เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ
แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย
แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน
กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ
และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น
ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา
*** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๗ ศพที่สอง
คดีของนักเรียนช่างกลถูกยิงเสียชีวิตกลางงานแสดงซุปเปอร์ไบค์ยังไม่มีความคืบหน้า จากหลักฐานที่เป็นกระดาษห่อหมากฝรั่งก็ไม่ใคร่นำไปสู่กุญแจสำคัญ
อีกทั้งการเฝ้าจับตาความปลอดภัยของเพลงพิณก็ยังไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ จนสารวัตรอัชวินเกือบเทใจไปที่ประเด็นวิวาทของนักเรียนนักเลงมากกว่าการฆาตกรรมในวงการค้ายา แต่เมื่อระพีพัฒน์ท้วงติงถึงลูกปืนนัดที่สอง สารวัตรก็ต้องเฝ้ารอความหวังของการสืบหาข้อมูลต่อไป
แล้วความหวังในตอนนี้น่ะหรือ...
ระพีพัฒน์ถอนหายใจหนัก ฟุบหน้าลงกับหนังสือกฎหมายการค้าระหว่างประเทศเล่มหนาที่กำลังอ่านเตรียมสอบในห้องพักพนักงานควีนส์คอร์ป แต่แล้วเมื่อได้เสียงโทรทัศน์รายการข่าวสดช่วงเที่ยงวันเอ่ยถึงประเด็นอื้อฉาวของชลธารคอนสตรักชั่น จึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง เห็นรองประธานหนุ่มแห่งควีนส์คอร์ปกำลังถูกกองทัพนักล่าข่าวยื่นไมค์เพื่อขอสัมภาษณ์
“ชลธารฯ มีประเด็นการรับสินบนประเทศเพื่อนบ้านโครงการสร้างกาสิโน ไม่ทราบว่าจะกระเทือนการถือหุ้นของควีนส์คอร์ปหรือไม่คะ” นักข่าวสาวผู้หนึ่งเอ่ยคำถามฉะฉาน
“ไม่ครับ” ส่วนรองประธานหนุ่มกระชับแว่นตากันแดดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขณะเดินเข้าสู่ตัวอาคารสำนักงาน
“คุณปราณยังเชื่อมั่นในผู้บริหารของชลธารฯ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในทางมืดแบบนี้ นั่นหมายความว่าข่าวลือที่ ควีนส์คอร์ปเองก็มีส่วนเอี่ยวการสร้างกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ”
“ควีนส์คอร์ปสนใจร่วมทุนในธุรกิจกาสิโนจริง แต่ทุกอย่างจะเป็นไปได้หรือไม่ก็ต้องรอให้กฎหมายของประเทศเพื่อนบ้านผ่านมติเป็นเอกฉันท์”
“แล้วเรื่องสินบนล่ะครับ” เสียงนักข่าวหนุ่มผู้หนึ่งแทรกเข้ามา “ควีนส์คอร์ปพูดได้เต็มปากหรือไม่ว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการฮั้วสัมปทานก่อสร้างกาสิโนของชลธารคอรสตรักชั่น”
“ผมขอไม่ตอบ แต่ถ้าพวกคุณต้องการรู้ความจริง ก็คงต้องรอให้ชลธารฯ พร้อมแถลงข่าว” จากนั้นก็เดินลิ่วเข้าไปยังสำนักใหญ่บริษัทเงินทุน โดยเหล่านักข่าวถูกกันไว้ด้วยคนชุดดำมากมายที่ตั้งการ์ดเป็นกำแพงปกป้องรองประธานหนุ่มจากการถูกรบกวน
เห็นแบบนี้แล้ว ระพีพัฒน์ได้แต่ส่ายหน้า นึกเข้าใจชีวิตของคนที่กลายเป็นจำเลยสังคม แต่ป่านนี้หนุ่มรุ่นพี่คงได้สงบจิตใจอยู่ในแดนดินถิ่นเขาที่แสนสงบ
“นึกอยากหนีไปอยู่ป่ากับเจ้าก้องทีเดียว” เสียงของผู้ถูกสัมภาษณ์ในทีวีดังขึ้นพร้อมกับการก้าวขาเดินไปปรับม่านให้แสงลอดผ่านน้อยที่สุด จากนั้นกลับมาลากเก้าอี้ไปนั่ง พร้อมกับถอดแว่นกันแดดออกเผยดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่ใหม่ที่ได้รับหลังการผ่าตัด
“พี่ก้องไม่มีทางแถลงข่าวอย่างพี่บอก ผู้ชายคนนี้มั่นใจในตัวเองมากพอที่จะให้คนอื่นเชื่อจากตัวตนของเขา” เพราะรู้จักชายหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ดีที่สุด ระพีพัฒน์จึงสามารถตอบแทนได้แม้เจ้าตัวจะไม่อยู่
“ก็รู้อยู่...” ปราณนารายณ์รำพึงแล้วหันมาสบตา “กูไปเจอธิดาที่ชลธารฯ มา เธอบอกว่าเพลงพิณมาขอพบก็ดีใจใหญ่เลยอยากให้กูได้เจอด้วย”
“เพลงพิณมาตอบรับทุนการศึกษาหรือครับ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ปฏิเสธไม่มีเยื่อใยเลยล่ะ แต่ก็ให้เหตุผลว่าเขาต่างหากที่ต้องก้มหัวขอโทษแทนนายกำธรที่ลักพาตัวธิดาไปตามคำสั่งนายพนา ถึงธิดาจะพูดยังไง เจ้าเด็กนั่นก็ส่ายหน้าท่าเดียว”
“แล้วพี่ทำยังไง”
“ก็ให้เขากลับไปคิดใหม่ อย่าเพิ่งปฏิเสธโอกาส” ปราณนารายณ์ยกแขนทั้งสองหนุนศีรษะแล้วหลับตา “แต่เศร้ามาก ใบหน้าของเด็กคนนั้นเศร้าเหลือเกิน”
“คงยังเสียใจที่พี่ชายจากไปกระมังครับ”
“อาจจะเป็นอย่างนั้น เห็นบอกว่าหลังเลิกเรียนวันนี้ จะขอดร็อปเรียนแล้วไปอยู่กับแม่ที่ทองผาภูมิสักพัก”
“ที่ทองผาภูมิ...”
