เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ
แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย
แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน
กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ
และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น
ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา
*** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๕
มูนไลท์ชาโดว์
พลังเสียงที่เกิดจากความเร็วสูงแหวกผ่านอากาศดังลั่นทั่วสนามแข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ นักบิดแต่ละคนล้วนคัดเอาขุมความแรงของเครื่องยนต์ชั้นเยี่ยมมาประชันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร การแข่งขันชิงเจ้าความเร็วจึงเป็นไปอย่างดุเดือดจนผู้ชมข้างสนามต่างลุ้นกันนั่งไม่ติดที่
กระทั่งโค้งสุดท้าย เหล่าผู้แข่งต่างก็เริ่มเร่งความเร็วไล่บี้กันไปให้ถึงเส้นชัยแบบหายใจรดต้นคอ แต่ผู้ที่มีทักษะลีลาการเข้าโค้งอันเหนือกว่าเท่านั้นทีสามารถพาตัวเองนำคู่แข่งทุกคนจนล้อของตนแตะชัยชนะเป็นอันดับแรก
เมื่อเสียงประกาศอย่างเป็นทางการบอกว่าการแข่งขันครั้งนี้ใครเป็นเจ้าความเร็ว กองเชียร์ต่างกระโดดตัวลอยแสดงความยินดีกับผู้ชนะที่ถอดหมวกกันน็อกออกเผยให้เห็นโฉมหน้าเฉี่ยวในแบบหนุ่มสายเลือดมังกร
“แม่หัวใจจะวายให้ได้เลยตฤณ เข็ดแล้วไม่กล้ามาดูลูกแข่งแล้ว” ผู้เป็นมารดาเดินมาโอบกอดตัวเขาแน่นพร้อมกับเสียงบ่นอันแสนคุ้นเคย
“ผมบอกแม่แล้วนี่ครับว่าอย่ามาเลย” ตฤณคลายมือจากเอวของมารดาแล้วเดินไปกอดรัดกับเตชิน บิดาผู้เป็นต้นแบบดวงตาเหยี่ยว มรดกทางพันธุกรรมอันแสนภาคภูมิใจ “เห็นฝีมือผมหรือยังพ่อ”
“เพราะก้องปฐพีไม่อยู่หรอก แกถึงครองแชมป์ได้น่ะ” คนเป็นพ่อเอ่ยด้วยใบหน้าล้อเลียน “แต่วันนี้แกทำได้ดีมาก”
“ถ้าพ่อไม่ยกกาสิโนให้ผมดูแลเต็มตัว ผมก็จะทำกิจการสนามแข่งรถนี่แหละ แล้วมาดูกันว่าใครจะทำรายได้มากกว่ากัน” ฝ่ายลูกชายท้าทาย
“ก่อนจะท้าพ่อ ไปถามแม่แกก่อนมั้ยว่าเขาอยากให้อนาคตทนายของควีนส์คอร์ปมานั่งบนอานรถแข่งหรือเปล่า”
ตฤณลอบถอนหายใจเบาบาง แล้วขอตัวออกมาไปรับถ้วยรางวัลตามเสียงประกาศเรียก โดยมีเขาเป็นชนะเลิศลำดับที่หนึ่ง ซึ่งแท่นลำดับสองควรมีร่างของระพีพัฒน์มายืนชูสองแขนฉลองชัยด้วยกัน
หากแต่ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่าด้วยเหตุผลว่าขอสละสิทธเป็นเหตุให้ตฤณกลั้นเสียงคำรามไว้แล้วตีหน้ายิ้มแย้มในตอนที่ก้มหัวรับถ้วยรางวัล แต่ในใจนั้นเดือดจัดยิ่งกว่าราวกับหม้อน้ำเดือด
“ประเด็นเรื่องค้ายา?”
