เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา *** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***

กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา - บทที่ 12 ผมโปรดทุกอย่างที่ใส่นม โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา *** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

ก้องปฐพีต้องไถ่โทษชดเชยให้ธิดาผู้เป็นน้องสาว(จากเรื่องลมห่วรัก)ที่เป็นสาเหตุให้หมู่บ้านช้างของหมอไหมแก้ววอดวาย แต่ที่หมู่บ้านนี้มีเงื่อนงำเหตุการตายของหญิงสาวคนหนึ่ง ความลับนั้นถูกไหมแก้วเก็บไว้ และไม่กล้าเปิดเผยเพราะถูกผู้มีอิทธพลบีบคั้น ก้องปฐพีจึงช่วยเหลือเธอค้นความจริงเพื่อปลดปล่อยไหมแก้วให้เป็นอิสระ

สารบัญ

กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 1 บทนำ,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 2 ศพที่ 1,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 3 การมาของเจ้าหนุ่มกระทิง,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 4 บทที่ 4 คุณหมอสาวปากร้ายกับนายสถาปนิกตีรวน,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 5 มูนไลท์ชาโดว์,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 6 อดีตบาป,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 7 ศพที่สอง,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 8 ฝันร้าย,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 9 ศพที่สาม,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 10 เริ่มเกม,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 11 ผมห่วง,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 12 ผมโปรดทุกอย่างที่ใส่นม,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 13 จบเกมซ่อนหากับจูบเสี่ยงตาย,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 14 อยากได้ลูกเสือ ต้องล่อพ่อเสือออกจากถ้ำ,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 15 จากดวงดาวถึงดวงจันทร์,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 16 ถ้าผมเป็นงู,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 17 นักฆ่าตามใบสั่ง,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 18 จุมพิตรสนม,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 19 เงื่อนงำที่หายไป 1 ,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 20 เงื่อนงำที่หายไป 2,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 21 ดวลหมัดมาเฟียอ่อนหัดกับลูกหมารับใช้สารวัตร,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 22 มุ่งหน้าไปหาความตาย,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 23 ตามเงาดวงดาว,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ 24 เข้าแผนรุก,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ ๒๕ แผนกระตุกความลับสับเปลี่ยนสาร,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ ๒๖ สู่มาตุภูมิ,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ ๒๗ ตัวซวย ตัวช่วย,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ ๒๘ วางแผนตาย,กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา-บทที่ ๒๙ ล้อมวงจับ

เนื้อหา

บทที่ 12 ผมโปรดทุกอย่างที่ใส่นม

บทที่ 12

ผมโปรดทุกอย่างที่ใส่นม



แสงไฟหลากสีและเสียงดนตรีจากเครื่องเสียงดังกระหึ่มภายในผับใหญ่ เป็นสัญญาณการเริ่มต้อนรับนักท่องราตรี โดยมีผู้บำบัดความอ่อนล้าเป็นพนักงานสาวสวยมากมายที่ทางผับจัดไว้รองรับตามความต้องการ

แต่สำหรับผู้ทำหน้าที่ผสมเครื่องดื่มอย่างบาร์เทนเดอร์เช่นเขานั้น มีหน้าที่แค่รับคำสั่งแล้วปรุงสูตรน้ำเมาให้ตรงตามต้องการ แถมเขายังแสดงบทบาทได้อย่างเป็นธรรมชาติ จนเหล่าเพื่อนร่วมงานสาวสวยเชื่อสนิทใจแล้วอยากให้เขามาทำประจำแทนบาร์เทนเดอร์คนเดิม ที่เข้าโรงพยาบาลกะทันหันเพราะอาหารเป็นพิษ

การเริ่มงานในช่วงอาทิตย์แรกจึงจบลงด้วยการสร้างภาพที่แสนประสบความสำเร็จ แต่อาทิตย์ต่อจากนี้ คือการคืบสู่แผนขั้นต่อไป

“ฉันอยากให้เธอเอาเครื่องดักฟังไปแอบติดไว้ในห้องนั้น” ระพีพัฒน์บอกกับหญิงสาวในตอนที่เธอทำทีเข้ามาสั่งเครื่องดื่มให้แขก

