พั้นซ์จ้างเด็กช่างสุดเกเรอย่างทัชให้มาดูแลตนที่ตาบอดแต่เหมือนราวกับว่าเขาจะคิดผิดและเริ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาดูแลตนหรือพาเรื่องร้าย ๆ มาให้ตนกันแน่
ตลก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ไทย,รักวัยใส,พระเอกดื้อ,พระเอกเกเร,ฟีลกู๊ด,ฮีลใจ,นิยายตลก,ตาบอด,เด็กช่าง,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"ว่าไงไอตัวแสบเรียนจบสักทีนะ"
"ครับพ่อ แล้วแบบนี้จะมีของรางวัลเป็นหมูกะทะรึเปล่า"
"เงินที่ห้อยอยู่ที่คอยังพออีกเหรอะ"
"พ่อไม่เลี้ยงเดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง"
"หู้ยย! แบบนี้ต้องเรียกว่าเจ้แทนคำว่าแม่แล้ว"
"ทะลึ่ง! แต่แวะบ้านก่อนนะจะได้เปลี่ยนชุดสักหน่อย"
"กลัวไม่สวยหรอคุณชมโฉม"
พั้นซ์พ่อและแม่ที่อยู่ภายใต้รถเก๋งสีเทาปีเก่าต่างยิ้มแล้วยิ้มอีกในบทสนทนาหลังจากที่หมดเวลาถ่ายรูปไปหลายชั่วโมงที่มหาลัยกว่าจะได้กลับ ทุกคนต่างออกเสียงตามคุณแม่ว่าจะกลับบ้านก่อนแล้วค่อยออกไปฉลองกันต่อในเวลาถัดไป
รถคันเล็กเลี้ยวเข้าไปติดไฟแดงที่รถจอดต่อกันเป็นแถวยาวเยียด แต่กว่าจะได้ออกตัวพวกเขาต้องรอไฟเขียวอยู่สองรอบถึงจะได้กลายมาเป็นรถคันที่อยู่ด้านหน้าสุดหลังเส้นขาว ทุกคนใช้เวลาที่มีอยู่หันไปพูดคุยกันอย่างด้วยอารมณ์ขบขันระหว่างเสียงวิทยุรายการเพลงที่พ่อเปิดไว้
แต่แล้วเสียงการพูดคุยก็ต้องดับลงภายในเสี้ยววินาทีเมื่อทุกคนหันหน้าพร้อมเพียงกันไปตามเสียงล้อของรถบรรทุก10ล้อที่ถูกเบรกดังเอี๊ยดยาวลากมาแต่ไกลที่กำลังเสียหลักข้ามเลนพุ่งตรงเข้ามาใส่รถคันเล็กของพวกเขา
เป็นเรื่องที่น่าสลดอีกครั้งหนึ่งนะคะ รถบรรทุกถูกตัดหน้าจนต้องหักหลบกระทันหันเสียหลักข้ามเลนพุ่งชนกับรถเก๋งครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกทราบชื่อ นายเมธา สุเวทผู้เป็นลูก นายทศพล สุเวท ผู้เป็นบิดา และ นางชมโฉม สุเวทผู้เป็นมารดา พบผู้เสียชีวิตสองคนคือผู้เป็นพ่อและแม่ค่ะ ส่วนลูกชายอาการบาดเจ็บสาหัสตอนนี้อยู่โรงพยายาบาลอาการเบื้องต้นคือแขนและกระดูกซี่โครงแตกหัก ดวงตาได้รับเศษกระจกหน้ารถเข้าเต็ม ๆ สลบไปยังไม่รู้สึกตัวค่ะ
ครับก็ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยนะครับ
เสียงข่าวสลดเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับครอบครัวของพั้นซ์ต่างดังและออกไปตามสื่อทุก ๆ แห่งภายในชั่วข้ามคืนเพียงเท่านั้นและยังลากยาวความโด่งดังอยู่ไปเป็นเดือน ๆ วันที่ดีที่น่าจดจำกลับเป็นวันที่เขาต้องเกลียดมากที่สุดเพราะความประมาทของผู้อื่นโดยไม่ได้เจตนา
5เดือนผ่านไป
เสียงดีดนิ้วดังขึ้นที่ข้างหูของร่างเพรียวระหงที่นอนโทรมอยู่บนเตียงสำหรับผู้ป่วยและมีเสียงของชายหนุ่มกล่าวขึ้นว่า
"คนไข้ได้ยินหมอไหมครับ"
"หากได้ยินช่วยตอบกลับด้วยนะครับ"
แม้พั้นซ์จะยังรู้สึกตัวแต่ความมืดมิดที่เขาเห็นมันกลับทำให้เขาไม่มั่นใจว่าเขาฝันไปรึเปล่า จนศีรษะของร่างบางขยับตามเสียง
"คนไข้ครับ ได้ยินหมอแล้วเปิดปากตอบเลยนะครับ"
"ได้ยินครับ....." น้ำเสียงแรกที่แหบและแผ่วเบาตอบออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่มี คุณหมอและพยาบาลที่อยู่รอบข้างตัวเขาต่างมองหน้ากันก่อนที่จะรีบจดบันทึกลงสมุด
"เกิดอะไรขึ้นครับหมอ ทำไมโรงบาลมันมืดจนมองไม่เห็นแบบนี้"
"คนไข้ใจเย็น ๆ นะครับ "
"ตอนนี้คนไข้ตาบอดแล้วนะครับ"
"......"