ระพีพัฒน์ทวนคำพูดซ้ำอีกครั้ง แล้วกระแสความคิดก็แล่นผ่านเซลล์สมองกลั่นกรองความคิดในหัว ก่อเกิดอีกความคิดที่เป็นดั่งประตูบานสู่ทางออกของปริศนา
ชายหนุ่มเด้งผึงจากเก้าอี้ เก็บข้าวเก็บของใส่กระเป้าเป้แล้ววิ่งออกจากห้องพักพนักงานไปโดยไม่ล่ำลาเจ้านายหนุ่มผู้จ้างงาน หากแต่ทิ้งหนังสือกฎหมายการค้าระหว่างประเทศที่หนาราวกับสารานุกรมไว้ให้ดูต่างหน้าแทน และพอขึ้นรถของตนได้ก็ต่อสายหาสารวัตรใหญ่ทันที
“ผมว่าสารวัตรลืมอะไรที่สำคัญมากไปอย่างหนึ่ง”
“ถ้าเป็นเรื่องที่แกยังต้องทำงานใช้หนี้ลบล้างคดีละก็ ข้าไม่เคยลืม”
ระพีพัฒน์ทำเสียงจิ๊บ “ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เรื่องบ้านเกิดของทั้งสามคน เพลงพิณ เอื้อย แล้วก็ป๋องเป็นคนบ้านเดียวกันทั้งหมด ฉะนั้นถ้าเราต้องการขุดรากถอนโคนสมุนเก่านายพนา เราก็ต้องกลับไปสืบที่รากเหง้าของพวกเขา”
“แกคิดว่าพวกคนในหมู่บ้านนั้นจะยอมให้เราเข้าไปสืบหรือไง ถ้าแกยังไม่รู้ ฉันจะบอกให้ว่าสมุนที่จับได้เป็นคนของหมู่บ้านนั้นเกือบทั้งหมด”
“สารวัตรเคยบอกไม่ใช่หรือว่าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ ผมจะเดินทางไปกับเพลงพิณ ถ้าได้อะไรจะส่งข่าวมาให้” พูดจบก็วางสายแล้วเหยียบคันเร่งออกรถวิ่งไปให้ทันก่อนที่จะคลาดกับเพลงพิณหลังเลิกเรียน
เมื่อถึงสถานที่เป้าหมาย เขาจอดรถของตนเทียบริมทาง จากนั้นลงเดินสวนทางกับกลุ่มนักเรียนสายอาชีพที่ทยอยออกจากสถาบัน กวาดตามองหาเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งผมยาวประบ่าจนเห็นเพลงพิณกำลังก้าวขาขึ้นรถเมล์ไป
“พิณ!”
แต่เสียงเรียกของเขาไม่อาจห้ามล้อซึ่งเริ่มหมุนออกจากป้ายรถเมล์ จึงต้องเร่งฝีเท้าวิ่งเพื่อกระโจนตัวขึ้นไปบนรถประจำทางที่มีเหล่านักเรียนและประชาชนอัดแน่นไม่ผิดเพี้ยนไปจากปลากระป๋อง แล้วแทรกตัวเบียดผู้คนจนเห็นแผ่นหลังของเด็กหนุ่มยืนโหนราวห่างออกไปเพียงสามช่วงตัว
ในจังหวะที่กำลังจะถึงตัวเพลงพิณ เกิดความผิดสังเกตจากใครคนหนึ่งที่คล้ายว่าพยายามเดินเข้าไปยืนประกบหลังเด็กหนุ่ม
สังหรณ์บางอย่างสั่งให้ระพีพัฒน์รีบเคลื่อนตัวเข้าไป พลางจับจ้องไปยังมือของบุคคคลต้องสงสัยที่สอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วออกมาพร้อมกับปืนพกสั้น
ระพีพัฒน์จึงรีบถลาเข้าไปคว้าหมับข้อมือของชายผู้นั้นทันควันก่อนเหนี่ยวไกลั่นกระสุนใส่หลังเด็กหนุ่ม แต่เหตุเหนือความคาดหมายตามมาคือยังมีอาวุธปลายคมปลาบในมืออีกข้างของอีกฝ่าย เขาจึงกลายเป็นผู้เสียเปรียบ จำต้องใช้มือเปล่าจับคมมืดที่กำลังจ้วงเข้ามา
“พิณ หนีออกจากรถ!” แม้จะเจ็บปวดเพราะคมมีดบาดลึกฝ่ามือ แต่สติยังดีพอที่จะส่งเสียงบอกเหยื่อการสังหารตัวจริง และนั่นกลายเป็นการประกาศให้ผู้อื่นรู้ไปด้วยว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นบนรถโดยสารคันนี้
เมื่อมีเสียงกรีดร้องดังจากกลุ่มนักเรียนหญิงที่เห็นเหตุการณ์ ความวุ่นวายจึงเกิดตามมาอย่างห้ามไม่ได้ หลายคนหนีลงจากรถทั้งที่ยังจอดไม่สนิท หลายคนก้มตัวหาที่หลบซ่อนป้องกันตัวเองจากลูกหลงระหว่างเขาและคนร้ายที่กำลังยื้อฉุดกระบอกปืน ส่วนเพลงพิณกลับยืนตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก
การต่อสู้กับชายดวงตาโลกลึก ร่างกายผ่ายผอมแต่กลับมีแรงเหลือเชื่อลำบากตรงที่ระพีพัฒน์ไม่อาจใช้มือทั้งสองได้เต็มที จนฝ่ายคนร้ายกระชากมีดกลับ ซึ่งสร้างความรวดร้าวให้ชายหนุ่มยามปลายคมกริบบาดรูดตามฝ่ามือ หากแต่ต้องฝืนออกแรงสุดกำลังดันข้อมือข้างที่มีปืนชี้ขึ้นหลังคา
เปรี้ยง!