“ต้องทำภายในคืนนี้” เอื้อยกระซิบตอบ

นั่นหมายความว่าเจ้าของห้องที่อยู่บนชั้นสองของผับไม่อยู่ เสี่ยเกียงยังไม่เข้ามา คุณนายดารากับนายสำริดก็ไม่อยู่เช่นกัน ชายหนุ่มจึงส่งแก้วเครื่องดื่มที่เพิ่งผสมเสร็จให้พร้อมกระดาษเช็ดปาก ซึ่งโคโยตี้สาวรู้ได้ทันทีว่าใต้กระดาษแผ่นนั้นมีสิ่งที่เขาต้องการให้เธอทำตามคำขอ

เธอจึงคว้าทั้งแก้วทั้งกระดาษแล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์บาร์กลับไปเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขก แล้วปลีกตัวออกห่างจากกลุ่มคน

เมื่อจังหวะที่ทางขึ้นสู่ชั้นสองปลอดสายตา เอื้อยจึงเริ่มปฏิบัติงาน ส่วนเขาเสียบอุปกรณ์รับสัญญาณเสียงที่เชื่อมต่อกับเครื่องดักฟังรุ่นจิ๋วตัวนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าของโคโยตี้สาวก้าวเป็นจังหวะไปตามขั้นบันไดไม้ชัดเจน จากนั้นก็ตามด้วยเสียงหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตู

เสียงที่ควรได้ยินต่อมาควรจะเป็นแค่เสียงฝีเท้าของโคโยตี้สาว แต่กลับเกินความคาดหมาย เพราะเสียงที่ถ่ายทอดผ่านเครื่องดักฟังชั้นดีเป็นเสียงครางสนั่นของผู้หญิง สลับกับเสียงพูดหยาบโลนแหบห้าวด้วยอารมณ์กำหนัดของเสี่ยใหญ่

“ไอ้เสี่ยแก่ตัณหากลับมันพาเด็กขึ้นมามอมยาบนนี้”

เขาได้ยินเอื้อยกระซิบเล่าเหตุการณ์ใส่เครื่องดักฟัง แล้วเขาคาดว่าเธอจะถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ แต่หญิงสาวตอบกลับมาว่า

“มันเมายา คงไม่รู้ไม่เห็นอะไร ฉันไม่อยากพลาดโอกาส”

คิ้วเข้มของระพีพัฒน์ขมวดชนกัน แต่ต้องรีบทำสีหน้าปกติในตอนที่เด็กเชียร์เบียร์เข้ามาสั่งเครื่องดื่ม แล้วยังมีกลุ่มแขกสาวที่เข้ามานั่งเคาน์เตอร์บาร์แล้วพูดจาหยอกล้อ จึงต้องเก็บความพะวงไว้แล้วภาวนาให้เอื้อยทำสำเร็จ ทว่าในคลื่นเสียงกระเส่านั้นมีเสียงเมามายของผู้หญิงอีกคนดังเข้าสู่หูของชายหนุ่ม

“มาแอบอยู่ตรงนี้ทำไม ไปสนุกด้วยกันสิ”

เขาได้ยินเสียงเอื้อยอุทานด้วยความตกใจ แล้วจู่ ๆ คลื่นสัญญาณก็ดังแหลมแสบแก้วหู เธอคงทำเครื่องดักฟังตกกระแทกพื้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับหญิงสาวส่งเสียงขัดขืนการถูกกระทำย่ำยี

ระพีพัฒน์สบถในใจ รีบเสิร์ฟเครื่องดื่มตามสั่งแก้วสุดท้าย แล้วผละตัวออกจากเคาน์เตอร์บาร์ แต่ในตอนที่มุ่งตรงไปยังบันไดทางขึ้นชั้นสอง คุณนายสาวก็เผยกายมาจากประตูด้านหลัง ตามติดด้วยสมุนใบหน้าเหี้ยม บาร์เทนเดอร์หนุ่มกำมะลอจึงต้องทำทีเดินไปคุยกับเด็กเชียร์เบียร์ก่อนวกกลับไปทางเดิม พลางก่นด่าตัวเองว่าให้เอื้อยทำงานเสี่ยงเกินไปโดยไม่คิดถึงความเสี่ยงให้ถี่ถ้วน

“พวกมึงออกไปจากห้องนี้!”