"ว่าไงนะครับผมได้ยินไม่ค่อยชัดเลย" เสียงวี๊ดเข้ามาในหูจนเขาต้องถามซ้ำ
"ตอนนี้ตาของคนไข้กำลังลืมอยู่แต่ไม่สามารถได้รับการมองเห็นได้"
"คุณนอนรักษาตัวมา 5 เดือนแล้วครับและนี้ก็เป็นครั้งแรกที่คุณตอบสนอง"
"คนไข้กลับมามองเห็นไม่ได้อีกแล้วนะครับ"
"ฝันแน่ ๆ ผมต้องตื่นแล้ว"
"ไม่ใช่ฝันนะครับ"
"ผมฝันใช่ไหมครับหมดผมต้องตื่นแล้ว"
"คนไข้ครับมันไม่ใช่ฝัน-"
"มันต้องใช่สิ!!" คนตัวเล็กเปล่งเสียงอย่างสุดกำลังตะคอกคนที่พูดอยู่โต้ตอบเขาจนร่างกายเริ่มกระตุกพยายามจะลุกขึ้นออกจากเตียงแต่เขากลับรู้สึกได้ถึงไอเย็นจากฝ่ามือ3คู่ที่ช่วยกันเข้ามาจับแขนทั้งสองฝั่งและหน้าขาทั้งสองข้างของเขาเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำเช่นนั้น ร่างบางหยุดนิ่งด้วยความตระหนักแล้วว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ความฝัน แขนที่เกรงจะลุกขึ้นตื่นของพั้นซ์เริ่มคลายลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
"เดี๋ยวดิฉันโทรแจ้งญาติคนไข้ให้นะคะ"
เขานอนรอเหมือนคนนอนเหม่อมองเพดานให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ เรื่องราวต่าง ๆ เริ่มโลดแล่นเข้ามาในหัวสมองถึงความจริงที่ว่าเขาตาบอดและมันเป็นไปได้อย่างไรเพราะนี้มันก็ไม่ต่างจากการตายทั้งเป็น เขารออยู่เช่นนั้นหลายชั่วโมงกว่าจะมีคนขอเปิดประตูเข้ามา
"พั้นซ์เป็นไงบ้างลูก นี้ป้าคริสเองนะหนูตื่นแล้วหรอลูก?"
"ครับผมตื่นแล้ว"
"น้าคริสมาได้ยังไงครับ"
"น้าได้ข่าวว่าเราเกิดอุบัติเหตุเลยรีบลงมาจากฝรั่งเศษมาเฝ้าเราไงลูก"
"น้าครับ.....เขาบอกว่าผมตาบอดเรื่องจริงหรอครับ" ใบหน้านวลละออมองมาที่หญิงสาววัยกลางคนด้วยดวงตาสลด
"ตอนนี้หนูมองป้าอยู่...."
"........."
