับ ผมก็ถูกพามานั่งที่โซฟารับรองพร้อมกับพนักงานชายหญิงที่มารุมล้อมจัดการนู่นนี่ให้ผมอีกรอบด้วยความรวดเร็ว

ทั้งทรงผม ใบหน้า ริมฝีปาก ผมถูกจัดแต่งแต้มด้วยบุคลากรของร้านหลายอัตรา ที่มาพร้อมอาวุธครบมือจนผมเองก็สงสัยว่าทำไมมีของพวกนี้ในร้านขายสูทได้ เมื่อรองเท้าคู่เก่งของผมถูกเปลี่ยนเป็นรองเท้าหนังสีอ่อนเข้าโทนกับสีชุดก็ถือเป็นอันเสร็จพิธีกรรมบูชายัญครั้งนี้

“คุณหมอหล่อมาก รู้ตัวไหมครับ” คุณชัดเอ่ยชม เมื่อผมถูกพามาส่งให้ถึงมืออีกครั้ง ก่อนคุณชัดจะเอ่ยขอบคุณคุณวุฒิแล้วรีบพาทั้งผมและเขากลับไปยังงาน



วันนี้ผมคิดว่าผมคงค่อนข้างเบลอนิดหน่อย จากตารางชีวิต รวมถึงการถูกส่งตัวจากคนนั้นไปคนนี้ ถูกจูงโดยคนนี้และคนนั้น ทำให้ผมไม่ทันได้คิดปฏิเสธการเดินจูงมือไปกลับของคุณชัด จนกระทั่งโดนเอ่ยทักเมื่อเราเดินกลับมาถึงหลังเวทีอีกครั้ง

“เดียร์เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมคุณชัดต้องพาเดินมาแบบนั้น”

คุณแฟรงค์เดินเข้ามาทัก และนั่นก็เพิ่งทำให้ผม อันที่จริงน่าจะคุณชัดด้วยที่เพิ่งสังเกตว่าเราจับมือกันอยู่ พอรู้ตัวจึงรีบปล่อยออกจากกันแบบอัตโนมัติ

“เอ่อ…เปล่าครับ” ผมตอบไปตามจริง คุณชัดเดินแยกออกไปนั่งใกล้กับผู้จัดการของคุณใบพลู

“งั้นไปนั่งรอก่อนไหม ใกล้ถึงคิวขึ้นเวทีแล้ว” คุณแฟรงค์ขยับมายืนคู่กับผมแล้วโอบไหล่อย่างเมื่อก่อนที่เขาชอบทำเสมอ

มีเสียงกรี๊ดแว่วขึ้นมาจากกลุ่มคนที่มารายล้อมด้านหลังเวทีเล็กน้อย เมื่อมือหนาวางบนไหล่ผม พอมองไปรอบ ๆ ผมเองก็เพิ่งสังเกตจริง ๆ ว่ามีคนมารอเยอะมากแล้ว อาจจะเป็นเพราะมัวแต่รีบร้อนก่อนหน้านี้จนไม่ทันได้สังเกต หลายคนยกกล้อง ไม่ก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศงานและดาราศิลปินที่ชื่นชอบ และถ้าผมไม่ได้คิดไปเองเกินไปนักผมว่ามีกล้องหลายตัวที่หันโฟกัสมาทางผมและคุณแฟรงค์ รวมถึงสื่อมวลชนบางสำนัก

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” ผมเบี่ยงตัวออกจากการโอบไหล่การตลาดนี้ และเหมือนโชคช่วยทีมงานรันคิวเอ่ยเรียกขึ้นเวทีพอดี

