แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอก....แต่จะตายโหงแทนน่ะสิ!!! ไม่เอาโว้ย!!! ไอ้เกี๊ยวยังไม่อยากตาย ขอหนีไปบวชได้มุ้ยยย!
ไทย,ชาย-ชาย,ตลก,รัก,มาเฟีย,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวยแต่งกับเฮียไม่อดตายหรอก....แต่จะตายโหงแทนน่ะสิ!!! ไม่เอาโว้ย!!! ไอ้เกี๊ยวยังไม่อยากตาย ขอหนีไปบวชได้มุ้ยยย!
ไอ้เกี๊ยว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ๊ละออ เจ้าของร้านข้าวมันไก่ชื่อดังประจำซอยเคยประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ขาข้างซ้ายหัก ใส่เหล็กดามไว้แต่ยังเดินกะเผลกอยู่จึงมักจะถูกเรียกว่าไอ้เป๋เป็นประจำ
วันนี้ใจภักดิ์ตื่นสายกว่าทุกวัน คงเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตามก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าตนเองหลับไปเมื่อใด น่าจะเกือบรุ่งสางเลยละมัง
ชายหนุ่มลุกจากเตียงอย่างสะลึมสะลือ อ้าปากหาวหวอด ๆ พลางบิดขี้เกียจขับไล่ความง่วงงุน ดวงตาเรียวรีเหลือบมองไปทางหน้าต่าง แสงแดดจัดจ้าแสบตาแม้มีผ้าม่านผืนบางขวางกั้นเอาไว้ก็ยังต้องหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ
สายแค่ไหนแล้วเนี่ย...เจ้าตัวพึมพำกับตัวเองอย่างเป็นกังวล ม้าไม่ชอบให้เขาตื่นสาย เพราะมีสิ่งที่ต้องทำมากมายในยามเช้า หรือถึงไม่มีอะไรทำก็ควรต้องตื่นเช้าทุกวันเป็นปกติ หากมัวแต่นอนอุตุก็เหมือนเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวและไร้ความรับผิดชอบ
ก่อนที่ใจภักดิ์จะกุลีกุจอวิ่งเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว สายตาเจ้ากรรมดันไปปะทะเข้ากับสูทสีดำตัดเย็บอย่างประณีตซึ่งวางพาดอยู่บนพนักพิงโซฟาใกล้หน้าต่าง เขาเป็นคนวางมันไว้ตรงนั้น เป็นการวางอย่างระมัดระวังและทะนุถนอมมากที่สุดในชีวิต....ใครจะรู้เล่าว่า หากทำสูทของ ‘เฮีย’ ยับยู่ยี่จะต้องโดนลงโทษอะไรบ้าง เห็นบทเรียนจากเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้วเขาจึงไม่อยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง
ใจภักดิ์ทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง ยกมือนวดขมับอย่างคิดไม่ออกว่าจะเอาเสื้อสูทตัวนั้นไปคืนเจ้าของได้อย่างไร หากเก็บไว้ไม่ยอมคืนก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะพาพวกมาถล่มถึงในบ้าน ป๊ากับม้าเป็นได้ตกอกตกใจเสียเปล่า ๆ
ตามจากอากู๋จะเจอไหมนะ...คนที่เพิ่งตื่นเดินงัวเงียไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ลากเท้าเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับสมองที่เริ่มทำงานอย่างหนัก
หรือถามป้า ๆ น้า ๆ แถวนี้ดี อาจจะมีคนรู้จักก็เป็นได้
ป๊ากับม้าจะรู้จักไหมนะ?