นั่นเป็นเสียงตวาดของนายสำริดที่เขาได้ยินผ่านเครื่องดักฟัง และไม่กี่นาทีถัดมา หญิงสาวสองนางที่ยังสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยก็เดินโซเซลงบันไดมาคล้ายคนเมาค้าง ก่อนถูกผู้คุมผับเข้าไปชาร์จตัวแล้วพาจากไป

“เอื้อย เธออยู่ก่อน” ตามมาด้วยเสียงเรียบนิ่งของคุณนายดารา โดยมีเสียงโวยวายอย่างคนเมามายฟังไม่ได้ศัพท์ของเสี่ยเกียงแว่วเป็นฉากหลัง

“คะ...คือ...หนูต้องขึ้นโชว์แล้วค่ะคุณนาย” โคโยตี้สาวเอ่ยเอาตัวรอด

“ถ้าอย่างนั้น เลิกงานแล้วเธอต้องขึ้นมาพบฉันข้างบน”

“แต่หนู...”

“ฉันสั่ง” เสียงเรียบนั้นเพิ่มระดับความเข้มงวด

“ค่ะ”

เมื่อโคโยตี้สาวเดินลงมาแล้วผ่านหน้าเขาก้าวขึ้นไปยืนบนเวที แต่ดวงตาโศกของเธอที่มาถึงเขาแฝงอัดแน่นคำขอโทษไว้เต็มเปี่ยม ชายหนุ่มอยากยกสัญญาณมือตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร แต่ในจังหวะที่เขาจะยกมือขึ้นนั้น นายสำริดก้าวเข้ามายืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ พร้อมกับส่งคำทักทายเสียงแหบห้าวผ่านเครื่องดักฟัง

“ฮัลโหล”

ระพีพัฒน์รีบเปลี่ยนการส่งสัญญาณให้โคโยตี้สาวบนเวที เป็นยกมือกวักเรียกพนักงานสาวเข้ามารับเบียร์ไปเสิร์ฟ จากนั้นหันมาทางนายสำริด

“ดื่มอะไรไหมพี่ชาย”

ทว่าใบหน้าของอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะตอบรับคำเชิญชวน เอาแต่ยืนจ้องหน้าเขาแน่วนิ่ง พร้อมกับอุปกรณ์สอดแนมชิ้นจิ๋วในมือ

“มึงมาใหม่?”

เส้นเสียงกดต่ำกับดวงตากร้านโลกของนายสำริดบอกเขาว่าไม่คิดอยากผูกมิตรกับใคร แล้วสาวเท้าเข้ามาหาด้วยความไวโดยไม่ให้บาร์เทนเดอร์หนุ่มตั้งรับได้ทัน

แต่ในจังหวะเส้นยาแดงผ่าแปดตอนที่มือหยาบของนายสำริดจะคว้าถึงปกเสื้อของเขานั้น เสียงเฮของฝูงชนก็ดังลั่นผับ เรียกสายตาให้หับขวับไปด้านหลัง เห็นโคโยตี้สาวกระโจนลงจากเวที แล้วก้าวขายักย้ายสะโพกตามจังหวะดนตรีตรงเข้ามาที่เคาน์เตอร์บาร์

“ใครยังไม่รู้ว่าที่มูนไลต์ชาโดว์มีเมนูค็อกเทลอะไรเด็ดก็ก้าวเข้ามา” นิ้วเรียวกระดิกเรียกฝูงแขกชายให้กรูเข้ามาจนเบียดนายสำริดให้ห่างถอยพ้นทาง

จากนั้นกระโดดนั่งบนเคาน์เตอร์ส่งยิ้มหวานแจกจ่ายรอบทิศ แล้วหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาหันมาประจันหน้ากับสายสืบเฉพาะกิจ แยกเรียวขาออกกว้างเพื่อรวบร่างของเขาเข้าไปประชิดพร้อมกับยกสองมือโอบสันกรามของเขา เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้เอ่ยบอกเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองคน

“อย่าตกใจ คุณแค่เล่นตามที่ฉันบอก”

ระพีพัฒน์ไม่เข้าใจความหมายนัก กระทั่งมือบางคว้าขวดเหล้าที่วางอยู่ขึ้นเปิดฝาเทของเหลวราดรดตัวเอง ตั้งแต่เนินอกอิ่มไล่ลงไปจนเสื้อสายเดี่ยวชิ้นน้อยเปียกแนบลำตัว

