เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ
แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย
แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน
กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ
และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น
ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา
*** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความเงียบสงัดของป่ายามวิกาลถูกทำลายด้วยเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์คันเก่าและแก่ของคุณหมอสาว มันพาเธอไปตามเส้นทางในป่าละเมาะที่นำสู่หมู่บ้านกะเหรี่ยงเซ็งดูซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านช้าง
เส้นผมยาวสลวยสีดำประกายปลิวไหวตามสายลมที่พัดพากลิ่นดินชื้นแตะจมูก และเมื่อเริ่มใกล้ลานดินกว้าง เธอเร่งเครื่องเจ้าแก่ให้เพิ่มความเร็วผลักล้อหมุนบดกิ่งไม้แห้งบนผืนดิน หวังในใจว่าเจ้าแก่จะภักดีพานายของมันให้ผ่านพ้นอาณาบริเวณนั้นไปโดยเร็ว
แต่เพราะไฟหน้ารถคันเก่าไม่ได้สว่างมากมาย เจ้าครอบครัวหมูป่าที่พากันย่ำออกมาหาอาหารจึงเกือบถูกล้อรถบดทับ โชคดีที่ไหมแก้วเบรกไว้ทัน แต่ก็ใจหายใจคว่ำเอาการ ทว่าเจ้าหมูป่ากลุ่มนั้นยังทำเป็นเมินเฉย แล้วสนใจใช้เท้าคุ้ยเขี่ยโคนไผ่หาเห็ดขึ้นหนาแน่นกินเป็นอาหาร คงเพราะเข้าสู่วสันต์ฤดู เห็ดมากมายหลากหลายพันธุ์ถึงได้แตกหน่อออกดอกเบ่งบาน
เจ้าหมูป่าพวกนั้นทำให้เธอมองจนเพลิน จนได้ยินเสียงครืนครางของท้องฟ้า ไหมแก้วจึงบิดเครื่องเจ้าแก่ไปต่อ อีกไม่ไกลก็ถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยง เมื่อมาถึงที่หมาย คุณหมอสาวจอดเจ้าแก่ไว้ตีนบันไดเรือน แหงนมองขึ้นไปเห็นไฟตะเกียงยังส่องสว่างจากช่องหน้าต่าง จึงลงจากรถแล้วหยิบกระเป๋าเครื่องมือแพทย์เตรียมการเยี่ยมไข้
เพล้ง!
พลันเกิดเสียงของบางสิ่งแตก จึงรีบวิ่งขึ้นบันไดจนถึงหน้าบานประตู แต่ในจังหวะที่กำลังจะผลักบานประตูไม้เข้าไป มันก็เปิดอ้าออกพอดีพร้อมกับภาพแผงอกแกร่งเปล่าเปลือยไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เจ้าของใบหน้าหล่อคมเข้มเต็มไปด้วยไรหนวดรกครึ้ม
“คุณมาหาใครหรือครับ...” เจ้าของร่างสูงผึ่งผายเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ จับจ้องเธอนิ่งพลางขยับมือผูกเชือกกางเกงผ้าฝ้ายย้อมสีครามเข้มแบบชนเผ่าให้แน่นเหมือนจะช่วยให้การแต่งกายดูรัดกุมขึ้น “คือ...ผมไม่ใช่เจ้าของบ้านหลังนี้ ผมเป็น...”
