"ใครจัดการจอมมารได้ก่อนคนนั้นเป็นผู้กล้าแบบนั้นเป็นยังไง" เป็นข้อเสนอจากอีกฝ่าย "ได้เลยสิฉันจะทำให้แกได้เห็นใครกันที่คู่ควรเป็นผู้กล้า" การเดินทางของศัตรูคู่ปรับ คู่กัด คู่หู จึงได้เริ่มต้นขึ้น
แฟนตาซี,รัก,ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,รัก,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความเจ็บปวดของบาดแผลทำให้ผมลุกไปไหนไม่ได้ เลือดยังไหลทะลักออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“แกเนี้ยอ่อนแอกว่าที่คิดไว้มาก โดนเข้าไปเพียงครั้งเดียวก็ทรุดลงกับพื้นแล้ว หืม… เข้าใจ เข้าใจแล้ว~ นายเกาะแม่สาวคนนั้นจนเดินทางมาถึงที่นี่ได้สินะ”
เธอค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้มองผมด้วยสายตาเหยียดยามอยู่เหมือนเดิมแต่ตอนนี้กลับเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
“ก่อนที่แกจะตาย ขอถามอะไรอย่างหนึ่งสิ …พวกแกมาทำอะไรกันที่นี้ที่ปราสาทจอมมารแห่งนี้น่ะ?”
“ปะ ปราบ…บบ…จอม…มาร”
ผมเค้นน้ำเสียงของผมออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! พวกแกเนี้ยตลกกันจริงเลย ฉันจะบอกอะไรให้ฟังนะถึงพวกคนโง่ๆ อย่างพวกแกให้เข้าใจ ตอนนี้น่ะบังลังก์จอมมารนั้นว่างเปล่า พวกแกเอาชีวิตมาทิ้งกันเสียแล้วล่ะ”
“อึก!”
ผมมองไปยังบัลลังก์จอมมารที่ด้านหลังเธอมันว่างอย่างที่เธอบอก แบบนี้มันก็หมายความว่า…
“ตอนนี้น่ะ จอมมารยังไม่ได้จุติกลับมามีชีวิตเลย แต่ก็มีไอ้บ้าที่ก็ไม่รู้กล้าบุกมายังปราสาทจอมมารทั้งที่จอมมารยังไม่ได้มีตัวตนอยู่ ช่างน่าขันเสียงจริงๆ เลย”
ได้ยินคำพูดดูถูกแบบนั้นทำให้มือของผมกำแน่นด้วยความเจ็บใจ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นความจริงแท้หรือไม่ แต่ถ้าเป็นความจริงมันยิ่งทำให้พวกเราเสียเวลาเปล่าไปอย่างงั้นเหรอ?
“เอาล่ะ ฉันหมดธุระกับนายแล้ว จะทำให้มันจบเร็ว ถือว่าเป็นความกรุณาแก่คนโง่แบบนายแล้วกัน”
สายน้ำก้อนกลมในมือของเธอค่อยๆ สั่นไหว จากนั้นก็ค่อยมีน้ำก้อนกลมเล็กๆ แยกตัวออกมา มันค่อยสั่นไหวหลังจากนั้นก็ค่อยๆ หมุนด้วยความเร็วสูงจนรูปร่างมันเปลี่ยนไปเหมือนกับลูกศรธนูที่ดูน่ากลัวและทรงประสิทธิภาพ
ได้เห็นท่าที่โจมตีผมเข้าที่ท้องโดยไม่รู้ตัวอย่างใกล้ๆ แล้วก็ทำให้ผมเข้าใจได้ว่าทำไมผมถึงเจ็บปวดขนาดนั้น
“ตายซะ!”
กระสุนน้ำถูกยิงออกมามันพุ่งตรงเข้ามาที่หัวของผมอย่างรวดเร็ว
“!”
เสียงดาบกระแทกเข้ากับกระสุนจนกระสุนน้ำกระจายออก
“อาริน นายเป็นอะไรหรือเปล่า!?”
ไรลีย์เข้ามาขวางกระสุนน้ำนั้นไว้ได้ทัน
เธอหันมามองหน้าผมพร้อมมองลงไปที่บาดแผลที่ท้อง สายตาของเธอก็แสดงความเดือดดาลออกมา เธอหันไปมองซักคิวบัสวารีอย่างเคียดแค้น
“ข้าขออภัยเจ้าด้วยที่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ของข้าเข้าไปยุ่มย่าม”
เกราะวิญญาณเพลิงกล่าวออกมาทางด้านหลังของซักคิวบัสวารี
“เดี๋ยวข้าจะรีบพาเธอออกไปเอง ขอเวลาข้าสักครู่-”
“ไม่ต้อง! เดี๋ยวข้าจัดการที่เหลือต่อเอง”
“...เข้าใจแล้ว”
ซักคิวบัสวารีจ้องมารไรลีย์ด้วยความสงสัย สายตาจ้องเขม็งแสดงถึงความสนอกสนใจในตัวของเธอมากทีเดียว
“เธอเนี้ยน่าสนใจดีจริงๆ เธอชื่ออะไรงั้นหรือ?”