“ลองชิมวอดก้าลาเต้ของฉันหน่อยเป็นไง พ่อบาร์เทนเดอร์สุดหล่อ” แล้วแอ่นอกส่งสายตายั่วยุท้าทาย

แม้เสียงเพลงยังบรรเลงดังก้องไปทั่ว แต่เสียงพูดของเธอกลับก้องกังวานชัดเจนเต็มสองหู ระพีพัฒน์คลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาวาววับ

“ผมโปรดทุกอย่างที่ใส่นม”

เอ่ยบอกกับหญิงสาวด้วยเสียงแหบห้าว พร้อมกับเรียวปากหยักของชายหนุ่มที่แนบประทับลิ้มรสวอดก้าบนเนินอิ่มร้อน เรียกเสียงเชียร์สร้างความพึงพอใจให้แขกชายทั้งหลายที่อยากได้เมนูใหม่นี้ไปลองบ้าง

หญิงสาวแอ่นรับพลางส่งเสียงคราง แล้วยกมือทั้งสองโอบกรอบหน้ายักย้ายถ่ายเทเครื่องรับสัญญาณจากหูของเขาไปอยู่ในมือเธออย่างแนบเนียน

แต่บทบาทของเอื้อยยังไม่จบเพียงแค่นั้น เจ้าหล่อนใช้เรียวนิ้วเชยคางเขาขึ้น แล้วส่งยิ้มหวานละลายใจ ก่อนใช้เท้าทั้งสองผลักไสเขาให้ออกห่าง จากนั้นหมุนตัวกลับไปทางแขกเหรื่อ

“ใครที่เข้ามาหาเอื้อยคนแรก จะเป็นคนสุดท้ายของคืนนี้ที่ได้ชิมเมนูวอดก้า...ลาเต้...” แล้วพูดประกาศออกไป

ไม่ต้องให้เธอรอนาน เหล่าชายหนุ่มมากมายต่างโจนทะยานเข้ามาชนเข้าด้านหลังนายสำริดจนเซล้ม ส่งให้เครื่องดักฟังในมือตกกระแทกพื้น

กร๊อบ!

เป็นเสียงของอุปกรณ์ชิ้นเล็กที่ถูกเท้าของใครบางคนในฝูงชนเหยียบจนแตกละเอียด

ส่วนอุปกรณ์รับสัญญาณก็ถูกปล่อยจากมือหญิงสาวให้ตกลงที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ ก่อนแอ่นอกรับแขกชายคนแรกที่ถลาเข้ามาลิ้มลองเมนูใหม่ของเธอ เห็นแล้วหัวใจแกร่งของสายสืบเฉพาะกิจอ่อนยวบไปทันที และอยากพุ่งเข้าไปลากตัวเธอกลับคืนมา

และแม้ความขมบาดลึกของเหล้าดีกรีแรงเจือกลิ่นหอมหวานของผิวสาวกระตุกแรงปรารถนาได้ดีแค่ไหน สำนึกในหน้าที่รับผิดชอบก็ยังดึงเขาไว้ให้เหลือบตาลอบมองชายผู้เพ่งสายตามาดร้ายมาที่เขาและเธอ ต้องขอบคุณเอื้อยที่พลิกสถานการณ์ได้ไว

ทว่าชายหนุ่มบอกกับตัวเองในใจว่า เขาจะไม่ทำให้เธอเดือดเนื้อร้อนตัวขนาดนี้อีก แต่ในส่วนรสชาติของมันเป็นอย่างไรนั้น...