“ฉันมาหาคุณ” ไหมแก้วโชว์กระเป๋าแพทย์ที่มีสัญลักษณ์เครื่องหมายบวกให้เขาเห็น “ฉันเป็นหมอ จะมาขอดูแผลคุณ”
ก็คิดว่าพูดชัดถ้อยแล้วแต่เขายังยืนขวางประตูจ้องมองเธอนิ่งด้วยดวงตาสีนิลประกาย ก่อนขยับปากหยักได้รูปเป็นรอยยิ้มพร้อมคำพูด
“อ้อ...คุณคือคุณหมอไหมแก้วนั่นเอง”
“ใช่” ไหมแก้วยกแขนขึ้นกอดอก จ้องหน้าเขากลับ “ยายก่าพอน่าจะบอกคุณแล้วว่า ฉันยังไม่ให้คุณลุกเดิน”
เขาทำท่าครุ่นคิดก่อนใช้นิ้วชี้หมุนวนที่ศีรษะของตน “คุณหมายถึงยายผมขาวตัวผอม ๆ” แล้วไล่ลงมาชี้ตามตัว ก่อนบรรยายรูปพรรณสัณฐานสำคัญอันสุดท้ายด้วยการชี้นิ้วที่ดวงตาเธอใกล้จนเกือบจิ้ม พร้อมรอยยิ้มกับคำพูดแสนกวน
“แล้วก็ตาดุ ๆ เหมือนคุณใช่ไหม”
ไหมแก้วต้องสูดหายใจลึกก่อนตอบ “ใช่”
“ถ้าใช่ล่ะก็ ยายเขาบอกผมแล้วล่ะ”
“บอกแล้วยังทำ” ดวงตาคมฉายแววดุชัดเจน
“ผมก็ไม่ได้เดินมากมายเท่าไหร่ แค่ไปดูสภาพมอเตอร์ไซค์แล้วก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ผมหิวน้ำเลยเดินไปกินน้ำ”
“แล้วเมื่อกี้เสียงอะไร” กระบวนการซักฟอกยังไม่หมด
“หม้อน้ำแตก” ดวงตาคมเข้มสีนิลสลดลงเล็กน้อยคล้ายเด็กน้อยกำลังสารภาพผิด
“หม้อน้ำแตก? ”
ร่างสูงจึงเอี้ยวตัว ผายมือเข้าไปด้านในชี้จุดเกิดเหตุ “ผมทำหม้อดินเผาใส่น้ำแตก กำลังจะเดินไปหยิบผ้าที่ตากตรงนั้นมาเช็ดน้ำ แล้วก็กะว่าจะเอาเศษหม้อไปฝังดินทำลายหลักฐาน แต่มีคนมาเห็นเสียก่อน”
ไหมแก้วพ่นลมหายใจ เดินไปคว้าผ้าขี้ริ้วแห้งกรังที่พาดอยู่บนราวระเบียง แล้วก้าวขาเข้าเรือนไปย่อเข่าเช็ดน้ำบนพื้นกระดาน พลางบ่นใส่
“นอกจากจะซุ่มซ่ามเหยียบกับดักสัตว์แล้ว คุณยังซุ่มซ่ามทำลายข้าวของ”
แต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของร่างสูงที่เดินกระเผลกมานั่งเก็บเศษคมชิ้นเล็กของหม้อดินเผาพลางเอ่ยคำพูดน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“ขอบคุณสำหรับคำวินิจฉัยตัวผมนะครับ... คุณหมอไหมแก้ว”
ไหมแก้วตวัดตาดุ แต่พ่อเจ้าประคุณกลับขยิบตาล้อเลียนให้ เห็นแล้วก็พอเดาได้ว่าทำไมถึงถูกทวีรัตน์ตามไล่ล่า แม้จะไม่รู้ว่าต้นสาย แต่ปลายเหตุนั้นคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อปากต่อคำแสนยียวน
เสียงครืนของฟ้าดังกับดวงไฟที่ห้อยระย้าจากเพดานแกว่งไกวตามแรงลมฝนทำให้ไหมแก้วนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบกลับก่อนที่สายฝนโปรยปรายบางเบานั้นจะเปลี่ยนเป็นโหมกระหน่ำ