คิ้วเข้มของระพีพัฒน์ขมวดมุ่นเข้าหากันจนเกิดรอยย่นลึกที่หัวคิ้ว ดวงตาคมจับจ้องซองใส่ของกลางที่เป็นพลาสติกใสเห็นสิ่งของด้านในแน่วนิ่ง
“นอกจากกระดาษชิ้นนั้นแล้วก็มีบุหรี่หนึ่งซอง ไฟแช็กหนึ่งอัน กระเป๋าเงิน บัตรประชาชนและบัตรนักเรียน” สารวัตรใหญ่สาธยายต่อขณะเดินวนโต๊ะมาหยุดหลังชายหนุ่มที่เท้าแขน ใช้สายตาจ้องหลักฐานตามรายการที่ถูกกล่าว
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเก็บกระดาษห่อหมากฝรั่งเปล่าไว้กับตัว”
คำรำพึงของระพีพัฒน์ตรงใจกับสิ่งที่สารวัตรคิด “ผลการพิสูจน์หลักฐานชี้ชัดว่าพบสารเสพติดไม่ทราบชนิดเจือปนในเลือดของนายป๋องคนนี้”
รูปถ่ายหน้าตรงของศพถูกวางลงตรงหน้า มองแล้วไม่โสภานักแต่สมองของระพีพัฒน์สั่งให้เขาหยิบขึ้นมาพิศดู แว่วเสียงพูดของอัชวินก็ยังลอยเข้าหู
“แต่จากการสอบปากคำเพลงพิณ เด็กหนุ่มนั่นเถียงคอเป็นเอ็นว่านายป๋องไม่มีทางค้ายา ส่วนการตรวจปัสสาวะคู่กรณีที่ร่วมก่อเหตุวิวาททั้งหมดในคืนนั้นออกมาเป็นบวก แต่เจ้าเพลงพิณขาวสะอาด”
“แล้วมือปืนปริศนาล่ะครับ”
“ยังหาตัวไม่พบ”
“พี่ป๋องตายไปหลายวันแล้ว แต่ยังจับตัวไอ้นรกนั่นไม่ได้ ทำไมทำงานกันช้าขนาดนี้!” เสียงตวาดลั่นผ่ากลางวงนั้นมาพร้อมกับการย่ำเท้าเข้าของของเด็กหนุ่มผมยาวประบ่านามเพลงพิณ
“ใครปล่อยให้เอ็งเข้ามา มันยังไม่ถึงเวลาเรียกตัว” อัชวินกดน้ำเสียงต่ำ ตำหนิเด็กหนุ่มทางสายตา “แล้วอย่าดูถูกการทำงานของเจ้าหน้าที่ เราไม่ได้มีคดีเดียวให้จัดการ”
“อ๋อ...” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะ “กะอีแค่เด็กช่างกลโดนยิงตายกลางงานแสดงรถ มันไม่ใช่คดีเด็ดคดีดังขนาดทำให้ตำแหน่งสารวัตรอัพเกรดได้อย่างนั้นล่ะสิ”
“สามหาวนัก! ” สารวัตรเดือดดาลขึ้นทันที
“ถ้าฉันเป็นแกนะเพลงพิณ... ฉันจะไม่พูดอะไรพล่อย ๆ แบบนั้นต่อหน้าสารวัตร แต่...” ระพีพัฒน์ที่เงียบฟังได้สักพักต้องรีบห้ามทัพ เขาวางรูปถ่ายผู้ตายลงแล้วหันหน้ามายืนใช้สองมือล้วงกระเป๋ามองเด็กหนุ่มวัยคะนองด้วยท่าทีนิ่งสงบ เลยเอ่ยประโยคต่อให้จบ
“แต่จะพูดลับหลังแทน”
“อ้าว...ไอ้...” สารวัตรใหญ่ถึงกับฉุนกึกนึกว่าพูดจะช่วย แต่ยังไม่ได้พ่นคำกล่าวสั่งสอน มือของชายหนุ่มก็ยกขึ้นห้ามเสียงไว้
“แต่การตายของป๋องมันไม่ใช่แค่เรื่อนนักเรียนช่างกลตีกันอย่างที่ข่าวออกไป” ระพีพัฒน์อธิบายกู้หน้าให้สารวัตรใหญ่ “เพียงแค่เราต้องมั่นใจก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ตัวการสำคัญ”
“พี่ป๋องไม่มีทางค้ายา!” เพลงพิณกร้าวเสียงพูด “ไม่มีทางที่พี่ป๋องจะหันไปหาความชั่วอย่างที่พ่อ ๆ ของพวกเราทำ!”
