ชายผู้หมดศรัทธาในการใช้ชีวิต โดนหลอกจากคนที่รักมานับสิบปี ชีวิตยิ่งดิ่งลงหลังจากผู้เป็นแม่ได้ตายจากเพราะโรคหัวใจโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้รำลา เจ้าหนี้ก็ตามรังควานจนตาย เขามีโอกาสย้อนอดีตกลับมาตอนม.4 เขาจะแก้ไขชีวิตสิ้นหวังได้หรือไม่
ชาย-ชาย,ดราม่า,รัก,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,นิยายวาย,ดราม่า,ย้อนเวลา,BL,BoyLove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เปลี่ยนชะตาชีวิตชายผู้หมดศรัทธาในการใช้ชีวิต โดนหลอกจากคนที่รักมานับสิบปี ชีวิตยิ่งดิ่งลงหลังจากผู้เป็นแม่ได้ตายจากเพราะโรคหัวใจโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้รำลา เจ้าหนี้ก็ตามรังควานจนตาย เขามีโอกาสย้อนอดีตกลับมาตอนม.4 เขาจะแก้ไขชีวิตสิ้นหวังได้หรือไม่
"เมื่อไหร่พี่พายุจะบอกเรื่องของเราให้นันรู้สักที" เสียงหญิงสาวคุ้นหูทำให้นันที่อยู่ในบทสนทนาใจกระตุก หากได้ยินประโยคนี้ที่อื่นอาจจะเป็นความเข้าใจผิดได้ แต่นี้มันคอนโดที่นันและแฟนเช่าอยู่ด้วยกันมา 5 ปีแล้ว
หลังจากงานศพแม่ผมจิตตกเป็นเอามาก ด้วยความที่สมบัติเล็กน้อยที่ยายทิ้งไว้ให้มีเพียงที่นา 13 ไร่ และบ้านที่แบ่งกันแล้วกับพวกน้าทั้งสองแต่ไม่ได้แบ่งโฉนดให้ชัดเจน โดยแม่ผมเป็นคนดูแลมรดกร่วมกับพี่น้อง เมื่อแม่เสียมีคนแนะนำให้ผมไปเดินเรื่องที่สำนักงานเพื่อนำชื่อตัวเองเข้าไปแทนที่แม่ ไม่งั้นผมจะไม่ได้อะไรเลย สุดท้ายผมก็ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ มัวแต่จมอยู่กับเรื่องของแม่โทษตัวเองทุกอย่าง เรื่องของแฟนก็ด้วย
ผมถูกป้อนข้อมูลมาว่าผมเป็นคนผิดมาตลอด เมื่อเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนสาวเพียงคนเดียว เธอยังเกลี้ยกล่อมให้ผมขอโทษแฟนและบอกว่าผมเป็นคนผิดจริง ยกข้ออ้างสารพัดเพื่อสนับสนุนคำพูดของเธอที่บอกว่าแฟนผมถูกต้อง จนผมก็เข้าใจแบบนั้นและยอมรับผิดเอง เมื่อมารู้ทีหลังว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเพียงการโกหก และหลังจากแม่เสียแฟนผมและเพื่อนต่างบอกให้ไปเดินเรื่องแบ่งที่นาที่ได้ไม่กี่ไร่เพื่อนำมาขาย เอาเงินนั้นมาจัดงานแต่งของเรา โชคดีที่ผมตายก่อนและครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ส่วนน้าคนเล็กก็ฮุบเอาที่นาผืนนั้นไปแล้วขายให้นายหน้าทั้งหมดนำเงินไปถลุงเล่นในบ่อนการพนันจนหมดหลังจากที่ผมตายไม่นาน
ผมและแม่ทานข้าวเรียบร้อย ก่อนที่แม่จะลุกเพื่อเตรียมตัวไปธนาคารผมจึงหยุดแม่ไว้ แล้วพยายามคุยกับท่านอีกครั้ง