วินาทีเดียวที่เสียงปืนลั่นส่งเม็ดกระสุนผ่านทะลุเหล็กแผ่นบางขึ้นฟ้า เป็นวินาทีเดียวที่กำหนดชะตาชีวิตของชายหนุ่ม ลมหายใจของระพีพัฒน์ขาดช่วงโดยพลันในตอนที่คนร้ายกำลังสวนมีดกลับมาหมายปักเข้าที่ช่องท้อง
ทว่ายมทูตคงยังไม่ต้องการดวงวิญญาณของเขา แล้วกระตุกสติของเพลงพิณให้วิ่งเข้ามายกเท้ากระแทกเข้าชายโครงของคนร้ายทันท่วงที จากนั้นตามไปเตะปืนให้กระเด็นเข้าไปใต้เก้าอี้ แต่คนร้ายไม่สนใจใช้อาวุธอีกต่อไป เพราะเมื่อเสียงไซเรนดังแว่วเข้ามาใกล้เท่ากับเป็นสัญญาณบอกให้วิ่งลงจากรถแล้วหนีหายลับไปกับความชุลมุน
“รีบไปโรงพยาบาลก่อนเถอะพี่! ” เพลงพิณปล่อยให้มือสังหารหนีไปไม่คิดอยากติดตาม เพราะชายหนุ่มที่มืออาบเลือดสีแดงสดน่าเป็นห่วงกว่า
ระพีพัฒน์พยักหน้ายอมรับความช่วยเหลือ แต่ในตอนนั้นมีสายเรียกเข้าจากสารวัตรเข้ามาพอดี เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยเกรงว่าถ้าสารวัตรรู้ว่าเขาบาดเจ็บ แล้วจะถูกถอนตัวจากภารกิจล้างประวัติคดี ทว่าหลังจากที่กดปุ่มรับสาย ปลายทางก็แทรกเสียงพูดประโยคที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับรู้สึกพรั่นพรึง
“นายอำพันเสียชีวิตแล้ว!”
คุณหมอสาวนัดสถาปนิกหนุ่มมาตรวจสภาพบาดแผลหลังตัดไหมซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง การขยับข้อเท้าของเขาก็ดูคล่องแคล่ว ไม่มีร่องรอยความเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้าคมเข้ม กระนั้นไหมแก้วก็ห้ามไม่ให้เขาออกแรงหรือเดินมากนัก หากแต่ดูเหมือนคำเตือนของแพทย์มักถูกเพิกเฉยจากคนไข้ ชายหนุ่มบ้าพลังผู้นั้นจึงร่อนไปทั่วหมู่บ้าน พร้อมด้วยสมุดกับดินสอในมือ
ความเป็นคนเมืองของเขาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการผูกมิตรกับชาวบ้าน ก้องปฐพีเข้ากับทุกคนได้ดีไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงหรือผู้ใหญ่ รวมไปถึงสายป่าน เจ้าช้างน้อยที่เขาเรียกว่าลูกสาวแสนสวย แล้วก็มักให้รางวัลการขี้ประจบด้วยนมอัดเม็ดรสหวานทุกทีไป ส่วนควาญช้างของเจ้าสายป่านนั้นหรือ ก็ถูกบรรณาการด้วยบุหรี่ยี่ห้อฝรั่ง ถูกใจกันไปทั้งคนทั้งช้าง
ถึงไหมแก้วก็แสดงความไม่พอใจชัดเจนและตักเตือนควาญช้างของสายป่านไปหลายต่อหลายครั้ง เพราะทั้งบุหรี่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของควาญเองกับขนมผสมน้ำตาลที่ไม่ดีต่อสัตว์ ล้วนแล้วแต่เป็นยาพิษที่ชายหนุ่มต่างแดนหยิบยื่นให้โดยใช้คำว่าน้ำใจไมตรีเป็นหน้ากากบังหน้า
“คุณหมอเป็นโรคกล้ามเนื้อหน้าตึงหรือเปล่าครับถึงได้ทำหน้าตึงใส่ผมตลอดเวลา” เป็นคำถามของเขาที่จงใจกวนโมโหในวันที่เขาให้เธอตรวจแบบแปลนแบบใหม่บนเรือน ซึ่งก็คงมีแต่เธอที่ยังไม่ให้ความสนิทชิดเชื้อกับเขามากไปกว่าผู้ที่ต้องร่วมงานกัน
“แล้วสิ่งที่ฉันเป็นมันรบกวนการทำงานของคุณหรือไงคะ” ไหมแก้วเงยตาจากแบบแปลนเรือนที่เขาแก้ไขให้ตรงกับเรือนของเธอมากที่สุด
ชายหนุ่มไหวไหล่ “มันก็ไม่ได้รบกวนมากมาย แต่จะดีกว่ามากถ้าคุณหมอยิ้มให้ผมบ้าง”
“ไม่ยิ้มให้ก็ไม่ได้ความว่าคุณจะไม่ตั้งใจทำงานให้ฉันใช่ไหมคะ”
การใช้ใช้วาทศิลป์ถามกลับของคุณหมอสาวทำเอาก้องปฐพีนึกอยากต่อปากต่อคำ แต่เขาหยุดความต้องการไว้รอให้งานที่รับผิดชอบเรียบร้อยดีก่อน หลังจากนั้นค่อยจับเธอมานั่งโต้วาทีก็ไม่สาย จึงเปลี่ยนไปถามเรื่องงาน
“ถ้าคุณหมอดูแปลนแล้วไม่มีอะไรติ ผมจะเริ่มงานปรับพื้นที่เลย ตอนนี้คนของผมพร้อมทำงานตลอดเวลา”
“เท่าที่ดูก็ถูกต้อง ไม่น่ามีปัญหาอะไรทั้งแบบแปลนทั้งแผลคมแร้วของคุณ แล้วทีนี้ค่ะคุณก็กลับบ้านของคุณได้แล้วนะคะ”
“ผมยังกลับไม่ได้จนกว่าจะทำงานสำเร็จ”
ดวงตาคู่สวยของไหมแก้วฉายความประหลาดใจจนได้ยินคำเฉลย
“งานของผมจะสำเร็จก็ต่อเมื่อลบคำสบประมาสที่คุณพูดกับผมว่า...”