ชายหนุ่มไหวไหล่ “มีไฟย่อมีควันฉันใด เสพยาได้ก็ต้องค้าได้เป็นธรรมดา และทางเจ้าหน้าที่ก็พิสูจน์แล้วว่าในเลือดของป๋องมีสารเสพติด”
“ผมไม่เชื่อ” คล้ายมีน้ำตาเอ่อร้นขอบตา แต่ประกายต่อต้านยังอัดแน่นเต็มเปี่ยมในหน่วยตาที่ทอดมองไปยังรูปถ่ายใบหน้าเปรอะคราบเลือดรุ่นพี่ที่จากไป
“ฉันก็ไม่เชื่อ แต่ต้องมีทั้งพยานและหลักฐานหนักแน่นพอที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของป๋อง”
เพลงพิณเงยตาจากรูปถ่ายมองรอยยิ้มของระพีพัฒน์ เม้มปากแน่น ดวงตามีประกายความจริงจัง “พี่เอื้อย... พี่เอื้อยจะเป็นพยานให้พี่ป๋อง”
ในตอนที่สิ้นคำของเพลงพิณ ระพีพัฒน์หันไปสบตาสื่อความหมายกับสารวัตรอัชวินอย่างตั้งใจ และรอยยิ้มที่มุมปากของสารวัตรใหญ่ก็คล้ายเป็นคำอนุญาตกลาย ๆ ให้เขารุกต่อในแผนที่อยู่ในใจของตนเอง
“ถ้าอย่างนั้น พาฉันไปพบเอื้อยจะไหม เราจะได้ช่วยกันยืนยันความบริสุทธิ์” สายสืบจึงจำเป็นบอกกับเด็กหนุ่มที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้รุ่นพี่ของตนพ้นจากข้อกล่าวหาสกปรก
ทั้งสองเดินทางออกจากกรมฯ มุ่งหน้าถนนสายการค้าก่อนเลี้ยวตัดเข้าสู่เส้นทางที่หลายคนใช้มุ่งหน้าสู่ถนนสายบันเทิงยามราตรี ทว่าภาพความร้างผู้คนอาจไม่คุ้นตาสำหรับคนที่มักมาเยี่ยมถิ่นนี้เฉพาะกลางคืน เช่นเดียวกับระพีพัฒน์ที่มองถนนเปล่าเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจ แต่เป้าหมายของการมาไม่ใช่ย่านบันเทิงใจ
เขาบังคับยานยนต์เลยไปจนถึงแหล่งที่อยู่อาศัยแออัดตามการนำทางของเพลงพิณ แล้วชะลอความเร็วเพื่อจอดเมื่อถึงหน้าทางเข้าห้องเช่าแออัด
“ผมจะเข้าไปบอกพี่เอื้อยเรื่องพี่เอาไว้” เพลงพิณพูดพร้อมกับเปิดประตู แต่เด็กหนุ่มกลับหยุดชะงัก แล้วปิดประตูรถตามเดิม จึงสร้างความสงสียให้ระพีพัฒน์
“ทำไมหรือ”
“ไอ้สำริด” เสียงของเพลงพิณดึงสายตาของเขาให้ละจากชายฉกรรจ์ที่ยืนพ่นควันบุหรี่ริมถนน
“ใคร” ระพีพัฒน์ส่งคำถามพลางพินิจมองเจ้าของผมยาวสีดำสนิทมีประกายน้ำเงินถูกมัดรวบขึ้นรูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำ สวมใส่ชุดเชิ้ตกับกางเกงสแลกสีดำทั้งชุด
“คนของคุณนายดารา” เพลงพิณพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด “แล้วที่จอดหลบมุมนั่นก็รถของเสี่ยเกียง”
“ให้ฉันขับไปจอดที่อื่นไหม” เขาเสนอทางเลือก
“ไม่เป็นไร ผมจะรอให้เสี่ยออกมาก่อน”
เมื่อเพลงพิณต้องการอย่างนั้นเขาก็ไม่คัดค้าน ไม่นานนักชายสูงวัยร่างท้วมก็เดินออกมาด้วยท่าทางวางก้ามกับคนในละแวกนั้น