"แม่ครับ ผมขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหมครับ" ผมมองแม่ด้วยสีหน้าจริงจัง
"ได้สิลูก" แม่นั่งลงตรงข้ามผมที่เดิมก่อนหน้านี้ มองมาที่ผมด้วยสีหน้าจริงจังไม่ต่างกัน
"เรื่องต่อเติมบ้านแม่พักไว้ก่อนได้ไหมครับ ผมยังไม่อยากให้แม่นำเงินไปใช้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง"
"เรื่องของลูก แม่ไม่เคยเห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนะ" แม่เองก็เริ่มนั่งตัวตรงเพื่ออธิบายให้ผมเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีประโยคประมาณนี้คือการชวนทะเลาะของผมที่พยายามเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็นแม่ แต่ครั้งนี้ผมจับมือท่านแล้วลูบมือท่านเบาๆ เพื่อปลอบโยนให้ท่านผ่อนคลายขึ้น
"แม่ครับ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น คือผมอยากหารายได้จากเงินก้อนนั้นจริงๆ แม่ลองคิดดูนะครับ เรานำเงินนั้นมาต่อเติมบ้านสร้างห้องให้ผม แล้วก็หมดจบแค่นั้น" ผมหยุดคำพูดเพื่อให้แม่คิดตามสิ่งที่ผมจะสื่อ เมื่อท่านพยักหน้ารับแสดงว่าท่านกำลังคล้อยตามสิ่งที่ผมพูด
"ในตอนที่ผมได้ไปเรียน รด. ไปรู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งมาครับแม่ เขามีสูตรชานมไข่มุกสร้างรายได้ให้ครอบครัวเขาจนสร้างตัวได้เลยนะครับ" แม่มีสีหน้าตกใจและสงสัยกับสิ่งที่เรียกว่าชานมไข่มุก ณ ปัจจุบันมีน้ำอัดลมและกาแฟผงชงสำเร็จแล้ว เพียงแต่ต่างจังหวัดกาแฟสดหรือชานมยังเข้าไม่ถึง และชานมไข่มุกเองก็ยังไม่ได้มีการขายภายในอำเภอของผมด้วยซ้ำ
"แล้วมันต้องใช้เงินเยอะไหม เงินที่มีอยู่มันจะพอหรือ แม่กลัวมันจะเจ๊งจนเราไม่ได้ทำแม้แต่ห้องให้ลูกนะ" แม่ที่ดูจะกลัวการขาดทุนเอามากๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ
"ถ้างั้นวันนี้ผมจะลองเขียนสิ่งที่ต้องใช้และค่าใช้จ่ายให้แม่ดูก่อน ส่วนแม่ก็แค่ไปรับเงินกับทางธนาคาร และเปิดบัญชีนำเงินนั้นฝากไว้ก่อนดีไหมครับ ถ้าสิ่งที่เราวางแผนไว้มีแนวโน้มจะเจ๊งอย่างที่แม่ว่า เราค่อยนำเงินนั้นออกมาต่อเติมบ้าน" ผมใช้วิธีพูดกับท่านด้วยเหตุและผล พร้อมกับถอยให้ท่านหนึ่งก้าว จุดประสงค์ของผมจริงๆคือไม่ให้แม่ถอนเงินสดมาไว้กับตัว ท่านพยักหน้ารับและไม่ลืมบอกให้ผมพักผ่อนเยอะๆ ท่านกลับมาค่อยมาคุยกันอีกที
เมื่อผมยืนส่งท่านที่หน้าบ้านโดยมีคนในหมู่บ้านไปกับแกด้วยคนหนึ่ง แกคือน้าหวาน น้าแกก็ใจดีครับ ที่บ้านมีลูกชายสองคนแกก็เป็นคนที่พ่อผมแอบมองๆ แต่สุดท้ายน้าหวานไม่เล่นด้วยแกจึงไปมีเมียใหม่อีกตำบลหนึ่งแทน
