เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ
แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย
แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน
กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ
และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น
ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา
*** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ 14
อยากได้ลูกเสือ ต้องล่อพ่อเสือออกจากถ้ำ
ก้องปฐพีคำรามลั่นทันทีหลังจากที่วิ่งตามนายช่างใหญ่มาจนถึงหมู่บ้านช้าง แม้ระยะทางจะไม่ได้ใกล้เลย แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดถึงอาการเหนื่อยหอบที่กำลังเกิดกับตน นอกจากความโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเพื่อนพี่น้องนอนร้องครวญครางส่งเสียงทรมาน บ้างลุกขึ้นมาอาเจียน บ้างหมดสติไปจนชาวบ้านต้องร้องเรียกคุณหมอสาวให้วิ่งวนจากผู้ป่วยคนนั้นย้ายมาคนนี้
“พวกเขากินอะไรเข้าไป” ก้องปฐพีหันไปถามนายช่างใหญ่ที่เริ่มมีสีหน้าพะอืดพะอมคล้ายกำลังจะอาเจียน
“ก็มีแค่อาหารกลางวันกับน้ำใบย่านางที่ชาวบ้านเอามะ...มา...” แต่พูดยังไม่ทันจบ นายช่างใหญ่ก็โก่งคออาเจียนตามเหล่าคนงานไปด้วย ก้องปฐพีจึงต้องรีบประคองพาไปนั่งรวมกลุ่มกับคนอื่น ที่มีไหมแก้วและชาวบ้านช่วยกันเอายาดมให้ผู้ป่วยสูดบรรเทาอาการพะอืดพะอม
“ถ้าเป็นข้าว ผมก็กินไปด้วย แต่ยังไม่มีอาการ เว้นแต่...” ชายหนุ่มวินิจฉัยสาเหตุแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า มีเพียงน้ำต้มใบย่านางเท่านั้นที่เขายังไม่ลิ้มลอง เพราะติดพันการทวงถามเหตุผลที่ไหมแก้วโกรธตัวเอง
แล้วจู่ ๆ ก้องปฐพีก็สบถ หันไปทางผู้ใหญ่บ้าน “ผู้ใหญ่บ้านครับ เดี๋ยวผมกลับมาขับรถขนคนงานไปโรงพยาบาล วานผู้ใหญ่บ้านช่วยดูแลทางนี้ด้วย”
จากนั้นก็ใส่สปีดเร่งฝีเท้าวิ่งกลับไปหาเด็กหนุ่มที่หลงลืมทิ้งไว้กับตรีรัตน์ และเขาขอให้เหตุที่เกิดกับคนงานเป็นแค่เรื่องบังเอิญ อย่าได้เกี่ยวข้องกับความบาดหมางระหว่างเขากับทวีรัตน์ หรือเกี่ยวกับศัตรูของเพลงพิณเลย
เหงื่อเค็มไหลซึมเข้าปากเด็กหนุ่มผู้ตั้งหน้าตั้งตาซ่อมซูเปอร์ไบค์คันโปรดของผู้เป็นนายจ้าง มืออันชำนาญหยิบไขควงขันเกลียวนอตจนมั่นใจว่าแน่นดี แล้วใช้ประสบการณ์จากการทำงานพิเศษอู่ซ่อมรถตรวจตราทุกจุดว่าไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ จึงจัดเก็บเครื่องไม้เครื่องมือให้เข้าที่เข้าทาง
แต่ในชั่วแวบหนึ่งของความคิดคำนึง ใบหน้าของรุ่นพี่ผู้จากไปก็หวนคืนสู่ความทรงจำ ผ่านสัญญาที่เขาพันผูกไว้โดยไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริง
เพลงพิณหันกลับไปมองซูเปอร์ไบค์มอมแมมอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นยืนพาตัวเองไปลูบคลำด้วยความทะนุถนอมราวกับเจ้าเครื่องยนต์พลังสูงคันนี้เป็นหญิงสาว และหลงใหลอยากทดลองขับเคลื่อนพามันพุ่งทะยานวัดความแรงของขุมพลัง
“นายพิณ!”
