ชายผู้หมดศรัทธาในการใช้ชีวิต โดนหลอกจากคนที่รักมานับสิบปี ชีวิตยิ่งดิ่งลงหลังจากผู้เป็นแม่ได้ตายจากเพราะโรคหัวใจโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้รำลา เจ้าหนี้ก็ตามรังควานจนตาย เขามีโอกาสย้อนอดีตกลับมาตอนม.4 เขาจะแก้ไขชีวิตสิ้นหวังได้หรือไม่
ชาย-ชาย,ดราม่า,รัก,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,นิยายวาย,ดราม่า,ย้อนเวลา,BL,BoyLove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เปลี่ยนชะตาชีวิตชายผู้หมดศรัทธาในการใช้ชีวิต โดนหลอกจากคนที่รักมานับสิบปี ชีวิตยิ่งดิ่งลงหลังจากผู้เป็นแม่ได้ตายจากเพราะโรคหัวใจโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้รำลา เจ้าหนี้ก็ตามรังควานจนตาย เขามีโอกาสย้อนอดีตกลับมาตอนม.4 เขาจะแก้ไขชีวิตสิ้นหวังได้หรือไม่
"เมื่อไหร่พี่พายุจะบอกเรื่องของเราให้นันรู้สักที" เสียงหญิงสาวคุ้นหูทำให้นันที่อยู่ในบทสนทนาใจกระตุก หากได้ยินประโยคนี้ที่อื่นอาจจะเป็นความเข้าใจผิดได้ แต่นี้มันคอนโดที่นันและแฟนเช่าอยู่ด้วยกันมา 5 ปีแล้ว
ตามคาดผมมีอาการไข้อ่อนๆ แม่จึงให้ผมกินยาแล้วพักผ่อนเมื่อตื่นขึ้นอีกวันด้วยความที่ชาติก่อนผมต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าเพื่อเลี่ยงรถติดในแต่ละวันมันจึงเป็นเวลาชีวิตไปแล้ว ตื่นเองอัตโนมัติพอลืมตาตื่นขึ้นมาเจอมุ้งสีชมพูที่คงเป็นแม่มากางให้ ปกติผมจะนอนไม่กางมุ้งเพื่อกันยุงเมื่อคืนก็เช่นกัน ผมยังนอนลืมตาอยู่บนฟูกมองไปที่มุ้งอีกหลังข้างๆ เหมือนว่าแม่จะตื่นไปทำมื้อเช้าแต่เช้ามืดแล้ว
ผมใช้โอกาสนี้หยิบสมุดนักเรียนในกระเป๋าพร้อมปากกา ก่อนจะเริ่มจดเรื่องราวในอนาคตและระยะเวลาคราวๆที่พอจำได้ เมื่อเขียนทุกอย่างแล้วลองกลับมาดูอีกครั้ง ในช่วงที่ผมนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านหลังจากตกน้ำที่โรงเรียน จำวันที่แน่นอนไม่ได้ว่าวันไหนแต่เป็นช่วงที่ผมหยุดนี้แหละ เหตุการณ์ครั้งนั้นคือแม่ของผมได้ทำการกู้เงินจากธนาคารเพื่อจะนำเงินมาต่อเติมบ้าน เพราะอีกไม่เกินสองเดือนพ่อเลี้ยงจะกลับมาอยู่บ้านเพราะไม่มีงานทำ
แต่แล้วในคืนที่แม่ของผมมีการรวมตัวกันของคนในหมู่บ้านจำนวนกว่า 50 คน ไม่แน่ใจว่างานเลี้ยงอะไรเพราะผมนอนอยู่ที่บ้าน รู้อีกทีแม่กลับมาบ้านพร้อมสีหน้าแตกตื่นบอกมาเอาไฟฉายเพื่อไปหากระเป๋าเงินที่แม่ทำหล่นหายในงาน หายังไงก็หาไม่เจอกลุ่มคนในงานก็ต่างช่วยกันหาแล้วแต่ก็ไม่เจอ ในนั้นมีเงินจำนวน 20,000 บาท ที่ได้จากการกู้ธนาคารมา