“น่าเสียดาย...” ระพีพัฒน์รำพึงออกมาขณะมองเสี่ยวัยพ่อขึ้นรถที่จอดไกลตา แต่อีกความแปลกใจคือคนของคุณนายดาราไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
หลังจากเพลงพิณลงจากรถไป เขาตัดสินใจตามลงไปด้วย ในเมื่อจะต้องทำงานร่วมกัน คงไม่ผิดที่จะเสนอหน้าไปให้ก่อนเริ่มงาน แต่เสียงร้องไห้ที่ดังแว่วมาหยุดขาเขาไว้แล้วมุมอับของกำแพงลอบมองใบหน้านองน้ำตาของหญิงสาวโดยมีเพลงพิณกอดและร่วมประสานเสียงร้องไห้ไปด้วย
ก็คล้ายกับฉากเศร้าในละครทั่วไปที่การจากลาของคนสำคัญจะสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ชม หากทว่าดวงตาโศกของเธอคนนั้นเรียกคะแนนสงสารให้ชายหนุ่มอย่างเขาได้ดีเกินไป ระพีพัฒน์จึงตัดสินใจย้อนกลับไปรอเพลงพิณที่รถ แล้วชั่งใจให้ถ้วนถี่ว่าหญิงสาวที่กำลังมีจิตใจอ่อนแอเหมาะจะทำงานเป็นนกต่อจริงหรือ นอกเสียจากเธอเปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังความแค้นให้มากพอที่จะกล้าเสี่ยงรับงาน
ความคิดนั้นส่งผลให้ระพีพัฒน์เข้ามาเป็นแขกของผับที่หญิงสาวทำงานในเย็นวันเดียวกัน เขาเลือกนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ สั่งเมนูเครื่องดื่มหนึ่งแก้วจากนั้นมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวแม้จะเชี่ยวชาญแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มาเยือนมูนไลท์ชาโดว์
สภาพภายในนั้นเต็มไปด้วยแสงสีเสียง บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยความอึกทึกผิดแผกจากตัวด้านอาคารที่เป็นตึกเก่าแต่ถูกนำมาปรับปรุงให้เป็นสถานที่ผ่อนคลายความตึงเครียดของเหล่าผีเสื้อกลางคืน
ซึ่งดูเหมือนว่าเขาต้องมาเวียนว่ายมาที่นี่บ่อยครั้งนอกจากไปนั่งบนเก้าอี้ดวดเหล้ากับภาคีหนุ่มโสด ก็ในตอนที่มีเสียงเพลงเปิดตัวเหล่านักเต้นหน้าใสในชุดสายเดี่ยวและกระโปรงแสนสั้นเร้าหัวใจชายหนุ่มนั้น หญิงสาวผู้เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงกลับเผยรอยยิ้มประกายสดใสโปรยเป็นทานให้แก่กระทาชายน้อยใหญ่ราวกับไม่เคยสูญเสียสิ่งสำคัญของชีวิตไป
“พี่เพิ่งเคยมาหรือครับ” เสียงใครสักคนถามใกล้หู ชายหนุ่มจึงหันไปแล้วพบว่าผู้ตั้งคำถามคือบาร์เทนเดอร์ที่ชงเครื่องดื่มให้เขา
“ครั้งแรก” ก็มิได้โกหกแต่อย่างใด
“มิน่าล่ะ มองเอื้อยตาไม่กระพริบ” บาร์เทนเดอร์คนเดิมชวนคุย ส่งสายตาพยักพเยิดไปทางนางระบำบนเวที ขณะเช็ดถูกแก้ว แล้วโน้มหน้าเข้าใกล้เพื่อพูดเสียงเบา “แต่พี่อย่าคิดไปเกี้ยวเชียวนา นั่นน่ะเด็กเสี่ย”