“ยื่นขามาให้ฉันดูแผลของคุณหน่อย” เธอเคลื่อนย้ายตัวเองยังเสื่อ ข้าง ๆ นั้นมีเป้สัมภาระใบย่อม เดาได้ว่าคงเป็นของชายหนุ่ม
“คุณจะไม่ช่วยผมทำลายหลักฐานก่อนหรือ” บอกแล้วทำหน้าทำตาพาซื่อ
“ฉันไม่อยากเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด” คุณหมอสาวตอบเสียงเคร่งขรึม
เขาไหวไหล่เล็กน้อยก่อนทำตามคำสั่ง ยื่นขาข้างที่บาดเจ็บส่งให้ดูตามที่เธอต้องการ ไหมแก้วจึงเริ่มจากแกะผ้าพันแผลที่ข้อเท้าออกก่อนตรวจตราฝีเย็บกับอาการอื่นที่อาจบ่งชี้ถึงการอักเสบอย่างละเอียด
ถ้าไม่นับรอยช้ำเป็นจ้ำม่วงที่มีประปรายบนแผงอก และตามแขนขา ความลึกของคมเขี้ยวแร้วที่ฝังเนื้อลึกขนาดนี้ อาจทำให้ผู้ชายหลายคนร้องจะเป็นจะตาย แต่เขาทำแค่ขบกราม ระงับเสียงครางไว้ในตอนที่เธอจับข้อเท้าพลิกดู
“ถ้าคุณไม่ใช่กะทิงกลับชาติมาเกิด ก็ช่วยถนอมขาตัวเองหน่อย เพราะถ้าแผลติดเชื้อ การรักษาจะซับซ้อนมากขึ้นตามลำดับ” ไหมแก้วเตือนแล้วหยิบสำลีกับแอลกอฮอล์ออกจากกระเป๋า
“แล้วถ้าผมเป็นกะทิงล่ะ”
เธอช้อนตามอง “ถ้าคุณเป็นกะทิง คุณจะถูกทิ้งให้หมดลมหายใจตายไปตามยถากรรม”
“คุณเป็นแบบนี้ปกติเลยหรือ”
“แบบนี้แบบไหน” ไหมแก้วหยุดมือ เงยหน้ามองเห็นรอยยิ้มก่อกวนใจ
“ก็...” ดวงตาสีนิลจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “แบบ...พูดจาดุไม่มีเหตุผล”
“ถ้าคุณคิดฉันเป็นพูดจาดุไม่มีเหตุผล ฉันก็คิดว่าคุณเป็นคนเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่” ไหมแก้วเถียงกลับพลางหยิบสำลีพร้อมด้วยน้ำเกลือออกจากกระเป๋าแพทย์ แล้วทำการเช็ดทำความสะอาดรอบแผลเย็บ
“ผมไม่ได้เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ แต่สิ่งที่คุณแสดงออกทำให้ผมคิดแบบนั้น” แต่ดูเหมือนอยากมีคนชวนเธอโต้วาที
ไหมแก้วจึงหยุดมือ แล้วส่งยิ้มไม่หวานให้ “คุณเพิ่งเห็นหน้าฉันครั้งแรก แต่การแสดงออกแค่ครั้งเดียวจะทำให้คุณรู้ได้หรือว่าฉันเป็นคนยังไง”
ส่วนเขาก็ยิ้มกลับ แต่เป็นยิ้มในแบบท้าทาย ดวงตาคมนัยน์ตาสีนิลมีประกายแวววาว “ใช่ครับ... ผมเพิ่งเห็นหน้าคุณครั้งแรก แต่ผมกับคุณรู้จักกันมาก่อนแล้วแน่นอน”
คิ้วเข้มเรียวอย่างธรรมชาติของเธอขมวดเข้าหากัน มั่นใจว่าไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อนแน่ “แล้วฉันต้องดีใจหรือเสียใจคะที่รู้ว้าเรารู้จักกัน”
“คุณควรจะถามผมว่าผมเป็นใคร”
“ตายจริง” คุณหมอสาวอุทานเสียงเบา “เท่าที่ฉันตรวจร่างกายของคุณทุกจุด ก็มั่นใจว่าศีรษะของคุณไม่มีตรงไหนบุบจนทำให้สมองคุณบวมช้ำแล้วจำชื่อตัวเองไม่ได้นี่คะ”
