"ใครจัดการจอมมารได้ก่อนคนนั้นเป็นผู้กล้าแบบนั้นเป็นยังไง" เป็นข้อเสนอจากอีกฝ่าย "ได้เลยสิฉันจะทำให้แกได้เห็นใครกันที่คู่ควรเป็นผู้กล้า" การเดินทางของศัตรูคู่ปรับ คู่กัด คู่หู จึงได้เริ่มต้นขึ้น
แฟนตาซี,รัก,ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,รัก,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ค่ำคืนราตรีเคลื่อนมาถึง ความง่วงเหงาหาวนอนไล่ตามมา การเดินทางมายาวนานทำให้ร่างกายอ่อนล้าจำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ไรลีย์หาวของมาหาบใหญ่แล้วขอตัวไปนอนที่ห้องก่อน พวกเราแบ่งกันสองห้องให้เธอนอนคนเดียว ส่วนตัวผมนั้นจะต้องคอยจับตาดูจูเลี่ยนไว้ใกล้ๆ ถ้าเห็นการกระทำที่น่าสนใจผมพร้อมที่จะจัดการด้วยตัวผมเองอย่างแน่นอน
“อะ เออ…คุณอาริน ทำไมต้องจ้องผมขนาดนั้นครับ?”
จูเลี่ยนดูมีท่าทีอึดอัด ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงอีกฝั่ง
“หึ! คนน่าสงสัยแบบแกฉันต้องจับตาไว้ตลอดเวลา”
จูเลี่ยนได้แต่ถอนหายใจ
“เข้าใจแล้วครับ ผมนึกว่าคุณจะเชื่อใจผมแล้วซะอีก”
“ไม่มีวันซะหรอก!”
เสียงเงียบสงัดระหว่างเราทั้งสองคน จูเลี่ยนนอนเหม่อมองเพดานหน้าอยู่เงียบๆ แบบนั้น ตอนนี้ยังไม่มีท่าทีอะไรที่น่าสงสัย แต่ดูเหมือนกับเขาจะมีอะไรในใจอยู่บางอย่าง ไม่ใช่ว่ากำลังคิดแผนอะไรไม่ดีกับไรลีย์อยู่หรอกนะ
"คุณน่ะ…ทำไมถึงอยากเป็นผู้กล้างั้นเหรอ? "
น้ำเสียงเฉยแต่จริงจังของอารินถามขึ้นมา
"อยู่ๆ ก็ถามอะไรน่ะ"
คำถามแบบนี้อีกแล้ว เคยโดนไรลีย์ถามมาก่อน แต่ผมก็ยังตอบมันไม่ได้ แล้วเขาพูดออกมาทำไมกันในเวลาแบบนี้ ต้องการสื่ออะไรกันแน่
"!"
พอนึกดูดีๆ แล้วในตอนที่สู้กับแม่มดไม้อสูร เห็นตราผู้กล้าที่ส่องแสงประกายรวมถึงตัวของเธอเองก็ด้วย หรือว่าบางทีแล้วเธอเองจะได้ถูกเลือกเป็นผู้กล้าแล้วกันนะ ผมไม่เชื่อหรอกไม่อยากจะทำใจให้เชื่อแบบนั้น
"ก็ถ้าหากคุณไม่ได้เป็นผู้กล้าคุณจะมีความรู้สึกอย่างไรเหรอครับ? "
"หาาา! แกคิดจะเยาะเย้ยกันเหรอ!? "
"เปล่าน่ะครับ ผมแค่คิดว่าพวกคุณแข่งกันสองคนยังไงก็ต้องมีคนไม่ได้เป็นอยู่แล้ว ผมแค่ถามไปแค่นั้นเอง"
"หึ ทำไมฉันต้องตอบแกด้วยฟร่ะ"
พอพูดไปแบบนั้นจูเลี่ยนก็หัวเราะเหะๆ ออกมา จากนั้นก็นอนหันหลังไปอย่างเงียบๆ ส่วนผมยังคอยจับตามองอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้จะต้องจับตามองไปอีกถึงเมื่อไหร่ ต้องจับตามองไปตลอดทั้งคืนเลยเหรอเปล่านะ แต่ร่างกายเริ่มไม่ไหวเสียแล้ว ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำไปทั่วร่างจนผมรู้สึกเหมือนจะหลับตาลงได้ทุกเมื่อ หนังตาค่อยๆ เลื่อนปิดรัยแสงเหมือนกับผ้าม่าน แล้วสุดท้ายตัวผมก็ทนต่อกระแสธารยามราตรีไม่ได้
.
.
.
พลันลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เสียงลมทะเลทรายพัดพาเม็ดทรายเข้าเสียดสีกันดังมาจากด้านนอก แสงแดดเริ่มสาดส่องแยงตาจนรู้สึกอบอ้าวจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ดูเหมือนผมจะตื่นสายไปหน่อย แต่สติก็ตื่นขึ้นทันทีหันขวับไปทางเตียงของจูเลี่ยน เห็นเตียงที่ว่างเปล่าไม่มีคนอยู่ ทำให้ตัวผมร้อนใจขึ้นมาทันที
ว่าแล้วเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น ผมสงสัยในตัวเขามาตลอดในที่สุดหางก็โผล่ออกมาแล้วสินะ ความคิดของผมถูกต้องมาตลอดว่าเขานั้นเชื่อใจไม่ได้ แต่ว่าเขาแอบไปทำอะไรกันนะ
"!"