ระพีพัฒน์กล้ายืนยันได้เลยว่า วอดก้าลาเต้จะเป็นเมนูโปรดของเขานับจากวินาทีที่ได้ลิ้มลอง



หลังจากธิดาและตฤณนำเพลงพิณมาฝากฝังไว้กับเขา วันรุ่งขึ้น นายช่างใหญ่ฝีมือดีและคนงานของชลธารคอนสตรักชันก็ถูกส่งมาเต็มคันรถ

คงเพราะความห่วงพี่ชาย ธิดาจึงต้องการให้เขาถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มคนที่เธอไว้ใจ แต่หน้าที่หลักของนายช่างใหญ่กับคนงานไม่ใช่การเป็นบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัย ก้องปฐพีจึงมอบหมายงานตามแผนฟื้นฟูหมู่บ้านช้างให้ทันที เพื่อให้แต่ละคนแยกย้ายไปปฏิบัติภารกิจให้สมบูรณ์

ส่วนเขากับเพลงพิณนั้น ครั้นจะเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนพักก็หาใช่วิสัยของเขา ก้องปฐพีจึงเหน็บเพลงพิณไปร่วมงานกับพรรคพวกด้วยการสวมใส่เครื่องแบบ และสวมหมวกไหมพรมปิดหน้าตาตามอย่างคนงานทั้งหมด เพื่อให้ยากต่อการจับสังเกต

แต่รูปร่างสูงใหญ่ของเขาก็ยังสร้างจุดเด่นแปลกแยกกับคนงานคนอื่น เขากับเพลงพิณจึงต้องหลบลี้เข้าไปในโรงเลี้ยงช้างเมื่อถึงเวลาพัก โดยยึดพื้นที่ข้างสายป่านเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ

“ถ้าฉันไม่อยู่แล้ว แกจะร้องขอกินนมอัดเม็ดจากใครไม่ได้แล้วนะสายป่าน” สถาปนิกหนุ่มพูดหยอกกับเจ้าช้างน้อยแล้วป้อนเม็ดนมให้ ก่อนลูบหัวอย่างเอ็นดู จากนั้นหย่อนตัวข้างกองหญ้าแห้ง ลงมือกินอาหารกลางวันจากจานที่เป็นส่วนแบ่งของตน

“ไม่เปลี่ยนใจเรื่องรับทุนหรือพิณ” ซึ่งก็ได้โอกาสของก้องปฐพีในการเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่กำลังตักข้าวแกงร้อน ๆ ใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย

“ผมไม่กล้ารับ จริง ๆ ผมไม่สมควรได้”

“แต่ถ้าให้ด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับบุญคุณล่ะ”

เพลงพิณยกข้าวค้างจ่อที่ริมฝีปาก จ้องมองมาด้วยแววตากังขา เขาจึงบอกต่อไปว่า “เช่นจ่ายผ่านค่าแรงที่ฉันจ้างทำงานอะไรทำนองนั้น เราเป็นนายจ้างกับลูกจ้างกัน แกมาอยู่กับฉันที่นี่ก็ไม่มีรายได้อะไรใช่ไหม”

“ถ้าอย่างนั้น...” น้ำเสียงของเพลงพิณเริ่มหวั่นไหวกับข้อเสนอ “ก็แล้วแต่พี่ ว่าจะให้ค่าจ้างทำงานผมเท่าไหร่ครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม แล้วเริ่มลงมือจัดการข้าวในจานของตน แต่ในตอนที่เขาจะจับช้อนเกิดเสียงคล้ายโลหะกระทบกันด้านหลัง จึงหันขวับไปดู เห็นโซ่ตรวนช้างที่ห้อยโยงจากคานแกว่งไกวเบา ๆ แต่ในโรงช้างตอนนี้มีเพียงแค่สายป่าน แล้วมันก็ไม่ได้ถูกล่ามโซ่

“มีอะไรหรือพี่ก้อง”

ก้องปฐพียกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากทำสัญญาณให้เงียบเสียงแล้วเงี่ยหูฟัง แต่เสียงที่ได้ยินคือเสียงเท้าเหยียบหญ้าแห้งที่ดังมาจากทางเข้าโรงเลี้ยงช้าง

“ฉันเอาน้ำใบย่านางมาให้”

เจ้าของเสียงฝีเท้าคือคุณหมอสาว เธอเดินเข้ามาหยุดหน้าคนทั้งสอง ย่อเข่าวางขันน้ำใสใส่น้ำเย็นลอยดอกมะลิบนพื้นแล้วลุกขึ้นยืน “มันช่วยดับกระหาย บำรุงกำลัง ฉันกับชาวบ้านเพิ่งช่วยกันทำเสร็จใหม่ ๆ”