ถึงจะรู้อยู่แล้วแต่ระพีพัฒน์ขอเล่นด้วยสักหน่อย จึงปั้นหน้าสงสัย “เสี่ยไหน”
บาร์เทนเดอร์ช่างคุยทำเสียบจิ๊บ “ก็เสี่ยเกียงไง เจ้าของผับนี้น่ะ”
เขาร้องอ๋อเบา ๆ “แล้วนอกจากเอื้อย มีใครเป็นเด็กเสี่ยอีกไหม จะได้ระวังไว้”
บาร์เทนเดอร์กวาดตามองไปรอบผับ “ก็มียายเด็กเชียร์เบียร์คนนั้นด้วย แต่ยายเอื้อยน่ะคนโปรด โปรดทั้งเสี่ยทั้งคุณนาย”
ระพีพัฒน์ฟังคำซุบซิบเจ้านายด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ในหัวนั้นกำลังใคร่ครวญถึงคุณนายที่ถูกเอ่ยถึงเป็นครั้งที่สองของวัน แต่ในขณะที่กวาดตามองรอบผับ สายตาของเขาก็ไปปะทะกับดวงตาของนายสำริดที่บังเอิญหันมาทางเขาพอดี
“น้อง” ระพีพัฒน์จึงทำเป็นเรียกเด็กเชียร์เบียร์คนโปรดของเสี่ยตามคำบอกของบาร์เทนเดอร์ที่กำลังเดินไปตามโต๊ะนั้นโต๊ะนี้เสนอขายสินค้าของเธอให้เข้ามาเพื่อกลบเกลื่อนท่าทางพิรุธ
สาวน้อยยิ้มแช่มชื่นเดินตรงรี่มาหา “รับกี่ขวดดีจ๊ะพี่”
“เอาแค่ขวดเดียว พี่คออ่อน แค่เบียร์ก็เมา”
เธอหัวเราะร่วน “พี่อย่าอำหนูเลย แก้วที่พี่ดื่มหมดไปนั่นน่ะ แรงที่สุดของผับแล้ว”
ระพีพัฒน์ไม่แก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ได้แต่ส่งยิ้มให้แล้วรับเบียร์ขวดเย็นจากหญิงสาวมาไว้ แล้วปล่อยให้เธอกลับไปเร่ขายสินค้าต่อ เขาจึงได้กลับไปเทความสนใจกับการแสดงบนเวทีที่น่าเสียดายตรงที่มันจบลงในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
หากแต่ดวงตาหนุ่มโสดยังจับจ้องอยู่แต่ร่างงามของนักเต้นสาวที่เยื้องย่างลงจากเวทีแล้วแทรกตัวในหมู่คนเดินลับหายไปที่ประตูในสุดของผับ จึงแอบเดินตามร่างอรชรไปหย่อนตัวนั่งลงบนพื้นพิงหลังกับกำแพงตาข่ายเหล็ก
ระพีพัฒน์ไม่อยากเสียโอกาสทาบทามหญิงสาวตามแผนของสารวัตร แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปใกล้นั้น มีใครคนหนึ่งเดินตรงมา จึงรีบหลบฉากถอยกลับไปลอบมองข้างลังเบียร์ตามเดิม
ผู้ที่เข้าไปหาหญิงสาวนั้นคือคนของคุณนายที่เพลงพิณชี้บอก และดูเหมือนว่าการกระทำของเขาผู้นั้นคล้ายกับการลวนลามสตรีเพศ หากแต่เธอไม่ยินยอม เสียงที่ดังในความมืดนั้นจึงเป็นเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้ารุนแรง แต่นอกจากจะไม่อาจหยุดความหยาบช้า กลับยิ่งเพิ่มโทสะให้ฝ่ายชายโฉดใช้มือบีบเค้นลำคอของเธอก่อนดันให้ตรึงกับผนังตาข่าย
เพล้ง!