ใจภักดิ์ถึงกับสั่นศีรษะรัวเร็ว ไม่ได้! ถามป๊ากับม้าไม่ได้แน่นอน นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วอาจจะถูกซักไซ้ไล่เรียงจนต้องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองจนหมดเปลือก ถึงตอนนั้นเรื่องราวคงวุ่นวายใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม เขาไม่อยากให้มันลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง ขอแค่คืนเสื้อให้มันจบ ๆ ไป แล้วหลังจากนั้นก็ทางใครทางมัน
ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวสิบนาที เดินหัวซุนออกมาจากห้องน้ำในสภาพผมเปียกชุ่ม น้ำหยดติ๋งลงมาเป็นทาง เจ้าตัวใช้ผ้าขนหนูเช็ดอย่างลวก ๆ เสร็จแล้วจึงใช้ไดร์เป่าผมเป่าต่ออีกสองสามนาทีจากนั้นจึงรีบร้อนเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง ม้ากำลังเตรียมของเพื่อเปิดร้านในตอนเช้า ไก่ต้มสุกอยู่ในหม้อ ข้าวหุงเรียบร้อยแล้ว น้ำซุปตั้งอยู่บนเตาพร้อมเสิร์ฟ ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว เขาผู้ไม่ได้ช่วยงานใด ๆ จึงได้แต่เดินตัวลีบ หน้าหดเหลือสองนิ้วด้วยความรู้สึกผิด
“ไงเรา เมื่อคืนกลับกี่โมง” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น “ม้าดันหลับไปซะก่อนก็เลยไม่รู้เลยว่าแกกลับก่อนเที่ยงคืนหรือเปล่า”
“ก่อนเที่ยงคืนสิครับม้า” คนเป็นลูกโผเข้ากอดเอวผู้ให้กำเนิด กางขาย่อตัวซบหน้ากับบ่านุ่ม หอมแก้มฟอดหนึ่งเพื่อเอาใจก่อนสำทับว่า “ผมแค่นอนไม่หลับน่ะครับ กว่าจะหลับก็ใกล้เช้าแล้วก็เลยตื่นสายนิดหน่อย”
ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาลง ๆ ใจภักดิ์รู้ความผิดตัวเอง ส่งยิ้มประจบไปอีกหนึ่งทีก่อนถามว่ามีอะไรให้ช่วยอีกไหม คนเป็นแม่ถอนใจเฮือก ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยพลางพยักพเยิดไปทางพนักงานสาวสองคนในร้านยืนสงบเสงี่ยมอยู่มุมในสุดของร้าน ทั้งสองคนสวมผ้ากันเปื้อนเตรียมพร้อมทำหน้าที่ของตนเองอย่างขยันขันแข็ง
“สองคนนั้นช่วยม้าจนเสร็จแล้ว”
คนหนึ่งชื่อเพ็ญ คนหนึ่งชื่อบุญ มาจากต่างจังหวัด อายุมากกว่าเขาสองปี จำได้ว่าทั้งสองคนเริ่มต้นทำงานที่นี่เมื่อสี่ปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่เขากำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในช่วงที่เขากำลังขะมักเขม้นกับการเรียน การที่ได้ทั้งสองมาช่วยงานถือว่าเป็นการแบ่งเบาความเหน็ดเหนื่อยของม้าได้มากทีเดียว และเพราะทำงานมาหลายปีด้วยความซื่อสัตย์ อีกทั้งยังจิตใจดีและอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้ครอบครัวของเขามองอีกฝ่ายเป็นครอบครัวเดียวกันไปโดยปริยาย
“พี่เกี๊ยวไม่ต้องห่วงน้า เราสองคนช่วยเจ๊เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมจะต้อนรับลูกค้าคนแรกแล้วค่ะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส และพอสิ้นประโยค ลูกค้าคนแรกก็ก้าวอาด ๆ เข้ามาในร้านอย่างพอดิบพอดี
“สวัสดีค่ะ เชิญค่ะ” ทั้งเพ็ญทั้งบุญพูดพร้อมเพรียงราวกับนกแก้วนกขุนทอง ก่อนจะโปรยยิ้มกว้างต้อนรับลูกค้าที่กำลังเดินเข้าร้านอย่างเป็นมิตร