“คุณเป็นสถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบ” แต่ไหมแก้วชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน “ซึ่งคุณก็แก้ไขแบบให้ตรงตามที่ฉันต้องการแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องอยู่คุมงานเองไม่ใช่หรือคะ หรือว่านายช่างที่คุณจะส่งมา พูดจาไม่รู้เรื่องยิ่งกว่าคุณ”
คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่นเล็กน้อย เรียวปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้หญิงสาวลอบถอนหายใจ
“ดูเหมือนคุณหมอไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่”
“คุณก็รู้ว่าเพราะอะไร” ไหมแก้วพยายามอธิบาย “ทวีรัตน์เป็นลูกของนายทรงชัยนักเลงใหญ่ถิ่นนี้ ถ้าเขารู้ว่าฉันให้ความช่วยเหลือคุณแล้วละก็...”
“คุณหมอจะเดือดร้อน” เจ้าของดวงตาคมเข้มมีแสงลุกวาวต่อประโยคให้เธอ “ตลกดีนะครับที่การมาของผมครั้งนี้หรือของธิดาในอดีตทำให้ทุกคนลำบากกันไปหมด” ”
คล้ายถูกปลายมีดสะกิดที่หัวใจคุณหมอสาว เธอเข้าใจดีว่าเรื่องที่เกิดนั้น พวกเขาสองพี่น้องไม่ใช่ต้นเหตุที่แท้จริงเลย แต่เพราะเธอรู้จักนายทรงชัยดีพอ การให้เขาไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีสำหรับตัวเขาเอง
“ผมจะเดินทางออกจากหมู่บ้านช้างให้เร็วที่สุด จะได้ไม่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้คุณหมอ ขอโทษด้วยนะครับสำหรับความวุ่นวายและขอบคุณที่ช่วยรักษาบาดแผลให้ผม” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงตัดพ้อ แล้วชันตัวลุกขึ้นพลางมองเธอด้วยแววตาขุ่น จากนั้นหมุนตัวเดินก้าวขาไปยังประตูเรือน
“เดี๋ยวค่ะ” ไหมแก้วรั้งเขาไว้ก่อนร่างสูงเดินลงบันไดแล้วลุกขึ้นเดินไปหา แต่นายสถาปนิกยังทำหน้ามุ่ยใส่ “เพื่อเป็นการตอบแทนที่คุณทำงานให้ฉันฟรี วันนี้ฉันจะพาคุณเที่ยวชมธรรมชาติรอบ ๆ ก่อนคุณกลับ”
“อย่าดีกว่า ไม่อยากรบกวน” ปากหยักได้รูปยังเป็นเส้นตรง แต่ในดวงตาสีนิลมีประกายวาววับ
“ตามใจ” เธอจึงหมุนตัวจะกลับเข้าเรือน
“ไปก็ไป แต่คุณหมอต้องพาผมไปเที่ยวตามที่ผมอยากไปและต้องให้ผมขี่เจ้าแก่ ส่วนคุณหมอซ้อนท้ายผม”
เขาเปลี่ยนใจเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดจนคุณหมอสาวลอบยิ้ม ก่อนหันไปประจันหน้ากับคนที่ยังทำหน้าตึงใส่แล้วก้าวขาลงบันไดเรือนนำเธอไป
“คุณอยากไปไหน” ไหมแก้วเอ่ยถามอย่างเอาใจ
“น้ำตก น้ำตกที่ควาญพาช้างไปอาบน้ำ”
แต่คนถามกลับนิ่งงันไปชั่วครู่จนเขาจับความผิดสังเกตได้
“หรือคุณหมอไม่อยากไปน้ำตก”
“เปล่าค่ะ” เธอบอกแล้วยื่นกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ให้เขาได้เป็นเจ้านายของเจ้าแก่ชั่วคราว ซึ่งเจ้าแก่ก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มผิดหวังเพราะเมื่อเขาเสียบกุญแจแล้วเหยียบครัชพร้อมกับบิดแฮนด์ เครื่องยนต์ก็ติดพร้อมใช้งาน
“เกาะผมดี ๆ นะ ผมอาจเผลอคิดว่าอยู่ในสนามแข่ง” เขาเอี้ยวหน้าหันมาทางคุณหมอสาวที่ขึ้นซ้อนท้ายในท่านั่งไพล่
“คุณก็คงลืมไปว่ารถที่คุณใช้ตอนนี้คือเจ้าแก่จอมเกเร”
มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม มีประกายเจ้าเล่ห์วาววับในดวงตาสีนิล แล้วจากนั้นเขาก็มำให้ไหมแก้วหวีดร้อง รีบยึดเสื้อผ้าฝ้ายของชาวชนเผ่าที่เขาใส่แน่น เพราะในทันทีที่เขาบิดแฮนด์จนสุด เจ้าแก่ที่เธอคิดว่าเซื่องเหมือนหมาชรากลับพุ่งทะยานราวกับม้าหนุ่ม