“ฉันชื่อไรลีย์! ฉันจะปราบพวกแก แล้วก็ไปปราบจอมมารอีกด้วย”
“แหม่ แหม่~ ใจสู้เหลือเกินนะ จะแน่สักแค่ไหนลองแสดงออกมาให้ดูหน่อยสิจ๊ะ”
ไรลีย์ได้ยินแบบนั้นก็ตั้งท่าดาบแบบประจำของเธอ พุ่งตัวออกไปเข้าหาศัตรู ออร่าสีขาวเข้าครอบคลุมร่างกายของเธอ แสดงพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
ซักคิวบัสวารีเห็นแบบนั้นก็ทำหน้าตกใจ แล้วก็แสยะยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ว้าว เธอของก็มีของอยู่เหมือนกันสินะ แต่ว่า…”
น้ำสีดำทมิฬในมือของซักคิวบัสวารีถูกยิงออกมา จากขนาดเท่าลูกแก้วมันขยายใหญ่ขึ้นทันทีจนมันใหญ่กว่าตัวคนปกติพร้อมพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูงกระแทกเข้ากับไรลีย์จนตัวเธอถูกดันไปพร้อมกับก้อนน้ำสีดำนั้น ลากถูไถผ่านหน้าของผมไปจนไปหยุดที่กำแพงหลังห้อง
ก้อนน้ำระเบิดออกทันที ไรลีย์กระแทกเข้ากับกำแพงจนยุบตัวลงไป ตัวเธอบาดเจ็บอย่างหนักจนออร่าที่ตัวสลายออกไป พร้อมสติของเธอก็หลับไป ร่างกายล่วงหลุดจากกำแพงดิ่งลงมานอนนิ่งบนพื้น
เสียงการโจมตีเดียวก็สามารถสยบไรลีย์ได้แล้วผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“บ้าจริงเลย เธอนี้ตัวแสบจริงๆ ฉันเผลอใช้พลังไปส่วนหนึ่งเลยนะ เกือบฆ่าเธอไปซะแล้วสิ”
ซักคิวบัสเดินดึงคอเสื้อของไรลีย์ลากร่างที่ไร้สติของเธอไปกับพื้น
“เจ้าจะเอายัยเด็กสาวคนนั้นไปไหน พวกเราจำเป็นต้องใช้เธองั้นหรือ?”
“ก็แน่นอนสิ ฉันจะเอาเธอไปเป็นสารอาหารที่ใช้สำหรับการจุติของท่านจอมมาร บ้าจริงเลย! ไอ้เจ้าบ้าหน้าไหนบังอาจมาทำลายแผนการที่จะรวบรวมสารอาหารของพวกเรา จากป่าแห่งมิติแม่มดก็ทีนึง ไหนจะการพยายามรวบรวมไข่ปลาบินก็ยังถูกขัดขวาง อย่าให้ข้ารู้นะว่าใครมันบังอาจทำเรื่องแบบนี้”
“เอาน่า…ใจเย็นกันก่อน ก่อนอื่นจัดการกับเธอก่อน”
ซักคิวบัสวารีแสดงความหงุดหงิดออกมาพร้อมลากไรลีย์หันไปทางบัลลังก์ของจอมมาร ผ่านตัวผมที่นั่งนิ่งอย่างเจ็บปวดทั้งกายและใจที่เห็นไรลีย์โดนลากผ่านไปแต่ตัวกลับขยับไม่ได้
เธอเดินเข้าไปแล้วก็หยุดกึก!
สายตาเธอมองขึ้นไปยังบัลลังก์อย่างแปลกใจ
“แกเป็นใคร!?”
คนที่เธอเอ่ยถึงคือคนที่ยืนอยู่ด้านข้างของบัลลังก์ ชายผู้ที่สง่างามใครเห็นก็ต่างจดจำได้ว่าเขาคือผู้กล้า เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นจนผมเกือบลืมไปเลยว่าจูเลี่ยนก็เดินทางเข้ามากับพวกเราด้วย เดิมทีคิดว่าจะไม่ให้จูเลี่ยนต้องเข้าร่วมการต่อสู้นี้ แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้คงต้องให้เขาช่วยพวกเราแล้ว
“ฉันถามว่าแกคือใคร ไม่ได้ยินหรือไง!?”