รอกระทั่งลูกค้าหาที่นั่งได้แล้ว หนึ่งในนั้นจึงปรี่เข้าไปรับออเดอร์อย่างรู้หน้าที่
ส่วนตัวเขา รับอาสาสับไก่เนื้อนุ่มจัดวางใส่จานให้ลูกค้าพร้อมกับบอกให้ผู้เป็นแม่ไปพักผ่อน ในขณะที่ไอ้เต้...เด็กใหม่ของร้านที่เพิ่งรับเข้ามาเมื่อไม่กี่วันก่อนมีหน้าที่เก็บโต๊ะและล้างแก้วล้างจาน มันเพิ่งอายุครบสิบแปดปีเมื่อเดือนที่แล้ว มาทำงานเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน ถือว่าเป็นเด็กที่หน่วยก้านดี รูปร่างสูงใหญ่ ทะมัดทแมง ขยันขันแข็งและตั้งใจทำงาน ตั้งแต่รับเข้ามาทำงานยังไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้เจ้าของร้านต้องปวดหัว
เราต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ใจภักดิ์สับไก่มือเป็นระวิง ทั้งลูกค้านั่งร้านและลูกค้าซื้อกลับบ้านถือว่ามากกว่าวันก่อน ๆ โดยปกติแล้วถ้าคนเยอะตั้งแต่เช้า ยิ่งใกล้เที่ยงคนจะยิ่งเยอะเป็นเท่าตัว เพียงแต่วันนี้กลับต่างไปจากทุกวัน ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้างฝา พบว่าใกล้เที่ยงวันแล้ว ทว่าร้านทั้งร้านกลับว่างเปล่า ไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
แปลก...ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดพลางมองสบตาพนักงานในร้านด้วยความงุนงง คิ้วเรียวเข้มเลิกสูงเมื่อเห็นหน้าตาเจื่อน ๆ ของไอ้เต้กับท่าทางตื่นกลัวของเพ็ญ ส่วนบุญนั้นยืนทำตาโตตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว
ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ แวบแรก ใจภักดิ์คิดว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุที่หน้าร้านหรือมีคนทะเลาะกัน
ไวเท่าความคิด หนุ่มวัยยี่สิบสองปีเศษในชุดเสื้อยืดย้วย ๆ สีขาวกับกางเกงยีนขาสั้นเก่า ๆ สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีชมพูหันขวับไปมองหน้าร้าน ยืดตัวชะโงกหน้ามองอย่างสงสัยใคร่รู้ ทว่าจุดที่ยืนอยู่ นอกจากถนนว่างเปล่าไร้ซึ่งรถยนต์ขับผ่านกับรั้วบ้านฝั่งตรงข้ามแล้ว เขาก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอื่นใด ชายหนุ่มจึงจำต้องเดินลากเท้าออกมาดูที่หน้าร้าน
เพียงก้าวพ้นประตูร้านออกมา สิ่งที่ปรากฏในคลองจักษุของใจภักดิ์ก็พอจะอธิบายเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในเที่ยงวันนี้ได้แล้ว
เยื้องร้านข้าวมันไก่ทางด้านซ้ายไม่กี่เมตร พบรถเก๋งสีดำมะเมื่อมติดฟิล์มดำมืดกว่าสิบคันจอดเรียงรายอยู่ริมทางเดินเท้าทั้งสองฟากฝั่งถนน โดยมีชายฉกรรจ์สวมแว่นกันแดดในชุดสูทสีดำยืนเรียงแถวเป็นระเบียบอยู่ข้างตัวรถ มองเผิน ๆ เหมือนบอดี้การ์ดกำลังคุ้มกันคนใหญ่คนโตสักคนหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าใครก็คงต้องหลบเลี่ยงไว้ก่อน
หมดกัน วันนี้คงขายไม่หมดแน่แล้ว ใจภักดิ์คิดอย่างละเหี่ยใจ แอบก่นด่า ‘คนใหญ่คนโต’ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครไปสามสี่คำ กำลังคิดว่าจะปิดร้านเสียเดี๋ยวนั้นเลยเพราะคงไม่มีลูกค้าคนไหนกล้าเดินหรือขับรถผ่านทางนี้แล้ว แต่กลับต้องชะงักไปเมื่อคนที่เพิ่งก้าวลงจากรถซึ่งจอดอยู่หน้าสุดตะโกนบอกว่า
