"ใครจัดการจอมมารได้ก่อนคนนั้นเป็นผู้กล้าแบบนั้นเป็นยังไง" เป็นข้อเสนอจากอีกฝ่าย "ได้เลยสิฉันจะทำให้แกได้เห็นใครกันที่คู่ควรเป็นผู้กล้า" การเดินทางของศัตรูคู่ปรับ คู่กัด คู่หู จึงได้เริ่มต้นขึ้น
แฟนตาซี,รัก,ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,รัก,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลังจากความอื้ออึงที่ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองเกลียดอย่างถึงที่สุดช่วยเหลือชีวิตของเธอไว้ ตัวหญิงสาวเดินย้ำไปบนพื้นทรายอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย เธอสงสัยในการกระทำของชายหนุ่ม อยู่ๆ ก็ท่าทีเหมือนจะไม่ปฏิเสธเธอแต่ตอนนี้กลับยอมเสี่ยงชีวิตกลับมาช่วยเธอ แถมการกระทำของเขายังดูผิดเพี้ยนไปจากความคิดอของเธอ
เขาพยายามจะหลอกล่อปลาบินกลับไปหาเมือง แล้วก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่เกิดขึ้น จนหญิงสาวสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนและยังสามารถเห็นแรงระเบิดขนาดใหญ่จากระยะห่างไกลได้อีกด้วย
“อย่าบอกนะว่า”
หญิงสาวพึมพำตลอดทางถึงเรื่องที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้น เธอวิ่งไปหาชายหนุ่มด้วยความร้อนใจอย่างถึงที่สุด
“อย่าบอกนะว่า-”
เธอเดินมาถึงก็หยุดชะงักลง จุดเกิดเหตุสภาพดูเละเทะเหมือนกับผ่านสมรภูมิที่หนักหนาสาหัส ซากของปลาบินนอกเกลือนไปหมด หลุมขนาดยักษ์จากแรงระเบิดครั้งใหญ่ เธอหันมองหาชายหนุ่มไม่หยุดหย่อนตามซากเหล่านั้น
“!”
ในที่สุดก็พบ…
ชายหนุ่มนอนแน่นิ่งดวงตาได้ปิดลงพร้อมน้ำตาซึมจากความหมดทุกข์ ใบหน้าไร้ความกังวลใจใดๆ เหมือนกับดังวีรบุรุษได้เสียงสละตัวเองช่วยเหลือผู้อื่นได้สำเร็จ ร่างกายเขาถูกทรายกลบทับไปครึ่งตัว
มือข้างหนึ่งมีชายอีกคนนั่งคุกเข่าจับมือของเขาไว้แน่น ภาพนั้นดูเหมือนสหายสนิทของชายผู้นอนแน่นิ่งอยู่ เขาก้มหน้ามองชายผู้นั้นอย่างอาลัยเหมือนกับได้ฟังคำสั่งเสียสุดท้ายของสหายสนิทแล้วก็ตายจากไป
“ไม่จริงน่า…”
หญิงสาวเห็นภาพนั้นเข่าก็ทรุดลงกับพื้นใกล้ร่างของชายคนนั้น
หัวใจของเธอแตกสลาย ชายที่เธอเกลียดได้ช่วยชีวิตของเธอไว้อย่าคาดไม่ถึงแล้วก็ได้เสียสละตัวเองให้เธอมีชีวิตอยู่ เป็นความรู้สึกที่ยากจะทำความเข้าใจได้
“นายจะมาตายตอนนี้ไม่ได้นะ นายยังไม่ได้รับผิดชอบกับสิ่งที่นายได้ทำลงไปเลย อย่าตายนะ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ นายมันเก่งแค่ปากหรือไง แน่จริงก็อย่าตายสิ ถ้านายตายแล้วฉันจะแต่งกับใครกับใครล่ะ!?”
หญิงสาวร้อยตะโกนสุดเสียง เหมือนกับระเบิดความในใจที่ถูกอัดแน่นไว้ในใจออกมา
“ไรลีย์? ไรลีย์เองเหรอ ถึงว่าใครทำไมพูดมากไม่หยุด”
“!”
เธอสะดุดเฮือกเมื่อเธอได้ยินเสียงของคนที่เธอคิดว่าน่าจะตายไปแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษทีนะ พอดีทรายมันไหลเข้าตาเลยมองไม่เห็นเธอน่ะ ว่าแต่เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ?”
หญิงสาวเมื่อรู้ชายหนุ่มนั้นรอดตายแถมจริงๆ แล้วยังดูสบายดีอยู่ ก็รับรู้ได้ว่าเธอพูดอะไรไปบ้าง ทำให้เธอหน้าแดงจนไปถึงใบหู
“ไอ้เจ้าบ้า!”
ชายหนุ่มโดนทุบเข้าที่ท้องเป็นการเซ่นสังเวยอารมณ์เขินของหญิงสาว
.