ผมนึกขึ้นได้ในทันที รีบเดินออกไปในทันทีเร่งรีบเข้าไปหาไรลีย์ พอนึกถึงไรลีย์แล้วรู้สึกร้อนใจเพิ่มขึ้นมากกว่า
"อย่าบอกนะ"
"อย่าบอกนะว่า"
"อย่าบอกนะ"
ประตูห้องไรลีย์ถูกเปิดออกเสียงดังกระแทกดัง ปัง! จนดูเหมือนจะเกือบพัง
"ฉันมาช่วยเธอแล้ว!!!"
ผมตะโกนออกไปในทันทีที่เข้าไปในห้อง เตรียมพร้อมจะชักดาบออกมาเข้าช่วยเหลือเธอให้ได้ แต่ว่า…
"เป็นบ้าอะไรของนาย!? "
ไรลีย์ถามออกมาด้วยความตกใจ ผมกวาดตามองโดยรอบไม่เห็นแม้แต่เงาของจูเลี่ยน เห็นเพียงไรลีย์ยืนอยู่ด้านหน้า
ผมมองดูเธอที่หน้าแดงฉานยืนค้างในท่าก้มโค้งกำลังพยายามสวมใส่กางเกงอยู่ จ้องมองไล่จากหัวจรดเท้าก็เข้าใจ
เส้นผมที่ยังไม่แห้งดีดูมีน้ำหนัก เสื้อเรียบๆ ดูบางเบาใส่สบาย กลิ่นหอมสดชื่นดูเหมือนพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ แต่กางเกงเธอกำลังสวมกางเกงได้ครึ่งขา ยังเผยให้เห็นช่วงล่างจนถึงต้นขาอันแน่นขนัดมีน้ำมีนวลอยู่
"!"
ไม่ได้การแล้ว สถานการณ์พิมพ์นิยมแบบนี้ผมต้องโดนกำปั้นของเธอเป็นแน่ จึงรีบยกมือขึ้นป้องกับพร้อมหลับตายอมรับการลงโทษ
"..."
หลับตาอยู่สักพักก็ลืมตาขึ้น ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่ได้โดนกำปั้น มองที่ไรลีย์ยังหน้าแดงหันหน้าหนีกลับไปแต่งตัวให้เรียบร้อยโดยไม่มีท่ามีอารมณ์ร้อนอะไรเลย เหลือจะเชื่อ!
"นายมาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องอยากจะคุยพอดี"
เธอพูดอย่างเขินอายพร้อมเดินไปบนนั่งไขว่ห้างบนเตียง
"งะ งั้นเหรอ"
ผมเดินลงไปนั่งบนโต๊ะข้างๆ รู้สึกอายขึ้นมาเลยที่โผงผางเข้ามาในห้องของเธอแบบนี้ผมจึงลงไปนั่งอย่างเรียบร้อย
"เอ่อ…"
เธออ้ำอึ้งนั่งกุมมือไว้ที่ต้นขา ขยุกขยิกยุกยิกไปมาอย่างเคอะเขิน ไม่กล้าสบตารวมถึงตัวผมเองก็ด้วย บรรยายกาศมันส่งให้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“คิอว่า...พอดีฉันอยากจะคุยเรื่องที่เราเคยค้างไว้ก่อนหน้านี้น่ะ”
“เรื่องก่อนหน้านี้น่ะเหรอ…?”
พยายามนึกอยู่แต่ก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงเรื่องไหนกันแน่ เรื่องที่จูเลี่ยนหายตัวไป…ก็คงไม่ใช่ เรื่องการเดินทางต่อจากนี้ดูจากท่าทางของเธอแล้วไม่น่าจะเอามาพูดคุยกันเวลานี้ แล้วมันคือเรื่องอะไรกันนะ ผมมองไปที่เธอแล้วส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
พอเห็นแบบนั้นไรลีย์ดูตะลึงไปชั่วครู่
“กะ ก็เรื่องที่เราจะทำหลังจากเดินทางไปจัดการจอมมารได้ไง”
“...”
หลังจากจัดการจอมมารได้ก็ถือว่าการแข่งขันของพวกเราสิ้นสุดแล้ว ตอนนั้นก็คงตัดสินกันได้แล้วว่าใครเป็นผู้กล้ากันแน่ พอคิดแบบนั้นตัวผมก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ได้คุยกับจูเลี่ยน ถ้าตัวผมไม่ได้เป็นผู้กล้าจะเป็นอย่างไรต่อ โดนท่านพ่อที่ตระกูลเมินใส่ โดนพี่ชายเหยียดหยามและเอาตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไป ชื่อเสียงที่ย่ำแย่ก็ไม่ถูกแก้ไข แต่ว่า…ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจกับเรื่องพวกนี้เลย รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่ แล้วคิดว่าการได้เป็นผู้กล้าคือสิ่งนั้นที่ผมตามหาอยู่ ใครจะไปยอมให้เธอได้ไปได้ง่ายๆ ล่ะ
“นี่ นายจะเงียบอีกนานไหม!?”