"พ่อกับแม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ"
หญิงสาวหยุดนิ่งอย่างใจหายแต่นั้นก็ไม่อาจทำให้เธอเลี่ยงคำถามที่ต้องมีคำตอบของหลานชายนี้ได้
"พ่อกับแม่หนูเสียไปตั้งแต่วันเกิดเหตุแล้วนะพั้นซ์"
"พิธีศพก็จัดหลังจากมารับร่างที่โรงพยาบาล"
"น้าเอามาให้หนูได้เพียงเท่านี้นะลูก" เธอตอบด้วยเสียงสั่นก่อนจะก้มหยิบของในกระเป๋าสะพายข้างสีขาวออกมา นั้นคือโกศอัฐิทรงแปดเหลี่ยมสีทอง1คู่ขึ้นมาค่อย ๆ นำใส่มือเรียวบางของหลานชาย
ดวงใจที่แตกสลายเรื่องที่ต้องสูญเสียส่วนหนึ่งของร่างกายไปแต่มันกลับทำร้ายหัวใจของเขาไม่พอจึงต้องสูญเสียคนที่เขารักทั้งสองไปอย่างไม่มีวันกลับ น้ำอุ่นร้อนในตาค่อย ๆ พรั่งพรูออกมาคนตัวเล็กกัดริมฝีปากแน่นจนเกิดรอยฟันพยายามกลั้นเสียงสะอื้นร่ำไห้ไว้ในใจไม่ให้เล็ดลอดออกมามือข้างหนึ่งกำผ้าปูเตียงนอนจนยับยู่ยี่ สุดท้ายเขาก็ปล่อยโฮออกมาสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจอย่างมิอาจต้านทานไว้
1 สัปดาห์ผ่านไป หลังจากที่เขาได้เอาแต่จมสู่ห้วงลึกของบ่อน้ำตา ปากของพั้นซ์ซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัดร่างกายที่ผอมอยู่แล้วกลับผอมแห้งมากขึ้นไปอีกผิวขาวที่เคยอมชมพูกลับกลายเป็นสีผิวเผือกจนเห็นรอยเส้นเลือดปูดโปนขึ้น
ญาติพี่น้องทั้งฝั่งพ่อและฝั่งแม่มารับเขาออกจากโรงพยาบาล ใช้นิ้วมือของเขาประทับเพื่อทำเรื่องออกจากที่แห่งนี้
"เรื่องประกันไม่ต้องเป็นห่วงนะ เขาบอกว่าจะโอนเข้าบัญชีหนูเลย ได้ตั้งสองล้านแน่ะลูก"
"ครับ....." เขาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณป้าพูด เงินสองล้านมันดีกว่าการได้อยู่กับคนรักตรงไหน
ร่างบางถูกนำตัวกลับมาอยู่ที่บ้านใจกลางเมืองที่วุ่นวายได้2วันและได้รับการดูแลจากป้าคริสที่ตอนนี้เธอก็กลับไปต่างประเทศเรียบร้อยทิ้งไว้ก็เพียงแต่หลานชายกับเหล่าญาติพี่น้องทั้งฝั่งพ่อและแม่ที่มาร่วมอุดกันอยู่ในบ้านหลังนี้จนมันเหมือนตลาดสดตอนเช้าที่ได้ยินเสียงพ่อค้าแม่ค้าพูดคุยเสียงดังกันตลอดเวลา
แต่มันกลับมีเสียงหนึ่งที่เขาได้ยินโดยบังเอิญโดยที่ไม่มีใครอยากให้เขาได้รับรู้
"ดีนะที่มันตาบอดไม่งั้นพวกเราคงจะไม่ได้บ้านหลังนี้มาง่าย ๆ แบบนี้"
"จริง ๆ เราใช้นิ้วมันปั้มตั้งแต่นอนเป็นผักเลยก็ได้นะ"
"ทำแบบนั้นก็ไม่เนียนละสิ!"