.
.
ขาผมลอยต่องแต่งเท้าของผมไม่สัมผัสกับพื้น แต่ตัวของผมยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เพราะตัวของผมอยู่บนแผ่นหลังของหญิงสาวผู้ที่โจมตีผมเข้าที่ท้องจนตอนนี้เองก็ยังจุกอยู่ แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอันใด ถึงสภาพตอนนี้จะดูน่าอายที่จะต้องมาให้ไรลีย์ต้องมาแบกผมกลับไป เพราะตอนนี้ตัวผมไม่มีแรงเหลือที่จะเดินแถมยังปวดระบมไปทั่วทั้งตัว
พวกเรากำลังเดินทางกลับเข้าเมืองกัน
“นี่ นายยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
สายตาดูห่วงใยไรลีย์หันกลับมาถาม
“เออ ตอนนี้ก็สบายดี ไม่ได้รู้ถึงเจ็บปวดอะไรแล้ว แค่ขยับตัวไม่ได้เพียงเท่านั้นเอง”
ทันทีที่พูดไปแบบนั้นอยู่ๆ ก็มีเด็กน้อยวิ่งซุกซนมาทางไรลีย์จนเธอต้องหลบกะทันหัน
“โอ้ย! จะ เจ็บๆ”
ทันทีที่เธอขยับตัวฉับพลันมันก็กระตุ้นความเจ็บปวดที่ด้านหลังจนรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาจนร้องลั่น
“ขอโทษ ฉันจะเดินระวังๆ แล้วกันนะ”
“เข้าใจแล้ว ขอบใจเธอมากนะ”
คำพูดของสองเราดูต่างไปจากทุกที เป็นบรรยายกาศที่น่าอึดอัดใจอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างจากเดิม เหมือนกับว่ายังมีความรู้สึกอะไรที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจแต่ยังไม่ได้กล้าที่จะบอกออกไป แต่ดูเหมือนมันจะค่อยๆดีขึ้นมาบ้างแล้ว
“เห ทั้งสองคนดูหวานกันจังเลยนะครับ”
จูเลี่ยนยิ้มเยาะเย้ยใส่
“หุบปากน่า” “หุบปากไปเลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษทีครับ”
จากนั้นพวกเราก็กลับถึงโรงแรม เธอก็วางผมลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน พวกเขาให้หมอมาตรวจดูอาการแล้วดูเหมือนกว่าผมจะขยับได้คงใช้เวลาเป็นสัปดาห์ เราคงต้องอยู่เหมือนนี้ไปอักสักพักหนึ่ง ในระหว่างนั้นผมคงต้องนอนเป็นผักอยู่แบบนี้โดยที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
เวลาค่ำก็มาถึง เราทั้งสามคนอยู่กันพร้อมหน้ากับอาหารบนโต๊ะพร้อมเพรียง ผมมองแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลาย ทั้งวันผมยังไม่ได้กินอะไรไปเลยตอนนี้หิวจนตาลายไปหมดแล้ว แต่ร่างกายดันขยับไม่ได้นี่สิ
จูเลี่ยนเริ่มกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนไรลีย์นั้น…
เธอนั่งค้างๆ เตียงของผมพร้อมกับตักซุปขึ้นมาบนช้อน เป่าซุปร้อนๆ ด้วยปากจนอุ่นพอดีกิน
“อะ อ้ามมมม”
เธอป้อนมันให้กับผม
ผมรับซุปช้อนนั้นไว้อย่างเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก ปากนั้นสั่นจนซุปนั้นหกออกจากปาก
“อะไรกัน อย่ากินหกเลอะเทอะเป็นเด็กสิ”
เธอหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากให้ผมมือของเธอเองก็สั่นอยู่เช่นกัน ท่าทีของเธอตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแต่เราสองคนกลับไม่กล้าสบตาพูดคุยกันอย่างจริงจังเสียที จนจูเลี่ยนที่มองอยู่ถอนหายใจดังๆ ออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“เออ…” “คะ คือว่า…”
ท่าทีอำๆ อึ้งๆ ของพวกเราทำให้ไม่รู้ว่าใครจะพูดก่อนกันแน่
“โอ้ยยย พวกคุณเป็นอะไรกันครับ ถ้ามันตัดสินยากใครจะพูดก่อนกันถ้างั้นก็เอาแบบที่พวกเคยตกลงกันไว้ไหม ใครแพ้คนนั้นก็เป็นคนพูดก่อน เรื่องที่พวกคุณจะไปจัดการก่อนจอมมารน่ะ ตกลงไหม”
ทันทีที่พูดแบบนั้นตาของไรลีย์ก็ลุกวาวอย่ารวดเร็ว
“ตกลงเอาแบบนั้นแหละ”
“...แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”
แบบนั้นก็คงจะดีเหมือนกันแต่ถ้าตัดสินแบบนั้นคนแพ้ก็คงต้องเป็นผม มันเหมือนกับการยืดเวลาออกไปเสียมากกว่าการตัดสินว่าใครชนะจะแพ้ ตัวผมคงต้องทำใจไว้ให้ดีในระหว่างนี้สินะ
“ถ้าแบบนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติ คุณไรลีย์อยากจะเป็นผู้กล้า คุณอารินก็อยากจะเป็นเช่นเดียวกัน ทั้งสองคนแข่งขันกันกำจัดจอมมาร ส่วนผมจะคอยช่วยตัดสินให้ ทุกอย่างเป็นไปตามนี้นะครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้อง คัมปายยย!”
