แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอก....แต่จะตายโหงแทนน่ะสิ!!! ไม่เอาโว้ย!!! ไอ้เกี๊ยวยังไม่อยากตาย ขอหนีไปบวชได้มุ้ยยย!

#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย - ตอนที่ 4 เหมาเธอได้ไหม โดย earlymoon @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไทย,ชาย-ชาย,ตลก,รัก,มาเฟีย,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไทย,ชาย-ชาย,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

มาเฟีย,นิยายวาย

รายละเอียด

แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอก....แต่จะตายโหงแทนน่ะสิ!!! ไม่เอาโว้ย!!! ไอ้เกี๊ยวยังไม่อยากตาย ขอหนีไปบวชได้มุ้ยยย!

ผู้แต่ง

earlymoon

เรื่องย่อ

ไอ้เกี๊ยว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ๊ละออ เจ้าของร้านข้าวมันไก่ชื่อดังประจำซอยเคยประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ขาข้างซ้ายหัก ใส่เหล็กดามไว้แต่ยังเดินกะเผลกอยู่จึงมักจะถูกเรียกว่าไอ้เป๋เป็นประจำ


แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่เรียกไม่เหมือนคนอื่น...'หมวย' บ้าง 'ไอ้หนู' บ้าง บางทีก็ 'ไอ้เปี๊ยก' 'ไอ้เตี้ย' 'ไอ้ตี๋' อารมณ์ดีหน่อยก็ 'เธอ' ไม่ก็ 'คนสวย'...คำหลังนี้ชวนให้สยองอยู่เหมือนกัน แต่ที่ทำให้ขนพองสยองเกล้ายิ่งกว่าคือ 'เมียจ๋า'!

ไอ้เกี๊ยวถึงกับจะละทางโลก แล้วหนีไปบวชสักสองสามปี ทว่าพ่อเจ้าประคุณก็ไม่เกรงกลัวบาปเลยสักนิด มาชิงตัวคนถึงในวัด นอกจากตัดทางบุญของไอ้เกี๊ยวแล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่า

'แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย'

เออ! ไม่อดตายหรอก แต่จะตายโหงแทนน่ะสิ!!

ม่ายอาววว! ไอ้เกี๊ยวยังไม่อยากตายโว้ยย!

'ผมอยากบวช เฮียให้ผมบวชเถอะ'

'ถ้าจะบวชหนีเฮียก็ข้ามศพเฮียไปก่อน'

ไอ้เกี๊ยวอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

'ยังไงเธอก็ต้องแต่งกับเฮีย พวกมันอยากมีอาซ้อเต็มทีแล้ว'

มาเฟียหนุ่มแห่งแก๊งมังกรดำพยักพเยิดไปทางลูกน้องที่ยืนรายล้อม คนเหล่านั้นต่างจ้องเขาเป็นตาเดียวแล้วก้มศีรษะทำความเคารพพร้อมกับเรียกเขาว่า 'อาซ้อ' อย่างพร้อมเพรียง

สารบัญ

#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย-ตอนที่ 1 เฮียไม่ชอบคนโกหกนะหมวย ,#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย-ตอนที่ 2 เกี๊ยวไม่ชอบฤดูฝน,#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย-ตอนที่ 3 ขอเบอร์หน่อยหมวย,#แต่งกับเฮียไม่อดตายหรอกหมวย-ตอนที่ 4 เหมาเธอได้ไหม

เนื้อหา

ตอนที่ 4 เหมาเธอได้ไหม

วันนี้ใจภักดิ์ตื่นสายกว่าทุกวัน คงเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตามก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าตนเองหลับไปเมื่อใด น่าจะเกือบรุ่งสางเลยละมัง


ชายหนุ่มลุกจากเตียงอย่างสะลึมสะลือ อ้าปากหาวหวอด ๆ พลางบิดขี้เกียจขับไล่ความง่วงงุน ดวงตาเรียวรีเหลือบมองไปทางหน้าต่าง แสงแดดจัดจ้าแสบตาแม้มีผ้าม่านผืนบางขวางกั้นเอาไว้ก็ยังต้องหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ


สายแค่ไหนแล้วเนี่ย...เจ้าตัวพึมพำกับตัวเองอย่างเป็นกังวล ม้าไม่ชอบให้เขาตื่นสาย เพราะมีสิ่งที่ต้องทำมากมายในยามเช้า หรือถึงไม่มีอะไรทำก็ควรต้องตื่นเช้าทุกวันเป็นปกติ หากมัวแต่นอนอุตุก็เหมือนเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวและไร้ความรับผิดชอบ


ก่อนที่ใจภักดิ์จะกุลีกุจอวิ่งเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว สายตาเจ้ากรรมดันไปปะทะเข้ากับสูทสีดำตัดเย็บอย่างประณีตซึ่งวางพาดอยู่บนพนักพิงโซฟาใกล้หน้าต่าง เขาเป็นคนวางมันไว้ตรงนั้น เป็นการวางอย่างระมัดระวังและทะนุถนอมมากที่สุดในชีวิต....ใครจะรู้เล่าว่า หากทำสูทของ ‘เฮีย’ ยับยู่ยี่จะต้องโดนลงโทษอะไรบ้าง เห็นบทเรียนจากเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้วเขาจึงไม่อยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง


ใจภักดิ์ทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง ยกมือนวดขมับอย่างคิดไม่ออกว่าจะเอาเสื้อสูทตัวนั้นไปคืนเจ้าของได้อย่างไร หากเก็บไว้ไม่ยอมคืนก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะพาพวกมาถล่มถึงในบ้าน ป๊ากับม้าเป็นได้ตกอกตกใจเสียเปล่า ๆ


ตามจากอากู๋จะเจอไหมนะ...คนที่เพิ่งตื่นเดินงัวเงียไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ลากเท้าเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับสมองที่เริ่มทำงานอย่างหนัก


หรือถามป้า ๆ น้า ๆ แถวนี้ดี อาจจะมีคนรู้จักก็เป็นได้


ป๊ากับม้าจะรู้จักไหมนะ?


ใจภักดิ์ถึงกับสั่นศีรษะรัวเร็ว ไม่ได้! ถามป๊ากับม้าไม่ได้แน่นอน นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วอาจจะถูกซักไซ้ไล่เรียงจนต้องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองจนหมดเปลือก ถึงตอนนั้นเรื่องราวคงวุ่นวายใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม เขาไม่อยากให้มันลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง ขอแค่คืนเสื้อให้มันจบ ๆ ไป แล้วหลังจากนั้นก็ทางใครทางมัน


ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวสิบนาที เดินหัวซุนออกมาจากห้องน้ำในสภาพผมเปียกชุ่ม น้ำหยดติ๋งลงมาเป็นทาง เจ้าตัวใช้ผ้าขนหนูเช็ดอย่างลวก ๆ เสร็จแล้วจึงใช้ไดร์เป่าผมเป่าต่ออีกสองสามนาทีจากนั้นจึงรีบร้อนเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง ม้ากำลังเตรียมของเพื่อเปิดร้านในตอนเช้า ไก่ต้มสุกอยู่ในหม้อ ข้าวหุงเรียบร้อยแล้ว น้ำซุปตั้งอยู่บนเตาพร้อมเสิร์ฟ ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว เขาผู้ไม่ได้ช่วยงานใด ๆ จึงได้แต่เดินตัวลีบ หน้าหดเหลือสองนิ้วด้วยความรู้สึกผิด


“ไงเรา เมื่อคืนกลับกี่โมง” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น “ม้าดันหลับไปซะก่อนก็เลยไม่รู้เลยว่าแกกลับก่อนเที่ยงคืนหรือเปล่า”


