แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอก....แต่จะตายโหงแทนน่ะสิ!!! ไม่เอาโว้ย!!! ไอ้เกี๊ยวยังไม่อยากตาย ขอหนีไปบวชได้มุ้ยยย!

#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย - ตอนที่ 1 เฮียไม่ชอบคนโกหกนะหมวย โดย earlymoon @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไทย,ชาย-ชาย,ตลก,รัก,มาเฟีย,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไทย,ชาย-ชาย,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

มาเฟีย,นิยายวาย

รายละเอียด

แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอก....แต่จะตายโหงแทนน่ะสิ!!! ไม่เอาโว้ย!!! ไอ้เกี๊ยวยังไม่อยากตาย ขอหนีไปบวชได้มุ้ยยย!

ผู้แต่ง

earlymoon

เรื่องย่อ

ไอ้เกี๊ยว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ๊ละออ เจ้าของร้านข้าวมันไก่ชื่อดังประจำซอยเคยประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ขาข้างซ้ายหัก ใส่เหล็กดามไว้แต่ยังเดินกะเผลกอยู่จึงมักจะถูกเรียกว่าไอ้เป๋เป็นประจำ


แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่เรียกไม่เหมือนคนอื่น...'หมวย' บ้าง 'ไอ้หนู' บ้าง บางทีก็ 'ไอ้เปี๊ยก' 'ไอ้เตี้ย' 'ไอ้ตี๋' อารมณ์ดีหน่อยก็ 'เธอ' ไม่ก็ 'คนสวย'...คำหลังนี้ชวนให้สยองอยู่เหมือนกัน แต่ที่ทำให้ขนพองสยองเกล้ายิ่งกว่าคือ 'เมียจ๋า'!

ไอ้เกี๊ยวถึงกับจะละทางโลก แล้วหนีไปบวชสักสองสามปี ทว่าพ่อเจ้าประคุณก็ไม่เกรงกลัวบาปเลยสักนิด มาชิงตัวคนถึงในวัด นอกจากตัดทางบุญของไอ้เกี๊ยวแล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่า

'แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย'

เออ! ไม่อดตายหรอก แต่จะตายโหงแทนน่ะสิ!!

ม่ายอาววว! ไอ้เกี๊ยวยังไม่อยากตายโว้ยย!

'ผมอยากบวช เฮียให้ผมบวชเถอะ'

'ถ้าจะบวชหนีเฮียก็ข้ามศพเฮียไปก่อน'

ไอ้เกี๊ยวอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

'ยังไงเธอก็ต้องแต่งกับเฮีย พวกมันอยากมีอาซ้อเต็มทีแล้ว'

มาเฟียหนุ่มแห่งแก๊งมังกรดำพยักพเยิดไปทางลูกน้องที่ยืนรายล้อม คนเหล่านั้นต่างจ้องเขาเป็นตาเดียวแล้วก้มศีรษะทำความเคารพพร้อมกับเรียกเขาว่า 'อาซ้อ' อย่างพร้อมเพรียง

สารบัญ

#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย-ตอนที่ 1 เฮียไม่ชอบคนโกหกนะหมวย ,#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย-ตอนที่ 2 เกี๊ยวไม่ชอบฤดูฝน,#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย-ตอนที่ 3 ขอเบอร์หน่อยหมวย,#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย-ตอนที่ 4 เหมาเธอได้ไหม

เนื้อหา

ตอนที่ 1 เฮียไม่ชอบคนโกหกนะหมวย

“ไอ้เป๋!” คำเรียกคุ้นหูดังขึ้นแทบจะในทันทีที่ใจภักดิ์ก้าวเท้าเข้ามาในซอยรื่นเริง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคนพูดคือใคร ทั้งน้ำเสียงและจังหวะจะโคนในการพูด มีเพียงคนเดียวเท่านั้น...ทินภัทร ตัวแสบประจำซอยนั่นเอง