มารู้ภายหลังว่าเพื่อนบ้านถัดไปอีก 3 หลังคาดว่าจะเป็นคนเก็บได้เพราะในคืนนั้นคนภายในงานไม่มีใครได้ออกจากงานกันเลย มีเพียงเพื่อนบ้านคนนี้และแม่ที่กลับมาเอาไฟฉายที่บ้านตนเอง แล้วคงทำทีเป็นกลับมาช่วยแม่หาเงินในงานอีกครั้ง ที่คิดแบบนั้นเพราะครอบครัวนี้ไม่มีฐานะขนาดพอจะเปิดร้านชำได้ แต่หลังจากเงินของแม่หายไปเพียงสองเดือน ครอบครัวนี้ก็เปิดร้านชำร้านเล็กๆ สร้างฐานะให้ตนเองขึ้นจนเป็นร้านชำขนาดกลาง สร้างบ้านไม้ขนาดใหญ่ในหมู่บ้านภายหลังจากนั้นสองปี
เมื่อนึกเรื่องนี้ออก ผมไม่รอช้าเก็บสมุดปากกา วิ่งลงจากบ้านเพื่อไปหาแม่ทันที เดินลงมาจากบ้านมองลอดใต้ถุนบ้านจะเห็นครัวเล็กๆ เพียงสร้างให้รู้ว่านี้คือจุดทำครัวก็เท่านั้น เห็นแม่กำลังเตรียมจะทำกับข้าว
“แม่ ทำอะไรกินเช้านี้” แม่ตกใจที่ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หลังท่าน มีสะดุ้งเล็กน้อย
"เอ้า!! นันตื่นเร็วจังลูก แม่ว่าจะทำแกงหน่อไม้ใส่ปลาช่อนของโปรดนันเลย แล้วไข้เป็นยังไงบ้างดีขึ้นไหม" แม่วางมือจากการเตรียมวัตถุดิบ ก่อนจะเช็ดมือกับเสื้อแล้วยกขึ้นมาที่หน้าผากของผมเพื่อวัดไข้
เมื่อก่อนไม่มีเหตุการณ์แบบนี้หรอก ขนาดผมป่วยผมยังไม่ยอมให้แม่แตะตัวด้วยซ้ำ แค่เพราะอคติเรื่องพ่อเลี้ยงทำให้ผมเมินเฉยแม่ ตอนนี้ได้โอกาสอีกครั้งก็อยากอ้อนแม่ให้มากๆ ผมยิ้มให้ท่านก่อนจะตอบ
“ดีขึ้นแล้วครับ คิดว่าคงใกล้หายแล้วละ แม่มีอะไรให้นันช่วยไหม"
"ไม่เป็นไร นันไปนอนต่ออีกหน่อย เดี๋ยววันนี้แม่ต้องเข้าตัวอำเภอแม่จะทำกับข้าวไว้ในครัวนะ ลูกหิวก็มาหาอะไรกินได้ไม่ต้องรอแม่" หรือว่าวันนี้แม่เข้าไปธนาคารกัน
"แม่ไปอำเภอทำไมหรอครับ" แม่คิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ
"พอดีช่วงนี้พ่อเขาไม่มีงานเลย อยู่ที่นู่นไปก็เปลืองเงินเปล่าๆ แม่ก็เลยตั้งใจว่าจะต่อเติมบ้านนิดหน่อย เวลาพ่อเขากลับมา นันจะได้มีห้องเป็นของตัวเองไง" ไม่ผิดจากชาติที่แล้ว แม่ตั้งใจทำห้องส่วนตัวให้ผมทั้งๆที่บ้านก็หลังแค่นี้ คงจะขยายออกเล็กน้อยเพื่อทำห้องได้อีกห้อง แม่รู้ว่าผมไม่ชอบพ่อเลี้ยงก็เลยตั้งใจจะให้ผมมีห้องเป็นของตัวเอง จะได้ไม่ต้องอึดอัดมากเกินไป เรื่องนี้ผมรู้ว่าแม่คิดถึงผมมากกว่าพ่อเลี้ยง
"ครอบครัวเรามีเงินขนาดนั้นเลยหรอครับ"
ผมถามแล้วก็เงียบรอฟังคำตอบจากแม่ แม่เองก็มองดูปฏิกิริยาของผมเช่นกัน สิ่งที่ผมต้องการคือแม่จะยอมบอกเรื่องเงินกู้กับผมไหม "วันนี้แม่เข้าอำเภอไปธนาคาร แม่ทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารได้มา 20,000 บาท เลยตั้งใจจะนำเงินนี้มาต่อเติมบ้านเรา"
"ความจริงแล้วเรายังไม่ต้องรีบต่อเติมบ้านก็ได้นะครับแม่ สู่เรานำเงินนั้นมาหารายได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่" ผมพยายามเกลี้ยกล่อมให้แม่คล้อยตาม เพื่อป้องกันไม่ให้แม่ถอนเงินออกมาหมดในคราวเดียว ให้ใช้เงินก้อนนี้หารายได้เข้าครอบครัว เรื่องบ้านค่อยว่ากันทีหลัง