แต่วันนี้คงไม่ใช่วันของผม เพราะกลายเป็นว่าผมต้องมานั่งติดกับคุณแฟรงค์อีกครั้งบนเวที ความจริงผมก็พอจะเดาได้จากรายการซีซั่นก่อน ๆ ว่ามันมีกระแสอะไรระหว่างผมกับคุณแฟรงค์ การที่จะขายโมเมนต์เลี้ยงกระแสแม้จะไม่ได้เป็นดาราศิลปินกันทั้งคู่แต่ก็ยังมีเรื่องให้ดึงคนมาดูรายการได้บ้างไม่มากก็น้อย

มันคือกลไกการตลาดแบบที่เราพบเจอกันเสมอ



งานดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน พิธีกรและทีมงานดำเนินงานได้ราบรื่นเป็นไปตามตารางเวลาและสคริปต์ที่วางไว้

“ว่าแต่ซีซั่นนี้ คุณหมอเดียร์คงหนักใจน่าดูนะครับ” พิธีกรหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขี้เล่น

“ครับ?”

“อ้าว คุณหมอไม่ได้ตามเทรนชาวโซเชียลหรือครับ หลังจากปล่อยตัวอย่างรายการไป เรือคุณหมอแล่นในน่านน้ำหลายลำเลยนะครับ” เสียงกรี๊ดดังขึ้นหลังจบประโยค

“เอ่อ…ไม่ได้ตามเลยครับ”

ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้กลับไป เพราะผมไม่ได้ตามข่าวหรือเทรนอะไรนั่นจริง ๆ แต่พอได้ยินคำว่าเรือ บวกกับป้ายกระดาษอันน้อย ๆ สามสี่อันท่ามกลางป้ายไฟชื่อดารานักแสดงท่านอื่น ๆ ก็พอจะเดาได้ เพียงแต่ผมมองไม่ชัดว่าเป็นชื่อใครบ้างที่โดนมาจับคู่กับผม

“ช่วงนี้งานเดียร์เขาหนักนะครับ อย่าว่าแต่ตามข่าวเลย ตามตัวยังแทบไม่ได้เลยครับ” คุณแฟรงค์เอ่ยเสริมขึ้น ซึ่งก็เรียกเสียงกรี๊ดได้อีกรอบ

“แหม รู้เยอะไปหมดคน ๆ นี้” พิธีกรรับต่ออย่างเป็นงาน

“ก็ต้องรู้เยอะให้สมกับเป็นเรือหลักของคุณหมอจริงไหมครับ” เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกระลอก

“จะเป็นแค่เรือหรือคะคุณแฟรงค์ นี่ซีซั่น 3 แล้วนะคะ พายนานจัง” คุณใบพลูที่นั่งถัดจากคุณชัดที่เก้าอี้แถวหน้าหันมาเอ่ยแซว ทุกคนในงานหัวเราะสนุกสนานกับคำพูดน่ารักขี้เล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ

“จะเป็นแค่เรือไหม อันนี้สงสัยต้องถามเดียร์เขาครับ อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่เขา” คราวนี้เสียงกรี๊ดดังจนก้องลานห้างที่จัดงานไปทั่วบริเวณและยาวนานกว่าทุกครั้ง ผมเห็นเด็กผู้หญิงบางคนหยิบตุ๊กตาพวงกุญแจขึ้นมากัดด้วย

“หมอเดียร์ว่ายังไงครับ” พิธีกรหันกลับมาถามผม

“เอ่อ…” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะใจเต้นกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว กลับกันมันกับทำให้ผมอึดอัดและทำตัวไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า ผมไม่ถนัดการออกงานแบบนี้เท่าไหร่ยิ่งวางตัวไม่ถูกไปกันใหญ่

“อย่ารีบให้คุณหมอตัดสินใจเลยครับ ไหนว่ามีเรือหลายลำ ให้ลำอื่นเขาได้ลองพายก่อนดีไหมครับ” เป็นคุณชัดที่ตอบแทรกขึ้นมา เกิดความเงียบชั่วครู่ก่อนที่เสียงกรี๊ดจะดังขึ้นอีกครั้ง