ทินภัทรหรือไอ้ทินเป็นลูกชายของลุงเมฆ เจ้าของร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ประจำซอยนี้ เราสองคนรู้จักกันมาสิบกว่าปี เห็นกันมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ทะเลาะกันบ้าง เล่นด้วยกันบ้าง พากันซุกซนบ้างตามประสาเด็กบ้าง เรียกได้ว่าสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง มันเคยเรียกเขาว่าไอ้เกี๊ยวเหมือนคนอื่น ๆ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุกับเขาเมื่อแปดปีก่อน

หลังจากถูกรถเฉี่ยวชนจนขาซ้ายหัก ต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยพยุงตัวกว่าสามเดือน ขาข้างที่หักของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ใจภักดิ์ฝึกเดินอยู่หลายเดือนด้วยความอดทน จนสามารถเดินเหินได้เกือบเท่าคนปกติแล้ว ทว่าขาข้างที่หักเหมือนจะสั้นกว่าขาอีกข้างหนึ่งทำให้เขายังคงต้องเดินกะเผลกอยู่เล็กน้อย มันคือความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาพยายามไม่ใส่ใจและมองข้ามมันไป ทว่าสิ่งที่เขาเป็นกลับดูแปลกประหลาดในสายตาของคนอื่น

ไอ้เป๋กลายเป็นคำเรียกติดปากของไอ้ทินกับเพื่อน ในซอยอีกสองสามคน จะด้วยความคึกคะนองหรืออะไรก็แล้วแต่ พอเรียกบ่อย ๆ เข้า คนอื่น ๆ ก็พากันเรียกตาม ไป ๆ มา ๆ คำว่า ‘ไอ้เป๋ประจำซอย’ ก็กลายมาเป็นฉายาของเขาไปโดยปริยายนับตั้งแต่นั้น

ใช่ว่าใจภักดิ์ไม่โมโห แต่เพราะตนเองขาเป๋จริง ๆ จึงไม่รู้ว่าจะหาคำใดมาโต้แย้งได้ สุดท้ายจึงปล่อยเลยตามเลย เนิ่นนานหลายปีจนวันนี้คำนี้กลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำนั้นแล้ว นึกปลงเสียมากกว่า

“ไปตลาดมาเหรอวะ”

เสียงของทินภัทรดังมาก่อนตัว ตามมาด้วยกลิ่นบุหรี่ที่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”

มันโผเข้ามากอดคอเขา คีบบุหรี่ออกจากปากก่อนพ่นควันสีเทาใส่หน้าเขาเข้าเต็มรัก ใจภักดิ์ยกมือปิดจมูกพลางไอโขลก ๆ พูดเสียงอู้อี้ว่า

“มึงไปสูบไกล ๆ ได้ไหมวะไอ้ทิน”

“มึงนี่ก็นะ แค่กลิ่นบุหรี่ จะอะไรนักหนาวะ”

ไอ้ทินบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยอมทิ้งบุหรี่ลงบนพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ปลายมวนที่แดงวาบจนมอดดับ

“มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบ”

“เออ! กูรู้ กี่ปี ๆ มึงก็ไม่เคยเปลี่ยน” ไอ้ทินหลุบตามองข้าวของที่เขาหอบหิ้วมาด้วย มีทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ ผักผลไม้อีกสองสามอย่าง มีถุงจากซูเปอร์มาร์เก็ตอีกถุงหนึ่ง ดูท่าจะหนักไม่เบา ระยะทางจากปากซอยจนถึงร้านเจ๊ลออข้าวมันไก่ก็ไม่ใช่น้อย ๆ ในฐานะที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมา ทินภัทรจึงเอื้อเฟื้อด้วยการอาสาช่วยถือไปส่งถึงบ้าน ทว่าใจภักดิ์กลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรเว้ย กูไหว”

“เดี๋ยวมึงก็มาบ่นว่าปวดขาอีกหรอก” ทินภัทรไม่ยอม ถือวิสาสะฉวยถุงหิ้วในมือของใจภักดิ์มาถือไว้สองสามถุง “กูช่วยไม่คิดตังค์ มึงก็อย่าอวดเก่งนักเลย กูไม่อยากเห็นมึงขาเดี้ยงอีกรอบ”

มันคว้าถุงแล้วเดินนำไปก่อนโดยไม่รอให้เขาคัดค้าน ใจภักดิ์ถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนเดินตาม

“แล้วนึกยังไงถึงเดินมา มอเตอร์ไซค์มึงไปไหนแล้ววะ”

“สตาร์ตไม่ติด”

“อ้าว เป็นไรอะ เอามาไว้ร้านพ่อกูไหม เดี๋ยวกูดูให้”

หลังจากจบมัธยมต้น ทินภัทรก็ย้ายไปเรียนสายอาชีพ เราสองคนแทบไม่เจอหน้ากันอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะเรียนคนละที่และเวลาไม่ตรงกัน พอเรียนจบไอ้ทินก็มารับช่วงกิจการของผู้เป็นพ่อต่อ ฝีมือมันนับว่าไม่แย่ ยิ่งได้ฝึกฝนก็ยิ่งเก่งขึ้น ใจภักดิ์จึงไม่คิดปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวว่าจะดูให้

“อืม ขอบใจ ฝากด้วยแล้วกัน”

“มึงจะใช้เมื่อไร”

“ช่วงนี้กูยังไม่ต้องใช้ อีกสี่ห้าวันก็ได้”

ใจภักดิ์เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยได้เพียงปีเดียว เขาก็เหมือนกับทินภัทร เรียนจบแล้วมารับช่วงกิจการของครอบครัวต่อ บ้านของเขาเป็นห้องแถวสามชั้นอยู่ติดถนน ชั้นล่างเปิดเป็นร้านข้าวมันไก่ ชื่อร้านเจ๊ละออข้าวมันไก่ ขายมาตั้งแต่ตอนเขาอายุห้าหกขวบ จนตอนนี้อายุยี่สิบสามแล้ว จากร้านเพียงห้องแถวเดียวขยายเป็นสองห้อง ลูกค้านับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนต้องจ้างเด็กดูแลร้านเพิ่ม

สมัยที่ยังเรียนอยู่ เขาไม่มีเวลาได้ช่วยแม่มากนัก พอเรียนจบจึงได้มาช่วยเต็มตัว วันไหนลูกค้าเยอะ บ่ายสามก็ได้ปิดร้านแล้ว วันไหนลูกค้าน้อย กว่าของจะหมดก็เกือบห้าโมง แต่ไม่เคยมีวันไหนที่ของไม่หมดเลยสักวัน รายได้ในแต่ละวันจึงถือว่าดีเลยทีเดียว ชีวิตของเขาจึงไม่นับว่าลำบาก แม้ไม่ถึงกับร่ำรวยแต่ก็เรียกได้ว่าพอมีพอกินพอใช้

เราสองคนเดินมาเกือบสิบนาทีจึงจะถึงจุดหมาย ทินภัทรเดินเข้าร้าน เอาของไปวางไว้ในครัวให้เสร็จสรรพ แวะยกมือไหว้แม่ของเขาที่กำลังวุ่นอยู่หน้าร้านที่มีลูกค้าต่อคิวสั่งกลับบ้านสองสามคน

“หวัดดีครับแม่ ผมเดินมาส่งไอ้-” กำลังจะโพล่งคำว่าไอ้เป๋ แต่นึกขึ้นมาได้จึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันควัน “ไอ้เกี๊ยวมัน แล้วจะเอามอเตอร์ไซค์ไปซ่อมให้เลยนะครับ”

แม่ของเขากำลังวุ่นอยู่กับลูกค้าจึงได้แต่อือ ๆ ออ ๆ สองสามคำ ทินภัทรยกมือไหว้ลาอีกครั้งหนึ่งก่อนเดินอ้อมไปทางหลังร้านเพื่อไปเอามอเตอร์ไซค์ ใจภักดิ์เดินตาม ยื่นกุญแจมอเตอร์ไซค์ให้พร้อมกับเอ่ยขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง

“เออ ไอ้เป๋ คืนนี้กูนัดเพื่อน ๆ มาร้องเกะ มึงมาด้วยกันไหม”

คนถูกชวนกำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่คำพูดประโยคถัดมาทำให้เจ้าตัวชะงักไป