เสียงเรียกของตรีรัตน์ทำให้จินตนาการของเด็กหนุ่มหยุดกึก นึกฉุนครามครันที่ถูกขัดจังหวะ แต่ในตอนที่เขาหมุนตัวหันหน้าออกไปทางนอกใต้ถุน ก็เห็นชายรูปร่างผอมบาง สวมใส่เสื้อยืดและสวมหมวกไหมพรมปิดหน้าปิดตาตามแบบพนักงานชลธารคอนสตรักชันยืนจ้องมองด้วยแววตาแข็งกร้าว
“เจ้านายไม่อยู่หรือ” ชายผู้นั้นเอ่ยถามโดยไม่ถอดหมวกไหมพรม ก้าวขาเข้ามาหา ขณะที่มือหนึ่งข้างสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง
“ไม่อยู่” เพลงพิณตอบด้วยรู้สึกเฉลียวใจประหลาด จึงค่อย ๆ ก้าวขาถอยหลัง จับจ้องมองไปยังมือข้างที่ถูกซุกซ่อน แล้วสวนคำถามกลับ “เขาไปหมู่บ้านช้าง ไม่ได้สวนกับเขาหรือ”
ชายผู้นั้นไม่พูดไม่จา ได้แต่จดจ้องใบหน้าของเขาสลับเหลือบตามองขึ้นไปบนเรือน
“พี่ก้อง พี่ก้องวิ่งมาโน่นแล้ว!” แล้วยายตรีรัตน์ก็โพล่งเสียงดังอีกครั้ง
จากระดับที่ยืนอยู่ตรงนี้ เขาไม่เห็นหรอกว่าเจ้านายหนุ่มมาจริงหรือไม่ แต่ปฏิกิริยาของคนที่กำลังยืนประจันหน้าแสดงถึงความยำเกรงในชื่อที่ได้ยินชัดเจน
“พี่ก้อง พี่ก้อง!”
เมื่อตรีรัตน์ตะโกนดังโหวกเหวกอีกครั้ง เขาผู้นั้นก็กระตุกขาล่าถอย วิ่งหายไปในป่ากล้วยท้ายหมู่บ้าน ห่างกันไปไม่กี่นาที เพลงพิณก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ของเจ้านายหนุ่มวิ่งตรงเข้ามาหา แล้วยิงคำถามใส่เขาทันทีด้วยใบหน้ากังวล
“พิณ พี่น้องเราทั้งหมดมีอาการอาหารเป็นพิษ แล้วแกล่ะ รู้สึกอยากอาเจียนบ้างไหม”
“ผมสบายดี”
คงเพราะใบหน้าของเพลงพิณค้านกับคำพูดจนก้องปฐพีจับความผิดปกติได้ “แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”
“พี่บอกว่าทั้งหมดใช่ไหม แต่ผมคิดว่าไม่ ยังมีอีกคนที่ดูท่าทางสบายดีเหมือนผม”
ชายหนุ่มย่นคิ้ว ถามเสียงขรึม “ใคร”
“พี่ก้อง พี่ก้อง”
แต่เพลงพิณยังไม่ทันได้เล่า ตรีรัตน์ก็กระโจนลงบันไดเรือนมาด้วยความเร็วยิ่งกว่าลิงรูดตัวลงจากต้นมะพร้าว แล้วพุ่งเข้ามาเกาะเกี่ยวแขนของนายสถาปนิกหนุ่มไว้แน่น
“เป็นอะไรฮะ ตรีรัตน์” เจ้าของต้นแขนถามไถ่ที่มาของอาการแปลกประหลาด
“พี่พาฉันกลับบ้านได้ไหม ฉันไม่กล้ากลับคนเดียว” เด็กสาวไม่ตอบ แต่อ้อนวอนด้วยใบหน้ากระวนกระวายใจ
ทั้งแววตาของเพลงพิณ ทั้งสีหน้าของตรีรัตน์ทำให้ชายหนุ่มฉงนหนัก และถ้าทำตามคำขอร้องของตรีรัตน์ เขาก็ปล่อยให้เพลงพิณอยู่คนเดียวตามลำพังไม่ได้อีก
“ผมซ่อมเจ้าแบล็กแบร์เรียบร้อยแล้ว” เพลงพิณเอ่ยแล้วเอี้ยวตัวหลบให้ซูเปอร์ไบค์คันเก่งอวดโฉมตัวเองต่อสายตาเจ้านายของมัน
“ขอบใจ” ก้องปฐพีคลี่ยิ้มบาง แต่เขายังไม่อาจเข้าไปเชยชมได้อย่างใจถวิลหา ชายหนุ่มดันตัวตรีรัตน์ออก แล้วบอกเด็กสาวกับเพลงพิณว่า