“คุณก้อง! ” เธอทุบที่สะบักไหล่เขาดังอึก แต่คนร่างสูงหาได้สะท้านสะเทือนไม่ แถมยังเปล่งเสียงหัวเราะก้องกังวานให้ดังลอยตามสายลมที่กำลังโบยโบกล้อไปตามเส้นผมยาวสลวยสีดำขลับของคุณหมอสาว
แต่ความเร็วของรถก็ชะลอลงคล้ายกับคนขี้แกล้งอยากชมความงามแสนสงบของป่าเขาเมื่อพ้นเขตหมู่บ้าน เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับภูมิประเทศแถบนี้ รวมไปถึงการรับมือกับฤดูมรสุม หรือวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนชาวกะเหรี่ยงที่เอื้อเฟื้อที่พักให้เขาได้อยู่ระหว่างพักฟื้นหลายวัน
ไหมแก้วก็ตอบคำถามได้ตามความรู้ที่สะสมมานาน หลายคำถามที่เขาถามก็ทำให้เธอต้องติดค้างไว้เพื่อไปหาคำตอบมาให้เมื่อใกล้ถึงที่เที่ยวสุดท้ายที่เธอจะพาเขาไป นายสถาปนิกหนุ่มก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับเธอบ้าง
“ทำไมคุณหมอถึงมาเป็นหมอที่นี่ล่ะครับ จากที่ผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ผมฟัง คุณหมอเป็นถึงศัลยแพทย์ น่าจะเลือกทำงานในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ มากกว่าจะมาเป็นหมอประจำหมู่บ้าน”
“ก็คงเป็นอุดมการณ์ของหมอจบใหม่ที่อยากใช้ความสามารถให้เป็นประโยชน์กระมังคะ แล้วในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ก็มีหมอมากฝีมือหลายคน ฉันเลยกระจายความสามารถของตัวเองมาในเขตตะวันตก” ไหมแก้วตอบไปตามเหตุผลพลางแหงนมองเมฆสีเทาที่เคลื่อนตัวเอ่ยตามสายลม
“แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงเป็นสถาปนิก คุณเป็นทายาทเจ้าของกิจการก็น่าจะเรียนด้านบริหารจัดการไม่ใช่หรือคะ” บอกคำตอบแล้วฟังเสียงหัวเราะของชายหนุ่มที่ส่งผลต่อการเต้นหัวใจได้ปย่างประหลาด
“เลือดที่ไหลในตัวผมเป็นเลือดของนายสถาปนิก ทั้งปู่ทั้งพ่อเป็นสถาปนิก แต่ก็มีทักษะการบริหารธุรกิจบ้าง ที่แล้วผมก็ชอบทำงานกลางแสงอาทิตย์ ชอบอาบเหงื่อกับพี่น้องที่เป็นแรงสำคัญให้บริษัทเติบโตมากกว่านั่งดูตัวเลขในห้องแอร์”
“คุณกำลังโพนทะนาว่าคุณไม่ใช่สถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบล่ะสิ”
“ก็แล้วแต่คุณหมอจะคิด ผมเข้าไปเปลี่ยนสมองให้คุณหมอคิดตามผมไม่ได้หรอก หลายสิ่งหลายอย่างมันไม่สามารถบอกได้ด้วยคำพูด แต่อะไรจริงอะไรไม่จริงไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณหมอจะเลือกเชื่อในสิ่งที่เขาพูดหรือในสิ่งที่ตาตัวเองเห็น”
คำพูดของเขากระทบจิตใจของเธอให้หม่นลงเหมือนท้องฟ้าที่มีเมฆฝนปกคลุม “แล้ว... แล้วถ้าเราอยากให้ใครคนหนึ่งเชื่อเรา แต่เราพูดไม่ได้ล่ะคะ”
“ถ้าใครคนนั้นเป็นคนที่รักคุณ...” ชายหนุ่มหยุดรถแล้วเอี้ยวตัวหันมาส่งยิ้มพร้อมดวงตาประกาย “ต่อให้คุณหมอเป็นใบ้ เขาก็ใช้หัวใจฟังเสียงของคุณหมอ”
ไหมแก้วรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะยามจ้องประกายจรัสคล้ายดวงดาวมากมายโคจรอยู่ในดวงตาสีนิลคู่นั้น เธอจึงรีบหลุบตาล “ลืมไปว่าพยากรณ์อากาศแจ้งว่าวันนี้ฝนจะตกหนัก เรารีบไปกันเถอะค่ะ”
ชายหนุ่มจึงบังคับเจ้าแก่ไปตามเส้นทางตามคำบอกของคุณหมอสาวจนเข้าสู่เขตป่า ลัดเลาะไปทางถนนเส้นเล็กที่ถางไว้สำหรับสัญจร รอบข้างขนาบด้วยต้นไม้หนาทึบ มีเสียงนกร้องเซ็งแซ่สลับเสียงยอดไม้กระทบกับแรงลม แต่เสียงสนทนาของทั้งคู่กลับเงียบหายไปคล้ายกับต้องการดื่มด่ำความสงบที่แทรกซึมเข้าในใจ จนถึงสุดปลายทางที่ปรากฏสายธารจากภูผาสูงขนาดใหญ่
“ที่นี่สวยมากเลยครับคุณหมอ”
ชายหนุ่มดับเครื่องแล้วเอี้ยวหน้ามากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่ต่างกับเด็กผู้ชายได้ของเล่นถูกใจ เห็นแล้วคุณหมอสาวอยากยิ้มตอบ แต่ความรู้สึกหม่นหมองที่ครอบครองใจตอนนี้เป็นกำแพงกั้นแบ่งเธอไว้ไม่ให้ก้าวกระโดดข้ามไปสู่ร่วมแสดงความปรีดากับเขา
“มันจะสวยมากกว่านี้ในคืนเดือนเพ็ญ”
“ทำไมหรือครับ”
“เพราะในคืนเดือนเพ็ญ แสงสว่างของพระจันทร์จะกระทบละอองน้ำที่ตรงตีนผา แล้วเกิดเป็นม่านสายรุ้ง” ไหมแก้วกล่าวพลางลงจากรถ เดินนำชายหนุ่มเข้าไปใกล้ริมธารน้ำโขดหินเรียงรายราวสะพานที่ทอดยาวลงสู่สายนที เธอหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนระบายมันออกมาช้า ๆ
“ถ้ามีโอกาส ผมอยากเห็นม่านสายรุ้งสักครั้ง”
เธอลืมตาแล้วหันไปทางชายหนุ่มที่ก้าวขายืนอยู่ข้างกาย ก่อนหันกลับไปมองกระแสธารตรงหน้า “สวยในความคิดของฉัน อาจไม่ได้สวยขนาดนั้นในความคิดคุณนะคะ”
“แน่นอนว่าผมต้องพิสูจน์ ต่อให้เป็นคำพูดของคุณหมอไหมแก้วก็เถอะ” เขายิ้มรับ มองเธอด้วยแววตาลุ่มลึกจนไหมแก้วรู้สึกแก้มร้อนผ่าว
“ถ้าอย่างนั้น เชิญคุณพักผ่อนตามสบายนะคะ”
บอกแล้วรีบเดินออกห่างชายหนุ่ม ทิ้งให้เขารื่นรมย์กับธารน้ำตกตามลำพัง ส่วนเธอขอเลือกโขดหินริมธารเป็นที่นั่งรอ
ไหมแก้วถอดรองเท้าแตะสาน ย่างเท้าเปล่าอย่างอย่างระมัดระวังไปตามโขดหินจนถึงตำเหน่งที่ต้องการ จากนั้นจึงทรุดตัวนั่งหย่อนขาแช่น้ำปล่อยให้ลำธารที่ไหลมากระทบเรียวขาให้เย็นชื่นใจ แม้น้ำในสายลำธารจะไม่ใสเพราะฝนจากเขาสูงชะเอาดินปะปนมาด้วย แต่มันก็ยังสะอาดบริสุทธิ์และเย็นฉ่ำสมกับเป็นของขวัญจากธรรมชาติ
“ผมขอถามอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านกะเหรี่ยงอีกข้อได้ไหมครับ”
ดูเหมือนเขาอยากก่อกวนความสงบของเธอเสียเหลือเกิน “ถามอะไรคะ”
“เรื่องคุณครูของพวกเขา”
เรียวปากอิ่มสีชมพูธรรมชาติเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง “ค่ะ คุณอยากรู้อะไร”
“ผมจำได้ว่าน้องสาวของผมมาออกค่ายเพื่อซ่อมแซมโรงเรียนให้หมู่บ้านกะเหรี่ยง แต่ทำไม่สำเร็จ ผมเลยจะสานต่องานจึงอยากทำความรู้จักกับครูของที่นี่ แต่พอถามจากผู้ใหญ่บ้านแล้ว เขาบอกว่าที่นี่ไม่มีครู แล้วก็ไม่ให้คำตอบอะไรอีกเลย”
มีแวววูบไหวในดวงตาของคุณหมอสาว “เดิมที ที่เราต้องการซ่อมแซมห้องเรียนก็เพราะต้องการให้เป็นอนุสรณ์ให้พวกเด็ก ๆ รำลึกถึงครูที่จากไปของพวกเขา”
“รำลึกถึง...” หัวคิ้วเข้มหนารับกับดวงตาย่นเข้าหากัน
“เธอชื่อดวงแข เป็นเจ้าของเรือนที่คุณพักอยู่ และเป็นครูของเด็ก ๆ ที่นี่ทุกคนในวันว่าง” เรียวปากอิ่มเอ่ยอธิบายแล้วเลื่อนสายตามองสายน้ำเย็นที่โลมเลียเท้าเปล่าเปลือย “เธอก็เคยเป็นผู้ช่วยของฉันทำวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรป่า”
“แล้วเธอคนนี้ก็คงเป็นคนสำคัญของคุณหมอด้วย... ใช่ไหมครับ”
“คุณกำลังเดาใจของฉันเหมือนที่คุณเดาความต้องการของชาวบ้านหรือคะ”
เจ้าของปากหยักคลี่ยิ้มอ่อน แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นในอากาศ ร่างไปตามโครงหน้าเรียวสมส่วนของเธอพลางเอ่ยคำพูด “จะเดาถูกหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมเห็นความเศร้าเคลือบเต็มใบหน้าของคุณหมอเวลาพูดถึงเขา”
มือของไหมแก้วเย็นเฉียบขึ้นฉับพลัน เธอรีบแปรสายตาจากใบหน้าชายหนุ่มไปมองอีกฟากฝั่งของลำธารโดยไม่มีจุดหมายของการมองแน่ชัด แค่เพียงเพราะไม่อยากถูกจ้องตาเสาะหาความรู้สึกในใจ แล้วตอบโต้กลับให้ฟังดูราบเรียบไม่มีความหวั่นไหวในเส้นเสียง
“คุณเป็นสถาปนิกหรือนักจิตวิทยากันแน่ ถึงได้ช่างสังเกตสังกาใบหน้าของคนอื่นได้โดยที่เขาไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ”
“นั่นสินะ...” แต่เขากลับเป็นฝ่ายล่าถอยไปเสียดื้อ ๆ ไม่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย แล้วหันสายตาไปมองสารธารน้ำตกด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่เหตุใด ความเงียบของชายหนุ่มกลับสร้างความกระสับกระส่ายให้ไหมแก้วนัก
“เรากลับกันเถอะครับ ก่อนที่ฝนจะเทลงมาห่าใหญ่” แล้วอยู่ ๆ เขาก็ชันตัวลุกขึ้น มองเธอด้วยแววตาเปี่ยมยิ้มอีกครั้ง แต่ไหมแก้วสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มนั้นถูกปั้นแต่งขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่วินาที
แม้ใจคิดอยากถาม แต่ก็หยุดปากไว้ เพราะบางทีเขาอาจมีเรื่องที่ต้องกักเก็บไว้ภายในแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน ฉะนั้นป่วยการที่ควานหาคำตอบในบ่อโคลนที่เจ้าของบ่ออยากซุกซ่อนสิ่งสำคัญเอาไว้
ไหมแก้วลุกขึ้นแล้วก้าวกระโดดจากโขดหินเพื่อเดินกลับสู่ริมฝั่งโยมีเขาเดินตามอยู่ด้านหลัง แต่ในจังหวะที่เธอกระโดดลงโขดหินสุดท้ายก่อนถึงฝั่งนั้น เสียงของชายหนุ่มก็ตะโกนลั่น
“คุณหมอระวัง! ”
คำเตือนส่งถึงเธอช้าเกินไป หัวใจของไหมแก้วชาวาบทันทีเมื่อมีงูตัวเล็กเลื้อยออกจากจากซอกโขดหินพอดีกับที่เท้าของเธอย่ำลงกลางหลังของมันจึงถูกคมเขี้ยวเล็กจ้อยฝังลงบนเท้า เจ็บจนคุณหมอสาวส่งเสียงร้อง
“โอ๊ย! ”
นอกจากเจ้างูตัวนั้นจะกัดไม่ปล่อย มันยังทำให้เธอเจ็บจนเสียหลักถลาล้ม และถ้าชายหนุ่มเข้ารับตัวไว้ก่อน เธออาจจะเจ็บตัวมากกว่านี้เพราะลื่นล้มกระแทกพื้นดินตะปุ่มตะป่ำ
“ขอผมดูแผลกัดหน่อย”
เขารีบประคองเธอนั่ง แล้วดูร่องรอยคมเขี้ยวที่อสรพิษตัวน้อยฝากไว้บนผิว ก่อนด้วยเงยหน้ามองด้วยแววตากังวล จากนั้นถอดเสื้อผ้าฝ้ายย้อมสีแบบชนเผ่าของตนออก ล้วงหยิบไฟแช็กจากกางเกงยีนส์ จุดเผาเสื้อให้เส้นใยไหม้เป็นช่องโหว่ จากนั้นออกแรงฉีกเสื้อตัวนั้นเป็นชิ้นยาวแล้วใช้มันรัดเข้าที่ข้อเท้าของเธอเพื่อห้ามพิษไว้ด้วยความไว
“ผมจะพาคุณหมอไปโรงพยาบาล ช่วยบอกทางผมด้วย”
ไหมแก้วพยักหน้ารับทราบ ยอมให้เขาช้อนร่างตัวเองขึ้นนั่งที่เบาะหลัง ส่วนเขาขึ้นคร่อมเบาะในตำเหน่งคนขับ สตาร์ทเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์แล้วคว้าข้อมือทั้งสองของเธอไว้มาวางตรงตำเหน่งเอวสอบของตัวเอง
“เกาะผมให้แน่นกว่านี้สิ”
รถสองล้อคันเล็กก็ถูกกระชากออกตัวด้วยความเร็วขนาดที่คุณหมอสาวเจ้าของรถไม่เคยคิดว่าเจ้าแก่ของเธอจะทำได้
ไหมแก้วขยุ้มเสื้อของเขาแน่น ไม่ใช่เพราะกลัวความเร็วสูงของรอบเครื่องยนต์ แต่มันคืออาการเริ่มต้นหลังจากถูกพิษงูเล่นงาน เธอหลับตาแล้วตรวจจับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่เร็วกว่าปกติ รับรู้ถึงความแสบซ่านที่กำลังแทรกซึมในร่างกาย
แล้วคำพูดที่ว่าเกาะผมให้แน่นกว่านี้กลายเป็น ‘กอด’ ผมให้แน่นกว่านี้ไปโดยไม่ตั้งใจ
ท่าทางเดินกะเผลกของทวีรัตน์ทำให้นายทรงชัยนึกขัดใจทุกครั้งที่เห็น แม้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่เพราะความสาหัสของอุบัติเหตุทำให้ขาของลูกชายร่างผอมกะหร่องไม่เข้าที่เข้าทาง หมอใหญ่ของโรงพยาบาลก็บอกว่ารักษาอาการจนสุดความสามารถแล้ว ต่อจากนี้ก็ต้องทำใจยอมรับว่าทวีรัตน์จะต้องเป็นไอ้เป๋เดินโหย่งไปตลอดชีวิต