"แล้วลูกจะไม่อึดอัดหรือหากพ่อเขากลับมา แล้วอีกอย่างเราจะใช้เงินก้อนนี้สร้างรายได้จากอะไรละ เงินแค่นี้เองนะ" แม่เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะถามเป็นจริงเป็นจังอะไร แกก็คงแค่ถามไปเท่านั้นเอง ผมจึงช่วยแม่ทำกับข้าวแล้วตั้งใจจะคุยเรื่องนี้อีกทีหลังจากทานข้าวแล้ว
แต่ก่อนผมแทบไม่สนใจแม่ด้วยซ้ำ ก็แค่ไปเรียนให้มันผ่านไปวันต่อวัน หวังแค่เมื่อเรียนจบจะหาทุนเรียนต่อกรุงเทพฯ และจะไม่กลับมาที่นี่อีก แต่แล้วมันกลับเป็นทางเดินที่ไม่ได้มีความสุขอย่างที่ผมคิดไว้ ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ดีกับผมแต่ตรงกันข้าม แม่ดีกับผมมากฐานะทางบ้านของเราแค่พอมีพอกินเท่านั้น ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังหรือบ้านหลังใหญ่ แม่และพ่อแยกทางกันตั้งแต่ผมยังเด็ก แม่เลี้ยงผมมาคนเดียวจนเมื่อขึ้นมัธยมต้นในช่วงปิดเทอม แม่ต้องการหาเงินเพื่อส่งผมเรียนให้จบ
แม่ตัดสินใจไปทำงานกับน้าฟ้า โดยให้ผมอยู่กับน้าฟางน้องคนเล็กของแม่ ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าแม่ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวได้ยังไง ถึงจะบอกว่าอยู่กับน้าฟางแต่มันก็คือการที่ให้น้ามาอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น ทุกอย่างผมก็เป็นคนจัดการตัวเองหมด ตั้งแต่ตื่นนอนหุงข้าว หากับข้าวกินเอง บางวันน้าก็ไม่ได้กลับมานอนที่บ้านด้วยซ้ำ พอกลับมาตอนเช้าก็มีผู้ชายมาส่ง ผมทำอะไรไม่ได้น้าบอกห้ามบอกแม่ ไม่อย่างนั้นน้าจะทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว
ไม่นานน้าก็ท้องแต่ไม่ได้บอกแม่ จนใกล้คลอดจึงบอกให้แม่รู้ โดยที่แม่ต้องกลับมาบ้านเพื่อดูแลทั้งผมและน้าฟางที่กำลังจะคลอด พอแม่กลับมาก็พยายามถามถึงพ่อของเด็กในท้องน้าฟาง เมื่อได้คำตอบจึงให้ผู้ชายคนนั้นมาคุยกัน แต่กลับเป็นการคุยกันที่ไม่ลงตัว ฝ่ายชายบอกไม่สามารถตบแต่งรับน้าฟางเป็นเมียได้ เอาง่ายๆเขาไม่รับทั้งๆที่แม่ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย
พอมาถามน้าฟางแกก็บอกว่ามันไม่รับก็ไม่ต้องรับ แกจะเลี้ยงลูกเองไม่ต้องแต่ง และไม่ต้องมาเซ็นรับเป็นบุตรอะไรทั้งนั้น เมื่อถึงวันคลอดเด็กที่เกิดมากลับมีความบกพร่องคือเป็นเด็กสองเพศ น้าฟางรับไม่ได้ ที่ลูกเป็นเด็กสองเพศจึงไม่ใส่ใจลูกคนนี้มากนัก
คุณหมอถามแม่ว่าจะให้เด็กเป็นเพศไหน เพราะเด็กมีอวัยวะเพศชายแต่มีรังไข่ของผู้หญิงด้วย ถ้าจะให้หมอผ่าตัดอวัยวะเพศเป็นของผู้หญิงเลยก็ต่อเมื่อเด็กต้องโตพอจะรับการผ่าตัดได้ ต้องอายุครบ 18 ปีและผู้ปกครองเซ็นยินยอมเท่านั้น แม่จึงนำเรื่องนี้มาถามน้าฟางแกก็ร้องห่มร้องไห้แล้วบอกทำไมมันต้องมีปัญหาอะไรขนาดนี้ แกไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับเรื่องนี้