หลังช่วงสัมภาษณ์บนเวทีเสร็จ ผมจึงขอตัวกลับก่อน เนื่องจากต้องไปรับเบลล์น้องสาวผมที่สนามบินต่อ

“เดียร์ ไม่อยู่ถ่ายรูปรวมหรือ เดี๋ยวมีช่วงขอบคุณสปอนเซอร์บนเวทีอีกนะ ผมอยากให้เดียร์ขึ้นไปด้วยกัน” คุณแฟรงค์เข้ามาถาม เมื่อผมเอ่ยขอบคุณ ขอโทษ และลาทีมงานหลังเวที

“เอ่อ…ผมมีธุระต่อน่ะครับอยู่จนจบงานไม่ได้ ขอตัวนะครับ” ผมรีบเดินเลี่ยงออกมาพร้อมทีมงานหนึ่งคนที่พาผมเดินแหวกฝูงชนมาส่งนอกวงล้อม

“ขอบคุณนะครับ ยังไงก็ขอโทษทุกคนอีกครั้งนะครับที่อยู่จนจบงานไม่ได้” ผมเอ่ยขอโทษอีกครั้ง เธอยิ้มรับแล้วเดินฝ่าฝูงชนกลับเข้าไปหลังเวที



“คุณหมอ กลับยังไงครับ” ผมที่เพิ่งหันหลังเดินแยกกับทีมงานเมื่อกี้หันกลับไปอีกรอบเมื่อถูกเอ่ยเรียก

“คุณชัด”

“เอาเป็นว่า เราไปจากตรงนี้ก่อนแล้วกันครับ” คุณชัดจูงมือผมเดินไปทางทางออกที่เชื่อมไปยังลานจอดรถ เพราะเรายังอยู่ใกล้บริเวณจัดงานทำให้การทักทายเมื่อครู่เริ่มมีคนหันมาสนใจบ้างแล้ว



“กลับด้วยกันไหมครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” คุณชัดถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเราเดินห่างออกมาจากพื้นที่จัดงานพอสมควร

“ผมต้องไปรับน้องสาวน่ะครับ นี่ก็น่าจะโทรตามแล้ว” มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือก็พบว่าเลยเวลาลงเครื่องของเบลล์มานิดหน่อยแล้ว ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาน้องสาว

แต่…

“หาอะไรครับหมอ” คุณชัดหยุดเดิน หันกลับมาถามผมที่หยุดยืนคลำหาของเสียดื้อ ๆ

“โทรศัพท์น่ะครับ”

“ให้ผมโทรเข้าให้ไหม”

ผมพยักหน้าตอบรับ หลังจากคุณชัดกดโทรออก ไม่มีเสียงเรียกเข้าหรือการสั่นบ่งบอกว่าโทรศัพท์อยู่กับผมเลยสักนิด และรอสายอีกพักใหญ่ก็ยังไม่มีคนรับสาย

“หรือว่าอยู่ที่ร้านสูทคุณวุฒิครับ” ผมพูดสิ่งที่คิดออก ณ ตอนนั้น กำลังจะกลับหลังหันเดินไปที่ร้านสูท คุณชัดก็รั้งข้อมือผมไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวผมโทรเช็กให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินมา”

หลังจากคุณชัดโทรเช็กกับทางร้านคุณวุฒิให้แล้ว ก็พบว่าโทรศัพท์ผมไม่ได้ตกหล่นอยู่ที่ร้าน คราวนี้ถึงเวลาเครียดกับปัญหาใหม่จริง ๆ แล้ว

โทรศัพท์ผมถ้าไม่หายก็คงลืมไว้ในรถเช่นเดียวกับสูท ในขณะเดียวกันน้องสาวผมก็รออยู่ที่สนามบิน โดยที่ไม่สามารถติดต่อผมได้

“หมอ อย่าทำหน้าแบบนั้น ไปกับผมก่อน แล้วค่อยว่ากัน” คุณชัดจูงมือผมให้เดินตามเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วผมก็ไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้ผมมึนไปหมด

