เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ
แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย
แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน
กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ
และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น
ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา
*** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๘ ฝันร้าย
ยามบ่ายคล้อยของวันอากาศอบอ้าว เอกรัตน์วิ่งวนระหว่างเกษตรจังหวัดกับโรงพยาบาลเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องการเพาะพันธุ์สมุนไพร หลังจากได้คำแนะนำเรื่องดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม ชายหนุ่มก็ลงความเห็นว่าที่ดินแปลงที่ดวงแขเคยกล่าวถึงช่างเหมาะเจาะที่สุดราวกับนางพยาบาลวิชาชีพสาวผู้นั้นศึกษาค้นคว้ามาอย่างดี
“ดวงแขเขาก็เคยมาถามผมเหมือนกัน เรื่องสมุนไพรป่าที่อยากนำมาทดลองปลูก” คุณหมอใหญ่บอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อได้ยินคำถามแรกของเขา
“แล้วดวงแขอยากปลูกอะไรหรือครับ” เอกรัตน์ใคร่อยากรู้
“ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในรายการที่หมอไหมแก้วทำระเบียนไว้นั่นแหละ”
เอกรัตน์รับฟังเงียบ ๆ แล้วชั่งใจว่าจะเล่าให้คุณหมอใหญ่ฟังเรื่องที่ดินแปลงนั้นดีหรือไม่ เพราะเกรงว่า หากเล่าไปแล้ว เรื่องการสนับสนุนจากบุคคลนิรนามอาจทำให้ถูกเข้าใจไปว่าเขาใช้เงินในการแข่งขันหาเสียงแทนที่จะสู้กันด้วยความสามารถ
“เออแต่ดวงแขเขาขอยืมงานวิจัยของผมไปศึกษาด้วยนะ”
“งานวิจัยหรือครับ? ”
“เป็นเรื่องที่ผมค้นคว้าเกี่ยวกับพันธุ์สมุนไพรป่าในเขตบ้านเรานี่ล่ะ ก็เป็นงานวิจัยที่ผมกับหมอไหมแก้วช่วยกันรวบรวมไว้ ถ้าคุณสนใจ ไว้ผมจะเอามาให้”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความยินดี หลังจากนั้นก็มีนางพยาบาลมาแจ้งนัดหมายคนไข้ เขาจึงร่ำลาคุณหมอใหญ่แล้วเดินทางออกจากโรงพยาบาล
เอกรัตน์มุ่งตรงสู่บ้านของตนอันที่ที่สุดท้ายของชีวิตในทุก ๆ วัน แม้จะกลับไปพบกับความวุ่นวายหรือเหล่าสมุนนักเลงที่เดินกันขวักไขว่า แต่นั่นก็เป็นที่พักพิงให้กายและใจอันเหนื่อยล้ามาตลอดตั้งแต่เกิด
แม่จากเขาไปนานแล้วด้วยอุบัติเหตุ ทิ้งเขาและน้องอีกสองชีวิตให้ทนอยู่กับความเหงาอ้างว้าง หากจะรบเร้าให้บิดาหันมาดูแลทนแทนความอบอุ่นของมารดา เห็นทีเขาคงได้จับปืนผาหน้าไม้แทนจอบเสียมที่ใช้ในหน้าที่นักพัฒนาที่ดินทำกิน อาชีพที่บิดามองด้วยดวงตาเหยียดอย่างเงียบ ๆ เขาจึงต้องเดินบนหนทางนี้ด้วยกำลังแรงและกำลังใจของตน
แล้วโชคชะตาก็พาเขามาพบไหมแก้ว ในวันแรกที่เธอเข้ามารับตำแหน่งหมอประจำหมู่บ้านช้าง ก็เหมือนกับเป็นวันแรกที่หัวใจเหี่ยวแห้งดั่งหญ้าคาได้รับหยาดน้ำฝนชโลมฉ่ำฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอดำเนินจากการเพื่อนร่วมงานจนไปสู่คู่รักที่มีเป้าหมายเดียวกัน
แม้ว่าคุณหมอสาวจะไม่อ่อนหวานอย่างสตรีอื่น แต่ก็มีความเข้าใจให้เขาเสมอมา เว้นเสียแต่เรื่องวิธีการทำให้ความฝันเป็นจริง เอกรัตน์ไม่อยากรอฟ้ารอฝน การก้าวเข้าสู่เวทีนักการเมืองท้องถิ่นจึงเป็นทางด่วนที่จะทำให้เขาและไหมแก้วลอยลำเข้าสู่ความสำเร็จ
‘ถึงเราจะไม่มีอำนาจ ไม่มีบารมี แต่เราก็มีความสามารถพอที่จะใช้มันทำอุดมการณ์ให้เป็นจริงได้’
เขาจำประโยคทองของเธอได้ขึ้นใจ เธออาจมีความรู้ในวิชาชีพที่เธอเป็น แต่เธอไม่รู้ว่ายังมีเครื่องมือที่หลายคนใช้พาไปถึงฝั่ง ก็เปรียบได้กับเรือแจวใช้กำลังแรงพายพาเขาและเธอล่องไปตามธารฝัน แต่เรือยนต์ไปได้ไกลและเร็วกว่ามากมายนัก ยังไม่รวมถึงในตอนขึ้นฝั่งแล้วโดนปิดท่าเพื่อเรียกค่าผ่านทาง