“ก่อนเที่ยงคืนสิครับม้า” คนเป็นลูกโผเข้ากอดเอวผู้ให้กำเนิด กางขาย่อตัวซบหน้ากับบ่านุ่ม หอมแก้มฟอดหนึ่งเพื่อเอาใจก่อนสำทับว่า “ผมแค่นอนไม่หลับน่ะครับ กว่าจะหลับก็ใกล้เช้าแล้วก็เลยตื่นสายนิดหน่อย”


ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาลง ๆ ใจภักดิ์รู้ความผิดตัวเอง ส่งยิ้มประจบไปอีกหนึ่งทีก่อนถามว่ามีอะไรให้ช่วยอีกไหม คนเป็นแม่ถอนใจเฮือก ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยพลางพยักพเยิดไปทางพนักงานสาวสองคนในร้านยืนสงบเสงี่ยมอยู่มุมในสุดของร้าน ทั้งสองคนสวมผ้ากันเปื้อนเตรียมพร้อมทำหน้าที่ของตนเองอย่างขยันขันแข็ง


“สองคนนั้นช่วยม้าจนเสร็จแล้ว”


คนหนึ่งชื่อเพ็ญ คนหนึ่งชื่อบุญ มาจากต่างจังหวัด อายุมากกว่าเขาสองปี จำได้ว่าทั้งสองคนเริ่มต้นทำงานที่นี่เมื่อสี่ปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่เขากำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในช่วงที่เขากำลังขะมักเขม้นกับการเรียน การที่ได้ทั้งสองมาช่วยงานถือว่าเป็นการแบ่งเบาความเหน็ดเหนื่อยของม้าได้มากทีเดียว และเพราะทำงานมาหลายปีด้วยความซื่อสัตย์ อีกทั้งยังจิตใจดีและอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้ครอบครัวของเขามองอีกฝ่ายเป็นครอบครัวเดียวกันไปโดยปริยาย


“พี่เกี๊ยวไม่ต้องห่วงน้า เราสองคนช่วยเจ๊เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมจะต้อนรับลูกค้าคนแรกแล้วค่ะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส และพอสิ้นประโยค ลูกค้าคนแรกก็ก้าวอาด ๆ เข้ามาในร้านอย่างพอดิบพอดี


“สวัสดีค่ะ เชิญค่ะ” ทั้งเพ็ญทั้งบุญพูดพร้อมเพรียงราวกับนกแก้วนกขุนทอง ก่อนจะโปรยยิ้มกว้างต้อนรับลูกค้าที่กำลังเดินเข้าร้านอย่างเป็นมิตร


รอกระทั่งลูกค้าหาที่นั่งได้แล้ว หนึ่งในนั้นจึงปรี่เข้าไปรับออเดอร์อย่างรู้หน้าที่


ส่วนตัวเขา รับอาสาสับไก่เนื้อนุ่มจัดวางใส่จานให้ลูกค้าพร้อมกับบอกให้ผู้เป็นแม่ไปพักผ่อน ในขณะที่ไอ้เต้...เด็กใหม่ของร้านที่เพิ่งรับเข้ามาเมื่อไม่กี่วันก่อนมีหน้าที่เก็บโต๊ะและล้างแก้วล้างจาน มันเพิ่งอายุครบสิบแปดปีเมื่อเดือนที่แล้ว มาทำงานเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน ถือว่าเป็นเด็กที่หน่วยก้านดี รูปร่างสูงใหญ่ ทะมัดทแมง ขยันขันแข็งและตั้งใจทำงาน ตั้งแต่รับเข้ามาทำงานยังไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้เจ้าของร้านต้องปวดหัว


เราต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ใจภักดิ์สับไก่มือเป็นระวิง ทั้งลูกค้านั่งร้านและลูกค้าซื้อกลับบ้านถือว่ามากกว่าวันก่อน ๆ โดยปกติแล้วถ้าคนเยอะตั้งแต่เช้า ยิ่งใกล้เที่ยงคนจะยิ่งเยอะเป็นเท่าตัว เพียงแต่วันนี้กลับต่างไปจากทุกวัน ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้างฝา พบว่าใกล้เที่ยงวันแล้ว ทว่าร้านทั้งร้านกลับว่างเปล่า ไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว


แปลก...ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดพลางมองสบตาพนักงานในร้านด้วยความงุนงง คิ้วเรียวเข้มเลิกสูงเมื่อเห็นหน้าตาเจื่อน ๆ ของไอ้เต้กับท่าทางตื่นกลัวของเพ็ญ ส่วนบุญนั้นยืนทำตาโตตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว


ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ แวบแรก ใจภักดิ์คิดว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุที่หน้าร้านหรือมีคนทะเลาะกัน


ไวเท่าความคิด หนุ่มวัยยี่สิบสองปีเศษในชุดเสื้อยืดย้วย ๆ สีขาวกับกางเกงยีนขาสั้นเก่า ๆ สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีชมพูหันขวับไปมองหน้าร้าน ยืดตัวชะโงกหน้ามองอย่างสงสัยใคร่รู้ ทว่าจุดที่ยืนอยู่ นอกจากถนนว่างเปล่าไร้ซึ่งรถยนต์ขับผ่านกับรั้วบ้านฝั่งตรงข้ามแล้ว เขาก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอื่นใด ชายหนุ่มจึงจำต้องเดินลากเท้าออกมาดูที่หน้าร้าน


เพียงก้าวพ้นประตูร้านออกมา สิ่งที่ปรากฏในคลองจักษุของใจภักดิ์ก็พอจะอธิบายเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในเที่ยงวันนี้ได้แล้ว


เยื้องร้านข้าวมันไก่ทางด้านซ้ายไม่กี่เมตร พบรถเก๋งสีดำมะเมื่อมติดฟิล์มดำมืดกว่าสิบคันจอดเรียงรายอยู่ริมทางเดินเท้าทั้งสองฟากฝั่งถนน โดยมีชายฉกรรจ์สวมแว่นกันแดดในชุดสูทสีดำยืนเรียงแถวเป็นระเบียบอยู่ข้างตัวรถ มองเผิน ๆ เหมือนบอดี้การ์ดกำลังคุ้มกันคนใหญ่คนโตสักคนหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าใครก็คงต้องหลบเลี่ยงไว้ก่อน


หมดกัน วันนี้คงขายไม่หมดแน่แล้ว ใจภักดิ์คิดอย่างละเหี่ยใจ แอบก่นด่า ‘คนใหญ่คนโต’ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครไปสามสี่คำ กำลังคิดว่าจะปิดร้านเสียเดี๋ยวนั้นเลยเพราะคงไม่มีลูกค้าคนไหนกล้าเดินหรือขับรถผ่านทางนี้แล้ว แต่กลับต้องชะงักไปเมื่อคนที่เพิ่งก้าวลงจากรถซึ่งจอดอยู่หน้าสุดตะโกนบอกว่า


“เหมาทั้งร้านได้ไหมน้อง”


ทั้งสุ้มเสียงและจังหวะจะโคนในการพูดคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินมาก่อน ใจภักดิ์จึงหรี่ตาเพ่งมองอย่างตั้งใจ จากระยะที่เห็นหน้าไม่ชัด จึงเห็นเพียงว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อเชิ้ตสีดำลายมังกรทองกับกางเกงแสล็กขาเต่อ พริบตาเดียว ด้วยขายาว ๆ ของผู้ชายคนนั้นก็ทำให้อีกฝ่ายมายืนตรงหน้าเขาแล้ว


เมื่อโครงหน้าที่จำได้ขึ้นใจปรากฏแก่สายตา เท้าข้างหนึ่งของเขาก็ก้าวถอยไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ พร้อมเผ่นแน่บได้ทุกเมื่อ


“เจอกันอีกแล้วนะหมวย”


คนตรงหน้าแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนเคย คนมองยิ้มตอบจืดเจื่อน ขนแขนลุกชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตามเจอรวดเร็วปานนี้


เมื่อวานตอนเช้า พบเจอกันประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ทันได้สังเกตสังกาอะไรมากนักนอกจากความหล่อสะดุดตา