ผมที่อยู่คนเดียวก็กลับมาหยิบสมุดปากกามานั่งที่แคร่ใต้ถุนบ้านเพื่อเริ่มเขียนสูตรชานม และน้ำชงอีกหลายสูตร ที่สำคัญที่สุดคือสูตรไข่มุกที่ไม่ได้ทำยากแต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สูตรนี้ผมในชาติก่อนทำกินเองบ่อยมากเพราะเป็นคนติดชานมไข่มุก จนสามารถรังสรรค์รสชาติเป็นของตัวเองที่ชอบได้ลงตัว เพื่อนที่ทำงานที่ได้ลองสูตรของผมก็ต่างเชียร์ให้เปิดร้านแต่ตอนนั้นเหนื่อยงานประจำก็มากพอแล้ว
โดยผมคิดจะทำไข่มุกสองสูตรคือไข่มุกสไตล์ไต้หวันธรรมดาและไข่มุกสไตล์ไต้หวันรสสตรอเบอร์รี มีวัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง แป้งมันสำปะหลัง 125 กรัม ผงโกโก้ 10 กรัม น้ำ 75 มิลลิลิตรและน้ำตาลทรายแดง 60 กรัม โดยที่อีกสูตรใช้เป็น ผงสตรอเบอร์รี 5 ช้อนชา แทน จากนั้นก็เขียนวิธีทำลงในสมุดเพื่อเสนอให้แม่ดูตอนกลับมา เขียนวัตถุดิบในการใช้ทั้งหมดแยกออกเป็นสูตรกาแฟ ชานม โกโก้ นมเย็น ชาเย็น ผมตั้งใจว่าจะใช้เพียง 5 อย่างก่อนเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค ในตอนที่ผมกำลังจะเก็บสมุดเพราะเขียนแผนงานไว้เสนอแม่เรียบร้อย
ย้ายตัวเองจากแคร่มาเป็นเปลตัวโปรดตั้งใจจะงีบหลับสักหน่อยเพราะยังไม่หายสนิทจากพิษไข้ ระหว่างที่กำลังปิดเปลือกตา หางตาก็เห็นหัวกลมๆ กำลังชะโงกหน้าจากหลังบ้านมามองผม ใจแทบหล่นที่ตาตุ่ม เมื่อมองให้ชัดๆ ก็พบกับเจ้าหนูน้อยที่เนื้อตัวมอมแมม นี้คงตื่นมาแล้วไม่เจอแม่แน่เลยถึงเดินออกมาโดยไม่มีเสียงน้าตามหลัง
ผมลงจากเปลก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าตัวน้อย นั่งยองๆให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้าตัวเล็ก ดวงตาใสแจ๋วของเด็กวัยสองถึงสามขวบมองผมกลับพร้อมด้วยรอยยิ้ม ผมเอื้อมมือไปลูบแก้มเล็กอย่างเอ็นดู เด็กคนนี้ไม่ได้อวบอ้วนตามวัย เพราะผู้เป็นแม่ไม่ได้รักใคร่อย่างบ้านอื่น ชาติที่แล้วก็โตมาด้วยการเลี้ยงดูที่ผิดๆ เรียนก็ไม่จบมัธยมศึกษาปีที่6 น้าฟางบังคับให้บวชเพราะไม่ไหวจะส่งเรียน แต่ก็บวชได้ไม่นานกลับต้องสึกออกมาดูแลแม่และน้องสาวที่ติดยาทั้งคู่ รวมทั้งผัวใหม่ของน้าด้วย
"น้องนนท์สวัสดีครับ แม่ไปไหน"
"แม่ไหน" น้องนนท์เอียงคอมองเป็นคำตอบให้ผมแทน โอเค ถามไปก็เท่านั้น ผมจับจูงมือของน้องให้มาที่บ้านของผม โดยที่หนูน้อยก็เดินตามมาแต่โดยดี ก่อนผมจะนึกขึ้นได้ว่าน้าต้องหาน้องนนท์แน่ ต้องบอกแกก่อน ผมจึงเลือกจะอุ้มน้องนนท์ไปที่บ้านของน้าฟาง