คุณหมอจึงให้กลับบ้านและบอกว่าเมื่ออายุครบ 18 ปีค่อยกลับมาติดต่อรับการรักษาอีกครั้ง แต่น้าฟางกลับทำเหมือนว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แกก็เลี้ยงเหมือนน้องเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วไป โดยแม่ผมเป็นคนตั้งชื่อเล่นให้น้องว่า น้องนนท์
เมื่อน้องนนท์กลับมาอยู่บ้าน แม่ผมก็เป็นคนดูแลน้องมากกว่าแม่แท้ๆของน้องด้วยซ้ำ น้องนนท์อายุได้เพียง 10 เดือน น้าฟางก็มีแฟนใหม่โดยทำการผูกข้อไม้ข้อมือกันเท่านั้น และหลังจากนั้นจึงมีการรื้อบ้านยายเพื่อแบ่งมาทำบ้านใหม่ของแต่ละคน โดยน้าฟางนี่แหละคือคนที่ต้องการแบ่งไม้เพื่อมาสร้างบ้านเป็นของตัวเอง
เมื่อเปิดเทอมผมจึงไปเรียนเป็นปกติ แตกต่างจากปกติตรงที่ ตอนกลับบ้านมีคนแปลกหน้านั่งอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้านของผม เมื่อแม่เห็นว่าผมกลับมาแล้วก็แนะนำให้ผมรู้จักกับพ่อเลี้ยง
พ่อเลี้ยงมีชื่อว่า โจนาธาน โรม จอนนี่ คอร์ปเปอร์ หรือเรียกสั้นๆว่า จอนนี่ แม่เล่าให้ฟังว่าเขาเป็นคนต่างชาติที่มาทำธุรกิจที่เมืองไทย แต่ด้วยเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง เป็นช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินซึ่งส่งผลกระทบถึงหลายประเทศในทวีปเอเชียเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 และเขาก็เป็นผู้ที่ประสบกับปัญหานี้ ถูกฟ้องล้มละลายกลับประเทศไม่ได้เพราะไม่มีเงิน มาเจอกับแม่ตอนที่ไปทำงานที่กรุงเทพและสานสัมพันธ์กันมาตลอดจนตกลงปลงใจกัน
นี้คือเรื่องที่ทำให้ผมกับแม่ทะเลาะกันใหญ่โต และผมก็เลือกจะเมินตั้งแต่นั้นความรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง แต่ในตอนที่ผมกลับมางานศพแม่คนที่เข้ามากอดผมกลับเป็นพ่อเลี้ยงที่ผมไม่เคยให้ความสนใจ ท่านเข้ามากอดด้วยใบหน้าที่เศร้าสลด เสียใจกับการจากไปของแม่ผมมาก ทั้งเจ็ดวันท่านนั่งเฝ้าอยู่ข้างโลงศพไม่ห่าง ข้าวปลาไม่ยอมทาน
เมื่อจบงานศพแม่ ท่านก็เอาสมุดบัญชีที่แม่ฝากไว้เป็นชื่อผม มาให้ผมแล้วบอกว่าแม่ฝากเงินเก็บไว้ให้ผม ตลอดเวลาที่ผมเข้ามาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ ถึงจะเป็นเงินไม่มากแต่ท่านก็ตั้งใจเก็บไว้ให้ผม พ่อเลี้ยงเองก็บินกลับประเทศของเขาไป เพราะท่านบอกว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ เพราะไม่สามารถมูฟออนจากแม่ได้ ท่านติดต่อกับทางบ้านได้ตั้งนานแล้ว ตั้งใจจะพาแม่ไปอยู่ที่ต่างประเทศด้วย แต่แม่เป็นห่วงผมจึงเลือกจะอยู่ที่นี่ จนท่านเสียไป พ่อเลี้ยงเองพอไปอยู่ต่างประเทศก็ยังส่งเงินเข้าบัญชีให้ผมทุกเดือน แต่ผมไม่เคยได้หยิบเงินในนั้นมาใช้เลย