เมื่อคืน ด้วยความมืดและสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจชื่นชมใคร รักษาชีวิตตนเองเอาไว้สำคัญกว่า


ทว่าวันนี้ ท่ามกลางแสงตะวันเจิดจ้า ทั้งยังได้ประจันหน้ากันอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ใจภักดิ์จึงเห็นรายละเอียดบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่คิ้วเข้มโค้งรับกับดวงตาดำล้ำลึกทรงอำนาจ จมูกโด่งปลายงุ้มเล็กน้อย ริมฝีปากหยักลึกได้รูปและสันกรามคมชัดโดดเด่น


เผลอมองสบตาคนตรงหน้า พลันต้องสะท้านไหวกับดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา


"เฮียมากินข้าว หระ...หรือว่ามาหาผมเหรอครับ" ใจภักดิ์พูดเสียงเบาตะกุกตะกัก


"ตั้งใจมาหาเธอ" คำตอบชัดเจนไม่มีวี่แววลังเลแม้แต่น้อยนิด


ใจภักดิ์ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้ว่าชีวิตตัวเองไม่ปลอดภัยแล้ว คนตรงหน้าคงไม่ใช่แค่มาเอาเสื้อคืนแต่น่าจะมาข่มขู่ไม่ให้เขาเปิดปากพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ด้วย หรือไม่อาจจะแย่กว่านั้น...ชายหนุ่มนึกสภาพตัวเองถูกจับมัดมือมัดเท้าปิดปากยัดใส่ถังแล้วโยนลงทะเล ถึงกับขาอ่อนจนเซไปด้านหลังเล็กน้อย


มือใหญ่คว้าหมับที่คอเสื้อของเขาดึงให้กลับมายืนอย่างมั่นคง


ใจภักดิ์อยากจะร้องไห้ แต่กล้ำกลืนความกลัวเอาไว้ จัดเสื้อที่ยับของตนเองพลางพูดขอบคุณเสียงแผ่วจากนั้นจึงถามด้วยเสียงแหบแห้ง


“มาเอาเสื้อใช่ไหมครับ ผมยังไม่ได้ซักเลย”


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องซักก็ได้”


“งั้นเดี๋ยวผมไปเอามาให้เลยนะครับเฮีย” พูดรัวจนลิ้นแทบพันกัน ทั้งยังกระตือรือร้นจะรีบไปเอาเสื้อมาคืนเจ้าของ ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าจากไปก็ถูกคนตัวโตกว่ารั้งต้นแขนเอาไว้เสียก่อน


“เฮียไม่รีบ” อีกฝ่ายว่าพลางมองจ้องเขาด้วยแววตาที่ใจภักดิ์อธิบายไม่ถูก ทั้งทำให้ใจเต้นและทำให้เสียวสันหลังวาบอย่างน่าประหลาด


“หิว” เฮียพูดคำนั้นพร้อมกับพยักพเยิดไปทางเคาน์เตอร์ครัว 


“อ่า...ได้ครับ ๆ” ใจภักดิ์ได้โอกาสปลีกตัว ดึงแขนออกจากมือใหญ่อย่างสุภาพก่อนเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อเตรียมข้าวมันไก่จานพิเศษที่ทั้งข้าวทั้งไก่เยอะจนเกือบล้นจาน


เมื่อนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะหน้าร้านซึ่งมาเฟียหนุ่มนั่งจับจองพร้อมกับมีลูกน้องคุ้มกันอยู่ไม่ห่าง ท่ามกลางมนุษย์หน้าตาบึ้งตึงที่มาพร้อมกับบรรยากาศกดดันจนหายใจไม่ออก ใจภักดิ์หวาดกลัวจนใจสั่น ถ้าหากว่าเขาทำอะไรผิดขึ้นมา ไม่รู้ว่าหนึ่งในบรรดาลูกน้องเหล่านั้นจะชักปืนขึ้นมาเป่าสมองเขาหรือไม่ นึกภาพตามแล้ว เหงื่อเย็นถึงกับไหลโซมกาย ดังนั้นพอวางจานข้าวมันไก่ลงตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับน้ำเย็น ๆ ใส่น้ำแข็งเต็มแก้วเรียบร้อยแล้วจึงรีบชิ่งหนีทันที