เหมือนว่าการนอนน้อยที่สะสมกันมาหลายวันมันมาแสดงผลเอาวันนี้วันเดียว ระบบการประมวลผล การแก้ปัญหา หรือการจัดการตัวเองในสถานการณ์ต่าง ๆ ผมรวนไปหมด ภายในหัวผมยุ่งเหยิงแต่กลับว่างเปล่าคิดไม่ตกสักเรื่อง

“หมอจะไปรับน้องสาวที่ไหนครับ”

คุณชัดเรียกสติผมกลับคืนมา และผมเพิ่งค้นพบว่าผมเข้ามานั่งในรถคุณชัดเรียบร้อยแล้วโดยมาลุงโชคเป็นสารถีเช่นเดิม

“เอ่อ…สนามบินดอนเมืองครับ”

“ลุงโชค ไปดอนเมืองนะครับ”

ผมยังเรียบเรียงสถานการณ์ไม่ถูก แล้วนี่คือคุณชัดจะไปรับเบลล์กับผมอย่างนั้นหรือ

“หมอ โทรหาน้องสาวก่อนดีไหม” โทรศัพท์คุณชัดถูกยื่นมาให้จากมือเจ้าของเครื่อง

“ขอบคุณครับ”

ผมรับมากดเบอร์โทรหาน้องสาว และเป็นแบบที่คิด เบลล์ติดต่อผมไม่ได้อยู่หลายสาย แต่โชคดีที่ผมบอกน้องไว้แล้วว่าผมมีงานแทรกอาจจะมารับช้าหน่อย น้องจึงเลือกรอผมอยู่ที่สนามบินก่อนจนกว่าผมจะติดต่อกลับ เมื่อนัดที่เจอกันเสร็จจึงส่งโทรศัพท์คืนให้คุณชัดไป

“เดี๋ยวผมลงข้างหน้าก็ได้ครับ คุณชัดไม่ต้องไปส่งถึงดอนเมืองหรอกครับ”

“มาถึงนี้แล้ว อีกไม่กี่แยกก็ถึงแล้วหมอ” คุณชัดเอนหลังพิงเบาะหยิบขวดน้ำดื่มขวดเล็กใหม่เอี่ยมที่วางเสียบไว้ข้างประตูรถส่งมาให้

“ขอบคุณครับ แล้วนี่คุณชัดไม่อยู่ช่วงขอบคุณสปอนเซอร์หรือครับ”

“ติดธุระเหมือนคุณหมอแหละครับ อีกอย่างพี่สาวผมเขาขึ้นแทนน่ะครับ นี่หมอไม่เห็นน้องชมพูหรอครับ เขานั่งตักแม่เขาติดหน้าเวทีเลยนะ”

ผมพยายามนึกภาพบรรยากาศหน้าเวที แต่อาจจะด้วยความตื่นเต้น นอนน้อย หรืออะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมเห็นคนที่รู้จักหน้าเวทีหรือเปล่า นึกออกแต่กลุ่มผู้คนที่มาล้อมคอยตามเชียร์ศิลปินและคนที่ชื่นชอบที่อยู่ถัดออกไปจากโซนหน้าเวทีที่เป็นแขกและสื่อที่ถูกเชิญมา

“แล้วคุณชัดจะไปธุระของคุณชัดทันหรือครับ มาส่งผมแบบนี้” ในเมื่อคิดไม่ออกก็เปลี่ยนเรื่องเลยแล้วกัน

“ทันสิครับ ก็ทำอยู่”

“อะไรนะครับ”

“ทันครับ ธุระผมไม่รีบเท่าคุณหมอหรอกครับ”