“เหมาทั้งร้านได้ไหมน้อง”
ทั้งสุ้มเสียงและจังหวะจะโคนในการพูดคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินมาก่อน ใจภักดิ์จึงหรี่ตาเพ่งมองอย่างตั้งใจ จากระยะที่เห็นหน้าไม่ชัด จึงเห็นเพียงว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อเชิ้ตสีดำลายมังกรทองกับกางเกงแสล็กขาเต่อ พริบตาเดียว ด้วยขายาว ๆ ของผู้ชายคนนั้นก็ทำให้อีกฝ่ายมายืนตรงหน้าเขาแล้ว
เมื่อโครงหน้าที่จำได้ขึ้นใจปรากฏแก่สายตา เท้าข้างหนึ่งของเขาก็ก้าวถอยไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ พร้อมเผ่นแน่บได้ทุกเมื่อ
“เจอกันอีกแล้วนะหมวย”
คนตรงหน้าแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนเคย คนมองยิ้มตอบจืดเจื่อน ขนแขนลุกชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตามเจอรวดเร็วปานนี้
เมื่อวานตอนเช้า พบเจอกันประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ทันได้สังเกตสังกาอะไรมากนักนอกจากความหล่อสะดุดตา
เมื่อคืน ด้วยความมืดและสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจชื่นชมใคร รักษาชีวิตตนเองเอาไว้สำคัญกว่า
ทว่าวันนี้ ท่ามกลางแสงตะวันเจิดจ้า ทั้งยังได้ประจันหน้ากันอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ใจภักดิ์จึงเห็นรายละเอียดบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่คิ้วเข้มโค้งรับกับดวงตาดำล้ำลึกทรงอำนาจ จมูกโด่งปลายงุ้มเล็กน้อย ริมฝีปากหยักลึกได้รูปและสันกรามคมชัดโดดเด่น
เผลอมองสบตาคนตรงหน้า พลันต้องสะท้านไหวกับดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
"เฮียมากินข้าว หระ...หรือว่ามาหาผมเหรอครับ" ใจภักดิ์พูดเสียงเบาตะกุกตะกัก
"ตั้งใจมาหาเธอ" คำตอบชัดเจนไม่มีวี่แววลังเลแม้แต่น้อยนิด
ใจภักดิ์ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้ว่าชีวิตตัวเองไม่ปลอดภัยแล้ว คนตรงหน้าคงไม่ใช่แค่มาเอาเสื้อคืนแต่น่าจะมาข่มขู่ไม่ให้เขาเปิดปากพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ด้วย หรือไม่อาจจะแย่กว่านั้น...ชายหนุ่มนึกสภาพตัวเองถูกจับมัดมือมัดเท้าปิดปากยัดใส่ถังแล้วโยนลงทะเล ถึงกับขาอ่อนจนเซไปด้านหลังเล็กน้อย
มือใหญ่คว้าหมับที่คอเสื้อของเขาดึงให้กลับมายืนอย่างมั่นคง
ใจภักดิ์อยากจะร้องไห้ แต่กล้ำกลืนความกลัวเอาไว้ จัดเสื้อที่ยับของตนเองพลางพูดขอบคุณเสียงแผ่วจากนั้นจึงถามด้วยเสียงแหบแห้ง
“มาเอาเสื้อใช่ไหมครับ ผมยังไม่ได้ซักเลย”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องซักก็ได้”
“งั้นเดี๋ยวผมไปเอามาให้เลยนะครับเฮีย” พูดรัวจนลิ้นแทบพันกัน ทั้งยังกระตือรือร้นจะรีบไปเอาเสื้อมาคืนเจ้าของ ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าจากไปก็ถูกคนตัวโตกว่ารั้งต้นแขนเอาไว้เสียก่อน
“เฮียไม่รีบ” อีกฝ่ายว่าพลางมองจ้องเขาด้วยแววตาที่ใจภักดิ์อธิบายไม่ถูก ทั้งทำให้ใจเต้นและทำให้เสียวสันหลังวาบอย่างน่าประหลาด
“หิว” เฮียพูดคำนั้นพร้อมกับพยักพเยิดไปทางเคาน์เตอร์ครัว