“ขอบคุณครับ” เขายังมองเธอตาค้าง

“แต่ถ้าคุณอยากดื่มเพิ่ม ด้านนอกยังมีอีกเยอะ” ไหมแก้วบอกแล้วหมุนตัวจะก้าวเดินออกไป

“ขันเดียวไม่พอผมกับพี่ก้องกิน ผมจะไปเอาเพิ่ม คุณหมอช่วยอยู่เป็นเพื่อนพี่ก้องก่อนนะครับ”

“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ” ไหมแก้วร้องค้าน แต่ไม่ทันเพลงพิณที่เด้งตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปราวกับไม่อยากพลาดโอกาสดื่มน้ำสมุนไพรชนิดนี้

ก้องปฐพีเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลของเด็กหนุ่ม แต่นึกขอบคุณที่สร้างเวลาให้เขาได้อยู่กับคุณหมอสาวที่ยังยืนเก้ๆ กัง ๆ ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ถ้าคุณหมอไม่สะดวก ผมมีสายป่านอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ” ปากไม่ตรงกับใจนัก แต่ก็เกรงใจเวลาทำงานของคุณหมอสาว

“สายป่านเดินออกไปทางประตูหลังแล้วละค่ะ”

ไหมแก้วพยักพเยิดให้เขาหันไปมองสะโพกกลมของเจ้าช้างน้อยที่ส่ายไปส่ายมา ก่อนหายลับไปจากกรอบประตูทางออกด้านหลัง

“ยังไม่หายโกรธผมอีกหรือ”

เธอพ่นลมหายใจเสียงเบา พยายามไม่หันมามอง ปล่อยให้เขาเดาคำตอบเอง

“ผมจะซื้อคันใหม่ใช้ให้ คุณหมอก็ไม่ยอม หรือจะให้ผมไปตามหาเจ้าแก่มาคืน คุณหมอจะได้หายโกรธผม” เขายังไม่ลดละความพยายาม แต่เธอก็ยังคงเมินเฉยต่อไป

“คุณหมอครับ” ชายหนุ่มลองเรียกอีกครั้ง แต่เธอก็ยังคงไม่สนใจหันหน้ากลับมา

“คุณหมอ”

ครั้งที่สามก็แล้ว แต่ยังเหมือนเดิม คนไม่ง้อผู้หญิงที่ไหนมาก่อนจึงเริ่มอ่อนอกอ่อนใจ แต่ไม่ละความพยายามเพราะรู้ตัวว่าผิด

“ไหมแก้ว” พอเปลี่ยนสรรพนามเรียกกลับได้ผล เธอหันขวับมาส่งสายตาขุ่นข้อง

“ครั้งต่อไป ผมจะเรียกคุณหมอว่าไหมแก้ว คุณหมอจะได้หันมามองผม” เขาส่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“จะเรียกฉันว่าอะไรก็ตามใจคุณเถอะ” เธอย่นจมูกใส่แล้วหันหนี

“ที่รัก” ชายหนุ่มลองเปลี่ยนสรรพนามใหม่อีกครั้ง แล้วผลลัพธ์ที่ได้ครั้งนี้คือดวงตาคมของเธอลุกวาว กับใบหน้าแดงปลั่งอย่างกับลูกตำลึงสุก

“คุณจะบ้าหรือ เรียกฉันแบบนั้นได้ยังไง ถ้าใครมาได้ยินเข้าจะทำยังไง” คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน

ก้องปฐพีคลี่ยิ้มขบขัน รู้สึกพึงใจอย่างประหลาดที่ได้เห็นท่าทางขัดเขินปนโมโหของคุณหมอสาว “ก็คุณหมอไหมแก้วเป็นที่รักของชาวบ้านทุกคน จะผิดตรงไหนที่ผมเรียกคุณหมอว่า ‘ที่รัก’ ”

เธอยกนิ้วชี้หน้า เอ่ยคำตำหนิเสียงเขียว “ถ้าคุณมีวุฒิภาวะพอ ๆ กับอายุของคุณตอนนี้ คุณก็ควรจะรู้ว่าคำนั้นต้องสงวนไว้ใช้แค่เฉพาะกับคนที่เป็นคู่รักของคุณ”

นายสถาปนิกหนุ่มคลี่ยิ้ม ส่งสายตายียวน “แล้วคุณเคยเรียกใครด้วยคำนั้นไหม”