ทุกคนยกแก้วไวท์ขึ้นชนกัน ส่วนของผมนั้นไรลีย์นั้นถือไว้ให้ ตอนนี้ทุกๆ อย่างดูผ่อนคลายลง ความทุกข์ความเศร้าใจเหมือนถูกยกออกจากอก ทุกอย่างเป็นเพราะจูเลี่ยน ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วผมอาจจะมองตัวเขาผิดไป เขาเป็นคนที่เป็นมิตรกว่าที่คิดมาก บางทีแล้วพวกเราอาจจะเป็นเพื่อนสนิทกันเลยก็เป็นได้
หลังจากนั้นพวกเราก็อยู่เมืองนี้ไปหนึ่งสัปดาห์
ตัวผมนั้นเริ่มที่จะพอขยับได้แล้ว ถึงจะไม่ได้หายดีร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็อยู่ในระดับที่พอจะฟัดกับกระทิงด้วยมือเปล่าได้บ้างแล้ว แต่เพื่อที่จะให้แฟร์กับทั้งสองฝ่ายจูเลี่ยนจึงอยากให้ผมนั้นหายดีก่อนจึงให้อยู่ต่ออีกสัปดาห์
ตลอดทั้งช่วงเวลาที่ผ่านไปพวกเราสามคนก็ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่เมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงจังอย่างออกค้นหาสาเหตุที่ปลาบินบุกเมือง พวกเราเดินฝ่ามรสุมพายุทะเลทรายเพื่อสืบหาสาเหตุของเรื่องครั้งดี ถึงเส้นทางที่ยากลำบากแต่พวกเราก็ฝ่าไปได้ ตัวผมที่ต้องคอยเดินตามหลังเพราะร่างกายยังไม่หายดี ก็มีมือคอยช่วยพยุงจากทั้งสองคนอยู่เสมอ
กลับจากงานพวกก็ไปดื่มด่ำยามค่ำคืนกันทั้งสามคน ผมดื่มแข่งกันกับจูเลี่ยนโดยเดิมพันที่ใครแพ้ให้ใส่กางเกงในตัวเดียวใช้แขนเดินไปรอบๆ เมือง ในทีแรกก็ไม่อยากแข่งขันอะไรแบบนั้น แต่พอคิดดูว่าจะได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหล่าของจูเลี่ยนต้องโดนชาวเมืองหัวเราะเยาะจากการกระทำแปลกๆ ตัวผมก็มีกำลังใจจะแข่งขึ้นมา
จนในที่สุด…
ตัวผมก็ได้ใส่กางเกงตัวเดียวเดินด้วยแขนไปรอบๆ ทั้งเมือง ในระหว่างดื่มตัวผมก็อ้วกออกมาจนโดนไรลีย์หัวเราะอย่างน่าอายแล้ว ยังต้องมาทำเรื่องน่าอายแบบนี้อีก แต่ดูเหมือนว่าจะดีหน่อยที่จูเลี่ยนยอมมาเดินด้วยแขนเป็นเพื่อนด้วย …ไม่สิ ไม่ดีเลยสักนิด จูเลี่ยนบอกว่า "ผมช่วยนะครับ การเดินด้วยแขนก็เป็นการฝึกร่างกายที่ดี" พร้อมกับยิ้มแย้มร่าเริง จนชาวเมืองต่างหันมามองอย่างลุ่มหลง แม้จะทำท่าน่าอายทำตัวน่าอายแต่กลับดูดีในสายตาคนอื่น บ้าไปแล้ว เทียบกับตัวผมไม่ได้เลย ชักรู้สึกเศร้าขึ้นมาแล้วสิ
แต่ในที่สุดวันคืนอันสงบสุขก็หยุดลง จูเลี่ยนกลับจากงานสำรวจกับเหล่าบ้าน พร้อมกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง วางแผนกระดาษลงดัง ตึง! ลงบนโต๊ะตรงหน้าผมกับไรลีย์
ดวงตาแน่วแน่พร้อมกับเปิดปากพูดออกหนักแน่นว่า
"ตอนนี้ผมเจอสาเหตุของปลาบินทะเลทรายบุกเมืองแล้วครับ"