เรื่องนี้เขาเรียนรู้จากบิดา ที่มักใช้เงินเป็นเครื่องมือในทุกเรื่องที่ต้องการ มิเช่นนั้นแล้ว อำนาจบารมีของนายทรงชัยคงไม่แผ่กระจายไร้ผู้ใดทัดทาน แต่นั่นก็หลังจากการล่มสลายของอิทธิพลนายพนา เพราะหากมหาโจรยังครองดินแดนตะวันตกอยู่ ต่อให้เป็นนักเลงใหญ่นักเลงโตแค่ไหน ก็ต้องปิดประตูขังตัวเองในบ้าน
รถกระบะของชายหนุ่มแล่นเข้าสู่เรือนไม้สักขนาดใหญ่ สมุนของบิดาทั้งหลายที่สัญจรไปมาต่างทำความเคารพประมุขน้อยของบ้านก็ล้วนเป็นภาพชินตา แต่สิ่งที่ผิดแผกไปคือรถยนต์สีดำยี่ห้อนำเข้าจากยุโรปคันนั้นจอดอยู่ในที่ ๆ จอดของเขา ซึ่งเป็นการบอกถึงความกิตติมศักดิ์ของแขกรายนี้ได้ดี
ชายหนุ่มจึงรีบจอดรถแล้วเดินขึ้นบันไดของเรือนหลังใหญ่ ได้ยินเสียงหัวเราะของบิดาลอยมาตั้งแต่เท้าของเขายังไม่ข้ามธรณีประตู
“ต่อให้ยากแค่ไหน ผมก็ทำงานให้คุณสำเร็จ ของที่คุณบอกให้ปล่อยล่าสุดก็ถึงมือลูกค้า รับรองว่าคุณไม่สามารถหาใครที่ไหนทำงานได้ดีไปกว่าผมแล้วในแถบตะวันตก”
คำพูดโอ้อวดนั้นไม่ได้เกินจริง เพราะในเวลานี้บิดาของเขาวางบารมีไว้ทั่วทุกหัวตำบล ซึ่งก็อาจรวมถึงหัวคำแนนที่บิดาจ่ายเงินหนุนให้อย่างลับ ๆ แต่หาได้รู้ไม่ว่าเอกรัตน์รู้การเคลื่อนไหวทุกอย่างดี และแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ออกปากห้าม ด้วยเพราะในส่วนลึกของใจนั้นมีความต้องการเอาชนะคู่แข่งทุกคนเพื่อก้าวไปสู่ฝัน
“ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้รู้จักคุณ และก็ขอบคุณแทนลูกชายด้วยสำหรับการสนับสนุนเงินหาเสียง น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่ ก็คงออกไปสร้างคะแนนนิยมเหมือนทุกวันนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินว่าถูกเอ่ยถึง เอกรัตน์จึงก้าวขาเข้าไปที่กรอบประตูเพื่อลอบมอง เห็นใบหน้าอิ่มเอิบของบิดา ส่วนแขกของบ้านนั้นมีสองคน คนที่ยืนอยู่เป็นชายฉกรรจ์ผมสีดำเหลือบน้ำเงินยาวรวบไว้ตรงท้ายทอย สวมใส่แว่นตากันแดดและสวมชุดดำทั้งชุด ส่วนคนที่นั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามเจ้าบ้านนั้นนั่งหันหลังให้ เขาจึงไม่เห็นหน้าตานอกจากเรือนผมยาวสีดำขลับดัดลอนตัดกับผิวขาวปานหยวกกล้วยที่เผยพ้นเสื้อคอปาดกว้าง
ซึ่งเขาอาจแสร้งยังไม่กลับตามที่บิดาเอ่ยไว้ได้ถ้าเด็กรับใช้ไม่ยกถาดน้ำดื่มเข้ามาแล้วเกิดเสียงแก้วกระทบกันกับถาดจนสายตาไวของบิดากวาดมาเจอ
“อ้าวนั่นไง พูดถึงก็มาเลย”
การถูกจับได้อาจไม่ทำให้เอกรัตน์ตื่นตระหนก แต่เมื่อแขกสาวผู้มีดวงตางามราวกับดาวจรัสแสงหันมาทางเขาก็คล้ายกับหยุดความเคลื่อนไหวทุกอย่าง แม้แต่ลมหายใจก็ขาดช่วงไปราวกับถูกดูดกลืนหายไปในดวงตาคู่นั้น
“มาทำความรู้จักคุณนายดาราเสียสิ”
เสียงของบิดากระตุกขาเขาให้ก้าวเดินเข้าไปยืนน้อมศีรษะพรเอมกับยกมือขึ้นประนมแนบอกก่อนกล่าวคำทักทาย
“สวัสดีครับ ผมเอกรัตน์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“สวัสดีค่ะ... คุณเอกรัตน์”
คล้ายกับชื่อของเขาถูกเปล่งอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่นั่นไม่สะกิดความรู้สึกได้มากเท่ากับเรียวปากอิ่มสีแดงสดที่กำลังแย้มรอยยิ้มน่าประทับใจเสียจนเขาจับความประหม่าในเสียงพูดของตนได้ชัดเจน
“ผมได้ยินเรื่องของคุณนายดาราจากพ่อแล้ว ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนให้เป็นผู้นำชุมชม แต่ถ้าผมทำให้คุณนายผิดหวังก็ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วย
“คุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง” เธอเปล่งเสียงเรียบแต่ทรงพลังขัดกับใบหน้าสวยหวานและเรือนร่างกลมกลึงแบบอิสตรี
“แกควรจะพูดว่าผมจะตอบแทนน้ำใจของคุณนายให้ถึงที่สุดหากผมชนะ ถึงจะถูก” บิดาของเขากล่าวแทรกแล้วหัวเราะเสียงดัง
คุณนายสาวคลี่ยิ้ม จับจ้องมองใบหน้าของเขา “ฉันก็หวังว่าจะได้รับการตอบแทนที่สาสม” แล้วเบนสายตาไปทางนักเลงใหญ่ “คุณทรงชัยคงไม่ได้ว่าอะไร ถ้าฉันอยากหาโอกาสนัดทานข้าวเพื่อคุยเกี่ยวกับนโยบายกับคุณเอกรัตน์”
“ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธนี่ครับ ใช่ไหมเอกรัตน์”
ทว่าเอกรัตน์ได้แต่อ้ำอึ้ง กลืนน้ำลายไม่สะดวก จึงยืนนิ่งเฉยมองหญิงสาวด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ แต่คล้ายกับร่างงามถูกโปรแกรมมาให้ปกป้อง ชายฉกรรจ์ในชุดดำจึงเคลื่อนตัวมาบดบังเธอให้หายไปจากสายตา
“ฉันคงต้องขอตัวกลับก่อน แล้วนายสำริดจะเป็นผู้ติดต่อมอบงานให้เหมือนทุกครั้ง”
ชายชุดดำผู้นั้นมองมาทางเขาแน่วนิ่ง แล้วค่อยหันไปผงกศีรษะให้บิดา จากนั้นคุณนายสาวก็ลุกขึ้น พร้อมกับส่งสายตามาให้ในแบบที่เขาไม่กล้าคิดไปเอง ก่อนเดินนวยนาดนำคนของเธอออกจากเรือนไป
“ผู้หญิงคนนี้เหมือนกุหลาบ สวยแต่มีหนามแหลมคม” บิดาของเขากล่าวลับหลังแขกสำคัญในตอนที่มองรถสีดำคันนั้นเคลื่อนตัวออกจากอาณาเขตบ้าน
“ไม่... เธอไม่ได้เหมือนกุหลาบ” เอกรัตน์แย้งเสียงเบาคล้ายรำพึง
เพราะกุหลาบอาจถือว่าเป็นราชินีแห่งมวลดอกไม้ แต่สำหรับหญิงสาวที่เพิ่งทิ้งสายตาแห่งแรงปรารถนาให้เขาแล้วจากไป เธอวางท่าดั่งเป็นราชินีของทุกคน และแววตาหมายมั่นคู่นั้น มีความต้องการแรงกล้าอะไรสักอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจ
บนโขดหินในม่านน้ำตกสีรุ้ง มีเงาของสองร่างแบ่งปันไออุ่นโอบกอดรัดรึงและขยับเคลื่อนไหวอ่อนพลิ้ว คล้ายดั่งผีเสื้อร่ายรำบทเพลงรัก ส่วนเธอยืนแข็งทื่อ มองชายคนรักเสพสมกับผู้ช่วยสาวที่เธอทั้งรักและเอ็นดูปานน้องสาว
นางงูร้าย คำแรกที่ผุดขึ้นมากลางใจแต่ไม่อาจเอ่ยออกไป
เขาก็ร้ายเหมือนงูเห่า คำที่สองสะท้อนก้องในหัวไม่ห่างกัน
‘ฉันขอร้องนะคุณหมอ อย่าให้ดวงแขมันอับอายท้องไม่มีพ่อเลย’ คำกล่าวของนางลาโพที่พร่ำพูดพลางก้มกราบเท้าเธอเป็นความจริง
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอคนนั้นฝังเขี้ยวก่อนปล่อยพิษให้แทรกซึมสู่หัวใจของเธอโดยที่ไม่รู้ตัว และกี่ครั้งแล้วที่เขาลอบสมสู่กับหญิงอื่นทั้ง ๆ ที่กำลังจะแต่งงานกับเธอ ถ้าหากเป็นแค่ความใคร่ เขาจะอดทนเก็บมันนั้นไว้เพื่อเธอคนเดียวในคืนวิวาห์ไม่ได้เชียวหรือ
สุดท้าย ความรักกับความเชื่อใจที่สะสมทีละเล็กทีละน้อยก็แตกออกเป็นเสี่ยง ณ วินาทีที่เห็นภาพบาดใจ
‘ฉันจะหลีกทางให้ แต่จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวใด ๆ ทั้งสิ้น’ เธอยืดคอ เปล่งเสียงแข็งลอดไรฟันที่กำลังสะกดอารมณ์แค้น ‘หากอยากให้เขาตบแต่งกับดวงแขตามประเพณี ก็ขอให้ไปบอกกับนายทรงชัยเองเถิด’
หากเจ็บปวดจากแผลทางกาย เธอรู้ว่าจะรักษาด้วยยาขนานใด แต่เจ็บปวดในหัวใจนั้น แผลมันลึกสุดหยั่งอย่างไม่มียาวิเศษใดมาสมานแผลใจได้ น่ายินดีที่นายทรงชัยรับปากส่งขบวนขันหมากมารับสะใภ้ที่ท้องก่อนแต่ง
แต่เธอไม่ขอไปร่วมงาน และไม่ขอเจอหน้าใคร ไม่ว่าจะเป็นยายก่อพอ ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้แต่เสียงของหญิงสาวผู้ช่วยที่ตะโกนเพรียกหาหน้าประตูเรือน
‘ไปซะดวงแข ไปเตรียมตัวรับขบวนขันหมากจากเอกรัตน์เสียเถอะ’ เธอขับไล่ด้วยเสียงโกรธขึ้ง
‘คุณหมอไหมแก้ว ฉันไม่ใช่...’
‘บอกว่าให้ไป ไปจากชีวิตฉัน นางงูเห่า!’
เสียงเรียกด้านนอกหายเงียบไปแล้ว เหลือแต่เสียงน้ำตาของเธอที่คร่ำครวญออกมาดัง ๆ จนได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนเรียกพร้อมกับเคาะประตูแรงจนผนังสะเทือน เธอจึงปาดน้ำตา เดินไปเปิดประตู แล้วก็พบกับชายแปลกหน้าผู้หนึ่งยืนมองด้วยดวงตาวาว
‘มีผู้หญิงถูกทำร้ายบาดเจ็บในป่า คุณหมอไปดูเขาหน่อย’
ด้วยวิญญาณของวิชาชีพ ไหมแก้วจะเดินกลับไปคว้ากระเป๋าแพทย์ เตรียมทุกอย่างให้ครบ แต่เธอกลับถูกชายผู้นั้นฉุดแขนแล้วบอกว่าไม่มีเวลาพอ ก่อนลากพาเธอไปยังป่าหลังหมู่บ้านกะเหรี่ยงอย่างร้อนรน แล้วภาพทุกอย่างที่ปรากฏก็สั่นสะเทือนหัวอกจนเจ็บปวด
เธอเห็นภาพการทารุณทางเพศ เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน เห็นน้ำตาของหญิงสาว เห็นร่างเปื้อนเลือดสด เห็นดวงตาของความเคียดแค้น แต่แล้วทุกภาพก็สลายไปในความมืด
ครืนนน!!!
เปรี้ยงงง!!!
แสงสว่างวาบทำให้ดวงตาพร่ามัว จากนั้นหัวใจของเธอก็เต้นแรงจนแทบกระโดดออกจากอกเมื่อมีลำแสงจากเบื้องบนพุ่งดิ่งลงมาบนร่างของหญิงชรา เสียงของมันดังก้องไปทั่วแผ่นดิน ตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้ถูกธรรมชาติทำร้าย ร่างของมนุษย์ที่ดิ้นพล่านนั้นมีเลือดไหลออกทุกทวาร เส้นประสาททุกสรรพางค์กระตุกสั่น
เปรี้ยงงง!!!
‘กรี๊ด!!!’ หญิงสาวกรีดดัง
‘กรี๊ด!!!’ แต่ภาพดวงตาถลนของหญิงชราผิวเนื้อไหม้เกรียมยังปรากฏอยู่ตรงหน้า เธอจึงกรีดร้องยกมือป่ายปัดให้ภาพนั้นสลายไป แต่คล้ายกับกลายเป็นการกวักมือเรียกให้ความน่าสะพรึงเคลื่อนเข้าใกล้
‘กรี๊ด กรี๊ด!!!’ เธอกรีดร้องเสียงหลง
เปรี้ยงงง!!!
เธอสะดุ้งตัวโยนไขว่คว้าหาที่กำบัง แต่ในความมืดนั้นมองไม่เห็นสิ่งใดเลย เธอร้องไห้รนราน ตะโกนขอความช่วยเหลือ สลับการพร่ำคำขอโทษ
เปรี้ยงงง!!!
สายฟ้าฟาดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกระหน่ำลงบนตัวเธอเอง มันร้อนแรงจนผิวหมกไหม้ แบมือดูเห็นเนื้อละลายเหลวเป็นแผลเหวอะ แต่ในแผลนั้น เธอจ้องมองลึกลงไป จนเห็นดวงตาถลนโปดปูนคู่เดิมแทรกตัวออกมาจากมือแล้วจับจ้องมองเธอด้วยความแค้นชิงชัง
‘กรี๊ดดด!’ เธอกรีดร้องสุดเสียง
“คุณหมอ คุณหมอ! ” เสียงใครคนหนึ่งเรียกเธอ จากนั้นเกิดความอบอุ่นรอบกาย และคล้ายกับตัวเธอเอนไหวเบา ๆ
“คุณหมอแค่ฝันไป มันเป็นแค่ฝัน” เสียงนุ่มอ่อนโยนปลอบประโลมข้างหู
ดวงตาคมจึงค่อย ๆ ลืมขึ้นรับรู้หลังตื่นจากความฝัน แต่เสียงฝนกระหน่ำฟ้าคำรามข้างนอกนั้นเป็นของจริง และอ้อมกอดนี้ก็เป็นของจริงเช่นกัน
“คุณก้อง”
ไหมแก้วเปล่งชื่อชายหนุ่มเจ้าของวงแขนแกร่งที่โอบรัดตัวเธอไว้ แล้วกวาดตามองโดยรอบเพื่อระลึกความทรงจำหลังเขาส่งเธอมาถึงโรงพยาบาล
การรักษาไม่ยุ่งยากซับซ้อนเพราะเจ้างูตัวนั้นเป็นแค่งูเขียวปากจิ้งจก แค่ล้างบาดแผลและให้ยาตามอาการก็กลับบ้านได้ แต่นายสถาปนิกหนุ่มยืนยันขอให้เฝ้าดูอาการที่โรงพยาบาล เธอจึงให้เขาพามาพักที่บ้านพักแพทย์แทนการใช้ห้องที่ควรจะเป็นของประชาชน
“ฉันนึกว่าคุณกลับไปแล้วเสียอีก”
“ผมก็คิดว่าจะทำแบบนั้น แต่พอรู้ตัวอีกทีก็นอนเฝ้าคุณหมอทั้งคืนบนพื้นข้างเตียง” เขาเอ่ยเสียงเบาข้างหู วงแขนที่กอดรัดแน่นก่อนหน้าคลายออกพอหลวม แต่พอมีแสงฟ้าแลบ วงแขนแกร่งก็กลับมากอดแน่นอีกครั้งในตอนที่ร่างบางสะดุ้งตัวโยน
“เป็นเพราะฝันร้ายเลยทำให้คุณหมอกลัวฟ้าผ่า หรือเพราะฟ้าผ่าคุณหมอถึงฝันร้าย”
ไหมแก้วเม้มปาก ทำตัวนิ่งเฉยไม่อยากเอ่ยถึง แต่พอวงแขนกระชับแน่นเข้า เธอก็ต่อว่าเขาเสียงขุ่น “คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะ”
เขาหัวเราะในลำคอ ลมหายใจอุ่นกลิ่นบุหรี่เป่ารดใบหู “ผมจำเป็นต้องรู้ เพราะถ้าเป็นเพราะอย่างแรก ผมจะปล่อยให้คุณนอนต่อ แต่ถ้าเป็นเพราะอย่างหลัง ผมคงสะดุ้งตื่นมากอดคุณหมอไว้ทั้งคืน”
ไหมแก้วตอบตัวเองไม่ถูกเช่นกันว่าอาการกลัวฟ้าผ่าของเธอมาจากฝันร้าย หรือที่มักฝันร้ายถึงคืนแสนน่ากลัวนั้นเป็นเพราะฟ้าผ่า แต่ถ้าให้ไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ มันมีเหตุผลที่ดึงเธอเข้าสู่ภวังค์ความกลัวทั้งสอง ที่ไม่ใช่ทั้งฝันร้ายและไม่ใช่ทั้งฟ้าผ่า
“บอกผมมาสิว่าอย่างไหน”
ยิ่งเธอหน่วงเวลาให้คำตอบ เขาก็ยิ่งแนบตัวเองกับแผ่นหลังเธอให้ชิดสนิทมากขึ้นเท่านั้น และเธอควรจะตำหนิเขาเรื่องการทำตัวลามปาม ถือวิสาสะใช้ความกลัวของเธอเป็นเครื่องต่อรอง
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” จึงเลือกตอบให้ตรงความรู้สึก แต่ก็ไม่อาจเล่าความจริงให้เขารู้ได้
“แล้วมันคืออะไร คุณหมอบอกผมได้หรือเปล่า”
“ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ” เอ่ยบอกเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม แต่พอหันหน้าไปก็ยังเจอแววตาใสซื่อ ทำเป็นไม่รู้ความ แถมลำแขนนั้นก็ขยับแน่นขึ้นกว่าเดิม จึงทดลองใช้นิ้วหยิกเข้าที่ต้นแขนแกร่ง
“โอ๊ย คุณหมอ หยิกผมทำไมเนี่ย! ”
“ก็เป็นการยืนยันว่าฉันไม่ได้ฝันอยู่”
“เขามีแต่หยิกแก้มตัวเองนะครับคุณหมอ” เจ้าของแขนแกร่งเหมือนงูใหญ่คลายออกจากตัวเธอ แล้วบ่นอุบอิบลูบผิวเนื้อตรงที่ถูกหยิกป้อย ๆ
แต่แล้วไหมแก้วก็สังเกตุเห็นว่าเขายังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน และแค่ชั่วอึดใจเดียวแก้มของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นทันควัน
“นี่ยังไม่มีใครหาเสื้อผ้าให้คุณใส่อีกหรือ! ”
ก้องปฐพีไหวไหล่ “ก็มีแต่เสื้อผู้ป่วย แต่ผมไม่เอาเพราะผมไม่อยากให้เขาสิ้นเปลือง”
“คุณก็เลยให้ฉันเปลืองเนื้อเปลืองตัวด้วยการกอดฉันโดยไม่ใส่เสื้อแทนอย่างนั้นสิ”
“ดูสิ ผมทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” แล้วเขาก็ส่งสายตาค้อนให้เธอ ตามด้วยการบ่นอย่างกับหมีกินผึ้ง “คนเขาก็เป็นห่วง นอนเฝ้าทั้งคืน หนาว ๆ ก็หนาว ผ้าห่มสักผืนก็ไม่มีห่ม ถ้าผมเป็นปอดบวมละก็ คุณหมอต้องรับผิดชอบ”
ไหมแก้วจึงอมยิ้ม แล้วบอกเขาไปว่า “ขอบคุณนะคะ ทั้งเรื่องพาฉันมาโรงพยาบาล ทั้งเรื่องนอนเฝ้าอาการแล้วก็เรื่องที่ช่วยปลอบฉันจากฝันร้าย” เธอหยุดคำพูดไว้เพราะรู้สึกหัวใจเต้นตามอาการขัดเขิน “หายโกรธฉันเถอะนะ”
มุมปากหยักเริ่มทำองศาเป็นรอยยิ้ม แต่เขาควรจะลงจากเตียงไปนอนบนพื้นได้แล้ว ไม่ใช่เขยิบเข้ามาหาแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้ เอ่ยพูดด้วยประโยคแสนกวน
“ไม่หาย ถ้าคุณหมอไม่เล่าความฝันให้ผมฟัง”
“แล้วถ้าฉันไม่เล่า” คุณหมอสาวนึกอยากท้าทาย
“ก็หมายความว่าคุณหมออยากให้ผู้ชายหล่อ ๆ อย่างผมกอดทั้งคืน”
“ผู้ชายอะไรหน้าไม่อาย ชมตัวเองก็ได้แถมยังชอบฉวยโอกาส”
“ตอบ... ผู้ชายหน้าด้าน ที่มั่นใจในตัวเองแล้วก็ชอบพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส”
ไหมแก้วเผลอหัวเราะขบขัน ก็ที่เธอพูดไปน่ะ ตั้งใจประชด ใช่ประโยคคำถามเสียที่ไหนกัน “กวนนักนะ”
ปากหยักคลี่ยิ้มบาง จับจ้องเธอด้วยดวงตาสีนิลเป็นประกาย ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเคลื่อนเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น
“คุณหมอได้ยินเสียงฟ้าร้องข้างนอกไหม มันจะทำให้คุณหมอหลับพร้อมกับฝันร้ายอีกหรือเปล่า”
หัวใจของเธอเต้นแรง เปล่งคำพูดเสียงแผ่วเบา “ฉันได้ยินเสียงฟ้าร้อง... แต่”
ดวงตาคมสีนิลจับจ้องรอคำตอบ หัวใจของเธอก็สั่นเมื่อความรู้สึกในตอนนั้นกำลังสั่งให้เธอบอก “ฉันไม่อยากนอนพร้อมกับฝันร้าย...ไม่อยากอีกแล้ว”
“คุณหมอ...” เขาเรียกเธอคล้ายรำพึง มองเธอสายตาแสนหวานหยดงดงามประหลาดล้ำ ก่อนวาดวงแขนล้อมรอบร่างบาง เอ่ยคำหยอกเย้าแหย่หัวใจที่กำลังเต้นไปเป็นส่ำของคุณหมอสาว
“คืนนี้ทั้งคืน ผมก็คงไม่ได้นอน”
สองลำแขนโอบรัดกดแผ่นหลังของเธอให้โน้มตัวแนบกับอกกว้าง ไหมแก้วทั้งสัมผัสทั้งได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะภายใน เป็นเสียงทุ้มฟังไพเราะและบ่งบอกถึงความมีชีวิตที่เปี่ยมพลัง หรืออาจเป็นเพลงกล่อมให้เธอผ่อนคลายคล้ายเด็กน้อยในครรภ์มารดา ไหมแก้วจึงค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงด้วยมั่นใจว่า เขาจะกอดเธอไว้ให้หายจากฝันร้ายทั้งคืน
“ไหมแก้ว! ”
“เอก” เสียงเรียกนั้นทำให้ไหมแก้วลืมตาหันไปมองทันที แล้วแขกที่มาอย่างไม่คาดคิดก็พุ่งทะยานเข้ามาฉุดแขนเธอขึ้น ก่อนส่งหมัดอัดใบหน้าของนายสถาปนิกหนุ่มเต็มแรง
“แกทำอะไรไหมแก้ว! ”
ก้องปฐพีแลบลิ้นเลียเลือดจากรอยแตกที่ริมฝีปากแล้วตอบไปว่า “กอด”
“ไอ้เปรต! ” เอกรัตน์โกรธจนคลุ้มคลั่ง หมายก้าวเข้าไปซัดหมัดอีกครั้งให้สาแก่ใจ
“หยุดนะเอก! ”
เสียงห้ามของเธอหยุดหมัดที่ง้างสูงเตรียมพุ่งใส่หน้าของคนที่ยังนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน “ถ้าเอกจะลดอารมณ์แล้วฟังไหม เอกจะยังคุยกับไหมได้ต่อ แต่ถ้าใช้ความรุนแรงเหมือนกับพ่อของเอกละก็ เราสองคนจะเป็นอะไรกันไม่ได้แม้กระทั่งเพื่อน! ”
เอกรัตน์ขบกรามจนเส้นเลือดโป่งนูน หายใจหอบสะท้านหลานาทีจนกำปั้นในอากาศลดความสูงลงที่ข้างตัว
“คุณกลับไปก่อน” แล้วคุณหมอสาวก็ออกคำสั่ง แต่คนเป้าหมายยังนั่งนิ่งเฉย จึงต้องจำใจหันหน้าไปมอง “คุณก้อง คุณกลับไปเถอะค่ะ เอกรัตน์อยู่กับฉันแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
ร่างสูงลุกขึ้น แล้วเดินผ่านเธอออกไปโดยไร้คำพูดไม่มีการตอบโต้ แต่แปลกในความรู้สึกของคุณหมอสาวที่เธอคาดหวังเขาแสดงอาการกวนอย่างที่เคยมากกว่ามองเธอด้วยดวงตาว่างเปล่า
เสียงโต้เถียงด้านในบ้านพักแพทย์หลังนี้ดังตลอดเวลา และแม้เขาจะยอมเดินออกมา แต่ก็ยังไม่อาจตัดใจกลับอย่างที่คุณหมอสาวต้องการ จึงยืนรอใต้ชายคาเฝ้ามองท้องฟ้าสีแดงก่ำเพื่อรอว่าเธอไม่เป็นไรจนเสียงโต้เถียงด้านเงียบลง และดวงไฟในบ้านก็ดับลงแล้วเช่นกัน แต่ชายผู้ที่ส่งหมัดกระแทกปากจนแตกเป็นแผลเจ็บแสบคนนั้นกลับไม่ออกมา
ก้องปฐพีกำมือทั้งสองแน่น หลับตาผ่อนลมหายใจก่อนแหงนมองท้องฟ้าสีแดงก่ำที่ยังมีสายฝนโปรย แต่ฉับพลันในตอนนั้น มีเสียงผิดแปลกดังจากพุ่มไม้ทางเข้าบ้านพักเรียกชายหนุ่มออกจากภวังค์ความรู้สึก แม้จะมีสายลมพักโบกแต่ก็เป็นกำลังลมระดับทำให้ยอดไม้ไหว ไม่อาจขยับเขยื้อนกิ่งไม้แข็งได้
ลางบอกเหตุชายหนุ่มจึงทำงานทันที ก้องปฐพีเอี้ยวหน้าหันไปทางเรือนพักแสนเงียบสนิท ก่อนพาตัวเองไปจากตรงนี้ก่อนเกิดเหตุอะไรไปรบกวนความปลอดภัยของคุณหมอสาว
ร่างสูงจึงก้าวขาเดิน แต่แทนที่จะใช้ทางด้านหน้า เขาขอใช้ทางด้านหลังที่อับแสงไฟ อาศัยเงาไม้หลบลี้หนีจากใครก็ตามที่คิดตามล่าทำร้าย พอย่างกรายเข้าสู่เรือนถัดไป ชายหนุ่มฉวยได้เครื่องแบบแพทย์ที่ตากหลบฝนใต้ชายคามาผลัดเปลี่ยน แล้วซุกกางเกงของตนไว้ใต้พุ่มไม้
จากนั้นเดินวกกลับไปเส้นทางด้านหน้า กวาดสายตาเห็นรถกระบะคันที่เคยไล่ยิงซ่อนตัวเนียนใต้โรงจอดรถกู้ภัยคันเก่าซ่อมซ่อ แต่มองไม่เห็นตัวคน จึงตัดสินใจเดินลึกเข้าไปเขตบ้านพักแพทย์ดีกว่าเดินย้อนไปโรงพยาบาล
กริ๊ง ๆ
เสียงกระดิ่งจักรยานดังจากด้านหลัง แต่ชายหนุ่มผู้กำลังปลอมแปลงเป็นหมอไม่หันกลับไปมอง จนเสียงล้อจักรยานเข้ามาใกล้
“เพิ่งได้กลับหรือ ให้ผมไปส่งคุณไหม” คำเสนอมาพร้อมกับรอยยิ้มเปี่ยมความกรุณาจากคุณหมออาวุโสท่านนั้นที่ชะลอความเร็วจักรยาน
แต่เมื่อเขาหันหน้าไปหา ดวงตาการุณของคุณหมอท่านนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย “คุณมาประจำที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ก้องปฐพีไม่ตอบคำถามอะไร เพราะเห็นใครผู้หนึ่งเดินดุ่ม ๆ ตรงมาที่ปลายสายตา จึงรีบขึ้นคร่อมซ้อนท้าย “เพิ่งมาวันนี้แหละครับ ผมมีเรื่องจะถามเกี่ยวกับที่นี่เยอะเลย พาผมไปคุยที่บ้านคุณหมอก่อนได้ไหมครับ”
เขารวบหัวรวบหางโดยไม่ได้ถามสะดวกใจ แต่คุณหมอท่านนี้ก็สนองกลับด้วยเสียงหัวเราะ “ได้สิ แต่พอถึงบ้าน ผมต้องเป็นฝ่ายถามก่อนนะ”
จากนั้นก็ถีบจักรยานพาเขาตรงลึกเข้าสู่เขตบ้านพักที่ยังมีไฟสว่างตามบ้านแต่ละหลัง ผิดกับส่วนหน้าที่ไร้คนพักอาศัย ซึ่งบ้านพักของแพทย์อาวุโสหลังที่เขามาขอรบกวนก็สว่างไสวด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลห้อยระย้าจากชายคาเรือน และที่ซุ้มทางเข้าตัวบ้านมีไม้เลื้อยขึ้นเกี่ยวพันไปตามโครงเหล็กดัดโค้ง ส่งกลิ่นหอมจรุงแทรกตัวในความชื้นของอากาศหลังฝนตก
“ต้นมะลิวัลย์น่ะ ภรรยาของผมชอบมาก เธอรักของเธอฟูมฟักมาตั้งแต่มันสูงไม่ถึงเข่าผม” หมออาวุโสกล่าวพลางเดินนำเขาขึ้นบันไดเพียงสามสี่ขั้นเพื่อขึ้นตัวเรือนที่ยกสูงจากพื้น แล้วหันมาโยนคำถามแรกให้เขา “หวังว่าความหอมหวานของมันจะไม่ทำลายประสาทรับกลิ่นของคุณนะ”
“ไม่ครับ... คุณแม่ของผมก็ชอบต้นมะลิ ได้กลิ่นหอมของมันตั้งแต่ผมยังตัวสูงไม่ถึงเข่าคุณหมอ”
คุณหมอหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ แล้วเรียกหาภรรยาของตนบอกให้รู้ว่าคืนนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยียน โดยชายหนุ่มถูกต้อนรับราวกับเป็นแขกพิเศษด้วยโซฟาตัวสบายกับชาสมุนไพรกลิ่นละมุน
“คราวนี้บอกผมได้หรือยังว่าคุณเป็นใคร แล้วทำไมถึงไปเอาชุดของนายแพทย์คนนี้มาใส่ได้”
นี่คงเป็นคำถามที่สองของคุณหมอท่านนี้ ก้องปฐพีจิบชาอุ่นให้ร่างกายผ่อนคลายแล้ววางแก้วลงเพื่อเริ่มต้นเล่า “ผมชื่อก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา มาจากบริษัทชลธารคอนสตรักชั่น”
“อ้อ บริษัทที่จะมาฟื้นฟูหมู่บ้านช้าง”
“ใช่ครับ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อเย็นวาน ผมกับคุณหมอไหมแก้วไปเที่ยวน้ำตก แล้วเธอถูกงูกัด ผมเลยพามาโรงพยาบาล จริง ๆ แพทย์ผู้ตรวจบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ผมไม่วางใจอยากให้เธออยู่ใกล้หมอ เอ่อ... ถึงเธอจะเป็นหมอก็เถอะ คุณหมอไหมแก้วไม่อยากรบกวนห้องพักที่มีน้อยอยู่แล้ว เธอเลยให้ผม...”
“พาเธอไปพักที่บ้านพักแพทย์” คุณหมอตอบแทนทันที แล้วเป็นฝ่ายอธิบายบ้าง “ผมก็รู้ข่าวจากแพทย์คนนั้น แล้วก็เลยโทรบอกเอกรัตน์ให้ไปช่วยดูแล เพราะบ้านพักแถบนั้นไม่มีใครอาศัย น้องไหมอยู่ตัวคนเดียวจะอันตรายเกินไป”
ก้องปฐพีมาถึงบางอ้อแล้วว่า ต้นเหตุของคนที่ส่งเจ้าของหมัดกระแทกปากเขาเป็นใคร แต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะลุกขึ้นโวยวาย บางทีนายแว่นหน้าจืดนั่นอาจปกป้องเธอได้ดีกว่าเขาที่กำลังถูกหมายหัว
“ตอนที่ผมออกจากบ้านพักของเธอ ผมรู้สึกว่ามีคนตามทำร้ายผม ก็เลยหลบเลี่ยงหาที่ซ่อนจนไปเจอเสื้อแพทย์ที่แขวนตากไว้ เลยหยิบมาใช้ปลอมตัว” แล้วเล่าต่อถึงที่มาที่ไปของเสื้อคลุมสีขาวกับกางเกงสีเดียวกัน
คุณหมอเจ้าบ้านส่งเสียงหัวเราะจนตาหยี ริ้วรอยการวัยลึกขึ้นชัดจน แต่ผิวหน้ายังเปล่งปลั่งมีราศีอย่างผู้อาวุโสที่มีแต่คนนับถือ
“แล้วดันไปเจอชุดแพทย์ของหมอที่รักษาไหมแก้วนี่สิ ขาเขาไม่ยาวเท่าคุณหรอก มันก็เลยสั้นเต่อเสียขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ผมจะเก็บเป็นความลับให้ ไม่บอกเขาก็แล้วกัน แต่คุณต้องบอกผมว่าคนที่คิดทำร้ายคุณเป็นใคร เพราะถึงขนาดตามเข้ามาในเขตพักอาศัยของแพทย์แบบนี้ ก็ดูจะเหิมเกริมเกินไปมาก”
ก้องปฐพีลังเลใจที่จะพูด แต่สายตามากประสบการณ์ที่มองมาก็คาดคั้นเอาคำตอบ “เด็กวัยรุ่นที่ชื่อทวีรัตน์”
รอยยิ้มของคุณหมอแคบลงเล็กน้อย “ทวีรัตน์แค่ตัวลูก แต่ผมว่าที่คุณเผชิญอยู่น่ะเป็นตัวพ่อ”
ก้องปฐพีเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนถอนหายใจเสียงยาว คิดแล้วว่าถ้าอยู่ที่หมู่บ้านช้างนานเท่าไหร่ ก็อาจสร้างความเดือดร้อนให้คุณหมอไหมแก้วให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ความคิดถึงเธอยังไม่ทันหายกรุ่นดี คุณหมออาวุโสก็ชวนสนทนาต่อ
“แล้วคุณได้ทันเจอเอกรัตน์หรือเปล่า”
ก้องปฐพีคลี่ยิ้ม ยังรู้สึกเจ็บแสบที่แผลแตกบนริมฝีปากไม่หาย “เจอเต็ม ๆ เลยครับ”
“เจอกันแล้วหรือ” ดวงตาของคุณหมอฉายแววความกังวล แล้วเอ่ยประโยคต่อมาที่ทำให้คิ้วเข้มของสถาปนิกหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากัน
“เอกรัตน์... เขาเป็นลูกชายคนโตของนายทรงชัย”