“ฉันจะไปส่งเธอถึงแค่ที่โรงพยาบาล บอกให้พี่ชายเธอไปรับที่นั่น ส่วนแกพิณ แกต้องไปกับฉัน ต่อไปนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เราต้องตัวติดกันตลอดเวลา”
“ในที่สุดก็มีวันที่ฉันจะได้กำจัดหนามยอกอกให้สิ้นไปจากสายตาเสียที”
น้ำเสียงแหบห้าวออกจากปากหยักหนาที่มีรอยยิ้มมากเล่ห์ ในหน่วยตาผยองอำนาจคู่นั้นมีแต่ความมาดร้ายผุดพรายราวกับบ่อน้ำพุร้อนที่ไม่มีวันดับ
“แต่คนของคุณนายยังทำงานไม่สำเร็จนี่ครับ มันกลับมาบอกผมว่า มีคนเห็นมันกำลังจะเป่าหัวเจ้าเด็กนั่นเสียอีก นับว่าเสียโอกาสครั้งใหญ่ทีเดียว”
“หึ” ผู้เป็นนายหัวเราะในลำคอ “มันอ่อนหัดน่ะสิ แทนที่มันจะยิงไอ้พยานรู้เห็นให้ตายกลับไม่ทำ พวกมันส่งควายมาทำงานให้ก็ได้ผลแบบนี้ ไม่ใช่นักฆ่ามืออาชีพ แต่เป็นแค่เด็กอยากยา ทำงานตามใบสั่ง”
“แล้วเราต้องทำอะไรกับเธอต่อ” ผู้ใต้บังคับบัญชาถามถึงหน้าที่
“ทำอะไรต่ออย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มและดวงตาพราวของจิ้งจอกเฒ่าบ่งบอกถึงความพึงใจ “ก็หาทางให้มันดูเหมือนเป็นการโดนลูกหลงไปด้วย ให้มันตายโดยที่เราไม่ต้องลงมือเอง”
“แต่จากนี้ไป หมู่บ้านช้างก็ปลอดคน ผมว่าเราลงมือเองเลยจะไม่ไวกว่าหรือครับ”
“ไม่ได้ กูตกลงให้ทางนั้นทำงานที่กูขอเป็นข้อแลกเปลี่ยน ส่วนมึงก็แค่คอยติดตามนายก อบจ. อย่าให้คลาดสายตา ดูซิว่าพวกนั้นทำได้อย่างที่พูดจริงไหม”
“ครับนาย” ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่ง
ผู้เป็นนายกระตุกยิ้ม บี้มวนซิการ์ในจานกระเบื้องแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ ยกมือประสานไว้ที่ปลายคางในท่าทีผ่อนคลาย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายใจ “ถึงเวลาแล้วที่เอกรัตน์จะได้ชนะการเลือกตั้ง”
“แล้วเรื่องของฉันล่ะพ่อ!”
เด็กหนุ่มใบหน้าบึ้งตึงตะเบ็งเสียงแข็ง ก่อนปรากฏกายด้วยท่าทางการเดินกะเผลกที่เจ้าตัวยืนกรานว่าจะไม่ใช้ไม้ค้ำยัน ด้วยเหตุเพราะไม่อยากให้ใครดูแคลน แม้ลักษณะอาการจะแสดงออกอย่างชัดเจน
“เรื่องของฉัน เมื่อไหร่พ่อจะจัดการให้เสร็จ!”
“ไอ้โท!” ผู้เป็นพ่อตวาดกลับ “แกอย่าลามปามกับฉัน งานของพี่แกสำคัญกว่าการไล่ตะบันไอ้หนุ่มนั่นมากนัก แกต้องรอไปก่อน!”
“แต่ฉันไม่เห็นว่าพ่อจะทำอะไรให้ฉันเลย เห็นทีฉันต้องพึ่งตัวเอง!”
“นี่แกยังไม่รู้จักสำนึกอีกหรือว่าเกือบทำให้พ่อกับพี่บรรลัย ถ้าคนของฉันไม่ตาลีตาเหลือกโทร.ไปบอกพรรคพวกว่าตำรวจตั้งด่านจับคนร้ายคราวนั้น พวกแกคงได้โดนข้อหาหนัก แม้แต่ข้ากับเอกรัตน์ก็เอาแกออกจากตะรางไม่ได้!”