“น้องเอินขวัญใจมึงก็มานะโว้ย”

คำว่าน้องเอินทำให้หัวใจของคนฟังกระตุกวูบ ชื่อนั้นมาพร้อมกับภาพในหัว...เป็นภาพของผู้หญิงหน้าตาผุดผ่องคนหนึ่ง ผู้มีดวงตากลมโตฉ่ำหวานและรอยยิ้มชวนให้ใจเต้น

น้องเอินหรือเอมิกา เป็นสาวรุ่นน้องที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขา และอาศัยอยู่ในซอยนี้ ห่างจากบ้านของเขาประมาณสองร้อยเมตร

บ้านของเอมิกาเป็นบ้านหลังใหญ่ที่สุดในซอย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นครอบครัวเศรษฐี โรงจอดรถของครอบครัวนั้นยังใหญ่กว่าตึกแถวของเขาเสียอีก ด้วยความที่ฐานะต่างกันกอปรกับสภาพขาข้างซ้ายที่ไม่ปกตินัก ทำให้เขาเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่คิดเอื้อมเด็ดดอกฟ้า ทำเพียงแอบรักอยู่เงียบ ๆ แต่ถึงจะเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้มิดชิดเพียงใด ทินภัทรก็ยังมองออก คงเพราะเป็นผู้ชายด้วยกันหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเราสองคนรู้จักกันมานานแล้ว นานเสียจนจับความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของกันและกันได้

“ทำไมน้องเอินถึงมาร้องเกะกับมึงได้วะ”

“ก็น้องเค้ารู้จักกับไอ้ทอย มึงจำไอ้ทอยได้หรือเปล่า ที่เคยอยู่ห้องเดียวกันตอนมอต้นไง”

ใจภักดิ์ใช้เวลาคิดอยู่อึดใจก่อนจะร้องอ๋อเมื่อระลึกได้

“ไอ้ทอยมันเรียนคณะเดียวกับน้องเอิน เจอกันบ่อยเลยสนิทกัน มันเป็นคนชวนน้องเอินมา มีเพื่อน ๆ น้องเอินอีกสองสามคน แม่งน่ารักฉิบ! มึงเคยเจอป่าววะ”

“คงเคยมั้ง” ชายหนุ่มไม่แน่ใจ จำได้เพียงเลา ๆ ว่าเคยเดินสวยกับเอมิกาสามสี่ครั้ง แต่ละครั้งมักจะมีคนเดินล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าหล่อนอยู่ตลอด ทว่าเขาไม่ได้สนใจ สองตาของเขาจดจ้องเอมิกาเท่านั้นจึงไม่ได้สังเกตใครอื่น

“ตกลงมึงเคยหรือไม่เคยกันแน่วะ” ไอ้ทินยืนเกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะตัดบทด้วยคำว่า “ไปนะเว้ย กูจะมารับทุ่มนึง”

“เฮ้ย! เดี๋ยวดิวะ กูยังไม่ตกลงเลย”

“ไปเถอะน่ะ มึงจะคิดอะไรมาก ถือว่าไปเจอเพื่อนเก่าก็แล้วกัน”

“เออๆๆ ไปก็ได้ แต่มึงไม่ต้องมารับนะ เดี๋ยวกูไปเอง ว่าแต่ร้านไหนวะ”

ทินภัทรบอกชื่อร้านซึ่งอยู่ถัดไปหนึ่งซอย อยู่ติดถนนใหญ่ เป็นร้านที่ดังที่สุดในละแวก ไม่ไกลจากบ้านของใจภักดิ์เท่าไรนัก เจ้าตัวจึงพยักหน้าหงึกหงัก

“โอเค เจอกันที่ร้านแล้วกัน กูอาจจะไปช้าหน่อย”

เมื่อพูดคุยตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงแยกย้าย ทินภัทรเข็นมอเตอร์ไซค์จากไป ส่วนใจภักดิ์รีบร้อนเดินกลับร้าน เพราะเวลาใกล้เที่ยงลูกค้าน่าจะเริ่มเยอะแล้ว ขณะเร่งฝีเท้าอย่างร้อนใจ ขาข้างหนึ่งซึ่งไม่ค่อยปกตินักก้าวพลาดไปสะดุดทางต่างระดับเกือบล้มหน้าคะมำ โชคดีที่มีใครบางคนกระชากคอเสื้อด้านหลังของเขาเอาไว้เสียก่อน