ที่พูดไปไม่คาดหวังให้เขาโกรธ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นเรือนจนเกรงว่าจะทำให้ชาวกะเหรี่ยงที่ปลูกเรือนถัดไปจะตื่นตกใจกลางดึก
“นี่ถ้าเราพูดแบบนี้ทางโทรศัพท์ ผมคงปฏิเสธไม่รับทำไอ้งานฟื้นฟูหมู่บ้านช้างนี่ แล้วโทรไปด่าเพื่อนเฮงซวยที่คะยั้นคะยอยื่นงานนี้ให้ แต่เพราะเราคุยแบบซึ่ง ๆ หน้า ผมจะยอมให้อภัยคุณนะคุณหมอไหมแก้ว เพราะเวลาคุณใช้ปากเล็ก ๆ จุ๋มจิ๋มที่คมเหมือนมีดผ่าตัดพูดจาเชือดเฉือนใส่ผมนั่นน่ะ... ผมว่า”
เขาหยุดแล้วพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ เขยิบตัวเข้ามาใกล้เหมือนไม่สนใจว่าตัวเองมีบาดแผลใหญ่ จากนั้นเท้าคางกับศอกทั้งสองที่วางบนเข่า จ้องมองเธอด้วยแววตาเปื้อนยิ้มแล้วเอ่ยคำพูดต่อให้จบ
“ผมว่ามัน...น่ามองดี”
เธอไม่ใช่สาวรุ่นที่อ่อนไหวง่ายไปกับวาจาหวานหอมของชายหนุ่ม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยไรหนวดขึ้นครึ้มยามกระทบแสงไฟสีเหลืองนวลนั้น ขับผิวสีแทนของเขาให้ดูเรืองรองตรึงสายตาใครต่อใครได้ไม่ยาก
“ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน” ปากหยักหนาขยับพูด มีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้ายื่นมือขวามาให้เธอ “ผมคือก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา คนที่คุณสรรเสริญว่าเป็นสถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบ”
ไหมแก้วยอมรับว่าประหลาดใจ แต่เธอไม่ได้ระบายออกมาเป็นคำพูด และไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้เขาอย่างไร เพราะเธอกล่าวหาเขาว่าเป็นสถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบจริง ซึ่งเธอจะยังไม่ขอกลับคำจนกว่าเขาจะแก้แบบแปลนเรือนให้ใหม่ทั้งหมด
“คนที่นี่เขาขี้อายกันหรือครับ คุณถึงไม่คิดอยากทำความรู้จักผมบ้าง” ชายหนุ่มชักมือตัวเองกลับเมื่อมันไม่ได้ถูกสัมผัสกับมือของคุณหมอสาว
“คุณรู้จักชื่อฉันแล้วนี่คะ บอกธุระของคุณเถอะค่ะว่าคุณมาทำอะไรที่นี่” เธอหันไปสนใจกับการทำความสะอาดบาดแผลของเขาต่อ
“ผมก็มาสำรวจหน้างานตามที่คุณเชื้อเชิญน่ะสิ”
ไหมแก้วนึกขบขันในใจ เพราะการมาของเขานั้นได้ของแถมเป็นศัตรูวัยคะนองท้องถิ่นกับบาดแผลที่ระลึกรอยใหญ่ แต่เธอยังไม่ตอบอะไรกลับ ใช้ผ้าพันแผลผืนใหม่พันรอบข้อเท้าชายหนุ่ม กระทั่งเขาเอ่ยประโยคต่อมา
“แล้วผมก็มาดูหน้าคุณด้วย”
เมื่อกลัดผ้าพันแผลเรียบร้อยไหมแก้วจึงเงยตามองเจ้าของดวงตาสีนิลประกาย “ฉันจะเปลี่ยนยาแก้อักเสบให้ใหม่ ส่วนยาแก้ปวด เห็นจะไม่ต้อง เพราะคุณพูดได้เจื้อยแจ้วขนาดนี้”