จูเลี่ยนยังไงนิ่งเงียบสายตาจับจ้องไปยังสร้อยคอที่เดิมทีวางไว้บนบัลลังก์ของจอมมารแต่ตอนนี้เขาถือมันขึ้นมาจ้องมองมันอย่างจริงจัง
“ถ้าไม่ตอบแกก็ตายซะ”
ซักคิวบัสวารีสร้างกระสุนน้ำยิงออกไปหาจูเลี่ยน แต่เพียงจูเลี่ยนใช้มือปัดโดยไม่ได้หันมามองแม้แต่นิดเดียว กระสุนน้ำก็แตกกระจายกายเป็นเม็ดกลางอากาศ
จูเลี่ยนหันหน้ากลับมองอย่างไม่สบอารมณ์
"พวกแกนี่ น่ารำคาญจริงเลย"
ท่าทางของเขาดูต่างจากเดิมไปมาก ความเงียบขรึมเข้าปกคลุม สายตาเย็นชามองมาที่พวกเรา
"ดูเหมือนฉันต้องสั่งสอนพวกแกสองคนให้ดีสินะ ว่าอย่าบังอาจทำร้ายนายของตัวเอง"
"พูดอะไรของแกน่ะ อย่าอวดเบ่งไปหน่อยเลย!"
ซักคิวบัสวารีปล่อยลูดบอลน้ำขนาดใหญ่ออกมาเป็นท่าเดียวกันกับใช้กับไรลีย์จนสลบ
พริบตาเดียวลูกบอลน้ำพุ่งเข้าหาจูเลี่ยน แต่เขากลับนิ่งเฉยตวัดดาบเพียงครั้งเดียวลูกบอลน้ำก็แตกกระจายออก ท่ามกลางสายตาอันเบิกกว้างของผู้ใช้
"ได้ไงกัน!? "
ดูเหมือนเธอไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้เห็น
สายตาของจูเลี่ยนเพ่งมองขุนพลจอมมารทั้งสองอย่างขุ่นเคือง ค่อยๆ ก้าวเท้าลงมาจากบัลลังก์พร้อมถือสร้อยคอที่เคยวางอยู่บนนั้นลงมาด้วย
แต่ละก้าวที่เยื้องย่างลงมาของเขาเหมือนกับมีมวลคลื่นสีดำกดดันสองขุนพลจอมมารไม่ให้ขยับไปไหน ทั้งสองคนยืนตัวสั่นเหงื่อตกอยู่กับที่ไม่ขยับเท้าไปไหน
"อย่าอวดดีไปหน่อยเลย เจ้าคนโอหัง!"
วิญญาณเกราะเพลิงฝืนขยับจากแรงกดดันออกมา ยกดาบเปลวเพลิงที่มีไฟลุกร้อนแรงจนผิวหนังของผมรับรู้ถึงความร้อนได้ ฟาดลงมาเข้าใส่จูเลี่ยน
"!"
เสียงดาบกระทบกัน จูเลี่ยนยกดาบขึ้นป้องกันอย่างนิ่งเฉย เปลวไฟลุกโชนจากดาบถูกพัดหายออกไปเหมือนกองไฟที่มอดไหม้
"เปลวไฟลุกโชนสีสวยงาม แต่กลับแสดงความร้อนแรงออกมาเหมือนกันไฟจากคบเพลิง เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดูว่าดาบเปลวเพลิงจริงๆ เป็นยังไง"
ทันทีที่พูดแบบนั้นเปลวเพลิงบนดาบของจูเลี่ยนก็ปะทุขึ้นจนวิญญาณเกราะเพลิงตื่นกลัวมองดูดาบของตัวเองที่กำลังหลอมละลายจากเพลิงอันร้อนแรง
จูเลี่ยนตวัดดาบขึ้นเพียงเบาๆ เพลิงร้อนแรงก็พัดวิญญาณเกราะเพลิงกระเด็นออกไปกระแทกกับกำแพง จนเหลือเป็นเศษซากของเกราะที่กำลังหลอมละลายติดกันอยู่
"พลังของมันก็เกินคาดอยู่เหมือนกัน"
เขาพูดออกมาพลางมองสร้อยคอที่อยู่ในมือ
"นายทำไมนั้นได้ยังไง ทำไมนายถึงใช้พลังของจอมมารได้ล่ะ!? "
จูเลี่ยนไม่ได้ตอบอะไร หันหน้าเดินเข้าหาซัคคิวบัสวารี
"ตะ ต้องการอะไร ฉันขอยอมแพ้ ได้โปรดไว้ชีวิตฉันเถอะ ฉันขอร้องล่ะ"
จูเลี่ยนยังคงนิ่งเงียบเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าของเธอ แววตาจ้องเขม่นเหมือนกันจะฆ่าให้ตาย
"ฉันบอกว่าฉันยอมแพ้แล้วยังไง! หยุดได้แล้ว-"
"ส่งเธอมา"
ได้ยินแบบนั้นผมก็โล่งใจ ดูเหมือนว่าจูเลี่ยนต้องการจะช่วยไรลีย์แค่นั้นเอง ผมเห็นท่าทีเคร่งขรึมผมนึกว่าเขาจะโดนอะไรสิงสู่เข้าไปเสียแล้ว แต่ผมยังสงสัยอยู่ว่าทำไมเขาถึงปล่อยยัยซัคคิวบัสนั่นไปกันนะ