กลับไปยืนหลังเคาน์เตอร์อย่างสงบเสงี่ยม ภาวนาให้พ่อหนุ่มมาเฟียคนหล่อเท่รีบกินให้เสร็จ เขาจะได้คืนเสื้อแล้วต่อจากนั้นก็ทางใครทางมันจริง ๆ เสียที ใครจะนึกว่าจากที่หันหน้าไปทางถนน เฮียกลับย้ายที่นั่งเพื่อจะได้หันหน้ามาทางเคาน์เตอร์ครัว ตั้งใจจะมองผนังร้าน อ่านเมนูที่แขวนอยู่บนผนัง หรือตั้งใจมองหน้าเขาก็ไม่รู้แน่ ใจภักดิ์รีบก้มหน้าหลบตา หันรีหันขวางท่าทางประหม่า กำลังคิดจะหนีไปหลังร้านก็ถูกคนตรงหน้าเอ่ยชวน


“มานั่งด้วยกันสิหมวย”


หมวยสะดุ้งเฮือก เงยหน้ายิ้มแหย ๆ ปฏิเสธไปว่า “ไม่ดีกว่าครับ”


คนตัวโตทำหน้าเคร่งเครียดใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะสองที เพียงเท่านั้นคนถูกชวนก็ลนลาน แม้ว่าเพิ่งโพล่งคำปฏิเสธออกไปแต่กลับรีบร้อนเดินออกไปนั่งเป็นเพื่อนอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้


ทันทีที่ก้นแตะเก้าอี้ คนที่นั่งตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาว่า


"เรื่องเมื่อคืนได้เล่าให้ใครฟังไหม"


นั่นปะไร! ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน! เฮียมาหาเขาเพราะเรื่องเมื่อคืนจริง ๆ ด้วย 


เอาน่ะ! อย่าเพิ่งลนลาน ขอแค่ไม่พูดเรื่องนั้นออกไปก็น่าจะรอดแล้ว


"เปล่าครับ" ใจภักดิ์ส่ายหน้าจนปลายผมสะบัดไปมา มองสบตาคนถามอย่างจริงใจพร้อมกับยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น "ไม่ได้พูดเลยครับ ผมไม่พูดหรอกครับ ผมสัญญา จะปิดปากไว้ให้สนิทเลยครับ"


มาเฟียหนุ่มพยักหน้า ก้มหน้าตักข้าวมันไก่ใส่ปากหนึ่งคำ เงยหน้ามองเขาอีกหนึ่งหน พูดว่า


"เฮียเหมาทั้งร้านนะวันนี้ ให้ลูกน้องเฮียกินด้วย"


ใจภักดิ์พยักหน้าหงึกหงัก ตะโกนเรียกเพ็ญกับบุญที่หนีไปหลบอยู่หลังร้านให้ออกมาช่วย ตัวเองกำลังจะลุกไปช่วยเช่นกันกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินคนตรงหน้าพูดว่า


"เหมาเธอด้วยได้ไหม"


"ฮะ?" คนตัวเล็กกว่านึกว่าได้ยินผิดไปจึงชะงักค้างอยู่ในท่าที่กำลังจะลุกยืน "เฮียว่าอะไรนะครับ"


คนถูกถามลุกยืน เท้ามือกับโต๊ะแล้วโน้มตัวมาข้างหน้า


"เฮียถามว่าขอเหมาเธอด้วยได้ไหม จะได้พาไปอยู่บ้านเฮียเลย"


ใจภักดิ์เงียบงัน ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ตากะพริบปริบ ๆ ขณะที่ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าเฮียจะพาไปบ้านหรือจะพาไปฆ่าหมกป่ากันแน่?!