“อ่า...ได้ครับ ๆ” ใจภักดิ์ได้โอกาสปลีกตัว ดึงแขนออกจากมือใหญ่อย่างสุภาพก่อนเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อเตรียมข้าวมันไก่จานพิเศษที่ทั้งข้าวทั้งไก่เยอะจนเกือบล้นจาน
เมื่อนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะหน้าร้านซึ่งมาเฟียหนุ่มนั่งจับจองพร้อมกับมีลูกน้องคุ้มกันอยู่ไม่ห่าง ท่ามกลางมนุษย์หน้าตาบึ้งตึงที่มาพร้อมกับบรรยากาศกดดันจนหายใจไม่ออก ใจภักดิ์หวาดกลัวจนใจสั่น ถ้าหากว่าเขาทำอะไรผิดขึ้นมา ไม่รู้ว่าหนึ่งในบรรดาลูกน้องเหล่านั้นจะชักปืนขึ้นมาเป่าสมองเขาหรือไม่ นึกภาพตามแล้ว เหงื่อเย็นถึงกับไหลโซมกาย ดังนั้นพอวางจานข้าวมันไก่ลงตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับน้ำเย็น ๆ ใส่น้ำแข็งเต็มแก้วเรียบร้อยแล้วจึงรีบชิ่งหนีทันที
กลับไปยืนหลังเคาน์เตอร์อย่างสงบเสงี่ยม ภาวนาให้พ่อหนุ่มมาเฟียคนหล่อเท่รีบกินให้เสร็จ เขาจะได้คืนเสื้อแล้วต่อจากนั้นก็ทางใครทางมันจริง ๆ เสียที ใครจะนึกว่าจากที่หันหน้าไปทางถนน เฮียกลับย้ายที่นั่งเพื่อจะได้หันหน้ามาทางเคาน์เตอร์ครัว ตั้งใจจะมองผนังร้าน อ่านเมนูที่แขวนอยู่บนผนัง หรือตั้งใจมองหน้าเขาก็ไม่รู้แน่ ใจภักดิ์รีบก้มหน้าหลบตา หันรีหันขวางท่าทางประหม่า กำลังคิดจะหนีไปหลังร้านก็ถูกคนตรงหน้าเอ่ยชวน
“มานั่งด้วยกันสิหมวย”
หมวยสะดุ้งเฮือก เงยหน้ายิ้มแหย ๆ ปฏิเสธไปว่า “ไม่ดีกว่าครับ”
คนตัวโตทำหน้าเคร่งเครียดใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะสองที เพียงเท่านั้นคนถูกชวนก็ลนลาน แม้ว่าเพิ่งโพล่งคำปฏิเสธออกไปแต่กลับรีบร้อนเดินออกไปนั่งเป็นเพื่อนอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้
ทันทีที่ก้นแตะเก้าอี้ คนที่นั่งตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาว่า
"เรื่องเมื่อคืนได้เล่าให้ใครฟังไหม"
นั่นปะไร! ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน! เฮียมาหาเขาเพราะเรื่องเมื่อคืนจริง ๆ ด้วย
เอาน่ะ! อย่าเพิ่งลนลาน ขอแค่ไม่พูดเรื่องนั้นออกไปก็น่าจะรอดแล้ว
"เปล่าครับ" ใจภักดิ์ส่ายหน้าจนปลายผมสะบัดไปมา มองสบตาคนถามอย่างจริงใจพร้อมกับยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น "ไม่ได้พูดเลยครับ ผมไม่พูดหรอกครับ ผมสัญญา จะปิดปากไว้ให้สนิทเลยครับ"
มาเฟียหนุ่มพยักหน้า ก้มหน้าตักข้าวมันไก่ใส่ปากหนึ่งคำ เงยหน้ามองเขาอีกหนึ่งหน พูดว่า
"เฮียเหมาทั้งร้านนะวันนี้ ให้ลูกน้องเฮียกินด้วย"
ใจภักดิ์พยักหน้าหงึกหงัก ตะโกนเรียกเพ็ญกับบุญที่หนีไปหลบอยู่หลังร้านให้ออกมาช่วย ตัวเองกำลังจะลุกไปช่วยเช่นกันกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินคนตรงหน้าพูดว่า
"เหมาเธอด้วยได้ไหม"
"ฮะ?" คนตัวเล็กกว่านึกว่าได้ยินผิดไปจึงชะงักค้างอยู่ในท่าที่กำลังจะลุกยืน "เฮียว่าอะไรนะครับ"
คนถูกถามลุกยืน เท้ามือกับโต๊ะแล้วโน้มตัวมาข้างหน้า
"เฮียถามว่าขอเหมาเธอด้วยได้ไหม จะได้พาไปอยู่บ้านเฮียเลย"
ใจภักดิ์เงียบงัน ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ตากะพริบปริบ ๆ ขณะที่ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าเฮียจะพาไปบ้านหรือจะพาไปฆ่าหมกป่ากันแน่?!