“แผลผมอยู่ที่ขา ไม่ได้อยู่ที่ปากนะคุณหมอ”
ไหมแก้วลอบพ่นลมหายใจ หากจะมีใครต่อปากต่อคำเธอได้หลายยกล่ะก็ นายก้องปฐพีถือเป็นคนแรก “ฉันพอรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงถูกทวีรัตน์ไล่ยิง”
“ทวีรัตน์? ” ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นเหมือนมีคำตอบเขียนไว้อยู่บนคานบ้าน “อ๋อ... ไอ้ผอมกะหร่องที่เป็นหัวหน้าแก๊งรีดไถเงินคนขายลอตเตอรี่นั่นน่ะหรือ”
รูปร่างของทวีรัตน์ตรงตามที่เขาบอกไม่ผิดเพี้ยน แต่เรื่องวีรกรรมที่เขากล่าวนั้นเธอเพิ่งได้ยินครั้งแรก กระนั้นก็ไม่คิดว่าเขากุเรื่องให้ร้ายอีกฝ่าย เพราะน้องชายคนรองของเอกรัตน์มีนิสัยไม่ห่างจากนายทรงชัยเลยสักนิดเดียว
“ใช่” จึงตอบเขาแค่สั้น ๆ
แล้วเขาก็ระเบิดหัวเราะดังอีกครั้ง “โอ้โห ชื่อไพเราะเกินนิสัยเลว ๆ ไปเยอะเลย ไม่รู้พ่อแม่มันสั่งสอนมายังไง ถึงไปเที่ยวรีดไถคนหาเช้ากินค่ำ”
“เขาเหลือแต่พ่อ”
เสียงขำขันหายไปแต่ยังหลงเหลือรอยยิ้มไว้ที่มุมปากและดวงตา “แย่จัง คุณหมอรู้จักเจ้าเด็กนั่น แล้วนี่ผมจะอุธรณ์ความยุติธรรมต่อศาลที่ไหนได้ครับเนี่ยว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์และถูกปองร้ายถึงขั้นเอาชีวิต”
“แล้วคุณไปมีเรื่องอะไรกับทวีรัตน์กัน”
เห็นทีเธอต้องถามที่มาที่ไปรวมถึงอาการบาดเจ็บที่เกิดกับเขา ไหมแก้วเองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายในหมู่บ้านช้าง เพราะชาวบ้านมีเคราะห์มากพอแล้ว การสูญเสียที่อยู่อาศัยไปกับเหตุวางเพลิงยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งส่วนใหญ่ยังต้องอาศัยในเพิงที่สร้างชั่วคราวที่ไม่ทนต่อฝนฟ้าอากาศ
“ก็แค่ไปตักเตือนว่าอย่าทำตัวเกเรเที่ยวรีดไถเงินชาวบ้าน แต่พวกนั้นกลับรุมทำร้ายผม แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะยืนนิ่งเป็นกระสอบทรายล่ะครับ ผมก็ต้องสู้กลับ คุณหมอคิดดูสิ ห้ารุมหนึ่ง ผมน่าสงสารแค่ไหน”
ไหมแก้วยังมองไม่เห็นว่าเขาน่าสงสารตรงไหน เพราะรอยยิ้มระรื่นนั่นช่างขัดแย้งกับคำพูดเขานัก
“พอผมสู้ชนะ ก็คิดว่าจบ ๆ กันไป คนขายลอตเตอรี่ได้เงินคืนแล้ว ที่ไหนได้ ยังตามราวีผมต่อตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาหมู่บ้านช้าง พวกนั้นมีทั้งปืนมีทั้งรถกระบะ แต่ผมมีแค่ตัวกับมอเตอร์ไซค์คันน้อย”
คนฟังเลิกคิ้วตรงที่เขาเรียกเจ้าสองล้อสีดำคันใหญ่สภาพสะบักสะบอมที่จอดใต้ถุนเรือนว่ามอเตอร์ไซค์คันน้อย