ทวีรัตน์กัดฟันกล้ำกลืนความน้อยใจ “ก็แล้วพ่อจะจัดการมันให้ฉันเมื่อไหร่”
“ฉันจะรอให้มันฟื้นฟูหมู่บ้านช้างเสร็จ แต่ดูเหมือนมันคงจะเสร็จช้ากว่ากำหนดโดยไม่ได้คาดหมาย” นายทรงชัยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่คนงานของมันถูกวางยาที่พ่อพูดหรือเปล่า”
“นี่แกรู้เห็นอะไรมา” นายทรงชัยตวัดตามองลูกชายคนรองเขม็ง พูดน้ำเสียงกดต่ำจนทวีรัตน์หดคอ
“ฉัน...ฉัน...” ทวีรัตน์ละล่ำละลัก “ฉันปะ...ไปหมู่บ้านช้าง ละ...แล้วไปแอบดูท่าทีไอ้นั่น กะ...กะว่าจะหาโอกาสเล่นงานมัน ตะ...แต่มีไอ้ผมยาวมาขัดโอกาส”
“แล้วยังไงต่อ” นายทรงชัยสาวเท้าเข้ามา จดจ้องใหน้าหวาดๆ ของลูกชายด้วยดวงตาแข็งกร้าว
ทวีรัตน์กลืนน้ำลายลงคอ “ฉะ...ฉันก็รอเวลา แต่พี่ไหมดันเข้ามาคุยกับมันอีก ฉัน...ฉันเลยต้องหลบซ่อนในกองหญ้าแห้ง แต่พอได้ยินเสียงโวยวายก็เลยย่องออกไปดู เห็นพวกชาวบ้านล้อมวงดูรถพี่ไหมทะ...ที่ฉันไปทิ้งไว้...ตรงทางเข้าหมู่บ้าน”
“แกทำอะไรนะ!”
ทวีรัตน์สะดุ้งโหยงในตอนที่มือใหญ่ของบิดาตะปบแขนทั้งสองข้าง “ฉะ...ฉัน...เอารถพี่ไหมไปทิ้ง...ทิ้งตรงทางเข้าหมู่บ้าน”
“แกเอารถนังไหมไปทิ้งทำไมที่หน้าหมู่บ้าน!”
“กะ...ก็จะประกาศสง...สงครามกับ...กับมัน...”
“ประกาศสงคราม!” นายทรงชัยแค่นหัวเราะ ก่อนแยกเขี้ยวแล้วตะคอกใส่หน้าบุตรชาย “แกไปประกาศความโง่ของแกน่ะสิ แล้วความโง่ของแกจะพางานใหญ่ของข้าบรรลัยไปด้วย!”
“แบบนี้พวกนั้นอาจคิดว่า ที่คนงานป่วยเป็นฝีมือของทางเราไปแล้วมั้งครับเจ้านาย” แม้แต่ลูกสมุนของนายทรงชัยยังแค่นยิ้ม เย้ยหยันความไร้สมองของทวีรัตน์
นายทรงชัยผลักร่างผอมบางปวกเปียกล้มลงไปนั่งพับกับพื้น แล้วชี้หน้า “ไอ้ลูกระยำ ถ้างานนี้ทำให้เอกรัตน์ไม่ได้เก้าอี้นายก อบจ. ฉันจะไล่แกออกจากบ้าน!”
ทวีรัตน์น้ำตารื้น รีบคลานเข้ามาเกาะขาบิดาร้องไห้คร่ำครวญ “ฉัน...ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าพ่อทำอะไร ฉันขอโทษ อย่าไล่ฉันไปเลยพ่อ...ให้ฉันทำงานทดแทนก็ได้”
นายทรงชัยสบถ นึกอยากสะบัดเจ้าลูกคนรองที่แสนอ่อนแอออกจากขา แต่จำต้องสูดลมหายใจเข้าลึกให้โทสะบางลง ก่อนเอ่ยเสียงเข้มงวด
“ถ้าแกอยากทำงานชดเชยความโง่ อีกไม่กี่วันข้างหน้าฉันจะมีแขกคนสำคัญมาพบ ฉันจะให้แกได้รับรู้งานของเรา แต่แกจงปิดเรื่องอะไรก็ตามที่ได้รู้ได้เห็นเป็นความลับไปกับตัวจนวันตาย”
ระพีพัฒน์กัดฟันแน่นเมื่อได้รับความเจ็บปวดและความแสบซ่านตามร่างกาย แต่สายสืบกำมะลอรู้ดีว่าต้องยอมแลกกับการแก้ไขเงื่อนคดี
ถึงกระนั้น ในใจเขาก็นึกเป็นห่วงโคโยตี้สาวที่เสี่ยงเล่นตามน้ำยอมแลกจูบกับเขาในห้องเปลี่ยนเสื้อ โดยจงใจให้ผู้ซ่อนตัวลอบมองในความมืดนำเรื่องไปส่งต่อให้ผู้เป็นนาย ทว่าเจ้าของมือหนาที่บีบลำคอจนเกือบขาดอากาศหายใจไม่ใช่เสี่ยแก่ตัณหากลับ แต่เป็นนายสำริดที่ลากเขาเข้ามาในห้องหับมิดชิด ก่อนลงหมัดฟาดแข้งใส่จนร่างกายน่วมไปเกือบทั้งตัว