แก้มเนียนของคุณหมอสาวแดงแจ๋ขึ้นไปอีก “ทำไมฉันต้องบอกคุณ”

“ใช่นายแว่นหน้าจืดขี้โมโหนั่นหรือเปล่า” ก้องปฐพียังรุกต่อ

“คุณก้องปฐพี ถ้าคุณไม่หยุด ฉันจะไม่หายโกรธคุณจริง ๆ”

“โอเค ๆ ครับ” เขาจึงรีบยกมือสองข้างขึ้น “แต่คุณต้องยอมรับรถคันใหม่ที่ผมจะซื้อใช้ให้ด้วย”

ไหมแก้วถอนหายใจแรง “ถ้าคุณดูไม่ออก ฉันจะบอกให้ชัดเจนว่า ฉันไม่ได้โกรธเรื่องที่คุณทำเจ้าแก่หาย แต่ฉันโกรธที่คุณไม่เล่าเรื่องที่คุณไปเจออะไรมาหลังออกจากบ้านพักแพทย์”

“ผมก็เล่าให้ฟังแล้วนี่ว่าผมเดินไปเรื่อย ๆ จนเจอคุณหมอใหญ่ คุยกันถูกคอแล้วเลยขอค้างที่บ้านคุณหมอใหญ่ไงครับ”

แต่ดวงตาคมลุกวาวคล้ายกับกำลังโกรธจัด อาการอยากหยอกล้อคุณหมอสาวหดหายไปทันใด แล้วไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรให้เดือดจัดขนาดนั้น

“คนสวนของโรงพยาบาลเจอกางเกงยีนถูกทิ้งใต้พุ่มไม้ไม่ห่างจากบ้านพักของหมอคนหนึ่ง แล้วเสื้อกับกางเกงแพทย์ของเขาก็ถูกขโมยไปด้วย” ไหมแก้วเอ่ยน้ำเสียงขึงขัง ดวงตาของเธอนั้นฉายแววโกรธจริงจัง “แล้วฉันจะไม่สนใจเลยว่ามันเป็นกางเกงของใคร ถ้ากุญแจรถที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงตัวนั้นไม่ใช่กุญแจรถเจ้าแก่”

“คุณหมอ...คือผม...” ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง อับจนคำพูดขึ้นมาทันที

“ฉันเกลียดการโกหก เกลียดการหลอกลวง” แต่หญิงสาวไม่ยอมให้เขาพูดต่อ แววตาคู่สวยของเธอบอกเขาว่าผิดหวังแค่ไหน

“ผมไม่ได้โกหก”

“คุณไม่ได้โกหก แต่คุณไม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันรู้”

ก้องปฐพีถอนหายใจ คิ้วเข้มเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน แล้วบ่ายเบี่ยงไม่เอ่ยถึงการถูกตามล่า “ผมไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไร แค่รถเก่า ๆ คันหนึ่ง ผมหาซื้อใช้คุณหมอได้เป็นร้อยเป็นสิบคัน”

“คุณก้อง” ไหมแก้วส่งค้อนให้วงโต “มันไม่เกี่ยวกับเจ้าแก่”

“ไม่เกี่ยวกับเจ้าแก่ แล้วคุณโกรธผมทำไมล่ะครับ”

คุณหมอสาวหงุดหงิดยิ่งนัก ทำไมหนอพวกผู้ชายถึงไม่เข้าใจอะไรเลย เธอพ่นลมหายใจออก “ช่างมันเถอะ คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

“หรือว่าคุณหมอเป็นห่วงผม”

เขาช่างพูดได้กวนใจเธอชะมัด ไหมแก้วเม้มริมฝีปากแน่น แล้วรีบเบนสายตาหันไปทางโรงเลี้ยงช้าง ที่มีร่างอวบอิ่มของเด็กสาวโตเกินวัยอย่างตรีรัตน์ยืนนิ่งงันปรากฏต่อสายตา

“พี่ไหม ฉันไปตลาดในเมืองมา ซื้อเสื้อสวย ๆ มาฝากพี่ไหมหลายชุดเลย” จากใบหน้าเรียบสนิทผันเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มเริงร่า แล้วก้าวขาเดินเข้ามาพร้อมด้วยถุงกระสอบขนาดใหญ่ในมือ