ลังเบียร์เก่าโค่นลงมาส่งผลให้ขวดเบียร์แตกกระจายส่งเสียงดัง คนของผับหลายคนวิ่งออกมาดู ส่วนชายหนุ่มต้นเหตุรีบใช้ความมืดอำพรางตัว
ชายผู้นั้นปล่อยหญิงสาวแล้วเดินเลี่ยงหลบไปอีกทาง หญิงสาวจึงได้เป็นอิสระ เธอทรุดตัวลงกับกำแพงตาข่ายลงไปนั่งกับพื้นก่อนก้มหน้าซุกเข่า และนี่ก็โอกาสเดียวที่เขาจะได้เข้าไปประชิด
“ฉันขอคุยกับเธอหน่อยใช้เวลาไม่นาน”
เธอเงยหน้าขึ้นมอง มีร่องรอยของน้ำตาตามขอบตาที่จับจ้องมองชายหนุ่ม แล้วเอ่ยคำพูดเสียเบา
“ขอบคุณที่ช่วยฉัน”
คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้น “รู้ได้ยังไงว่าฉันช่วย”
“มีกลิ่นเบียร์ติดที่รองเท้าของคุณ”
เขาอาจประเมินผู้หญิงคนนี้ผิดไป ซึ่งเหตุการณ์ระหว่างเธอกับคนของคุณนายก็สร้างคำถามให้เขาอยากรู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อเอื้อยคนนี้มีปริศนาอะไรที่ต้องไขให้กระจ่างแต่นั่นต้องเริ่มจากทำตามแผนของสารวัตร
“ฟังฉันนะ... เอื้อย”
“คุณรู้จักชื่อฉัน” เจ้าของดวงตาโศกฉาบอายแชโดว์สีเทาหม่นต้องการคำตอบ
สายสืบจำเป็นลอบถอนหายใจ แล้วเขยิบตัวเข้าไปใกล้ เพื่อต้องการให้เธอได้ยินชัดเจน “ฉันรู้จักมากกว่าชื่อของเธอ... ฉันรู้ว่าพ่อของเธอโดนจำคุกอยู่ด้วยข้อหาร่วมกระทำผิดในคดีอุกฉกรรจ์กับนายพนา”
เรียวปากสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น “พิณบอกว่าจะมีคนมาคุยกับฉันเรื่องเป็นพยานให้ป๋อง หรือว่าคน ๆ นั้นจะเป็นคุณ คุณเป็นใครกัน ไม่ใช่นักแข่งรถมือสมัครเล่นหรอกหรือ”
“ฉันทำงานให้สารวัตรอัชวิน” เขาบอกเธอแค่นั้นเพื่อต้องการปกปิดเรื่องของตัวเอง “และต้องการความร่วมมือจากเธอเพื่อให้คดีของป๋องสรุปเร็วขึ้น”
“คดีของป๋องสรุปเร็วขึ้นอย่างนั้นหรือ” ดวงตาคมจ้องมองมาราวกับอยากรู้ความหมาย แต่เขายังไม่รีบร้อนบอกอะไรมากมายในตอนนี้
“ถ้าอยากรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ก็ร่วมมือกับเรา รีบตัดสินใจ เพลงพิณหรือผู้เคราะห์ร้ายคนอื่นอาจกำลังถูกตามล่าจากคน ๆ เดียวกัน ที่สำคัญ...” ก่อนจะพูดคำต่อมา เขากวาดตามองรอบตัวก่อนกระซิบใกล้ใบหูโคโยตี้สาว “ทางตำรวจพบลายนิ้วมือของพ่อเธอบนกระดาษที่เจอในศพป๋อง”
ยังไม่เสียงตอบรับจากหญิงสาวนอกจากการจ้องตาเขานิ่งที่ชายหนุ่มไม่อาจคาดเดาความหมาย เธอดันตัวขึ้นยืน แล้วก้าวขาเดินราวกับไม่ได้สนใจหรือไม่ได้ยินคำพูดของเขาก่อนหน้า
“เรามีเวลาไม่มากนัก” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง “ถ้าไม่อยากสูญเสียไปมากกว่านี้ เธอร่วมมือกับตำรวจ”
ดวงตาสีหม่นมีประกาบวูบไหว แต่เมื่อมีเสียงเพลงแว่วดังจากผับที่คงมีใครบางคนเปิดประตูออกมา เธอก็หมุนตัวพาร่างบางสะโอดสะองเดินกลับไป เหลือเพียงแต่ชายหนุ่มที่ยังยืนมองใต้ไฟสลัวของหลอดนีออนจนร่างอรชรหายลับไปหลังประตูบานใหญ่
ความรู้สึกของสายสืบจำเป็นในตอนนึ้นั้น บอกไม่ถูกว่าคืออะไร แต่เขามั่นใจว่าไม่เคยหัวใจเต้นแรงกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย