เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ
แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย
แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน
กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ
และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น
ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา
*** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๙ ศพที่สาม
“เอื้อยไปเยี่ยมพ่อของเธอที่เรือนจำ คิดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากที่แกไปบอกเขาเรื่องรอยนิ้วมือบนกระดาษห่อหมากฝรั่งนั่น”
ถึงคำพูดจะฟังเรียบเฉย แต่ดวงตาของสารวัตรที่ทองมานั้นกำลังคาดโทษเขาอยู่เต็ม ๆ “แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายอำพันถึงตาย”
สารวัตรใหญ่จึงเล่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “จากที่สอบปากคำของพยานที่เป็นนักโทษในแดนเดียวกัน พวกเขาทุกคนให้การตรงกันว่า นายอำพันคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเอง เริ่มจากโขกหัวกับกำแพงจนหัวแตกยับ แล้วก็ใช้มีดปาดคอทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะอย่างคนบ้าไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจนตาย”
“อะไรนะฮะ” ถึงจะได้ยินเต็มสองหู แต่ระพีพัฒน์ก็แทบไม่อยากเชื่อ
สีหน้าของอัชวินขรึมขึ้นกว่าปกติ “ผลการชันสูตรศพนายอำพันพบว่ามีทั้งสารกระตุ้นและกดประสาทในปริมาณมาก แต่ข้าไม่คิดว่าการตายของนายอำพันมันซับซ้อนกว่านั้น”
แล้วแววตาของสารวัตรใหญ่ส่งความกดดันมาที่เขา “เราต้องคืบให้ได้มากกว่านี้แล้ว ข้าอยากจับไอ้คนที่บงการอยู่เบื้องหลังยัดใส่ตะรางใจจะขาดก่อนที่คนที่เหลือจะถูกเช็คบิลจนเรียบ”
แต่ถึงจะยังไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นใคร ระพีพัฒน์ก็อยากรู้เหลือเกินว่าในมีแรงจูงใจอะไรถึงฆ่าคนสองคน และถ้าไม่ได้เป็นการฆ่าปิดปากเพื่อปกป้องเครือข่ายยาเสพติด ทำไมเพลงพิณถึงติดร่างแหไปด้วย
“ซึ่งก่อนอื่น เราต้องจับเจ้าคนที่ทำให้เอ็งเย็บเสียหลายเข็มให้ได้ก่อน” อัชวินบอกเสียงเข้ม ยืนยันความตั้งใจ
แต่ชายหนุ่มไม่ได้เคียดแค้นอะไรมากนัก เพราะเขารู้ว่าตัวการที่แท้จริงยังเร้นกายอยู่เงียบ ๆ ในเงามืดที่ไหนสักแห่ง และถ้าหากจะให้ชนะเกมกล หนทางที่จะพลิกกระดานนี้ให้เป็นของเขาก็คือการหาทางล่อให้ฝ่ายตรงข้ามเดินหมากมาหาเขาเอง
“ผมว่าแทนที่เราจะเล่นเกมโปลิศจับขโมย... ผมว่าเราน่าจะเปลี่ยนไปเล่นเกมซ่อนหา” จึงเสนอความคิดที่แล่นผ่านเข้ามาในหัว
“แกหมายความว่า...”
“ในทีแรก ผมจะไปทองผาภูมิกับเพลงพิณ แต่เห็นทีถ้าเราเสียเพลงพิณไป คดีนี้ก็คงจะยิ่งดำมืดมากขึ้นไปอีก ผมเลยเปลี่ยนความคิดใหม่ เราต้องเปลี่ยนไปเป็นซ่อนตัวเหยื่อไม่ให้คนร้ายหาเจอ”
ข้อเสนอของระพีพัฒน์ได้รับการสนองจากสารวัตรใหญ่ทันที ทว่าเกมนี้จะแพ้หรือชนะนั้น มีผู้เล่นหลายคนที่เขาต้องขอร้องให้ยอมร่วมเล่นเกม และหนึ่งในผู้เล่นตัวสำคัญก็มีแม่โคโยตี้สาวสุดยั่วยวนคนนั้นด้วย
ระพีพัฒน์จึงต้องขอคำตอบจากเธอให้ได้ในคืนนี้ ชายหนุ่มขับรถมุ่งไปสู่ถนนสายรวมสถานบันเทิง แต่แทนที่จะเข้าทางหน้าผับ เขาเลือกจอดรถในถนนเล็กที่มีเชื่อมต่อกับผับใหญ่ทางด้านหลังด้วยตรอกแคบแล้วลงเดิน
แต่เมื่อใกล้ปากตรอก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคน จึงรีบหลบเข้าในตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้ตัว แล้วลอบมองร่างของคนสองคนที่ก้าวออกจากตรอก หนึ่งคือชายตัวสูงใหญ่ผมยามประบ่าดำสนิทนามสำริด และอีกหนึ่งคือหญิงสาวผู้มีโฉมงามสะกดสายตา
“นั่นน่ะหรือ คุณนายดารา” ปากหยักเปรยพลางมองตามสาวงามเยื้องย่างขึ้นรถเก๋งคันหรูสีดำที่จอดอยู่โดยมีนายสำริดทำหน้าที่เป็นพลขับ
จนรถคันนั้นออกตัวไปไกล จึงก้าวขาออกจากตู้โทรศัพท์ แล้วเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู่เขตด้านหลังผับ ลัดเลาะไปตามซอกแคบของสิ่งปลูกสร้างร้างที่ขนาบข้างกับกำแพงลูกกรงเหล็ก แล้วหลบเข้าหลังภูเขาลังเบียร์เก่า จากนั้นเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของเหล่าพนักงานผับทั้งชายหญิงที่เดินเข้าเดินออกสลับกันราวกับตุ๊กตาของนาฬิกาไขลาน
เมื่อเห็นหญิงสาวปรากฏตัวออกมาหลังบานประตูหนา ก็หันมองรอบกายจนได้จังหวะลับสายตาคนก็รีบเข้าไปรวบตัวพร้อมกับการใช้มือปิดปากกันเสียงร้อง แล้วพาเธอเข้าไปหลบหลังลังเบียร์กองสูง
“ฉันมาเอาคำตอบ”
เอ่ยบอกเสียงเบาแต่แสนหนักแน่นแล้วคลายมือที่ปิดเรียวปากอิ่มออก แต่พอไร้การปกปิด ก็ได้เห็นรอยช้ำจ้ำใหญ่ตรงข้ามแก้มของเธอขนาดเครื่องสำอางยังไม่อาจกลบเกลื่อนชัดเต็มตา
“ฝีมือเสี่ย? ” น้ำเสียงที่ใช้ถามขุ่นมัว จับจ้องแต่ตรงรอยช้ำสีม่วงคล้ำ
เอื้อยรีบผินสายตาหลบดวงตากร้าวที่จ้องมองลึกราวกับต้องการสแกนทุกอย่างบนใบหน้าของเธอ เอ่ยเสียงสั่นกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตาบวมช้ำ
“ปล่อยฉันเถอะ เวลาพักของฉันมีไม่มากนัก”
“เราทุกคนต่างก็มีเวลาไม่มากเช่นกัน” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงกดต่ำ “เอื้อย อย่ารอให้ใครเป็นอะไรไปมากกว่านี้อีกเลย ขอให้พ่อของเธอเป็นคนสุดท้ายเถอะ”
“ฉันกลัว” เสียงของเธอช่างแสนเบา
ร่องรอยความบอบช้ำระบายเต็มหน่วยตาคู่นั้นมากแค่ไหน ในใจของระพีพัฒน์รู้สึกช้ำเสียยิ่งกว่า แค่ชั่ววูบของหยาดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มสาว ก็สั่นสะเทือนจิตใจของเขารุนแรง
“เอื้อย” เอ่ยเรียกหญิงสาว สบตาเธอนิ่งพร้อมกับจับต้นแขนบางทั้งสอง “เธอยอมให้ป๋องกับพ่อของเธอตายโดยไม่ทวงถามความยุติธรรมจากฆาตรกรเลยอย่างนั้นหรือ”
รู้ดีว่าคำพูดที่เปล่งออกไปอาจทำร้ายจิตใจหญิงสาว แต่แรงเชือดเฉือนหัวใจให้เกิดแผลแห่งความอาฆาตเท่านั้นที่เป็นเส้นทางนำไปสู่การแก้ไขคดี แม้จะนำคนรักทั้งสองของเธอกลับมาไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้สูญเสียใครไปมากกว่านี้ และหนึ่งในนั้นต้องมีเธอ
“สัญญากับฉันได้ไหม” เอื้อยเปล่งเสียงสั่นเครือ
“สัญญา?”
“สัญญากับฉันว่าจะจับฆาตกรให้ได้” หากแต่ดวงตามีประกายไฟลุกโชน
ระพีพัฒน์รู้ว่าตัวไม่มีสิทธิ์รับปากแทนเจ้าหน้าที่ เพราะเขาเป็นเพียงแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในการสืบคดี แต่ถ้าจะทำให้กลไกลไขปริศนาขยับเคลื่อนที่ ก็ไม่มีตัวเลือกไปมากกว่านี้แล้ว
“ตกลง”
“ฉันจะติดต่อคุณอีกครั้งผ่านสารวัตร” พูดแล้วเจ้าของดวงตาโศกก็หมุนตัวก้าวขาเดินกลับเข้าสู่อาคารสถานนามมูนไลท์ชาโดว์
ระพีพัฒน์ทอดถอนลมหายใจถ่ายความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ภายในทิ้งไว้ที่ตรงนั้น แล้วเคลื่อนขยับเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป คือการชักพาตฤณ ทายาทเจ้าพ่อกาสิโนคนที่เขาต้องการให้เข้ามาเอี่ยวกับเกมซ่อนหาด้วยเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อต่อสายเพื่อขอเจรจา กลับถูกตัดเข้าระบบฝากข้อความ ผิดวิสัยเพื่อนสนิทผู้แสนรู้ใจ หากทว่าย้อนคิดให้ดี ในช่วงหลังมานี้ เขาและตฤณไม่ได้เสวนากันเลยแม้กระทั่งเวลาเข้าเลคเชอร์วิชาเดียวกัน ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจจากขอความช่วยเหลือทางโทรศัพท์ไปเป็นมุ่งไปหาทายาทเจ้าพ่อเพื่อขอเจรจากันซึ่งหน้า
ซึ่งสถานที่จะได้พบเจ้าหนุ่มเชื้อสายนักพนันตัวยงไม่ใช่คฤหาสน์หลังใหญ่ แต่เป็นกาสิโนใต้ดินที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนใจกลางกรุงที่มีระบบรักษาความปลอดภัยจากผู้รักษากฎหมายแน่นหนา แต่สำหรับคนที่ใช้หน้าเป็นใบผ่านทางอย่างเพื่อนสนิทของลูกชายเจ้าพ่อแล้ว เขาสามารถผ่านทุกด่านมาจนถึงด่านสุดท้ายอันเป็นประตูเข้าห้องทำงานสุดเอกซ์คลูสีฟของกาสิโนใต้ดิน
เมื่อแขกหนุ่มผลักประตูเข้าไปอย่างที่เคยทำ แล้วพบว่าภายในนั้นมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนกำลังนั่งประชุมกันคล้ายกับอัศวินโต๊ะกลมในภาพยตน์โดยมีเตชิน เจ้าพ่อสายเลือดมังกรนั่งเป็นประธาน ส่วนลูกมังกรนั้นหรือ ปลีกวิเวกอยู่บนโซฟาตัวนิ่มหน้าจอโทรทัศน์ขนาดมหึมาที่กำลังฉายภาพเกมการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญช่วงยิงลูกโทษเพื่อตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะ กับนางกระต่ายสาวสวยขาวอวบคอยป้อนน้ำป้อนขนให้ไม่ขาดเคียงข้าง
“ตฤณ กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
แต่ไร้เสียงขับขานจากเพื่อนสนิท แม้จะหันหน้ามามองก็ไม่ทำ เหมือนไม่รับรู้ว่าเขายืนหัวโด่อยู่ด้านหลัง
“ถ้ามึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่ ก็หันหน้ามามองกูหน่อย ไอ้มาเฟียอ่อนหัด”
นางกระต่ายหยุดป้อนขนมรสอร่อย เสียงพูดคุยของเหล่าอัศวินโต๊ะกลมด้านหลังเงียบสนิท แล้วเพียงแค่ชั่วอึดลมหายใจ คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นไอ้มาเฟียอ่อนหัดก็พรวดลุกขึ้นแล้วกระโจนเข้าใส่ผู้กล่าวหาจนหงายล้มลงไปนอนกับพื้น ก่อนกระชากคอเสื้อขึ้นแล้วยกหมัดขวาเตรียมกระแทกใส่หน้า
“แล้วมึงล่ะ ไอ้ลูกหมารับใช้สารวัตร ถ้ามึงยังเห็นกูเป็นเพื่อน มึงก็ต้องจำได้ว่าวันนี้มีนัดดูบอลกับกูที่นี่ ไหนมึงบอกให้กูได้ยินเต็มสองหูทีว่าไอ้คนที่กูเห็นมันเป็นเพื่อนลืมนัดกู! ”
“กูลืม”
ทายาทมาเฟียจึงประทานหมัดให้อย่างเต็มเหนี่ยวทันที
“มึงลืมนัดดูบอลกับกู กูอาจยกโทษให้ได้ แต่ที่มึงไม่ยืนข้างกูในวันที่กูได้แชมป์แข่งมอเตอร์ครอสวันนั้น มึงรู้มั้ยว่ากูเสียความรู้สึกแค่ไหน คนอย่างมึงไม่มีค่าพอจะให้กูเห็นเป็นเพื่อน! ”
ระพีพัฒน์เลียเลือดที่ริมฝีปาก ช่างเจ็บแสบสมกับความโกรธเกรี้ยวของตฤณที่ระบายออกมา แค่คำขอโทษคงไม่อาจลบล้างความผิดที่ทำไว้ และยอมรับว่าในใจตอนนี้มุ่งแต่อยากลบความผิดทางคดีอาญาที่ตัวเองก่อ แม้จะเป็นผิดที่สารวัตรอนุโลมว่าทำไปโดยไม่ได้เจตนา แต่หากไม่ล้างประวัติตนให้ใสสะอาดแล้ว อนาคตของเขาก็มีมลทินตลอดไป
“กูขอโทษก็แล้วกัน” บอกแค่นั้นแล้วลุกขึ้น จ้องมองดวงตาเดือดดาลของอีกฝ่าย ไม่มีคำพูดอะไรให้อีกแล้วจึงหมุนตัวเพื่อออกจากตรงนั้น ไม่หวังความช่วยเหลือ
“ไอ้มาเฟียอ่อนหัด! ”
นั่นไม่ใช่เสียงเขา ระพีพัฒน์หยุดขาแล้วหันกลับไปมอง เห็นเตชิน บิดาของตฤณผู้เป็นหัวหน้าองค์กรใต้ดินยืนส่งสายตาตำหนิก่อนเอ่ยคำพูดเข้มงวด
“เอ็งมันอ่อนหัดจริงอย่างที่ไอ้กลางมันว่า! ”
“ผมอ่อนหัดตรงไหน ตอนที่พ่อบินไปดูพื้นที่สร้างกาสิโนกับพี่ปราณ ผมก็เป็นคนดูแลเป็นคนคุมที่นี่! ” ตฤณเถียงกลับด้วยเสียงดังปานกัน
เจ้าพ่อกาสิโนแสยะยิ้ม ยกสองแขนกางขึ้นแล้วหมุนไปรอบ “เอ็งดูสิว่าพ่ออยู่ท่ามกลางอะไร แล้วเอ็งน่ะ อยู่ท่ามกลางอะไร”
ตฤณไม่เข้าใจความหมายนัก กระทั่งผู้เป็นพ่อให้ความกระจ่างแก่ใจ “พ่ออยู่ท่ามกลางเพื่อน ท่ามกลางพี่น้องเหล่านี้ แล้วเราไม่ได้อยู่ข้างกันแค่ยามสุข แต่อยู่เคียงบ่าเคียงไหลกันแม้ในทุกข์! ”
ตฤณปลายดวงตาเรียวไปทางระพีพัฒน์ แล้วยกมุมปากขึ้น ส่ายหน้านึกอยากด่าตัวเอง เพราะไม่สามารถหาคำพูดใดมาตอบกลับบิดาได้
ฝ่ายพ่อนั้นแวดล้อมไปด้วยพรรคพวกผู้ภักดี ส่วนเขาตอนนี้หรือ แม้แต่นางกระต่ายที่ป้อนขนมเอาใจก็หนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ คำพูดของบิดาจึงคล้ายเป็นการคาดทัณฑ์ไว้รอคำตัดสินว่า เขาคงไม่สามารถก้าวไปสู่ผู้นำของทุกคนได้ถ้าไม่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมทั้งทุกข์และสุขกับเพื่อน
“ปกติกูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ เลยไม่ค่อยสันทัดอะไรที่มันทุกข์ใจเท่าไหร่...” ทายาทกาสิโนเปรยวาจา ซึ่งตฤณรู้ว่าระพีพัฒน์ฟังอยู่ “แต่กูจะยอมถ้ามันทำให้มึงกลับมายืนแท่นบัลลังก์ที่สองเพื่อดูกูครองถ้วยแชมป์”
ระพีพัฒน์คลี่ยิ้มกว้าง ก่อนหันไปขอบคุณเตชินทางสายตา แต่มาฟียใหญ่กลับชี้นิ้วมาทางเขาแล้วสั่งเสียงเข้มใส่ว่า
“แต่ถ้าความทุกข์ของพวกเอ็งลากเจ้าสารวัตรอัชวินมาสร้างทุกข์ให้กาสิโนของข้า งานนี้ล่ะเอ็งทุกข์ไปตลอดกาลแน่ไอ้หมารับใช้สารวัตร”
ยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ มีแรงสั่นสะเทือนของเครื่องรับโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ระพีพัฒน์จึงหยิบขึ้นมาดูชื่อปลายสาย แล้วก็เบ้ปากที่ยังเจ็บแสบจากถูกต่อยเมื่อชื่อของสารวัตรอัชวินปรากฎชัดเต็มหน้าจอ จึงต้องออกจากกาสิโนในทันทีก่อนที่จะสารวัตรจะใช้ระบบติดตาม
พอเดินห่างจากดินแดนแห่งความใต้ดินมาไกลพอ เขาจึงติดต่อกลับ ในใจก็คิดไว้ว่าจะบอกข่าวดีเรื่องเอื้อยอาจให้ความร่วมมือให
“สารวัตรครับ ผมมีข่าวดีจะบอก” ชายหนุ่มชิงพูดทันทีเมื่อปลายทางรับสาย
“แต่ข้ามีข่าวร้ายจะบอก” ทว่าปลายทางสวนกลับมาด้วยความรู้สึกตรงกันข้าม “เจ้าวายร้ายที่จะยิงเพลงพิณบนรถเมล์มัน... ตายแล้ว! ”
ก้องปฐพีไม่หลับเลย เขาอดทนนอนฟังเสียงฝนและเสียงฟ้าที่ดังครืนครางตลอดคืนจนถึงรุ่งสาง ฝนหยาดสุดท้ายอำลาไปเมื่อแสงแรกแห่งอรุณทอตรงขอบฟ้า แต่พระพิรุณยังคงฝากความชุ่มฉ่ำไว้บนยอดหญ้าและผืนแผ่นดิน ทุกอย่างบนปฐพีนี้คงได้รับความสดชื่นกันถ้วนหน้า แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกแห้งเหี่ยวหัวใจนัก
เมื่อข่มตาหลับไม่ลง จึงลุกขึ้นเดินสำรวจรอบก้องรับแขกของคุณหมอใหญ่ เห็นชั้นหนังสือวางเรียงรายตามกำแพง ซึ่งแต่ละเล่มล้วนเป็นเนื้อหาด้านการแพทย์ ร่างสูงจึงเดินเข้าไปเลือกหยิบอ่าน คงมีสักเล่มที่ฆ่าเวลาระหว่างรอเจ้าบ้านตื่นได้บ้าง
สายตาพลันเห็นสันปกแฟ้มพลาสติกเล่มหนาวางสอดอยู่ระหว่างหนังสือการรักษาโรคมะเร็งทางเลือกจึงหยิบอ่านด้วยความสนใจ เพราะการจากไปตลอดกาลของมารดาก็เป็นเพราะโรคร้ายนี้เช่นกัน แล้วผู้ทำงานวิจัยเรื่องนี้ก็คือคุณหมอผู้อารี
ก้องปฐพีค่อย ๆ เปิดอ่านทีละหน้าตามสารบัญด้วยความสนใจ จากบทแรกจบไปต่อด้วยบทที่สองและบทต่อไป กระทั่งดำเนินมาถึงกลางเล่ม แล้วเขาก็บทต่อมานั้นมีหลายหน้าที่ถูกฉีกหายไปทำให้การอ่านขาดตอน
“ตื่นนานแล้วหรือคุณก้อง”
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหมอใหญ่” ก้องปฐพีรีบหันไปกล่าวคำทักทาย
“ภรรยาผมคงกำลังจะเตรียมอาหารเช้า คุณอยู่ทานด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปสิ”
“ผมไม่รบกวนดีกว่า แค่คุณหมอกับภรรยาให้ผมหลบซ่อนตัวที่นี่ก็เป็นการรบกวนมากพอแล้วครับ”
“ไม่รบกวนหรอก ภรรยาผมท่าจะชอบคุณมาก ชมคุณไม่ขาดปาก” คุณหมอใหญ่ยิ้มกว้าง แล้วพุ่งสายตามาที่แฟ้มในมือสถาปนิกหนุ่ม
“อ้าว นั่นแฟ้มวิจัยที่ผมกำลังหาให้เอกรัตน์ยืมนี่ มันอยู่ตรงนี้เองหรือ”
ชายหนุ่มจะถามถึงหน้าที่ขาดไปตามสารบัญ แต่เสียงภรรยาของคุณหมอก็เรียกให้ไปร่วมโต๊ะอาหาร จึงส่งแฟ้มคืนให้กับเจ้าของ
หลังถูกเลี้ยงดูจนอิ่มหนำ สถาปนิกหนุ่มก็ได้ก้าวขาออกมาที่รชายบ้านพัก สูดกลิ่นไอดินแล้วร่ำลาคุณหมอใหญ่ที่เดินออกมาส่ง นอกจากใจดีให้เขาพักอาศัยที่บ้านทั้งคืนพร้อมอาหารเช้าแสนอร่อย ยังเด็ดช่อมะลิวัลย์ช่อใหญ่ให้เขาไปเป็นของที่ระลึก
หากแต่ก้องปฐพีนำช่อดอกไม้จิ๋วสีขาวมาวางไว้บนบนราวระเบียงชานบ้านพักของคุณหมอสาว จากนั้นเดินจากมาโดยรับรู้ว่าเจ้าของรถกระบะที่จอดทางเข้าบ้านพักคงยังอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเธอ ก็ขอแค่หวังให้เธอหลับสบายไม่ฝันร้ายก็พอ เขาพยายามบอกตัวเองแบบนั้น แต่ก็ห้ามความระบมในหัวใจไม่ได้ที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งคืนไม่ได้
ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามทางด้วยความระแวดระวัง แม้จะได้สวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มตัวใหญ่สุดที่คุณหมอมี ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตบตาคนที่จ้องปองร้ายได้ การพาตัวเองให้ถึงหมู่บ้านช้างแล้วหาวิธีเดินทางออกจากหมู่บ้านให้เร็วที่สุดจึงเป็นความคิดแรกเพื่อไม่ให้คุณหมอสาวและชาวบ้านเดือดร้อน
ซึ่งคนล่าสุดที่เขาติดต่อไปคือปราณนารายณ์ โดยบอกเหตุผลที่หายจากการติดต่อไปว่ารถเสียหลักล้มแล้วโทรศัพท์ถูกกระแทกจนใช้การไม่ได้ และฝากให้ดูแลน้องสาวบอกเธอว่าอย่างกังวล แล้วเขาจะติดต่อกลับไปพร้อมกับแบบแปลนใหม่ของเรือนที่จะฟื้นฟู
ฉะนั้น ถ้าโทรศัพท์ไปหาธิดาตอนนี้เพื่อออกรถมารับเพราะเจ้าแบล๊คแบร์พัง แม่น้องสาวคงตื่นตูมจนเหยียบคันเร่งเกินกฎหมายกำหนดมาหาเขาแน่นอน ทางเดียวที่คิดออกก็คือซ่อมเจ้าแบล๊คแบร์ให้กลับมาใช้งานได้ให้เร็วที่สุด
เมื่อร่างสูงเดินมาถึงบริเวณโรงพยาบาล เขาก็เป่าปากด้วยความโล่งใจว่าเจ้าแก่ยังอยู่ดีมีสุขในที่จอดรถตั้งแต่คืนวาน แต่ยังมีความโชคร้ายในความโชคดี นั่นก็คือก้องปฐพีลืมไปว่ากุญแจรถอยู่ในกางเกงยีนส์ตัวโปรดที่เขายอมตัดใจถอดทิ้งไปเมื่อคืน
แต่นั่นไม่ทำให้ชายหนุ่มหมดหวัง เขามองซ้ายมองขวาแล้วเดินตรงไปนั่งย่อเข่าที่รถเครื่องคันเก่า แล้วขุดความรู้ที่เรียนจากข้างสนามแข่งมาใช้จนสามารถสตาร์ทรถรุ่นเก่าได้โดยไม่ใช้กุญแจ จากนั้นก็บิดแฮนด์เร่งความเร็วออกจากโรงพยาบาลทันที
เขาขับขี่ไปตามถนนสายชนบทที่ขนาบข้างด้วยทุ่งหญ้าป่าโปร่งจนเข้าเขตป่าทึบ แต่ความงามของขุนเขาเขียวชอุ่มไม่อาจดึงความคิดของชายหนุ่มออกจากห้วงคำนึงถึงคุณหมอสาว กลิ่นหอมของเรือนผม ความนุ่มของผิวกาย แพขนตาหนาที่ล้อมกรอบดวงตาคมดุนั้นทำเอาเขาอยากฝ่าด่านกระสุนไปเตะเจ้าแว่นหน้าจืดออกแล้วพลีร่างเป็นหมอนข้างให้เธอกอดไล่ฝันร้าย
เปรี้ยง!
แต่เสียงปืนดังสนั่นทำลายความสงบของป่ากระตุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ เมื่อหันหลังไปยังทิศทางต้นกำเนิดเสียงปืนนั้น เขาก็สบถในใจแล้วรีบบิดเจ้าแก่เร่งความเร็วเต็มกำลังเท่าที่มันจะทำได้
เปรี้ยง!
เจ้าของปืนยังคงไล่ยิงเขาจากรถกระบะคันโตไม่ลดละ ต่อให้ไม่ให้เห็นหน้าค่าตา เขาก็มั่นใจว่าคือโจทก์เก่าที่ขนทั้งกำลังและอาวุธมาเพื่อชำระหนี้แค้น และสิ่งที่สถาปนิกหนุ่มทำได้ตอนนี้คือหนีให้รอด
เรื่องการแข่งความไวเขาไม่เป็นรองใครในสนาม แต่ถ้านอกสนามกับคู่แข่งที่มาพร้อมอาวุธครบมือแบบนี้เห็นทีจะรอดยาก จะให้หักเลี้ยวเข้าป่าก็ยังทำไม่ได้เพราะข้างหนึ่งเป็นผ่าและอีกข้างเป็นสันดินภูเขา ยิ่งทางลาดชันแบบนี้ จะซิ่งเจ้าสองล้อของคุณหมอสาวหนีตายอาจได้ตายก่อนเพราะกลิ้งตกเขา คิดไว้ในหัวว่าถ้ารอดจากความอาฆาตของอริในครั้งนี้ได้ เขาจะถอยรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้คุณหมอ
เปรี้ยง!
ยังไม่ทันได้คิดว่าจะเลือกรุ่นไหนให้เธอดี ก็มีอีกหนึ่งนัดตามมา ก้องปฐพีหมุนแฮนด์สุดแรง แต่ก็ไม่ได้เร็วไปกว่าเดิมเท่าไหร่ แถมเสียงเครื่องยนต์ก็ดังแปลก ๆ คล้ายคนใกล้ตาย
“เล่นกูแล้วไหมล่ะเจ้าแก่” ชายหนุ่มสบถ แต่ในตอนนั้นเองที่เร่งเครื่องเลยโค้งเขา มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งเอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงหน้า
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
พวกมันคงกะชำระหนี้ให้จบวันนี้ ถึงไม่รดราวาศอกกันบ้าง และแม้ดวงเขาคงยังไม่ถึงฆาตจึงรอดจากลูกตะกั่วสองนัดซ้อนมาได้ แต่นัดต่อไป เขาจะตายเป็นผีสางเฝ้าป่าหรือไม่คงต้องวัดใจกัน
เปรี้ยง!
เดชะบุญที่สร้างมายังถูกดึงมาใช้ เขารอดจากนัดสุดท้ายมาได้จากการขับขี่ฉวีดเฉวียนตามประสบการณ์ หากแต่พอวิ่งเลยโค้งมา ก็มีเด็กสาวผู้หนึ่งพุ่งมอเตอร์ไซค์พรวดออกมาจากข้างทาง จนเขาต้องเบรกตัวโก่ง
“ไอ้โจรขโมยมอเตอร์ไซค์! ” เด็กสาวชี้นิ้วว่ากล่าว มองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง “นายรู้ไหมว่ามอเตอร์ไซค์ที่ขโมยมาเป็นของใคร! ”
ก้องปฐพีหายใจเร็ว หันหน้ากลับไปมองเห็นว่าเจ้าโจทก์พวกนั้นยังไม่เลยโค้งมา จึงรีบตอบแล้วจะวิ่งต่อ “ของคุณหมอไหมแก้ว”
แต่คุณเธอยังไถรถมาขวาง “รู้แล้วยังจะขโมย! ”
“ฉันไม่ได้ขโมย! ”
“ไอ้โจรหน้าด้าน หน้าตาดีเสียเปล่า นี่ถ้าฉันไม่ไปโรงพยาบาลแล้วเห็นกับตา เจ้าแก่ของคุณหมอมีหวังโดยชำแหละชิ้นส่วนแน่! ”
เสียงเครื่องรถกระบะดังใกล้เข้ามาแล้ว ก้องปฐพีจึงต้องตัดสินใจสักอย่าง เขาจึงทิ้งเจ้าแก่ไว้ แล้ววาดขาขึ้นคร่อมนั่งซ้อนรถของเด็กสาวด้านหลัง จากนั้นเอื้อมสองแขนจับแฮนด์รถของเธอมั่น ส่วนเด็กสาวเจ้าของรถที่ถูกโอบล้อมก็กรีดร้องโวยวาย
“ไอ้บ้า ขโมยรถแล้วจะขโมยสวาทฉันด้วยหรือไง บอกไว้ก่อนนะว่าถึงนายจะหล่อ ฉันก็ไม่ยอมเสียพรหมจรรย์ให้โว้ย! ”
เปรี้ยง!
แล้วเสียงลั่นไกปืนก็หยุดเสียงกรีดร้องของเด็กสาวให้เงียบสนิท จนก้องปฐพีไม่แน่ใจว่าจะขอบคุณเจ้าของกระสุนนั่นดีหรือไม่
“ระหว่างเสียพรหมจรรย์กับเสียชีวิต เธอจะเลือกอะไร! ”
และไม่เวลาอธิบายอะไรอีก ก้องปฐพีบิดแฮนด์จนสุด ส่งผลให้รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วรอบสุด เสียงเครื่องยนต์แต่งแหลมเล็กดังสนั่นจนนกป่าแตกตื่นกระพือปีกบินฮือจากรัง ส่วนเสียงร้องปรอทแตกของเด็กสาวคนนี้ก็ดังลั่นไม่แพ้กัน
รถมอเตอร์ไซค์คันใหม่เครื่องยังดีเร่งความเร็วรอบได้อย่างใจก้องปฐพี เขาไม่แตะเบรกเลยแม้จะวิ่งลงเนินเขาที่เลี้ยวลดคนเคี้ยว และพอเข้าสู่ช่วงเนินที่ชันที่สุด เด็กสาวก็กรีดร้องราวกับเล่นเครื่องเล่นที่เสียวที่สุดในชีวิต
“คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วยยย! ”
“จะร้องอะไรนักหนา ฉันเอาอยู่! ” ไม่ได้อยากโอ้อวด แต่เรื่องความชำนาญในการขับขี่มีมากพอช่วยแม่ลูกช้างตัวนี้ได้แน่
“เอาไม่อยู่ เอาไม่อยู่! ” แต่เธอยังคงกรีดร้องน่ากลัวแล้วตะโกนประโยคต่อมาที่ทำให้ระดับความมั่นใจของชายหนุ่มแตะพื้นดิน
“ก็รถของฉันมันเบรกไม่ดี๊! ” ตะโกนบอกเสียงสูงแล้วจากนั้นก็หลับตาส่งเสียงโหยหวนปานขาดใจ
“แม่จ๋า รอรับวิญญาณอีตรีรัตน์ด้วยยย! ”