พอได้สนิทกันมากขึ้นผมถึงรู้ว่าคุณชัดมักจะมีมุมยียวนแบบนี้หลุดออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ถึงส่วนใหญ่จะดูเป็นคนใจดี ออกไปทางนิ่ง ๆ ตามมาดนักธุรกิจก็เถอะ เวลาเจอมุมนี้มันก็อดจะหมั่นไส้สีหน้าและน้ำเสียงเสียไม่ได้ ถึงจะรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังช่วยผมอยู่ก็ตาม

ถ้าไม่รีบแล้วทำไมไม่อยู่ให้จบงานล่ะ

“หมอ หมอรู้ไหมว่าจริง ๆ หมอเป็นคนเก็บความลับไม่อยู่” ผมหันไปมองคนพูดด้วยความสงสัย

นี่นอกจากเป็นนักธุรกิจแล้วยังเป็นหมอเดาด้วยหรือ

“ก็หน้าหมอมันชอบแสดงความจริงออกมาไงครับ เนี่ยอย่างเมื่อกี้ กำลังบ่นผมในใจแน่ ๆ ”

เป็นหมอเดาที่เดาแม่นเสียด้วย

“ถึงกับถอนหายใจเลยหรือหมอ” หมอเดาหัวเราะออกมา

“แล้วมีคนบอกคุณชัดไหมครับ ว่าจริง ๆ แล้วคุณชัดเป็นคนกวน ไม่ได้เป็นหนุ่มหล่อมาดนิ่งอย่างที่ใครเขาเข้าใจ”

“มีแล้วครับ ก็พี่สาวผมไง” ผมถอนหายใจอีกครั้งกับความกวนของคุณชัด จะมีครั้งไหนบ้างที่ผมจะเถียงชนะใครเขาบ้างสักที

“แต่ว่านะ เรื่องหล่อเนี่ยผมว่าทุกคนเข้าใจถูกแล้วนะครับ หรือคุณหมอว่าไม่จริง” คู่สนทนาของผมที่เพิ่งชมตัวเองไปหยก ๆ หันมาส่งยิ้มการค้าที่เห็นได้บ่อย ๆ ตามหน้าข่าวบันเทิง

มันก็เถียงยาก เพราะความจริงที่ผมปฏิเสธไม่ได้เลยคือ คุณชัดเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาแบบที่สาว ๆ และคนส่วนใหญ่ต้องนิยมชมชอบแน่ ๆ แล้วยังพ่วงคุณสมบัติทั้งเรื่องบุคลิก การพูด หน้าที่การงาน และฐานะการเงินเข้าไปอีก เจอร้อยคนผมว่าหลงคุณชัดไปแล้วเสียเก้าสิบ

“หมอไม่ตอบแบบนี้ผมเสียความมั่นใจนะครับเนี่ย” คุณพูดทำหน้าตาหดหู่ได้ปลอมที่สุดเท่าที่ผมเลยเห็นมา

“ลุงโชคเจอแบบนี้ทุกวันเหนื่อยไหมครับเนี่ย” ผมตัดบทคนเศร้าแล้วหันไปถามลุงโชคแทน

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ ชินแล้ว” ผมกับลุงโชคหัวเราะพร้อมกันอย่างลืมตัวไปเลยว่าคนที่กำลังพูดถึงก็นั่งอยู่ในรถด้วย

“หมอเดียร์”

“หล่อครับหล่อ พอใจหรือยังครับ คุณชัดเจน” ผมหันไปตอบคำถามคุณชัดในที่สุด เพราะเกรงว่าแกล้งกลับนาน ๆ จะโดนโกรธขึ้นมาจริง ๆ คนรอคำตอบยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจราวกับเด็กเล็ก ๆ

มีลักยิ้มด้วยนี่นา

“แล้วหล่อพอให้ชอบหรือเปล่าครับ”

“ผมว่าพอนะ วันนี้เห็นมีหนุ่ม ๆ สาว ๆ ถือป้ายไฟคุณชัดด้วย”

“ผมหมายถึงหมอต่างหาก”

“ครับ?”

“หล่อพอให้หมอชอบหรือเปล่า”