"แล้วแกจะเอายังไงต่อ"
"นั้นหรอ ฉันว่าจะเอาเงินสดแบ่งให้พวกแกเพราะว่าบ้านหลังนี้ฉันจะเก็บไว้เอง
"แล้วไอพั้นซ์ละแกจะดูแลมันตลอดชีวิตเลยรึไง"
"ดูแลบ้าอะไรละ ฉันอาจจะเอามันไปขายให้พวกค้ามนุษย์ไม่ก็ปล่อยทิ้งไว้ที่วัดภาคใต้"
"ต้องทำกันขนาดนั้นเชียวหรอวะ"
"แล้วจะให้ทำยังไงหรือพวกแกจะมาดูแล"
"บ้ารึไง ไม่เอาอะต้องมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลเหมือนคนแก่แหวะจะอ้วก"
"แล้วแกจะย้ายของเข้ามาเมื่อไหร่ แล้วเงินน่ะอย่าลืมรีบโอนเข้าบัญชีฉันนะจะส่งเลขไปให้"
"เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เร็วเชียวนะ ฉันกำลังทำเรื่องขายบ้านพร้อมฟอนิเจอร์เก่าที่บ้านฉันอยู่ไม่นานเกินรอหรอก"
"พอดีเลยบ้านหลังนี้ก็เข้าอยู่ได้เลยไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม"
ร่างบางนั่งหลังชิดกำแพงฟังเสียงคุยที่ยังคงดังเจี๊ยวจ๊าวอยู่ตลอดของอีกห้องหนึ่ง ตอนนี้เขาถึงทราบแล้วว่าสิ่งที่ป้าให้ใช้ลายนิ้วมือประทับนั้นมันไม่ใช่ใบที่โรงพยาบาลออกให้แต่มันคือใบโอนชื่อบ้านและรถของตน ตอนนี้ทุกสิ่งที่ควรตกเป็นของเขามันกลับไม่ใช่อีกแล้วแม้อยู่ไปอย่างไรก็ต้องถูกทิ้งอยู่ดี ร่างบางจึงคิดหาวิธีทางอย่างถี่ถ้วนว่าควรทำอย่างไร
สุดท้ายสมองทั้งหมดก็ถูกใช้ไปในยามกลางแจ้งจนเวลาล่วงเลยไปสามทุ่มทุกคนก็กลับกันหมดเหลือไว้ก็แต่ร่างน้อยที่นอนระหงอยู่บนเตียงนอนที่ห้องชั้นสองของเขา
พั้นซ์ลืมตาตื่นอย่างหวาดพะวงด้วยความกลัวเพราะเขาจะต้องลงจากบรรไดหลายขั้นแต่เขาก็ใช้วิธีคลานเข่าลงกับพื้นแล้วค่อย ๆ คลำหาทางลงก่อนที่จะนั่งและค่อย ๆ ใช้ก้นลงไปทีละขั้นทีละขั้น
เขาจำทุกซอกทุกมุมของบ้านนี้ได้เมื่อลงบรรไดเสร็จเขาก็เดินตรงโดยไม่เอนเอียงเลยสักมิลเดียวทำให้เขาชนเขากันโต๊ะรับแขกที่วางอยู่กลางห้องเพื่อไปสู่การเปิดประตูออกไปทางซ้ายของบ้านจนพบกำแพง
"ลุงยศครับ!!!"
"ลุง!!!ผมพั้นซ์เอง!!!"
พั้นซ์เกาะกำแพงขอบบ้านของตัวเองและตะโกนออกไปเขาไม่สนใจว่านี้จะเป็นยามค่ำคืนที่รบกวนเพื่อนบ้านท่านอื่น ๆ เขาสนแค่เพียงของให้ลุงข้างบ้านคนนี้ออกมา
"ลุง!!!!!! ลุงยศ!!!!" เสียงเรียกของเขาไม่เป็นผลแต่เขาก็จะเรียกต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าคนในบ้านหลังนั้นจะได้ยิน ผ่านไป1ชั่วโมงพั้นซ์ยังคงเรียกต่อไปแม้จะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาเริ่มแผ่วลงด้วยอาการเจ็บคอ
เสียงรถแล่นผ่านเขามาจอดในที่ที่ไม่มีผู้คนตอบรับเพราะบ้านนั้นไม่มีคนอยู่แต่พวกเขาพึ่งกลับจากการทำธุระพั้นซ์ที่ทราบว่ามีคนผ่านมาอยู่บริเวณใกล้ ๆ จึงรีบขอความช่วยเหลือ
"คุณครับ! ใครที่อยู่ใกล้ ๆ นี้ช่วยกดกริ่งเรียกลุงยศให้หน่อยได้ไหมครับ!"
"พั้นซ์! ลุงยศเองมีอะไรลูก" ร่างของชายวัยชราลงจากรถพร้อมลูกและเมียของตนพอได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยจึงรีบวิ่งมาหน้าบ้านพั้นซ์ทันที
"ออกจากโรงพยาบาลแล้วหรอลูก"
"ลุงครับผมมีเรื่องให้ช่วย" ร่างบางพูดออกไปโดยไม่รู้ว่าลุงอยู่ทิศไหน