“พี่บอกแล้วว่าไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ ตรีเก็บเงินไว้เรียนดีกว่า” ไหมแก้วรีบลุกขึ้นเดินไปรับหน้า

“ฉันได้เงินจากทำงานพิเศษมา ก็อยากซื้อของให้พี่ไหมบ้าง ลองไปเลือกดูสิ ฉันวางไว้บนเรือนพี่ไหม ไม่รู้ว่าพี่ไหมมาอยู่ตรงนี้” ตรีรัตน์บอกแล้วทิ้งถุงกระสอบที่ลากเข้ามาไว้ ลอบส่งสายตาให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเกี่ยวแขนคุณหมอสาวให้เดินออกไปด้วยกัน

คล้ายกับรู้ว่าตรีรัตน์ต้องการทิ้งถุงกระสอบไว้ให้เขา ก้องปฐพีจึงลุกขึ้นเดินไปคลี่ปากถุงออก แล้วพบว่ามีอะไหล่รถซูเปอร์ไบค์ทุกชิ้นที่เขาต้องการ สนนราคาแต่ละชิ้นก็จัดว่าสูง แต่ยายตรีรัตน์หามาให้เขาได้อย่างไร

“ผมเห็นยายนั่นยืนที่ประตูนานแล้ว แต่ไม่เห็นเข้าไปสักที” เพลงพิณเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมกับบอกเล่าให้ฟัง “ตอนแรกจะกันไม่ให้เข้าไปขัดจังหวะ คุณเธอก็ไม่ฟังเสียงกันเลย พอหลุดจากผมไป ก็ไปยืนค้างอยู่อย่างนั้น”

ก้องปฐพีถอนหายใจแล้วรวบปากถุงกระสอบยกขึ้นพาดบ่า แต่ก่อนที่จะก้าวขาเดิน เขาหันไปมองโซ่ตรวนเส้นนั้นอีกครั้ง มันยังคงสงบไม่ไหวติง แม้จะมีสายลมพัดเศษหญ้าลอยปลิวในอากาศ

แต่แล้วก็มีเสียงเอะอะของชาวบ้านดังที่ด้านนอก เขาสบตาเพลงพิณชั่วขณะ ก่อนดึงหมวกไหมพรมลงมาปิดหน้าปิดตาจนมิดชิด แล้วก้าวขาออกจากโรงเลี้ยงช้างไป เห็นกลุ่มชาวบ้านยืนล้อมกันเป็นวงกลมที่ลานกว้าง จึงแทรกตัวเข้าไปเพื่อสังเกตการณ์

สิ่งที่อยู่กลางวงทำให้ชายหนุ่มพ่นลมหายใจด้วยความขุ่นข้อง เพราะกลางวงล้อมนั้นมีเจ้าแก่สภาพย่ำแย่นอนแอ้งแม้งข้างเจ้านายสาวที่นั่งย่อเข่าลูบมันด้วยดวงตาเศร้าสลด โดยมีตรีรัตน์นั่งเคียงข้าง

“ผมเจอมันนอนอยู่ริมทางก่อนเข้าหมู่บ้าน จำได้ว่าเป็นรถของคุณหมอ แต่พอเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่ามีรูคล้ายถูกกระสุนปืนตรงท่อไอเสีย” ชาวบ้านผู้พบเจอบอกให้ผู้ใหญ่บ้านที่ยืนมองเหตุการณ์ด้วยใบหน้ากังวลฟัง

“ใครมันกล้าทำกับรถคุณหมอ ก็รู้กันว่ารถคันนี้เป็นของใคร!” มีเสียงตะโกนออกจากวงล้อมด้วยความไม่พอใจ

“อย่าให้รู้ว่าเป็นใครนะ พ่อจะตามไปสั่งสอนมันถึงที่!”

แล้วอีกเสียงก็ตามมา หลังจากนั้นคำผรุสวาทต่อผู้กระทำการทารุณต่อเจ้าแก่ก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่ว แต่ผู้ที่ยังไม่ปริปากพูดในตอนนี้ มีแค่ผู้ใหญ่บ้าน ตรีรัตน์ และคุณหมอสาว ที่ต่างจ้องมองมาทางเขาเป็นตาเดียว