ผมนั่งคิดอยู่นานจบคิ้วเธอเริ่มขมวด
“ฉันไม่ยอมหรอก!”
“หาาา ว่าไงนะ!?”
ไรลีย์ตกตะลึงร้องออกมาอย่างประหลาดใจ หน้าเธอเริ่มแดงด้วยความโกรธ กำมือไว้แน่นพร้อมตัวสั่นไปทั้งตัว เหมือนอารมณ์ของเธอกำลังจะระเบิดออกมา
“ก็อย่างที่เธอได้ยินนั่นแหละ คิดว่าตัวเองเก่งขึ้นมาหน่อยแล้วฉันจะยอมรับเธอง่ายหรือไง”
“ไอ้เจ้าบ้า! ฉันไม่นึกว่านายจะพูดเรื่องชั่วร้ายแบบนี้ออกมาได้”
“ชั่วร้าย? เรื่องนี้นะเหรอชั่วร้ายน่ะ”
สังเกตเห็นน้ำตาของเธอเริ่มปริมที่หางตาพร้อมสีหน้าดูน้อยใจแบบนั้นมันคืออะไรกัน ปรกติแล้วเราก็เถียงกันแบบนี้ไม่เห็นว่าเธอจะเป็นแบบนี้ โดยปรกติแล้วเธออาจจะโกรธจนต้องใช้กำลังกันบ้าง แต่ตอนนี้กลับดูแปลกไป
“ฉันไม่สนใจแล้ว จะไปทำอะไรก็เรื่องของนาย!”
เธอตะโกนออกมาดังลั่น
ผมได้แต่นั่งคิดด้วยความมึนงงสงสัย ไม่เข้าใจอะไรเลย อารมณ์ของเธอทำไมถึงเป็นแบบนั้น หรือมันคือสิ่งที่เรียกว่าอยู่ห้วงอารมณ์พิศวงของผู้หญิง ได้แต่นึกตรึกตรองเรื่องราวอยู่ในหัวของตัวเอง เราทำอะไรผิดไปกันนะ?
หลังจากนั้นจูเลี่ยนก็กลับมาถึงพร้อมอาหารเช้าเต็มมือ เมื่อเห็นบรรยากาศระหว่างพวกสองคนแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ บนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความอึดอัดไร้เสียงพูดคุย บนจานอาหารมีน่องไก่สามชิ้นเป็นของโปรดของไรลีย์ดูเหมือนจูเลี่ยนจะเลือกอาหารมาเอาใจเธอเป็นพิเศษ น่องไก่ถูกแบ่งให้จูเลี่ยนและไรลีย์คนล่ะชิ้น
อีกชิ้นเป็นส่วนของผม รู้สึกอารมณ์ไม่ดีที่คุยกันไรลีย์ไม่รู้เรื่อง หวังน่องไก่ชิ้นนี้จะบรรเทาได้บ้าง
"..."
ทันทีกำลังเอื้อมมือไปหยิบน่องไก่ก็หายไปอยู่ในมือของไรลีย์ถือมันไว้ทั้งสองข้างพร้อมกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยพลางมองมาด้วยสายตาเยาะเย้ย
"ไก่นี้อร่อยจริงๆ เลยนะ เสียดายมีคนไม่ได้กิน"
ผมไม่สนใจหันไปหยิบก้อนเนื้อปั้นเป็นวงกลมทอดกรุบกรอบ เทลงปากจนหมดจานเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย จานนี้เป็นอีกหนึ่งในจานโปรดของเธอ
"อ๋าาาา…!"
เสียงร้องอย่างสิ้นหวังของเธอดังออกมา แต่ผมก็ได้สนใจอะไรพร้อมเอื้อมมือเตรียมสวาปามของโปรดของเธอจานถัดไป
"หยุดนะ! นายกำลังจะทำอะไร ไม่คิดจะแบ่งคนอื่นเลยเหรอ!? "
เธอเอามือยื้อแย่งจับจานไว้แน่น
"เธอเองไม่ใช่เหรอ เป็นคนเริ่มก่อนเองนะ"
ผมดึงจานกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง
"เอามานี้นะ!" "เอามาทางนี้ตั้งหาก"
เราสองคนยื้อแย่งกันไปมา แรงดึงกลับไปกลับฉับพลันจนจานนั้นหลุดออกจากมือของเราทั้งสอง เราสองคนเสียหลักล้มลงขาของเราสองคนเกี่ยวโดนขาโต๊ะอาหารจนคว่ำ จานอาหารกระจัดกระจายไปเต็มพื้นจนเรียกได้ว่าเสียของอย่างที่สุด
จูเลี่ยนนั่งมองกุมศีรษะส่ายหัวไปมาอย่างอดสู