“หมดหน้าที่ฉันแล้วก็ให้ค่าจ้างฉันมาเสียที” หญิงสาวรูปร่างอวบอัดที่พูดจาหมาหยอกไก่กับเขาในผับ ยืนเท้าเอวส่งสายตามองเขาอย่างเวทนาจากด้านหลัง
“แกไปเอาค่าจ้างกับเสี่ยได้เลย” นายสำริดสะบัดเสียง ก่อนพึมพำสบถคำหยาบต่าง ๆ นานาใส่หญิงสาวที่สะบัดตัวเดินออกจากห้องนี้ไป จากนั้นก็หันกลับมาสนใจไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเขาต่อ
“โดนขนาดนี้ ยังไม่สลบคาตีน มึงนี่ก็อึดดีนี่หว่า”
“อย่าทำผมเลยครับพี่ ผมกลัวแล้ว” ระพีพัฒน์แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
นายสำริดแสยะยิ้มขำจนเห็นซี่ฟันสีเหลือง ลมหายใจเหม็นคล้ายกับกลิ่นยาลอยออกมาจากช่องปากที่อ้าหัวเราะ แล้วก้มหน้าเข้ามาพูดปานกระซิบ “มึงเป็นใครกันแน่”
“ผมเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” ระพีพัฒน์หาคำตอบเอาตัวรอด
“คิดว่ากูโง่นักหรือไง!”
ไม่พูดเปล่า แต่ฟาดขาหนักหน่วงใส่ร่างชายหนุ่ม เกิดความเจ็บปวดซ่านร้าวจนระพีพัฒน์กัดฟันขดตัวงอ แต่ไม่สาแก่ใจขาโหด มันยังจิกผมให้เชิดหน้าสบตาดมกลิ่นปากหืน
“มีนักศึกษาธรรมดาคนไหนบ้างที่ขับรถสปอร์ตพะยี่ห้อฝรั่ง!” ดวงตาสีแดงก่ำแทบถลนออกมาจากเบ้า จับจ้องเขาราวอยากฉีกทึ้งเนื้อหนัง
“อ๋อ...” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม “ไอ้พวกนั้นมันเป็นของขวัญจากคนที่ทำงานพิเศษให้”
คิ้วของนายสำริดเลิกขึ้น คว้าคอเสื้อของระพีพัฒน์เข้าไปประจันหน้าในระยะประชิด “มึงทำงานอะไร”
“ขายของ”
“ขายอะไร” นายสำริดเพิ่มความเข้มในน้ำเสียง
“หน้าตาอย่างผม พี่ว่าผมจะขายอะไรได้”
“บอกกูมา!”
“มันจะขายอะไรก็ช่าง!” เสียงของผู้มาใหม่ทำให้นายสำริดรีบลุกขึ้นยืน ถอยห่างให้คนร่างท้วมเดินย่างสามขุมเข้ามายืนผงาดตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“กูจะให้มันไปขายของให้กู ถ้ามันทำไม่สำเร็จ ก็อย่าคิดว่าจะได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม”
“ฉันไม่ไว้ใจมัน” นายสำริดแย้ง
“มึงสงสัยว่ามันเป็นสายตำรวจไม่ใช่หรือไง ถ้ามั่นใจว่าใช่ก็ยิงมันทิ้งเสียตรงนี้ แต่อย่าลืมว่าพวกตำรวจคงจะตามหาตัวมันให้จ้าละหวั่น คราวนี้ธุรกิจของเราคงพังเป็นแถบ”
“แล้วถ้าให้มันส่งของให้เรา มันก็รู้สายงานของเราหมดน่ะสิ”
“ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ถ้ามันทำไม่สำเร็จ ก็อย่าคิดว่าจะได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม แล้วก็ขึ้นอยู่กับมันแล้วละว่ารักชีวิตหรือรักอะไรมากกว่ากัน กว่าตำรวจจะถึงตัว มันก็ไปเที่ยวเมืองผีเหมือนไอ้ป๋อง”
“ถือว่าฉันเตือนเสี่ยแล้ว” คนที่ไม่เห็นด้วยยังยืนกราน แยกเขี้ยวใส่เสี่ยร่างท้วมด้วยความโกรธเกรี้ยว
ส่วนระพีพัฒน์กลับรู้สึกปรีดา แต่เขาต้องซ่อนความรู้สึกลิงโลดให้มิดในใจ อย่างน้อยการเอาตัวเข้าแลกอาจไขความลับเกี่ยวกับการตายของป๋องได้บ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะรอดชีวิตไปป่าวประกาศบอกใครได้หรือไม่เท่านั้น