แน่นอนว่าคนที่เป็นเดือดเป็นแค้นไม่ใช่นายทรงชัยแค่คนเดียว ทวีรัตน์นั้นโกรธเกรี้ยวราวหมาบ้า พาลคนไปทั่วทั้งสถานพยาบาล จนนายทรงชัยจำต้องปรามไว้ก่อนจะสร้างความเสื่อมเสียไปสู่เอกรัตน์ตที่กำลังต้องการคะแนนนิยมจากชาวบ้าน
“เมื่อไหร่พ่อจะหาไอ้เวรนั่นเจอ!” หนุ่มเลือดร้อนถามเสียงเคืองเมื่อถูกลากกลับเข้ารถกระบะ
“แกอย่ามาขึ้นเสียงกับฉัน! ” นายทรงชัยเขม่นตามองก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ “คนของฉันตามหาตัวมันหลายวันแต่หายังไงก็ไม่เจอ ป่านนี้มันคงหนีไปไกล มีแนวโน้มว่าแกคงขาเป๋แบบนี้ตลอดไปโดยไม่ได้แก้แค้นคืน! ”
“ฉันไม่ยอมนะพ่อ!”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง!” ผู้เป็นพ่อตวาดลั่นรถ “หัดสำเหนียกตัวเองได้แล้วว่าตัวแกมันไม่ได้เรื่อง ถ้ารู้ว่าโตมาแล้วอ่อนปวกเปียกแบบนี้ โยนให้ไปเป็นลูกอ้ายอีคนอื่น ไม่เลี้ยงมาจนโตขนาดนี้หรอก!”
ทวีรัตน์ขบกรามแน่น “คอยดูนะ ถ้าฉันเจอมัน ฉันจะจัดการมันเอง ไม่ให้เดือดร้อนถึงมือพ่อหรอก”
นายทรงชัยส่งสายเหยียด “แค่อย่าทำให้พี่ชายเอ็งเดือดร้อนจนคะแนนเสียงตกเป็นพอ ตอนนี้แกอยู่เฉย ๆ ไปก่อนจะดีกว่า ถ้าฉันทำงานใหญ่สำเร็จ แกจะตามล่าล้างแค้นมันให้สาหัสแค่ไหนก็เป็นเรื่องของแก”
จากนั้นสตาร์ทรถแล้วเอ่ยคำพูดเสียงเคร่งขรึม “ฉันจะแวะทำธุระที่ตลาดก่อนเข้าบ้าน แกรออยู่บนรถ ห้ามไปไหนจนกว่าฉันจะทำธุระเสร็จ”
ทวีรัตน์เพ่งมองที่ห่อกระดาษที่เห็นบิดาของตนพกติดตัวตั้งแต่ออกจากบ้าน รู้ความหมายของคำว่าธุระของบิดา ถึงจะอยากอาสาเป็นผู้ทำแทน แต่เสี่ยงเกินไปสำหรับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ อาจเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้ทวีรัตน์รู้สึกว่าพ่อยังไม่ได้เห็นเขาเป็นหมาหัวเน่า เพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าบิดาทำอะไร และเรื่องลับลมคมในแบบนี้ไม่มีทางปล่อยให้ถึงหูเอกรัตน์เด็ดขาด
แต่ขณะที่นายทรงชัยกำลังจะเหยียบคันเร่ง สายตาของทวีรัตน์ก็ไปสะดุดกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าไป
“เดี๋ยวพ่อ!” ทวีรัตน์ร้องเสียงหลง
“อะไรของแกอีกวะ!” นายทรงชัยเหยียบเบรกจนตัวโก่ง
“ดูนั่น!”
ผู้เป็นพ่อหันหน้าไปตามปลายทางของนิ้วชี้ เห็นหญิงสาวอดีตว่าที่ภรรยาของเอกรัตน์ถูกไอ้หนุ่มแปลกหน้าเปลือยท่อนบนอุ้มเข้าไปในโรงพยาบาล
“นางไหมแก้ว” ทรงชัยเปรยเสียงเข้ม ดวงตาวาวโรจน์
ทว่าคนที่อยู่ในสายตาของทวีรัตน์หาใช่คุณหมอสาวไม่ แต่คนที่ทำให้เขาเคียดแค้นใจจนต้องคำรามลั่นคือไอ้หนุ่มผู้นั้น
“มันนั่นไงที่ทำให้ฉันขาเป๋!”
พูดแล้วทำท่าจะลงจากรถทันที แต่ถูกนายทรงชัยห้ามไว้ “แกอย่าเพิ่งทำอะไรตอนนี้ ข้ามีธุระสำคัญต้องทำ! ”
“แล้วจะปล่อยให้มันลอยนวลแบบนั้นหรือไงกัน! ”
“รอก่อน ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันน่าจะอยู่ที่ไหน ตามไปจัดการทีหลังก็ยังไม่สาย แต่ถ้าแกขืนสร้างเรื่องพาตำรวจมาอีก งานฉันมีอันต้องฉิบหายเพราะความงั่งของแก! ”
สายตาดุของบิดากำชับไม่ให้ขัดขืนคำสั่ง ทวีรัตน์จึงทำได้แค่กัดฟันกรอด ๆ มองคู่แค้นผ่านเลยไปอย่างแสนเสียดายโอกาสเอาคืน และแม้นายทรงชับนำรถกระบะขับเคลื่อนออกจากโรงพยาบาลด้วยความไว หากแต่ดวงตาของทวีรัตน์ยังมีไฟแห่งความมาดร้ายลุกโชน