“พวกนั้นทั้งขับเบียดทั้งยิงปืนใส่ ผมเลยต้องหนีตาย ขี่มอเตอร์ไซค์เข้าป่า เพราะถึงพวกมันจะยังตามล่าผมอยู่ ก็จะเหลือแค่พวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์”
ถึงตรงนี้ ไหมแก้วจึงเริ่มจับต้นชนปลายถูก “แล้วหนึ่งในพวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์มีทวีรัตน์อยู่ด้วย”
เขาไหวไหล่ “ผมไม่ทันมองหรอกว่าใครเป็นใคร แค่หนีให้รอดก็พอ แต่ได้ยินเสียงดังโครม คิดว่าคงมีใครชนต้นไม้ ครั้นจะแสดงน้ำใจจอดวิ่งไปดู แต่ไม่ใช่สนามแข่งรถ ก็เลยขับต่อไปเรื่อย ๆ จนไปเสียหลักตอนมีตัวอะไรไม่รู้คล้ายลูกหมาวิ่งตัดหน้า”
“ลูกหมูป่า” เธอบอกให้เขารู้ พอนึกได้ถึงเจ้าลูกหมูเขี้ยวตันที่วิ่งกระเจิดกระเจิงออกมาจากพุ่มไม้หนา
“นั่นล่ะ ๆ ดีที่ดวงผมยังไม่ตก ยังไม่ตายแต่ก็เจ็บเอาการ ผมขืนใจลุกขึ้นยืน แต่มันเหมือนเดินอยู่บนม้าหมุน ก้าวขาไม่ตรงทาง สะะเปะสะปะไปชนต้นไม้ตั้งหลายที จนเห็นดวงไฟสว่างในป่า เลยจะเข้าไปขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าเป็นคนหรือกระสือ”
คุณหมอสาวหรี่ตาแคบลง “คุณเลยเดินสะเปะสะปะไปเหยียบกับดักสัตว์เข้าสินะ”
“แหม... คุณพูดอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์แน่ะ... เอ๊ะ... หรือว่าคุณจะเป็น...” แล้วเขาก็หยุดปากไปชั่วครู่ ทำตาโตเป็นประกายน่าหมั่นไส้ ก่อนเอ่ยคำต่อมาว่า
“กระสือตนนั้น”
“คุณก้องปฐพี! ”
ไหมแก้วก็ตาลุกวาวใส่ แต่ดวงตาที่ใคร ๆ บอกว่าดุอย่างแม่เสือคงเหมือนแม่แมวในความคิดของเขาถึงได้หัวเราะงอหายเสียขนาดนั้น
“เอาน่า ๆ ถือว่าผมเอาคืนจากทุกคำที่คุณจิกกัดผมก็แล้วกันนะคุณหมอ”
หากนับจำนวนครั้งที่เธอพ่นลมหายใจเพราะความขุ่นเคืองให้กับผู้ชายชื่อก้องปฐพี ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ห้าได้กระมังถ้าบวกเอาครั้งก่อนที่คุยกับเขาทางโทรศัพท์เรื่องขอเปลี่ยนแบบแปลนก่อสร้าง เห็นทีอยู่ต่อไปคงเกิดความแปรปรวนทางอารมณ์มากขึ้น จึงคว้ากระเป๋าเครื่องมือแพทย์ขึ้นสะพาย
“หมดหน้าที่ฉันแล้ว ขอลา”
“คุณจะไปยังไง ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนั้น”
แล้วเสียงห่าฝนที่กระทบหลังคาก็แทรกผ่านอากาศเข้าสู่โสตของเธอ เพราะความยียวนของเขาแท้ ๆ ที่ทำให้เธอไม่รับรู้เสียงฝนกระหน่ำลงมาราวฟ้ารั่ว
ไหมแก้วกล่าวโทษคนต้นเหตุในใจแล้วเดินออกไปดูลาดเลาที่หน้าต่างด้วยใจกังวลทว่าเสียงครืนครางของท้องฟ้ากับแสงแวบแปลบปลาบทำให้ถอยเท้ากลับเข้าชายคา ล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋าแพทย์เพื่อขอร้องให้ผู้ใหญ่บ้านออกรถมารับ แต่นึกขึ้นได้โดยพลันว่าไม่ได้นำโทรศัพท์ติดกระเป๋าเพราะความเร่งรีบมาพบเขานี่แหละ
“ฉันขอยืมโทรศัพท์ของคุณหน่อยได้มั้ย" เพราะอยู่ในฝ่ายร้องขอ ไหมแก้วจึงลดโทนเสียงลง
“โทรศัพท์ของผมหมดสภาพใช้การไม่ได้ มันคงถูกกะแทกตอนรถล้ม”
ความหวังถูกซัดทอดหายไปพร้อมกับสายฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนต้องการกลั่นแกล้ง เสียงฟ้าร้องก็เพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นทุกที
“ผมว่าอีกนานนะกว่าจะฝนจะหยุด”
เสียงออกความเห็นที่ไม่ได้ร้องขอดังจากด้านหลัง แต่ด้วยไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าฝนจะหยุดอย่างที่เขาบอก เธอจึงสูดหายใจเข้าลึก กระชับกระเป๋าแพทย์แน่นแล้วลงจากเรือนไปยังเจ้าแก่ที่จอดนิ่ง
แต่เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ เจ้าแก่กลับเงียบสนิท ไม่มีเสียงตอบกลับว่าพร้อมรับใช้เจ้านาย ถึงคุณหมอสาวจะพยายามสตาร์ทหลายต่อหลายครั้ง ผลที่ได้ก็เป็นเช่นเดิม
“เครื่องยนต์เก่า ๆ ถ้าอยู่ในอากาศเย็นนาน ๆ มันก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ” ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บใช้เสื้อหนังกางขึ้นต่างร่มเดินลงบันไดมาบังฝนให้
“ฉันห้ามไม่ให้คุณเดิน ยังจะฝ่าฝืนอีก”
รอยยิ้มบางระบายบนใบหน้าคมเข้ม “คุณหมอรอฝนหยุดบนเรือนดีกว่าตากฝนจนเป็นหวัด”
“ฉันไม่อยากรบกวน ไม่รู้ฝนจะหยุดเมื่อไหร่” ไหมแก้วยังไม่ละความพยายาม เธอยังเหยียบคลัชเพื่อปลุกเจ้าแก่ให้ตื่นแต่ก็ไร้ผล
“ผมจะออกมานอนที่ระเบียง คุณหมอจะได้อยู่ข้างในจนกว่าฝนจะหยุด” ร่างสูงก้าวขาเข้ามาอีกให้เธออยู่ในขอบเขตภายใต้เสื้อหนังตัวใหญ่มากขึ้น
“แล้วถ้าฝนมันไม่หยุด” ไหมแก้วเปล่งคำถามด้วยใจหวั่น “ถ้ามันตกทั้งคืน...”
“มันก็จะเป็นคืนที่อากาศเย็นสบาย แล้วคุณหมอจะได้นอนหลับฝันดีตลอดคืน”
เสียงครืนครางของท้องฟ้ายังดังต่อเนื่อง เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาเรือนก็ยังกึกก้อง แต่คล้ายกับว่าทุกสรรพเสียงอื้ออึงนั้นบรรเทาเบาบางลงไป คล้ายกับตัวเธอถูกครอบด้วยแก้วใสขนาดใหญ่ ในชั่ววินาที ณ ขณะที่สบตานายก้องปฐพี แต่พอเขาเอ่ยประโยคต่อมา ก็ทำให้คุณหมอสาวร้องฮึ่มในใจ
“ผมไม่อยากให้คุณหมอเป็นอะไรไป เพราะคุณยังต้องใช้ปากอวบอิ่มของคุณหมอฟาดฟันกับผมจนจบงานฟื้นฟู”