บ้านเราอยู่ในรั่วเดียวกันยังไม่ได้แบ่งกันชัดเจน ส่วนบ้านของน้าเป็นบ้านชั้นเดียวที่ได้ไม้จากการแบ่งบ้านยายนั่นแหละ บ้านไม่ได้ใหญ่อะไรเดินไม่กี่ก้าวก็ครบรอบแล้ว
เมื่อผมเดินมาถึงบ้านน้ามองหายังไงก็ไม่เจอใคร แล้วน้องนนท์ลงจากแคร่ที่ทำเป็นที่นอนได้ยังไงกัน เด็กตัวแค่นี้เองกล้าปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไงนะ อันตรายเกินไปแล้ว ผมตัดสินใจหยิบเสื้อที่ตากไว้ภายในบ้านของน้องนนท์ เพื่อจะพาน้องไปอาบน้ำ
"เราไปอาบน้ำกันดีกว่าเนอะ"
"น้ำ อาบน้ำกัน" น้องนนท์แทบจะไม่ได้คุยกับใครนอกจากแม่ผมและน้าฟางเพราะแกไม่พาน้องนนท์ไปไหนเลย ส่วนแม่ผมก็จะพาน้องนนท์อาบน้ำบ้างหาข้าวให้น้องกินบ้าง เสื้อผ้าที่มีแม่และคนที่เคยมีลูกวัยประมาณนี้เอามาให้ น้องนนท์ใส่เสื้อของเด็กวัยสองขวบเท่านั้น ผมได้เสื้อผ้าน้องแล้วก็อุ้มกลับบ้าน ก่อนจะวางน้องลงที่แคร่ใต้ถุนบ้าน
"น้องนนท์ครับ นั่งอยู่ตรงนี้รอพี่นันเข้าใจไหมครับ" น้องพยักหน้ารับเป็นคำตอบ แต่ผมอยากให้น้องพูดเยอะๆ
"ตอบพี่นันก่อนครับ"
"ค้าบ" หนูน้อยยิ้มจนตาหยีส่งมาให้ผม แล้วนั่งแกว่งเท้าน้อยๆ อยู่บนแคร่ไปมา
"ดีมาก รออยู่นี่ก่อน" ผมลูบหัวหนูน้อยก่อนจะเดินไปยกกะละมังใบใหญ่กว่าน้องนนท์ วางไว้ข้างโอ่งน้ำหน้าบ้านในตอนนั้นที่เห็นน้าสาวปั่นจักรยานกลับมาพอดี
"น้าฟาง นนท์อยู่กับผมนะครับ" ผมตะโกนบอกน้าฟางก่อนที่แกจะปั่นจักรยานเข้าบ้านไป แกชะลอจักรยานแต่ไม่ได้หยุดแล้วค่อยตอบ
"อ้าวหรอ ฝากนนท์ไว้ก่อนนะ"
"ได้" เป็นแบบนี้เสมอ แกจ้องอยู่แล้วเวลามีคนอยู่บ้านแกจะชอบไปที่อื่นแล้วฝากน้องนนท์ไว้กับพวกผมที่บ้าน ชาติก่อนผมเลี่ยงตลอด เพราะจะไปเที่ยวเล่นหรือไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนมากกว่า แต่ครั้งนี้ไม่มีเรื่องที่โรงเรียนแล้ว ดูแลน้องนนท์บ้างก็ไม่ได้แย่ ผมอยากให้น้องโตมามีชีวิตดีขึ้น เติมน้ำลงกะละมังให้เต็มก่อนจะไปอุ้มน้องนนท์มา
"ไปอาบน้ำกันครับ" เมื่อยกมือขึ้นทำท่าจะอุ้ม หนูน้อยไม่ปฏิเสธในการอุ้มครั้งนี้
"ก่อนอื่นต้องถอดเสื้อผ้าก่อน โอเค ไปลงน้ำ" น้องนนท์แกว่งเท้ากลางอากาศอย่างตื่นเต้น ผมอาบน้ำให้น้องเรียบร้อยก็ยกน้องขึ้นไปยืนบนแคร่ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ด ทาแป้งหอมฟุ้งแล้วใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ต่อจากนั้นก็ไปทอดไข่เจียวให้น้องนนท์ทานจนอิ่ม นั่งเล่นพักใหญ่น้องนนท์ก็เริ่มง่วงผมก็พาน้องนอน ต่อมาแม่ผมก็กลับมาพอดี
***