เขาอุ้มตัวของไรลีย์ด้วยแขนทั้งสองข้างขึ้นอย่างทะนุถนอม จากนั้นเดินหันหลังกลับไปพาเธอไปที่บัลลังก์
"นายจะนำเธอไปทำอะไรน่ะ? "
เสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายดังออกมา พลางหันมองไปยังด้านหลัง
"ถามมากจริง …ฉันจะใช้เธอเป็นสารอาหารไงล่ะ"
"นายจะปลดปล่อยพลังจอมมารงั้นเหรอ ทำไมกัน!? นายเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอ หรือว่านายอยากจะเป็นจอมมารเสียเอง? "
"แล้วฉันบอกตอนไหนว่าฉันเป็นมนุษย์? เธอมีปัญหาหรือไง"
"ขะ เข้าใจแล้ว"
หลังพูดจบเธอก็ไม่ถามอะไรอีกพร้อมทำท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนทันที
ส่วนตัวของไรลีย์ถูกนำไปนอนอยู่บนบัลลังก์อย่าสงบ ถ้าทางของเธอยังคงหลับใหลไม่ตื่นอยู่เหมือนเดิม ผมกังวลว่าเธอจะบาดเจ็บหนักส่วนไหนสักที่ อยากจะเข้าไปตรวจสอบให้แน่ใจดูว่าเธอยังสบายดี แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือเรื่องที่จูเลี่ยนพูด ผมไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
"จูเลี่ยน! นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ นายจะทำอะไรกับไรลีย์!? "
ผมส่งเสียงร้องทั้งๆ ที่ยังบาดเจ็บอย่างหนัก ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่บาดแผลทำให้ไอออกมาอย่างแรง
"อ้อ! ผมลืมคุณไปเลยคุณอาริน ขออภัยด้วยนะครับ ผมนึกว่าคุณจะบาดเจ็บจนตายไปแล้วเสียอีก"
ทั้งทำพูดและท่าทางแสดงถึงการเยาะเย้ยเผยให้เห็นทางสีหน้าดูต่างจากจูเลี่ยนในทุกทีที่อ่อนน้อม
เสียงโลหะขวดแก้วกระแทกกับพื้นหลายครั้งก่อนที่จะกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม หยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นตราผู้กล้าอีกครึ่งหนึ่งในส่วนของไรลีย์ ส่วนขวดแก้วเป็นโพชั่นชั้นดีราคาแพงที่รักษาบาดแผลใหญ่ๆ ได้
"...หมายความว่าไง? "
"ผมจะให้คุณได้เป็นผู้กล้าไงล่ะ ยานั้นก็ใช้รักษาตัวเองซะ ส่วนตราผู้กล้าก็ใช้ทั้งสองอันนั้นกลับเมืองไปบอกว่าตัวเองชนะแล้วก็ได้เป็นผู้กล้าตามที่ใจคุณปรารถนายังไงล่ะ"
"เฮ่ย เฮ้ย เฮ้ย! แกหมายความว่ายังไง! อย่างมาเล่นตลกนะ-"
"ลาก่อนครับ"
สิ้นสุดคำพูดของเขา ตัวของผมก็ถูกผลักออกไปจากประตูห้องในทันทีอย่างไม่ทันตั้งตัว เหมือนกันว่าอะไรบางอย่างดึงออกไปด้วยความเร็วสูงจนภาพมองเห็นมันบิดเบี้ยว ก่อนที่จะออกไปเห็นรอยยิ้มของจูเลี่ยนที่เต็มไปด้วยความขมขื่น ผมมองเห็นทั้งสามคนจากทางไกลเส้นทางยืดยาวขึ้นเรื่อยๆ และยาวขึ้นจนผมเห็นคนเหล่านั้นเล็กเหมือนกับมด
พริบตาเดียวตัวผมก็นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูใบใหญ่ เป็นประตูทางเข้าของปราสาทจอมมาร
"มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย? "
อารมณ์หลายผสมปนเปกันจนผมไม่อาจจะตั้งสติได้ เหงื่อแตกพลั่กหายใจไม่เป็นจังหวะ