“ขอบคุณครับ”

ใจภักดิ์กล่าวคำขอบคุณพร้อมกับเหลียวไปมอง ใครคนนั้นก้มหน้าลงมา ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ

เขามองไม่เห็นอะไรนอกจากรูปหน้ามีเหลี่ยมมุมดูหล่อเหลา ไรหนวดเขียวจาง ๆ ที่ปลายคาง กับภาพสะท้อนของตัวเองบนแว่นกันเดดที่อีกฝ่ายสวม

ใครคนนั้นส่งยิ้มกว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบ ทว่าในสายตาของคนมองกลับเหมือนกำลังแยกเขี้ยวข่มขู่กันมากกว่า

“ถามหน่อยสิน้องชาย”

“ค...ครับ”

“รู้จักคนนี้ไหม” พร้อมกับคำถาม คนตรงหน้าหยิบรูปใบหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีดำของตนเองออกมาชูหราตรงหน้าเขา

ใจภักดิ์พยายามเพ่งมองฝ่าแสงแดดเจิดจ้า พอได้เห็นรูปนั้นเต็มตา รู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลาแต่ไม่รู้ว่าเคยเจอที่ไหน ไม่ใช่คนที่เขาคุ้นเคยแต่อาจจะเป็นคนที่มาเช่าห้องอยู่ในซอยนี้ก็เป็นได้

ชายหนุ่มเลียริมฝีปาก สูดหายใจลึกยาวหนหนึ่งก่อนส่ายหน้า

“ไม่รู้จักครับ”

ตอบออกไปแล้วก็กลั้นใจโดยไม่รู้ตัว กระทั่งอีกฝ่ายปล่อยคอเสื้อ เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก้มศีรษะเล็กน้อย กำลังจะเดินจากไปกลับถูกเสียงห้าวทุ้มรั้งเอาไว้

“แน่ใจนะหมวยว่าไม่รู้จัก”

‘หมวย’ สะดุ้ง ยืนอึ้งงั้นกะพริบปริบ ๆ ไม่เคยมีใครเรียกเขาเช่นนี้มาก่อน ถึงกับก้มมองตัวเองที่สวมเสื้อสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงขาสามส่วนเก่า ๆ ว่าเหมือนอาหมวยตรงไหน

“ว่าไงหมวย”

“อ่า...ครับ ไม่รู้จักครับ”

คนคนนั้นเข้ามากกอดคอ ปากร้อน ๆ แนบชิดกับใบหู มองเผิน ๆ เหมือนคู่รักกระซิบกระซาบบอกรักกันแต่ใครจะรู้เล่าว่าถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่ได้ทำให้ใจพองฟูแต่ทำให้ขนท้ายทอยลุกซู่ต่างหาก

“เฮียไม่ชอบคนโกหกนะหมวย ถ้ารู้ว่าหมวยโกหก เฮียไม่เอาไว้แน่”

‘ไม่เอาไว้แน่’ คำนี้จะคิดเป็นอื่นได้อย่างไร ในหัวเขาตอนนี้มีแต่ภาพที่ตัวเองถูกปลิดชีพอย่างสยดสยอง

ใจภักดิ์ยืนตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าขยับตัว แม้แต่หายใจก็ยังแผ่วเบาราวกับคนใกล้ตาย

คนตัวโตกว่าหัวเราะเบา ๆ ทิ้งท้าย ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับผิวปากหนึ่งหน ชายฉกรรจ์สามคนโผล่มาจากไหนไม่รู้วิ่งตามหลังคนคนนั้นแล้วพากันขึ้นรถตู้สีดำมะเมื่อมซึ่งจอดอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม

ใจภักดิ์พรูลมออกจากปากขณะมองรถคันนั้นแล่นจากไปพร้อมกับภาวนาว่าขออย่าได้เจอคนน่ากลัวแบบนั้นอีกเลย!